ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องของทริซ ภาค Equality (ความเสมอภาค)
ตอนที่ 1 เรื่องของทริซ
ก๊อกๆๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะปลุกให้เด็กหนุ่มขยับตัวบนเตียงไปมาพลางเอื้อมมือควานหาไม้เท้าที่อยู่บนหัวเตียง เมื่อเด็กหนุ่มคว้ามันได้ก็ตีลงไปที่โต๊ะข้างเตียงให้เกิดเสียงดังขึ้นมา มันเป็นการส่งสัญญาณให้คนข้างนอกรู้ว่า “คุณสามารถเข้ามาได้แล้ว”
“อรุณสวัสดิ์คุณหนูทริซ เช้านี้เป็นไงบ้างค่ะ”เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้น เธอเดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็นที่มีอาหารเช้าจัดเรียงอยู่ เธอสวมชุดแม่บ้านสีดำผ้ากันเปื้อนสีขาว ผมสีดำขลับถูกตัดสั้นระดับหูคาดด้วยที่คาดผมสีขาว
ใบหน้ากลมเกลี้ยงมีน้ำมีนวล ดวงตาสุกใสเป็นประกาย ริมฝีปากอวบอิ่ม ดูแล้วไม่เหมือนสาวรับใช้ทั่วไป เธอเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเตียงเด็กหนุ่มพลางพยุงให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ ก่อนจะยื่นกระดาษกับปากกาให้
“อรุณสวัสดิ์คุณเมเดีย”เด็กหนุ่มเขียนลงบนกระดาษก่อนจะฉีกออกแล้วเขียนขึ้นใหม่
“อากาศข้างนอกเป็นไงบ้างวันนี้”ข้อความใหม่ถูกขีดเขียนอย่างรวดเร็ว
“มีแดดนิดหน่อย พอเหมาะกับการเดินเล่นค่ะ”สาวใช้ตอบ
ทริซหันไปมองทางด้านซ้ายมือของตัวเองซึ่งเป็นกระจกในห้องนอน เค้าหันไปมองทั้งๆ ที่ดวงตาทั้งสองข้างมองอะไรไม่เห็นนอกเสียจากความมืด แต่เค้าก็ยื่นมือออกไปเพื่อรับไออุ่นจากแสงแดดรอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของเด็กน้อยอย่างไร้เดียงสาพร้อมกับการจัดเรียงอาหารเช้าบนที่นอนให้ของสาวใช้
ทริซนอกจากจะตาบอดทั้งสองข้างและพูดไม่ได้มาตั้งแต่กำเนิดแล้ว เมื่อสองปีก่อนตอนอายุได้ 15 ปี เค้ายังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนไม่สามารถเดินได้อีก สองสิ่งสุดท้ายที่ทริซเหลืออยู่ก็คือหูที่ไว้ฟังเสียงและมือที่ใช้ขีดเขียนสื่อสารกับผู้อื่น
“เมื่อคืนคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงโทรศัพท์มาบอกว่า อาทิตย์หน้าจะกลับมาแล้ว ท่านทั้งสองเสียใจที่มาไม่ทันวันเกิดของคุณหนูวันนี้ ได้แต่ฝากคำขอบโทษและคำอวยพรมา”เมเดียบอกขณะกำลังป้อนอาหารเช้าที่เป็นข้าวต้มเครื่องที่กำลังอุ่นพอเหมาะ
“ผมว่าอีกสองวัน พวกเค้าจะโทรมาอีก พร้อมกับการเลื่อนกำหนดกลับ”ทริซเขียนใส่กระดาษให้เมเดียอ่านก่อนจะพิงตัวลงบนหมอนและดันมือของเมเดียที่กำลังป้อนข้าวให้อยู่ออกไป
“โธ่ คุณหนู ถึงพวกท่านทั้งสองติดงานที่ต่างประเทศ แต่พวกท่านก็ไม่เคยลืมคุณหนูเลยนะค่ะ”เมเดียพยายามปลอบใจของทริซแต่มันไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย ทริซรู้ดีว่าตั้งแต่พี่ชายเค้าตายเพราะอุบัติเหตุคราวที่แล้วพ่อกับแม่ก็ไม่เคยสนใจเค้าอีก พี่ชายของเค้าที่เป็นเหมือนอนาคตของครอบครัวได้จากไปพร้อมกับสายใยแห่งครอบครัวนี้
ทริซนอนอยู่บนเตียงเงียบๆ พลางเงี่ยหูฟังเสียงรถนักเรียนมาจอดข้างบ้าน เสียงรถนี้เองเป็นเหมือนนาฬิกาที่บอกทริซว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทริซรอฟังเสียงลูกสาวเพื่อนบ้านวิ่งกระหืดกระหอบมาขึ้นรถ
ชื่อของเธอคือ เซร่า หญิงสาวอายุ 18 ปี อยู่ข้างบ้านของทริซมาตั้งแต่เค้าจำความได้ เซร่า เป็นโรคประจำตัวคือความดันต่ำตื่นเช้าไม่ได้ คนขับรถนักเรียนต้องจอดรอเธอกว่า 10 นาทีกว่าที่เซร่าจะวิ่งหน้าตื่นมาขึ้นรถ จนทริซจำเสียงฝีเท้าของเซร่าได้อย่างแม่นยำ จนบอกได้เลยว่าวันไหนเธอลืมถือกระเป๋านักเรียนมาด้วย
“หนูเซร่า ไปแล้วนะค่ะ”เมเดียเอ่ยขึ้นหลังจากที่รถรับนักเรียนได้แล่นออกไปแล้ว เธอไม่อยากพูดขัดขึ้นเมื่อครู่เพราะรู้ว่าทริซกำลังตั้งใจฟังเสียงของเซร่าอยู่ เป็นเวลาตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานที่นี้ 5 ปีแล้ว 5 ปีที่รู้ว่าทริซจะไม่ยอมออกจากบ้านก่อนที่เซร่าจะไปโรงเรียน
“ออกไปสูดอากาศข้างนอกไหมค่ะ”เมเดียถามพลางก้มลงอ่านที่ทริซเขียนขึ้น
“พาผมไปที่รั้วไม้หน้าบ้านที ผมอยากสัมผัสดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้”
เมเดียจัดแจ้งให้ทริซนั่งบนรถเข็น แต่ก่อนจะพาออกจากห้องเธอก็จัดแจ้งเช็ดตัวและหวีผมให้อย่างตั้งอกตั้งใจ ผมสีเงินของทริซสาวสยายจนถึงกลางหลัง มันทั้งอ่อนนุ่มและพลิ้วไหวน่าสัมผัส ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีของเมเดีย
ทริซเองแรกๆ ก็รู้สึกรำคาญและไม่ชอบที่เมเดียมายุ่งวุ่นวายกับชีวิต แต่หลังจากที่เค้าเดินไม่ได้เมเดียก็เหมือนเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกอย่างที่เมเดียปฏิบัติให้ก่อนหรือหลังที่ทริซจะเป็นแบบนี้ยังคงเหมือนเดิม
“ตรงนี้พอไหมค่ะ”เมเดียถามขณะขยับรถเข็นมาจนติดขอบรั้วไม้ซึ่งมีกระถางกล้วยไม้สีม่วงผูกติดอยู่กับรั้ว ทริซชื่นชอบสัมผัสที่ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามใบของกล้วยไม้ ส่วนเมเดียเองก็ต้องปลีกตัวไปดูแลงานบ้านอื่นๆ
บ้านของทริซเป็นคฤหาสน์ 3 ชั้น สไตล์ยุโรปดูเก่าแก่คลาสสิก แต่กลับมีผู้ดูแลเพียงคนเดียวนั้นก็คือเมเดีย เมเดียมาอยู่บ้านหลังนี้ได้ตอนอายุ 15 หลังจากที่ถูกพ่อแม่ของตัวเองขายต่อให้กับพ่อของทริซ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเมเดียก็ไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้ ไม่แม้จะร้องไห้ให้ใครได้ยิน
ทริซปรับรถเข็นของตัวเองให้เบาะเอ็นลงไปข้างหลังเพื่อนอนเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า เสียงวิทยุจากบ้านของเซร่าบอกให้เค้ารู้ว่า แม่ของเธอกำลังนอนเล่นอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ทุกอย่างดูเป็นปกติเหมือนทุกวัน แต่ทริซก็ไม่เบื่อที่จะนอนฟังมันซ้ำซากแบบนี้ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เค้ารู้ว่าเค้ายังมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้
“อากาศดีนะ วันนี้”เสียงหนึ่งพูดขึ้นข้างนอกรั้ว แต่ก็ทำให้ทริซตกใจขึ้นมา เค้าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงลมหายใจของคนที่ร้องทักเค้าเลย น้ำเสียงที่นุ่มนวลเหมือนของผู้หญิงแต่วิธีการพูดที่ห้าวๆ เหมือนของผู้ชาย จนทริซไม่แน่ใจว่าคนนี้เป็นชายหรือหญิงกันแน่ แต่เค้าก็พยักหน้ารับตามมารยาท
“ไม่ต้องสงสัยหรอก ฉันไม่ใช่คนแถวนี้ แค่มาเดินเล่น”เสียงแขกแปลกหน้าพูดขึ้นต่อแต่ทริซก็ตอบโต้ได้เพียงแค่พยักหน้า
“มาเดินเล่น?? ใช่โจรมาเดินดูลาดเลาหรือเปล่านะ”ทริซคิดในใจ
“ไม่ใช่หรอก เธอคิดมากไปแล้ว”แขกแปลกหน้าตอบ
“!!!”ทริซลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรงบนรถเข็น พลางร้องถามตัวเองในใจว่าคนแปลกหน้าผู้นี้รู้สิ่งที่เค้าคิดได้อย่างไง
“ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ไม่ต้องตกใจฉันมาดี เชื่อเถอะ นอนลงตามเดิมซะ”แขกแปลกหน้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิม ซึ่งทริซเองก็ต้องยอมทำตามเพราะไม่รู้ว่าจะเรียกให้เมเดียมาช่วยเหลือได้อย่างไง ในเมื่อเค้าเป็นใบ้
“เธอชื่อ ทริซ สินะ อายุ 18 ปีในวันนี้ เป็นใบ้และตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนขาก็พิการมาจากอุบัติเหตุเมื่อ 2 ปีก่อน เสียใจแทนด้วยนะทั้งเรื่องขาเธอและพี่ชายเธอ”แขกแปลกหน้าพูดออกมาจนทริซนอนตัวแข็ง เพราะความกลัวที่มีให้กับคนแปลกหน้าผู้นี้ เค้าเป็นใครถึงได้รู้ประวัติได้อย่างระเอียดขึ้นขนาดนี้
“ฉันเป็นใครเดี๋ยวเธอก็จะรู้ แต่ว่าฉันเอาของขวัญวันเกิดมาให้เธอ พ่อหนุ่มน้อย”แขกแปลกน้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือผ่านรั้วเข้ามาจับมือทริซไว้ แล้ววางอะไรบางอย่างลงมามันเบา เล็ก เหมือนเมล็ดพืช
“ถ้าอยากสัมผัสให้มากกว่านี้ ถ้าอยากมีตัวตนให้มากกว่า กินมันซะ ทรีเอ็น(3N) จะบันดาลทุกสิ่งให้เธอ แล้วเจอกัน”แขกแปลกหน้าพูดจบก็เงียบไป จนทริซรู้ได้เลยว่าเค้าจากไปแล้ว แต่จากไปด้วยวิธีไหนเค้าไม่อยากจะคิดถึงมัน
ทริซคล้ำดูสิ่งที่อยู่ในมือซึ่งคนแปลกหน้าให้มา มันเป็นเม็ดยาที่ขนาดเรียวยาวเหมือนเม็ดข้าว และคำพูดทิ้งท้ายของคนแปลกหน้าก็ทำให้ความคิดของทริซเตลิดไปไกลเกินกว่าจะกู่กลับมาได้
“อยากสัมผัสให้มากกว่านี้”ทริซเอื้อมมือไปลูบใบของกลัวยไม้อีกทีแต่ก็รู้สึกว่ามันช่างเล็กน้อยเหลือเกินจนเหมือนอากาศอันไร้ตัวตน
“อยากมีตัวตนให้มากกว่านี้”ทริซกางแขนทั้งสองข้างออกและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่นั้นก็ไม่เพียงพอกับความต้องการในจิตใจ มือของทริซขยับยกขึ้นมาเองอย่างไม่ตั้งใจแต่ด้วยใจที่อยากจะหนีไปจากความเจ็บปวดในโลกแห่งความเป็นจริงได้บังคับให้ทริซกินสิ่งที่คนแปลกหน้าให้มาถ้าไม่มีเสียงเรียกของเมเดียดังขึ้นซะก่อน
“ของว่างค่ะ”เมเดียพูดขึ้นพร้อมกับเสียงรถเข็นที่ใส่แก้วน้ำชากับขนมปังอบมาตามพื้นหญ้า
“โง่สิ้นดี นี้มันอาจเป็นขนมใส่ยาเสพติดไว้ก็ได้ คิดจะมาหลอกเราล่ะสิ”ทริซเริ่มมีสติกลับคืนมาพลางคิดหัวเราะเยาะตัวเองที่เกือบเชื่อคนแปลกหน้าไปซะแล้ว
“ยิ้มอะไรเหรอค่ะ คุณหนูทริซ”เมเดียก้มหน้าลงมาถาม แต่ทริซส่ายหน้าพลางคล้ำหาแก้วน้ำชาที่เค้ารู้สึกถึงไออุ่นของมันใกล้ๆ
........................
กลางคืนที่แสนเงียบมาเยือนทริซเหมือนเช่นทุกวัน ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดของเค้า แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่งานวันเกิดตอนอายุ 15 ที่พี่ชายเค้าจัดให้ก็ไม่เคยมีงานเลี้ยงแบบนั้นอีกเลย ทริซนอนพลิกตัวกระสับกระส่าย จนกระทั่งคำพูดของคนแปลกหน้ากลับมาในหัวของเค้าอีกครั้ง
“มันจะเป็นไปได้ไง นี้เราอย่าโง่น่า”ทริซคิดในใจพลางเอื้อมมือเข้าไปใต้หมอนและหยิบเอายาเม็ดที่ซ่อนไว้ออกมา
“แต่ลองดูก็ไม่เสียหายนี้ อย่างไงซะถ้าเราตายๆ ไปได้ทุกคนคงจะมีความสุขกว่านี้”ความเดียวดายนำพาให้ทริซจมลงสู่ความสิ้นหวัง เค้าไม่แคร์อะไรอีกแล้ว อะไรก็ได้ที่จะพาเค้าหลุดออกไปจากโลกใบนี้
ทริซอธิฐานสิ่งเหล่านั้นก่อนจะกลืนยาลงไป มันอุ่นวาบขึ้นมาในลำคอลงไปจนถึงกระเพาะ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทริซนอนรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิมมีเพียงเสียงนาฬิกาให้ห้องที่ดังติ๊กๆ จนเค้าอยากจะลุกขึ้นไปพังมันทิ้ง
“ว่าแล้ว หลอกกันทั้งเพ”ทริซรู้สึกหงุดหงิดแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไงได้ เลยพยายามหลับให้ได้ เผื่อว่าพรุ่งนี้อาจมีสิ่งใหม่ๆ มาทำให้เค้าลืมความรู้สึกเศร้าในใจออกไปบ้าง และด้วยความคิดในแง่ดีนี้เองที่ทำให้ทริซค่อยๆ เคลิ้มหลับไปในที่สุด
“ทริซ พี่จะพาน้องไปทะเล ไม่เคยไปใช่ไหมล่ะ”เสียงพี่ชายของทริซดังขึ้นในความฝันมันชัดเจนจนเหมือนเวลาได้ย้อนกลับไป
“ฮ่าๆๆ เค็มใช่ไหมล่ะ ทริซ นี้ล่ะน้ำทะเล”เสียงดังขึ้นต่อๆ กันจนทริซรู้สึกวินเวียนหัวขึ้นเหมือนถูกจับตัวหมุนไปมา
“ทริซ อันตราย!!”เสียงสุดท้ายของพี่ชายดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงโครมครามดังสะนั่น เสียงคนร้อง เสียงฝีเท้าคนมากมาย แต่ในนั้นไม่มีเสียงของพี่ชายทริซอยู่ด้วย
“พี่ครับ~~~~”ทริซสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นมาเป็นเม็ด แม้แต่ที่มือก็ชุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ
“นี้เราฝันร้ายหรอกเหรอ”ทริซพูดกับตัวเองก่อนจะเช็ดมือกับกางเกง
“ตื่นแล้วสินะ”เสียงคนแปลกหน้าพูดขึ้น ซึ่งทริซก็พยักหน้ารับเพราะนึกว่าเป็นเสียงของเมเดีย แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ก็รีบหันควับไปมอง เค้าเห็นชายใส่สูทสีดำ มีหมวกปีกสีดำเหมือนกันดึงลงมาปิดครึ่งหน้าจนเห็นแต่ปาก !!?? เค้าเห็น???
“อ๊าก~~~~”ทริซร้องลั่นเพราะความตกใจกลัว ใครทำอะไรกับเค้าถึงได้ทำให้มองเห็นได้ ทริซลุกขึ้นจากเก้าอี้รูปทรงเหมือนเปลือกไข่สีขาวที่ปุน่วมไว้ด้านใน แล้วมองไปรอบๆ เค้ากำลังอยู่ในห้องสีขาวที่กว้างมาก กว้างกว่าบ้านของเค้าซะอีก รอบๆ ห้องเป็นไปด้วยเก้าอี้แบบเดียวกัน และมีคนกำลังลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เหล่านั้นและเดินตรงไปที่บันไดเวียนตรงกลางห้อง
“ยินดีต้อนรับสู่ ทรีเอ็น”คนแปลกหน้าเอ่ยทักขึ้น
“คุณ!!?? คุณคือ!!?? นี้ผมพูดได้”ทริซหันไปชี้หน้าชายใส่สูทก่อนจะตกใจกับเสียงของตัวเองที่เปร่งออกมาจนต้องรีบขยับมือมาจับปากของตัวเอง
“เดินได้ด้วย”คนแปลกหน้าพูดพลางชี้มาที่เท้าของทริซ
“นี้เป็นไปได้อย่างไง”ทริซทำตาโตด้วยความตื่นเต้นดีใจจนอยากจะร้องออกมาดังๆ
“ทุกสิ่งเป็นไปได้ใน ทรีเอ็น”ชายแปลกหน้าตอบ
“คุณเป็นใคร แล้วผมมาที่นี้ได้อย่างไง แล้วอะไรคือ ทรีเอ็น”ทริซยิงคำถามเป็นชุดพลางเดินไปมารอบๆ ด้วยความตื่นเต้นจนห้ามใจไว้ไม่อยู่
“เรื่องนั้นเดี๋ยวจะตอบให้ แต่ก่อนอื่นเรามาแนะนำตัวก่อนดีกว่าไหม”ชายแปลกหน้าเอ่ยขึ้น
“แนะนำตัว!!?? คุณรู้จักผมแล้วไม่ใช่เหรอ ผมชื่อ.......”ทริซอ้าปากค้างไว้ พลางพยายามนึกชื่อของตัวเอง แต่มันกลับหายไปจากความทรงจำซะเฉยๆ
“จำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ถึงเธอจะมีความจำทุกอย่างเหมือนเดิมแต่มีอยู่แต่สิ่งหนึ่งที่เธอจะนำเข้ามาใน ทรีเอ็น ไม่ได้นั้นก็คือชื่อที่แท้จริง เอาล่ะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง เธอคิดชื่อของเธอขึ้นมา แล้วบอกกับฉัน เดี๋ยวนี้”ชายแปลกหน้าบอกพลางขยับหมวกปีกให้ลงมาปิดหน้ากว่าเดิมก่อนจะขยับตัวลงไปนั่ง
“ชื่อ........เมจิก.......ผมชื่อ เมจิก”ทริซอยากใช้ชื่อนี้เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเค้ามันเหมือนเวทมนต์ก็ไม่ปาน
“โอเค เมจิก ฉันชื่อ เอกริสม่า เรียกสั่นๆ ว่า กิมม่า ก็ได้ ส่วนที่นี้คือ ทรีเอ็น ส่วนของห้องรับแขก ตามฉันมาสิ ฉันจะพาไปดูที่อื่นพลางอธิบายให้ฟัง”เอกริสม่าออกเดินนำเมจิกมาที่บันไดเวียนตรงกลางห้องก่อนจะเดินลงมาข้างล่างโดยมีเมจิกวิ่งตามหลังมาติดๆ
“ทรีเอ็น จะอธิบายง่ายๆ ก็คือโลกแห่งฝัน มันเป็นโลกที่เชื่อมต่อความฝันของผู้คนต่างๆ เข้าด้วยกัน ที่ฉันให้เธอไปนั้นคือ ซี้ด เมล็ดทอฝัน ที่นำพาเธอมาที่นี้ นั้นคือคำตอบที่สองที่เธอถาม”เอกริสม่าขยับหมวกของตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากตึกทรงหอคอยสูง มาตามถนนที่มีผู้คนและบ้านเรือนตามสองข้างทางมากมาย มีทั้งร้านขายของ ร้านอาหาร มีทุกอย่างก็ว่าได้
“ส่วนที่นี้คือ เมโทรโปลิส”เอกริสม่าหยุดเดินเมื่อมาถึงสุดปลายถนนด้านล่างเบื้องหน้าของพวกเค้าคือเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ในหลุมทรงกลมขนาดกว้างสุดลูกหูลูกตา ถนนและร้านค้าต่างๆ ที่พึ่งผ่านมาเป็นเพียงแค่รอบนอกของตัวเมืองเท่านั้น
ทางเดินจากขอบลงมาสู่ตัวเมืองเป็นบันไดหินที่มีทางแยกไปนับสิบๆ แต่ทุกทางก็พาลงไปสู่ตัวเมืองได้เหมือนกัน เมจิกพึ่งสังเกตเห็นว่านอกจากเค้าแล้วยังมี อีกหลายคนที่กำลังใช้บันไดหินลงไปยังตัวเมือง และในบรรดาพวกนั้นก็มีคนแต่งตัวเหมือนกับเอกรีสม่าอยู่ด้วย
“ไม่ต้องแปลกใจ ฉันเป็น ทัวรีนัว ผู้ดูแลคนมาใหม่ เอาล่ะก่อนอื่นฉันจะอธิบายการดำเนินชีวิตในทรีเอ็นให้เธอฟังซะก่อน ทรีเอ็นก็คือ Night Nothing Notrue ความหมายง่ายๆ ก็คือ ทุกอย่างในทรีเอ็นไม่ใช่ความจริง โอ๋ๆ ตรงนี้จำให้ดีนะ ทุกอย่างไม่ใช่ความจริงๆ ท่องให้ขึ้นใจเลย”เอกริสม่าย้ำก่อนจะพาเมจิกเข้าไปในร้านอาหารร้านแรกที่เจอ ภายในร้านมีเพียงโต๊ะหินไม่กี่ที่ แต่ร้านก็ว่างจนเลือกที่นั่งได้สบาย
“กฎง่ายๆ ที่ต้องทำตามก็คือ 1.เธอจะมีเวลาอยู่ 6 ชั่วโมงในทรีเอ็น ดูได้จากนาฬิกาที่ข้อมือนั้น”เอกรีสม่าชี้มาที่ข้อมือของเมจิกที่มีนาฬิกาใส่อยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ หน้าปัดมันเรียบๆ เป็นแบบดิจิตอลแสดงตัวเลขนับเวลาถอยหลัง
“ก่อนจะหมดเวลาเธอต้องกลับไปที่ห้องรับแขกเพื่อกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง”เอกรีสม่าอธิบายต่อไปเรื่อยๆ พลางขยับหมวกเป็นระยะจนเหมือนติดเป็นนิสัยของเค้า
“แล้วถ้าผมกลับไปไม่ทันล่ะครับ”เมจิกรีบถามขึ้น
“แบบนั้นไม่ดีเท่าไร เธอจะถูก ทัวทีเนีย จับโยนออกไปแทน ซึ่งแบบนั้นเจ็บเอาการ”เอกรีสม่าบอกพลางยิ้มที่มุมปาก
“อะไรคือ ทัวทีเนียครับ”เมจิกถามต่อ การได้พูดจาโต้ตอบมันได้อรรถรสเสียจริงๆ
“ก็คือผู้ดูแลฝัน มีหน้าที่ปรับความสมดุลให้กับโลกทรีเอ็นแห่งนี้ แต่พวกนั้นอารมณ์ร้ายขี้หงุดหงิดหน่อยนะ เอาล่ะต่อไปข้อ 2.เธอห้ามให้ใครรู้ถึงตัวจริงบนโลกของเธอเด็ดขาด บนโลกทรีเอ็นทุกคนจะแสดงภาพลักษณ์ออกมาในแบบที่ตัวเองอยากจะเป็น ไม่ใช่ใบหน้าจริงๆ แต่เป็นใบหน้าที่อยากให้เป็น อย่างเธอเป็นต้น”เอกรีสม่าพูดพลางยื่นกระจกให้เมจิกดูซึ่งเค้าเองก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเค้าเปลี่ยนไปไหมเพราะตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นหน้าตัวเองสักครั้ง
“แล้วทำไมถึงห้ามรู้ตัวตนที่แท้จริงล่ะครับ”เมจิกถามอย่างอยากรู้
“เพราะมันอันตรายนะสิ ไว้เธออยู่ที่นี้ไปก็จะเข้าใจเอง จำไว้ถ้าใครรู้ว่าตัวตนของเธอบนโลกคือใคร เธอจะกลับมาที่ทรีเอ็นไม่ได้อีกตลอดกาล”เอกรีสม่าตอบอย่างไม่รู้สึกรำคาญ
“ส่วนข้อสุดท้าย และสำคัญที่สุด ถ้าเธอตายในทรีเอ็น นั้นหมายถึง ตัวตนบนโลกก็จะตายตามไปด้วย เข้าใจแล้วใช่ไหม”เอกรีสม่าพูดจบก็ลุกขึ้นยืนพลางใช้ดวงตาสีเขียวมรกตที่อยู่ใต้หมวกปีกมองลงมาที่ เมจิก
“ทุกอย่างในนี้มันไม่จริง เพราะแบบนั้นหาความสนุกกับมันให้เต็มที่ เราอาจได้เจอกันอีก ลาก่อนพ่อหนุ่มน้อย”เอกรีสม่าพูดจบก็เดินออกนอกร้านไปอย่างรวดเร็ว พอเมจิกวิ่งตามออกไปก็ไม่พบเค้าบนท้องถนนเลย เมจิกมองไปรอบๆ ดื่มด่ำกับสิ่งที่มองเห็น ก่อนจะตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจ ความฝันเล็กๆ ได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว
..........................................
บ้านเรือนในเมโทรโปลิสที่เมจิกเห็นแทบทำให้เขากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เพราะมันขึ้นกันแบบตามใจคนอยู่จริงๆ มีทั้งแบบบ้านไม้สมัยโบราณ ไปจนถึงตึกสูงเสียดฟ้า บ้างก็แย่งกันขึ้นจากห้องแถวไม่กี่ตารางวาแต่พอชั้นบนๆ กลายเป็นแมนชั่นขนาดใหญ่ ที่น่าขำสุดคงเป็นบ้านคฤหาสน์ที่บิดงอจนเหมือนเป็นรูปคนกำลังเต้นระบำอยู่
เมจิกแทบไม่รู้เลยว่าควรจะไปดูอะไรก่อน แต่ความรู้สึกที่ขาทั้งสองขาได้ขยับได้อีกครั้งมันช่างวิเศษเหนือกว่าอะไรทั้งนั้น เขาวิ่งไปสุดแรงและบางครั้งที่เจอกำแพงเขาก็กระโดดข้ามมันไปได้ทั้งๆ ที่มันสูงเกือบสามเมตร แต่สิ่งที่เขาทำไปนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยเพราะความคิดได้โลดแล่นไปกับสิ่งที่สายตาคู่นี้ได้เห็น
“ต้นกล้วยไม้!!??”เมจิกหยุดเท้าลงเป็นครั้งแรกเมื่อหันไปเห็นดอกไม้บางอย่างที่แขวนอยู่บนหน้าต่างบ้านหลังหนึ่ง และพอเขาได้สัมผัสก็รู้ได้ทันทีว่านี้คือต้นกล้วยไม้แบบเดียวกับที่เขาปลูกเอาไว้ แต่ความรู้สึกได้ต่างออกไปเพราะนี้เขาได้เห็นกับตามิใช่เป็นเพียงสัมผัสที่ปลายนิ้วอีกต่อไปแล้ว ทว่าระหว่าที่ทริซกำลังเพลินอยู่กับการจดจำหน้าตาของดอกกล้วยไม้เสียงกรีดร้องที่มาจากตรอกที่อยู่ห่างออกไปหลายช่วงตึก ก็ดังขึ้นมาให้ได้ยิน
เมจิกวิ่งตามเสียงนั้นไปโดยที่ไม่น่าแปลกเลยที่เขาจะได้ยินเสียงที่อยู่ไกลขนาดนั้นได้ ด้วยความที่เป็นคนพิการมาแต่กำเนิดสิ่งนั้นเองได้มอบพรสวรรค์อันวิเศษให้กับเขา ก็คือประสาทหูที่ดีสามารถได้ยินเสียงที่อยู่ไกลๆ ได้ แม้แต่เสียงหยดน้ำตกกระทบพื้นที่อยู่ห่างจากห้องนอกเขาไป 2 ชั้นเขาก็ได้ยินมันมาแล้ว
แถมด้วยเขาเสียความทรงจำเกี่ยวกับน้ำหนักที่ขาทั้งสองข้างไปด้วยจากการที่เกิดอุบัติเหตุจนต้องนั่งรถเข็นมาตลอด 2 ปีกว่านี้ พออยู่ใน 3N เพียงแค่ทริซอยากจะกระโดดให้สูงหรือวิ่งให้เร็วมันก็จะเป็นไปตามที่ใจเขาคิดทันที ราวกับสิ่งที่เขาสูญเสียมันมาตลอดชีวิตกลับมาตอบแทนเขาแล้วในโลกแห่งนี้
“หยุดนะ”เมจิกร้องห้ามเอาไว้เมื่อวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ ชายสองคนที่อยู่ตรอกนั้นค่อยๆ หันมาจ้องทริซด้วยใบหน้าที่ทะมึงตึงแสดงความไม่พอใจออกมาได้อย่างชัดเจนจนเขาคิดว่าไม่น่าทำแบบนี้เลย มันสายไปหรือเปล่านะที่จะหันหลังและวิ่งหนีกลับไปทางเก่า
“ช่วยฉันด้วยค่ะ”เสียงหญิงสาวที่ล้มอยู่ด้านหลังของชายทั้งสองคนร้องขอความช่วยเหลือออกมา เมจิกมองรอดระหว่างตัวไปจึ่งเห็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาล้มนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น เสื้อผ้าบางส่วนถูกฉีกขาดบนใบหน้าก็มีร่องลอยถูกทุบตี
“ไม่ใช่เรื่องของแก ไสหัวไปซะเจ้าหนู”ชายร่างอ้วนร้องไล่ก่อนจะหันกลับไปหาเด็กผู้หญิง
“อย่ายุ่งกับเธอนะ มะ......ไม่งั้นฉันจะร้องเรียกตำรวจ”เมจิกร้องขู่หวังว่ามันจะทำให้ชายทั้งสองกลัวขึ้นมาได้ แต่ดูเหมือนจะได้ผลตรงกันข้ามเลย เพราะชายทั้งสองหันมามองหน้าเมจิกและหัวเราะขึ้นลั่นซอย
“ไอ้หนูแกพึ่งมาใหม่ล่ะสิ”ชายอีกคนที่รูปร่างกำยำใหญ่ล่ำร้องถาม
“ซะ.........ใช่”เมจิกตอบอย่างหวาดๆ พลางสงสัยว่าทำไมพวกนี้ถึงรู้ได้ว่าเขาพึ่งมาที่ 3N เป็นครั้งแรก
“งั้นสิ่งแรกที่แกควรจำไว้ก็คือ ใน 3N มันไม่มีตำรวจหรอกเฟ้ย”ชายร่างอ้วนให้คำตอบทันที
“ที่นี้นะ เป็นโลกที่ทุกคนที่เข้ามาต้องการระบายสิ่งที่อัดอั้นซึ่งไม่สามารถทำได้ในโลกแห่งความเป็นจริงออกมา เรื่องกฎระเบียบหรือกฎหมายมันไม่มีหรอก แต่ถ้าหมายถึงผู้ที่ดูแลที่นี้ก็พอมีอยู่เขานั่งอยู่นั้นไง”ชายร่างกำยำพยักหน้าให้เมจิกมองตามไปบนหลังคาบ้านที่อยู่ข้างๆ ซึ่งมีคนท่าทางประหลาดนั่งย่องๆ จับตาดูอย่างสนอกสนใจแต่ก็ไม่มีท่าทางจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย
“นั้นคือ ทัวทีเนีย ผู้ดูแลแห่ง 3N”ชายร่างกำยำบอกต่อ ซึ่งทัวทีเนียที่เมจิกเห็นนี้ต่างจากที่เขาคิดไว้มากเพราะนึกว่าจะคล้ายกับ กิมม่า ที่เป็น ทัวรีนัว แต่ชายคนนี้แต่งตัวประหลาดใส่กางเกงสีส้มลายทางขากางเกงก็ป่องๆ เหมือนอัดลมไว้ข้างใน เสื้อที่ใส่ก็เป็นเสื้อยืดเก่าๆ ขาดๆ แต่ผูกเนตไทเอาไว้ด้วย และที่สะดุงตาที่สุดก็คือหน้ากากสีขาวที่ไร้ลวดรายมีเพียงรอยเจาะตามขวางตรงดวงตาเท่านั้น
“ช่วยด้วยครับ ช่วยคุณผู้หญิงคนนั้นด้วย”เมจิกร้องขอความช่วยเหลือโดยหวังว่าทัวทีเนียจะสามารถฟังเขารู้เรื่องและตอบสนองอะไรออกมาบ้าง
“ฮิๆๆๆ”ไม่มีเสียงตอบรับหรือการเคลื่อนไหวอะไรจากทัวทีเนีย มีแต่เสียงหัวเราะเยาะของชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเมจิก
เมจิกรู้สึกถึงความน่ากลัวในโลกที่เขาไม่รู้จักแห่งนี้เป็นครั้งแรก ไม่ว่าที่ไหน โลกไหน ก็ล้วนแต่มีมุมมืดด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ 3N และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ได้ใช้ดวงตาที่ไร้ความรู้สึกหรือเห็นใจคนอื่นจับจ้องมา เมจิกรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัวจนไม่สามารถรับรู้สิ่งใดรอบๆ ตัวได้อีก แม้แต่เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทั้งสอง ทุกอย่างมืดลงเหลือเพียงเขาและทัวทีเนียที่ยืนสบตากันอยู่
แต่แล้วสิ่งหนึ่งก็ดังขึ้นทำลายห้วงเวลาที่น่าอึดอัดอันนี้ลง เพราะกับทัวทีเนียได้ละสายตาไปจากเขา แต่หันกลับไปจ้องมองเด็กผู้หญิงที่มีเสียงนาฬิกาบนข้อมือกำลังดังอยู่
“เสร็จกัน เวลาของเธอหมดแล้ว รีบแย่งเอากระเป๋ามา”ชายร่างกำยำร้องบอกเพื่อนตัวอ้วนที่ยืนอยู่ใกล้กว่า แต่ช้าไปแล้วทัวทีเนียได้กระโดดลงมาจากหลังคาบ้านขวางกลางเอาไว้ และพอได้เห็นเวลาทีทัวทีเนียยืนตัวตรงเมจิกเลยพึ่งรู้ความสูงใหญ่มัน
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เมจิกรู้สึกกลัวขึ้นมามากกว่าร่างสูงใหญ่ที่เห็นนั้นก็คือตอนนี้รอบตัวของเขาในตอนนี้ได้มีทัวทีเนียกระโดดลงมาจากไหนก็ไม่รู้มากมายเป็นสิบ แถมทุกคนก็เหมือนกันไปหมดยกเว้นทรงผมที่พอดูว่าแตกต่างกันได้หน่อย
“ไม่ทันแล้ว รีบไปกันเถอะ ยังไม่เห็นอยากเห็นเวลา เวลาจับโยน ว่ะ”ชายร่างกำยำร้องบอกเพื่อนก่อนจะวิ่งหนีมาชนเมจิกจนล้ม
แต่เพราะชายคนสองคนนี้จากไปเลยทำให้เมจิกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงได้อยากเต็มสองตา มือของทัวทีเนียมีนิ้วมือที่ยาวผอมซีดจนเหมือนกระดูกกำลังยืนตรงไปตะบบเข้าเต็มหัวของเด็กสาวเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างหวาดกลัว แถมทัวทีเนียคนอื่นๆ ก็ต่างพากันรุมมะตุมเข้าไปหาเธอกันหมด ราวกับจะแย่งกันเป็นคนถือตัวเธอเอาไว้
ร่างของทัวทีเนียคนแรกที่จับตัวเธอเอาไว้กำผมของเด็กสาวพร้อมกับกระชากตัวลอย มันกระโดดหนีทัวทีเนียคนอื่นๆ ไปตามหลังคาบ้านอย่างว่องไวตรงไปยังห้องรับแขก แต่ด้วยการที่ต้องลากเด็กผู้หญิงมาด้วยเลยทำให้มันช้ากว่าตัวอื่นๆ ที่ตามมา
พอถูกตามทันการรุมแย่งตัวก็เกิดขึ้นอีกจนเมจิกเห็นแขนขาของเด็กผู้หญิงนั้นเริ่มหักงอผิดรูป ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยข่วนที่มีเลือดไหลซิบๆ ออกมา ไม่มีการปราณีใดๆ กับผู้ที่ตกค้างอยู่ใน 3N หลังกจากที่เวลาที่กำหนดไว้หมดลง
เมจิกที่เห็นสภาพน่าเวทนานี้แล้วก็ทนไม่ไหวตัดสินใจกระโดดตามพวกทัวทีเนียไป แต่ถึงเขาจะเร็วมากกว่าคนทั่วไปก็ไม่อาจตามพวกทัวทีเนียได้ทัน มันวิ่งและกระโดดได้เร็วราวกับเป็นภูตผีปีศาจ ที่ทำได้ดีที่สุดก็คือตามอยู่ห่างๆ ไม่ให้พวกมันลับตาหายไป แต่ถึงจะหายไปจากสายตาแล้วก็ยังคงมีเสียงกรีดร้องของเด็กสาวให้ได้ยินอยู่เป็นระยะและเสียงนั้นก็ดูเหมือนจะร้องดังหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย
และไม่นานนักสิ่งที่น่าตกใจกว่าเดิมก็ตามมาอีกเมื่อเมจิกเห็นพวกทัวทีเนียอีกฝูงหนึ่งโผล่มาทางซ้ายมือตรงเข้าไปแย่งตัวเด็กสาวจากทัวทีเนียกลุ่มเดิม จนเหมือนกับเกิดการต่อสู้ย่อมๆ ขึ้น
“ได้โอกาสล่ะ”เมจิกเห็นจังหวะที่เกิดการแย่งตัวกันทำให้ร่างของเด็กสาวถูกปล่อยล่วงสู่พื้น รีบตรงเข้าไปคว้าตัวเธอเอาไว้และรีบเผ่นออกมาโดยไม่เหลียวไปมอง เขาเกรงว่าขืนมอบตัวเธอให้พวกทัวทีเนียเป็นคนจัดการเธอได้ตายก่อนกลับไปสู่โลกปกติแน่ เพื่อไม่ให้เป็นแบบนั้นเขาจึงรีบนำเธอไปยังห้องรับแขกซะเอง
แต่พอวิ่งมาได้เพียงครู่เดียวเมจิกก็รู้สึกได้เลยว่าถูกใครบางคนกำลังตามมาด้วย ความรู้สึกประหลาดเหมือนเงาที่จับต้องได้กางกงเล็บใหญ่จอเขาอยู่ที่คอตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใครตามมาก็ตามทีแต่ความรู้สึกนั้นกลับยิ่งเด่นชัดมากกว่าเดิม
“ใคร!!?? แกเป็นใครออกมาเดี๋ยวนี้นะ”เมจิกหยุดวิ่งลงและตะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหว ขืนวิ่งไปต่อโดยมีแรงกดดันที่แผ่ความรู้สึกฆ่าฟันอันรุนแรงจ่อคออยู่มีหวังเขาต้องบ้าไปก่อนถึงห้องรับแขกแน่
“.........สัมผัสตัวตนของข้าได้ นับว่าเจ้าเป็นคนพิเศษจริงๆ”เสียงชายหนุ่มที่ฟังดูนุ่มลึกแต่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นเอ่ยขึ้น
“ไอ้เจ้านี้ มันตัวอะไรกันแน่”เมจิกคิดอย่างหวาดกลัวในใจเมื่อเห็นทัวทีเนียโผล่มาจากเงาของเขาจนใบหน้าแทบแนบติดกัน ซึ่งทัวทีเนียคนนี้ต่างออกไปจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดเพราะนอกจากพูดจาฟังดูเป็นผู้คนเป็นคนแล้ว ผมสีทองที่ยาวสยายเป็นประกายแสดงให้เห็นถึงการดูแลที่ดี เสื้อผ้าก็ไม่ได้เก่าสกปรกเหมือนกับคนอื่นแต่เป็นสีขาวทั้งชุด หน้ากากที่ใส่ก็มีรอยร้าวยาวเป็นทาง
ทว่าพอมองถึงตรงดวงตาของทัวทีเนียคนนี้เมจิกถึงกลับกลัวจนปากสั่นมือสั่น น้ำตาไหลพรากอย่างไม่รู้สึกตัว มือไม้หมดแรงจนต้องปล่อยมือออกจากตัวเด็กสาว ดวงตาที่จ้องมองเขามานั้นมันไม่ใช่สายตาของมนุษย์แน่นอน แค่สายตานั้นก็ราวกับกำลังจะกัดกินเขาอยู่ก็ไม่ปาน
“มีกลิ่นของเจ้าเอกริสม่าติดอยู่..........ไม่อยากเชื่ออย่างเจ้านั่นจะยอมกระดิกทำตัวเป็นทัวรีนัวกับเขาด้วย เอ๋!!??แต่ได้ยินมาว่าที่มันมีมาสเตอร์ซี๊ดเก็บอยู่ นี้มันคงไม่ได้ให้เจ้าเป็นคนกินหรอกนะ”ทัวทีเนียก้มหน้าลงมาถามแต่เมจิกถึงกลับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นทันที
“.........ข้าคงเข้าใจผิดไปเอง มาสเตอร์ซี๊ดมีค่าเกินกว่าจะให้เด็กอย่างเจ้าเป็นคนกินเข้าไป”ทัวทีเนียส่ายหน้าอย่างผิดหวังก่อนจะก้มลงไปจิกหัวเด็กสาวขึ้นมาและเดินลากไปตามพื้นถนน
“ชะ ช่วยฉันด้วย”เด็กสาวที่มีสติเลือนรางขยับปากเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่เสียงนั้นกลับก้องอยู่ในหัวของเมจิกดังจะจนเขาปวดหูตุบ
เมจิกไม่รู้ว่าทำไมตัวเขาถึงได้มีปฏิกิริยากับคนที่กำลังขอความช่วยเหลือมากเสียเหลือเกิน หรืออาจเป็นเพราะตัวเขาเองคงเข้าใจความรู้สึกของคนที่ร้องขอความช่วยเหลือก็เป็นได้ แน่นอนเพราะตัวเขาเองก็ร้องเรียกขอความช่วยเหลือมาตลอดถึงแม้จะไม่สามารถเปล่งเสียงใดได้ แต่หัวใจเขาก็ร่ำร้องขอความช่วยเหลือจากปาฏิหาริย์
ความกลัวที่อยู่ในจิตใจของเมจิกตลอดเวลาที่ผ่านมาถ้านำมาเทียบกับความกลัวที่มาจากทัวทีเนียแล้วมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเป็นแบบนั้นเขาจึ่งมีแรงลุกขึ้นก้าวเท้าออกไปตอบสนองต่อเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ
พริบตาเดียวที่เขาได้ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปความผิดพลาดอันใหญ่หลวงก็เกิดขึ้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าจู่ๆ ก็พล่าเลือนลงจนเห็นเป็นขีดๆ เส้นขวาง เสียงโครมครามดังขึ้นข้างหู แต่ทุกอย่างทั้งตัวชาด้านไปหมด เมื่อทุกอย่างหยุดลง ภาพเบื้องหน้าจึ่งกลับมาเห็นได้อย่างเด่นชัดอีกครั้ง
เมจิกจึ่งพึ่งรู้ว่าตัวเขาได้ลอยปลิ้วมาชนเข้ากับกำแพงข้างทางจนมันแตกพัง หูซ้ายและใบหน้าฉีกนั้นหมดความรู้สึกไปเลยจากการที่ถูกกระแทกเข้าอย่างแรง ส่วนด้านขวาก็รู้สึกเจ็บจนปวดตุบๆ น้ำรสชาติเค็มๆ ที่เหม็นคาวไหลออกมาเต็มปากซึ่งพอทำให้เขารู้ว่านั้นคือเลือด
“หลังหมัด!!??”เมจิกค่อยๆ หันไปมองทัวทีเนียอีกครั้งซึ่งเห็นเขายืนหันข้างให้โดยมือที่กำและยื่นกางออกมายังมีรอยเลือดเขาติดอยู่เลย แต่เขาโดนเข้าตั้งแต่เมื่อไรนั้นไม่มีทางรู้ได้เลย ความเร็วในการขยับตัวของทัวทีเนียคนนี้อาจเร็วเสียยิ่งกว่ากระสุนปืนก็ได้
“เอกริสม่าไม่ได้บอกหรือว่า อย่าเข้ามายุ่งกับงานของทัวทีเนียอย่างข้า”เขากล่าวก่อนจะหันหลังให้และลากหญิงสาวไปต่ออย่างไม่สนใจไยดี
“อย่าพึ่งไป”เมจิกร้องห้ามไว้ทั้งๆ ที่ร่างกายยังขยับไม่ได้ดังใจ แต่ดูเหมือนกับว่าเสียงเรียกของเขาจะดึงเอาทัวทีเนียพุ่งกลับมาหาราวกับภาพที่ฉายย้อนกลับ
“ไม่ต้องห่วง ถ้าอยากเจอข้าแกก็นั่งอยู่อีกสัก.........”ทัวทีเนียคว้าข้อมือของเมจิกขึ้นมาดูเวลาในนาฬิกา “4 ชั่วโมง แล้วเจอกัน”
ทัวทีเนียพูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไปโดยมีทัวทีเนียคนอื่นๆ รายล้อมเข้ามาแต่ก็ไม่มีคนใดกล้าเข้าใกล้เพียงได้แต่จับตาดูอยู่ห่างๆ
“ทัวทีเนียผมสี......ทอง”เมจิกมองทัวทีเนียคนนั้นจนลับตาไปก่อนจะที่เขาจะสลบลงจากอาการบาดเจ็บ ความไม่เข้าใจและสงสัยต่างๆ ก็ยังคงอยู่ในใจเขาอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปเพียงวูบเดียวสำหรับเมจิกราวกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นผ่านไปเพียงการกระพริบตาเท่านั้น เขาลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนแผ่อยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งโดยที่มีเอกริสม่านั่งอยู่ข้างๆ อาการบาดเจ็บที่มีก็หายไปด้วยเหมือนกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมา
“เขาชื่ออะไรเหรอครับ ทัวทีเนีย คนนั้น”เมจิกถามขึ้นทั้งๆ ที่ยังนอนแผ่อยู่ เขารู้สึกว่าเอกริสม่ารู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“มาทา”กิมม่าอบ
“แล้วทำไมพวกทัวทีเนียถึงต้องลงมือลงไม้กันรุนแรงด้วย บอกกันดีๆ ก็ได้นี้ แล้วพวกคนที่อยู่ในเมืองนี้อีก นี้มันอะไรกัน”เมจิกยกแขนขึ้นมาปิดหน้าตัวเองแล้วร้องถามออกมา
“..........ถ้าเธอเจอพี่ชายในนี้ เธอจะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงไหม เมจิก”กิมม่าถามขึ้นลอยๆ แต่ทำถามนี้เองถึงกับทำให้เมจิกสะอึกขึ้นมา
“คำตอบคือไม่ใช่ไหมล่ะ ทุกอย่างใน 3N เกิดขึ้นด้วยความต้องการล้วนๆ ไม่มีสิ่งใดเจือปน แน่นอนว่าถ้าในใจเธอปราถานาจะเจอพี่ชายอีกครั้ง มันก็จะเกิดขึ้นตามนั้น และเมื่อถึงเวลาเธอก็จะไม่อยากกลับ ทอดทิ้งทุกอย่างไว้เพื่ออยู่กับความฝันที่แสนหวาน
เพราะแบบนั้นล่ะถึงต้องมี ทัวทีเนีย ขึ้นมา คำพูดธรรมดาทั่วไปมิอาจฉุดดึงให้ผู้คนซึ่งสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองในโลกแห่ง 3N รับฟังได้ สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ก็คือการใช้กำลังในการพาตัวออกไป และในรูปแบบที่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วคนผู้นั้นสามารถจำมันฝั่งใจไปจนตาย
ภาพลักษณ์การกระทำของทัวทีเนียจึ่งสื่อออกมาในรูปแบบที่เห็น รุนแรง น่ากลัว ไร้ความปราณี แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อความสมดุลของโลก 3N เธอคิดว่าประชากรของที่นี้ถ้าเทียบกับอัตราส่วนของพวกทัวทีเนียแล้วมันมีเท่าไรกันเหรอ
เธอเดาไม่ถูกหรอก เมจิก ว่าผู้คนที่อยากคิดอยู่ในนี้ไปตลอดกาลมีเยอะแค่ไหนถ้าเทียบกับพวกทัวทีเนียที่มีอยู่เพียงหยิบมือ..........ส่วนที่ว่าทำไมคนในเมืองนี้ถึงได้มีการแสดงออกที่เธออาจมองว่าต่ำช้าและหยาบคาย.........ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่า นั้นล่ะคือธาตุแท้ของมนุษย์ ความดิบเถื่อนที่ถูกซุกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากหนังที่ส่วมใส่หันเข้าหากันในโลกแห่งความเป็นจริง
จะว่าไปฉันว่าที่ 3N นี้ล่ะเหมาะสมกับคำว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่สุดแล้ว เพราะสิ่งที่เธอได้เห็นที่นี้คือ ตัวตนของมนุษย์ที่ไร้สิ่งปกปิดไงล่ะเมจิก ฮิๆๆๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”กิมม่าหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสายตาเมจิกที่มองมาที่เขาอย่างตื่นตระหนก
“นั้นก็เป็นเพียงส่วนเดียวในโลกแห่งนี้ มันยังมีด้านที่ดีอยู่เหมือนกันสำหรับผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม แต่ด้วยความต่างนี้ล่ะเลยทำให้พวกเขาแบ่งแยกกันอยู่ได้อย่างชัดเจน ที่อยู่รอบนอกของเมโทรโปลิส เป็นเขตของพวกนอกกฎหรือที่โลกของเธอเรียกกันว่าดินแดนไร้อารยธรรมนั้นล่ะ ส่วนคนที่มีความเจริญทางปัญญาก็จะจับกลุ่มกันอยู่ที่ด้านในตรงกลางของเมโทรโปลิส ตั้งชื่อเรียกตัวเองว่า กิลเลี่ยน ก็ถ้าเธอไม่อยากจะเห็นอะไรทุเรศๆ ก็หลบเข้าไปอยู่กับพวกกิลเลี่ยนดูก็ได้นะ”กิมม่าชี้เข้าไปที่เมืองใหญ่ตรงกลางที่สภาพดูดีตึกขึ้นกันอย่างเป็นระเบียบ มีแสงสีที่สะดุดตา
“แล้วทำไมถึงไม่มีกฎหมายไว้ควบคุมพวกคนที่อยู่รอบนอกล่ะครับ”เมจิกถาม
“เธอยังไม่เข้าใจนะเมจิก.........กฎหมายเป็นเครื่องมือที่ไว้ใช้ควบคุมคน ซึ่งมันมีประโยชน์ฉันไม่ค้าน แต่สำหรับที่นี้อย่างน้อยก็คนที่สร้างมันขึ้นมาเขาเห็นว่า มนุษย์ไม่สมควรถูกควบคุมด้วยสิ่งใด ทุกคนควรจะมีความเสมอภาค”กิมม่าพูดจบก็ลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่ข้อมือเป็นเชิงให้เมจิกดูเวลาที่นาฬิกาซึ่งมันเหลืออีกเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น
“แต่ว่าถ้าไม่มีกฎหมายควบคุมการกระทำแล้ว คนที่ทำผิดก็ลอยนวลได้อย่างสบายเลยสิครับ แล้วคนดีๆ ที่ต้องเดือดร้อนล่ะ”เมจิกยังติดใจเรื่องนี้อยู่เลยถามต่อ
“อ้อเหรอ อืมๆ คิดแบบนี้ก็คงจะไม่ผิดหรอกมั่ง แต่สำหรับฉันนะ ความยุติธรรมงี่เง่า เธอรู้เหรอเมจิกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เธอคิดไหมว่าทำไมคนเราถึงได้เลือกกระทำในสิ่งที่เลวร้าย เคยคิดถึงสาเหตุมันไหม หรือดูแค่สิ่งที่เขาทำและตัดสินกันออกมาเลย
เธอก็ได้เห็นสิ่งที่พวกทัวทีเนียทำแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกนั้นถึงได้นั่งเฝ้าดูเฉยๆ โดยไม่ลงมือช่วย ถ้าไม่รู้ฉันจะบอกให้ เพราะพวกเรากำลังศึกษาอยู่ไงล่ะ ศึกษาพฤติกรรมการแสดงออก ความต้องการของมนุษย์ สาเหตุของการกระทำ เพื่อค้นหาทางออกให้กับปัญหาต่างๆ แบบถาวร ไม่ใช่การจับคนผิดมาลงโทษและปล่อยให้มีคนแบบนั้นขึ้นมาอีกเรื่อยๆ
คนที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาเขาได้ประกาศไว้ว่า เขาจะทำในสิ่งที่โลกแห่งความจริงไม่สามารถทำได้ เขาจะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่เคยมีใครคิดจะเปลี่ยนแปลงมัน..........แล้วเธอล่ะ เมจิก เห็นด้วยกับความคิดนี้ไหม หรือว่า จะปฏิเสธมันเพื่อดำรงความยุติธรรมแบบเดิมๆ เอาไว้ แต่ไม่ว่าเธอจะคิดแบบไหนเธอก็สามารถทำมันได้ ถ้าคิดว่าที่นี้สมควรจะมีกฎหมายก็ลองสร้างมันขึ้นมาซะเองเลยสิ เอาล่ะ เวลาเธอใกล้จะหมดแล้วรีบกลับไปซะ แล้วลองคิดดูถึงสิ่งที่ฉันพูด ที่นี้ไม่มีการบังคับทุกคนสามารถมาได้ถ้าต้องการ เพียงเธอปฏิเสธที่นี้มันก็จะหายไปราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน ลาก่อน เมจิก”กิมม่าพูดจบก็เดินไปตามสายฟ้าที่โยงยาวจนหายลับตาไป
“เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนงั้นเหรอ”เมจิกรำพึงออกมาขณะเดินคอตกกลับไปยังห้องรับแขก เรื่องราวต่างๆ มากมายประดังเข้ามาไม่ยุ่งจนยากจะทำความเข้าใจและคิดไปพร้อมกันได้ เวลาเพียงสั้นๆ แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมจิกทำตามคำแนะนำของกิมม่าที่ให้กลับมาที่ห้องรับแขกและเลือกเก้าอี้ที่นั่งสบายๆ เอ่นหลังลง และหลับไปซะเพื่อกลับสู่โลก ส่วนบางคนที่กลับมาในเวลาที่จนตัวต่างทำหน้าวิตกเหมือนกับกลัวพวกทัวทีเนียอยู่กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ ซึ่งก็มีทัวรีเนียคอยให้คำแนะนำอยู่ใกล้ๆ หรือบางคนเสนอยาบางตัวที่ทำให้หลับได้ในทันที แต่สำหรับเมจิกไม่จำเป็นเลยเขาเหนื่อยเกินกว่าจะลืมตาอยู่ได้ เขานั่งลงพิงมันอย่างผ่อนคลายเปลือกตาค่อยๆ ปิดลงมา พาเข้ากลับสู่ความมืดที่แสนคุ้นเคย พร้อมกลับจะมาเป็นทริซเด็กหนุ่มพิการคนเดิมทันทีที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
.......................................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น