ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พี่หมอ มศว เล่าเรื่อง (Ultimate Version)

    ลำดับตอนที่ #17 : บันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ ตอน "เดินทางลัดฟ้า...สู่นครเชียงใหม่" (อัพแล้ว 100%)

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 52


    เรื่องโดย  ~หมูสนาม~  นิสิตแพทย์ มศว MD20

                ช่วงวันที่ 4 ถึง 6 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลานิสิตแพทย์ มศว ปี 5 ต้องลงวิชาเลือก(electiveฝึกงาน) ซึ่งก็สามารถเลือกลงเรียนได้ตามใจอยาก(ก็อย่างว่า...นะชื่อวิชาเลือกนี่หน่า) รักวิชาไหน ชอบวิชาไหน หรือใครกำลังตามหาตัวเองว่าอยากเป็นคุณหมอด้านไหน...นี่ก็คือโอกาสที่จะได้ไปลองเรียนในด้านนั้นๆดู ช่วงนี้เองทางคณะแพทยศาสตร์ มศว ก็เปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้สามารถไปฝึกงานที่โรงพยาบาลใดๆก็ได้ทั่วประเทศไทย โดยเงื่อนไขมีเพียงข้อเดียว...นั้นก็คือโรงพยาบาลนั้นต้องเต็มใจรับดูแล

                นิสิตแพทย์แบงค์ก็เลยได้โอกาสเลือกไปฝึกงานที่ "โรงพยาบาลนครพิงค์" ณ จ.เชียงใหม่ซะเลย 

                ใจหนึ่งก็ว่า...นี้หล่ะโอกาสที่เราจะได้มาฝึกงาน ทำงาน ทดสอบตนเองก็จะขึ้นเป็น EXTERN 

          อีกใจหนึ่งก็ว่า...นี้แหละโอกาสที่เราจะได้มาพักผ่อนเที่ยวเมืองเชียงใหม่กันให้สนุกสุดเหวี่ยงกันไปเลย

                สมาชิกในทีมมีด้วยกันทั้งหมด 7 ชีวิต ได้แก่ "นิสิตแพทย์แบงค์(พี่เอง) นิสิตแพทย์เชอรี่ นิสิตแพทย์ปิ้น นิสิตแพทย์ไบร์ท นิสิตแพทย์อ๊าท นิสิตแพทย์เกด นิสิตแพทย์ม๊อท" การเดินทางเริ่มต้นที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ อันดับแรกที่ต้องทำก็คือ check in ซึ่งปรากฎว่ามีปัญหากันแทบทุกคนคือ น้ำหนักสัมภาระเกิน โดยทางสายการบินAirAsia ได้กำหนดน้ำหนักกระเป๋าเดินทางไว้ที่ 15 kg ซึ่งทุกคนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ละคนแบกกระเป๋ามาแบบอีบ้าหอบฟางกันทั้งนั้น ทุกคนจึงโดนปรับกันทั่วหน้า kg ละ 87 บาท นิสิตแพทย์เชอรี่นี่โดนเยอะที่สุดโดนไป 5 kg (5 x 87=435 บาท ) เทียบกับราคาค่าตั๋วที่ไม่รวมภาษีสนามบินเพียง 990 บาทต่อเที่ยว ค่าปรับสัมภาระล่อไปครึ่งหนึ่งของค่าตั๋วแล้ว เหอๆ ขำไม่ออกเลย -_-" 

                หลังจากนิสิตแพทย์เชอรี่โดนปรับไปหมาดๆ คราวนี้ก็ถึงคราวของนิสิตแพทย์แบงค์บ้าง หนึ่ง...สอง...ฮึบ กระเป๋าใบโตก็ถูกยกขึ้นใส่ตาชั่งของสนามบิน 

                "ทำไมมันหนักอย่างนี้วะ...เกินแน่เลย>_<" นิสิตแพทย์แบงค์คิดในใจขณะที่ตัวเลขของตาชั่งกำลังเริ่มเดิน....เลขค่อยๆเปลี่ยนจากหลักทศนิยมเป็นหลักหน่วย จากหลักหน่วยเป็นหลัก และสิ้นสุดที่เลข 19 kg 

                "อ๊าก....เกินไป 4 kg"  นิสิตแพทย์แบงค์ถึงกับคอตก

                "เสียใจด้วยนะค่ะเกินไป 4 kg ค่ะ"  พนักงานสายการบินกล่าว (ไม่ต้องย้ำก็ได้รู้ว่าเกิน เหอๆ)

               "อ๊ะเดี๋ยวก่อน"  พนักงานสายการบินหันไปมองที่ตาชั่ง นิสิตแพทย์แบงค์จึงหันตาม เลยได้รู้ว่าที่กระเป๋าเดินทางมีมือน้อยๆ ของเด็กฝรั่งตากลมโตใสสีฟ้า อายุประมาณ 4 ขวบวางอยู่ โอ้เด็กหน้อเจ้ามาจากที่ใด

               "Excuse me kiddy! Could you raise your hands up please" นิสิตแพทย์แบงค์หลังนึกคำพูดอยู่สักครู่ ก็เอ่ยภาษาประกริด conversation ที่สำเนียงค่อนข้างกระเหรี่ยงเล็กน้อยออกไป ปรากฎว่าเด็กน้อยก็เข้าใจซะงั้น เมื่อเด็กน้อยยกมือออกจากกระเป๋า ตัวเลขบนตาชั่งจึงเริ่มเดินอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้หยุดที่ 15.00 kg พอดีเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน เย้ !! ในที่สุดก็ไม่เสียตัง 555

              และแล้วเครื่องบินแอร์บัสของสายการบิน AirAsia ก็ออกเดินทางลัดฟ้าสู่จุดหมายปลายทางคือ เมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน  มหานคร"เมืองเชียงใหม่ "


                                                  ดอยสุเทพเป็นศรี          ประเพณีเป็นสง่า

                                                  บุบผาชาติล้วนงามตา   นามล้ำค่านครพิงค์

                                                                                                   คำขวัญประจำจังหวัดเชียงใหม่

                      ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง...คณะเดินทางของเราก็มาถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ เร็วมาก รู้สึกเหมือนฝันไปเลย แบบว่าเมื่อชั่วโมงที่แล้วเรายังอยู่กรุงเทพอยู่เลย ต้องขอบคุณเทคโนโลยีด้านการคมนาคมในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ c(^_^) 

                      คราวนี้จุดหมายต่อไปก็คือโรงพยาบาลที่พวกเราต้องไปฝึกงาน "โรงพยาบาลนครพิงค์" 

                        

                       

                  โรงพยาบาลนครพิงค์เป็นโรงพยาบาลทั่วไปประจำจังหวัดเชียงใหม่ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งอยู่เลขที่ 159 หมู่ที่ 10 ตำบลดอนแก้ว  อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่   หลักกิโลเมตรที่ 9  ถนนโชตนา (เชียงใหม่ – ฝางเดิม)   อยู่ห่างจากเขตชุมชนของเทศบาลนครเชียงใหม่    ประมาณ  5  กิโลเมตร  และอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่ริม ประมาณ 7 กิโลเมตร โรงพยาบาลนครพิงค์ เดิมชื่อ   “โรงพยาบาลเชียงใหม่” และได้เปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลนครพิงค์ ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2533 เพื่อลดความสับสนของผู้มารับบริการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ระหว่างชื่อ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่(สวนดอก)ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์เชียงใหม่กับโรงพยาบาลนครพิงค์
                  
                  ปัจจุบันโรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดขนาด 500 เตียง (โรงพยาบาลขนาดเท่าโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ของเราเลย)  เมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาลโดยเหมารถแดงมาในราคา 300 บาท จากสนามบิน(ภายหลังรู้ว่าราคานี้คือโดนฟันราคาสุดๆ) คณะเดินทางก็ถึงคราวต้องแยกย้ายไปตาม Ward ที่แต่ละคนเลือกไปฝึก นิสิตแพทย์แบงค์ นิสิตแพทย์เชอรี่ และนิสิตแพทย์ปิ้น ได้เลือกมาฝึกที่ Ward อายุรกรรม ส่วนคนอื่นๆก็ไปฝึกที่ห้องฉุกเฉินกับสูตินารีเวช

                  เมื่อมาถึงพวกเราก็ได้ทำความรู้จักกับอาจารย์และพี่ INTERN ซึ่งทุกคนเป็นมิตรกับพวกเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพี่อ้อมซึ่งเป็นแพทย์ มศว รุ่น 15 ซึ่ง ณ ตอนนี้เป็นอาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ที่โรงพยาบาลนครพิงค์แห่งนี้ พี่อ้อมนั้นดูแลพวกเราเป็นอย่างดีทั้งพาไปกิน พาไปเที่ยวและแนะนำสถานที่ต่างๆ รวมถึงสอนความรู้และการทำหัตถการณ์ต่างๆให้อย่างเต็มที่ และอีกคนที่พวกเราต้องขอบคุณไม่แพ้กันคือพี่นาคINTERN1 จากคณะแพทยศาสตร์เชียงใหม่ พี่นาคใจดีสุดๆ ให้ทำหัตถการณ์ สอนการปฏิบัติในแง่ชีวิตจริงอย่างไม่หวงความรู้เลย  

                   การใช้ชีวิตที่นี่เริ่มตั้งแต่ การตื่นมาแต่เช้าตรู่เพื่อมาปฏิบัติงานที่ Ward ดูคนไข้เองก่อนพี่ INTERN มา จากนั้นพอพี่INTERNมาก็ Round ward กับพี่ใหม่ตั้งแต่เตียงแรก สักพักพอสายๆหน่อยอาจารย์มาก็เริ่ม Round ใหม่พร้อมกับอาจารย์ตั้งแต่เตียงที่หนึ่งอีกรอบ แบบว่าเตียงแรกๆจะโดนดูไปทั้งหมดสามรอบไม่ขาดไม่เกิน >_< จากนั้นเมื่อจบจาก round ward ก็ออกตรวจแผนกผู้ป่วยนอก(OPD) พร้อมๆกับอาจารย์ เสร็จแล้วตกเย็นก็มาอยู่เวรที่ Ward อายุรกรรมถึงเที่ยงคืน ซึ่งสำหรับนิสิตแพทย์แบงค์เนื่องด้วยมีความชอบส่วนตัวในเรื่องเวชศาสตร์ฉุกเฉิน จึงอาสาอยู่เวรสองที่ คือทั้ง Ward และ ห้องฉุกเฉิน(ER) โดยถ้ามี Case อะไรน่าสนใจให้ใช้วิธี On Call โทรตามกัน (ขอบคุณ...เทคโนโลยีสารสนเทศอีกรอบ) เหอๆไม่รู้ว่าจะเป็นการหาเหาใส่หัวเพิ่มงานให้ตัวเองรึเปล่าวะ -_-" แต่ไม่เป็นไรมองในแง่ดีว่ามาหาประสบการณ์ เรื่องเที่ยวไว้วันเสาร์ อาทิตย์ก็ได้ โห้! จะฟิตไปถึงไหนกันคราบบ นิสิตแพทย์แบงค์

                  จากการได้มาฝึกงานที่โรงพยาบาลนครพิงค์เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ นิสิตแพทย์แบงค์และเพื่อนๆได้รับประสบการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกดูแลคนไข้เองอย่างเต็มที่ การทำหัตถการณ์ต่างๆ ได้แก่ เจาะหลังเอาน้ำไขสันหลังออกมา เจาะท้อง เจาะปอด ใส่ท่อช่วยหายใจ และ CUT DOWN(การใส่สายเข้าไปในเส้นเลือดดำจนไปถึงหัวใจห้องบนขวา) และนอกจากนี้
    การมาอยู่ที่นี้ทำให้นิสิตแพทย์แบงค์ได้ทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างที่นี้กับโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์

                  1. อากาศที่เชียงใหม่ช่วงนี้หนาวมาก ตอนเช้าเสื้อหนาวชั้นเดียวกันไม่อยู่ แบบว่าหายใจมีควันออกเลยทีเดียว

                  2. คนไข้ที่นี้เยอะมากเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ คนไข้ใน ward ล้นออกไปจนต้องมีเตียงเสริมบริเวณทางเดินและระเบียง ยิ่งเวลาไปออกตรวจแผนกผู้ป่วยนอก(OPD) คนไข้นั่งรอมากมายจนดูแล้วตาลายเลย การดูเคสที่นี่ค่อนข้างลำบากกว่าที่ศูนย์การแพทย์ของเรา สาเหตุก็คือ การบันทึกประวัติที่โรงพยาบาลนครพิงค์นั้นสั้นมากและบางครั้งข้อมูลตกๆหล่นๆ ที่นี้ข้อมูลสั้นๆเพียงสองสามบรรทัดมีค่าดังทองคำ เห็นแล้วน้ำตาไหล คิดถึง Progress note และ Admission note ยาวๆของศูนย์การแพทย์เป็นอย่างยิ่ง

                  แต่ที่นี่ก็มีส่วนที่ดีมากคือระหว่างที่คุณหมอ Round ward ดูคนไข้แต่ละเตียง ก็จะมีพี่พยาบาลที่รับผิดชอบคนไข้คนนั้น กับพี่เภสัชกร เดินตามดูคนไข้พร้อมคุณหมอตลอด เวลามีข้อสงสัย อยากรู้ว่าวันนี้คนไข้เป็นอย่างไร ได้ยาอะไรอยู่ ก็สามารถถามได้ทันที ทำให้สามารถดูแลคนไข้ได้อย่างทั่วถึง ^_^

                 3. พยาบาลทีนี่ใจดีมาก หากเปรียบพยาบาลที่นี่เป็นนางฟ้า ที่ศูนย์การแพทย์ก็คงเป็นนางยักษ์ พยาบาลที่นี่ให้เกียรติพวกเรา และช่วยเหลือในทุุกเรื่องอย่างเต็มใจ 

                  "คุณหมอแบงค์ จะเอาอะไรค่ะเดี๋ยวพี่ไปหยิบให้ค่ะ" พี่พยาบาลWard อายุรกรรมหญิงพูดขึ้นขณะนิสิตแพทย์แบงค์กำลังหาชาร์ตคนไข้

                  "เห้ย! ไม่ต้องหรอกครับ เกรงใจมากๆ เดี๋ยวผมหยิบเองได้ ขอบคุณมากๆครับ และก็ผมยังไม่เป็นคุณหมอเลยนะ เป็นแค่นิสิตแพทย์เอง ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหมอหรอก" นิสิตแพทย์แบงค์เอ่ยขึ้น

                  "ลองเรียกๆ ไปเหอะ เดี๋ยวสักวันน้องก็ต้องเป็นคุณหมออยู่ดี เหรอว่าพอพี่เรียกว่าคุณหมอแล้วเขิน^_^" นิสิตแพทย์แบงค์ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกดีที่พยาบาลที่นี่ให้เกียรติและยอมรับเรามาก

                 4. การจะไปที่ไหนหากรู้ภาษาถิ่นเขา ก็ดีไปกว่าครึ่งแล้ว จากการที่นิสิตแพทย์แบงค์ มาใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนที่เชียงใหม่เป็นระยะเวลาสองสัปดาห์ ก็พบว่ามีปัญหาสำคัญเกิดขึ้น นั้นคือปัญหาด้านการสื่อสาร(ภาษา) 

                   ภาษาที่ใช้กันมากที่นี่คือภาษาเหนือ หรือที่คนในท้องถิ่นเรียกกันว่าภาษาเมือง c('_')?? คนไข้ที่นี่มีทั้งแบบที่พูดภาษากลาง แบบที่พูดเมืองมากๆ และที่มาเป็นแม้ว หรือกระเหรี่ยงเลย ซึ่งอย่างหลังนี่ก็ต้องอาศัยล่ามส่วนตัวถึงจะฟังออกครับ ส่วนคนที่พูดเมืองก็มีทั้งฟังภาษากลางออกกับไม่ออก ยุ่งแล้วสิคราวนี้

                   "ยาย วันนี้เป็นอะไรถึงมาโรงพยาบาล" นิสิตแพทย์แบงค์ถามคุณยาย

                   "....." ยายเงียบ

                   "ยาย เป็นอะไรทำไมถึงมาโรงพยาบาลวันนี้" นิสิตแพทย์แบงค์ถามซ้ำด้วยคำถามเดิมอีกหลายรอบ

                   "เมื่อเช้าขณะร้อนผ้าของเปิ้ล มันก็อิดขึ้นมาก๊ะ" อ่ะนิสิตแพทย์แบงค์ถึงกับงงในคำตอบที่ได้ แบบว่าไม่เข้าใจ

                  นี่แหละครับความสำคัญของภาษาถิ่น อยู่ที่นี้นิสิตแพทย์แบงค์จึงใช้เวลาส่วนหนึ่งเรียนรู้ภาษาเมืองของที่นี่ โดยอาศัยการสังเกตจากที่พี่หรืออาจารย์คุยกับคนไข้ รวมถึงการสอบถามจากพี่พยาบาล สุดท้ายมาเหนือครั้งนี้ก็ได้คำเมืองมาหลายคำเลย


                   "ยาย วันนี้เป็นอะไรถึงมาโรงพยาบาล"  ควรเปลี่ยนเป็น "อุ้ย วันนี้เป็นอ่ะหยั๋งมาครับ"

                    "ยาย เป็นยังไงบ้างวันนี้" ควรเปลี่ยนเป็น "อุ้ย เป็นจ๊ะใด๋ผ้อง"

                    อุ้ย คือคำใช้แทนผู้สูงอายุนั้นเอง 

                    "เมื่อเช้าขณะร้อนผ้าของเปิ้ล มันก็อิดขึ้นมาก๊ะ" แปลว่า "เมื่อเช้าขณะเก็บผ้าของฉัน มันก็เหนื่อยขึ้นมา" 

                    "หมอเมื่อไรจะให้ปิ๊กบ้านได้" แปลว่า "หมอเมื่อไรจะให้กลับบ้านได้"

                    "ขอโทษนะ ยาย" ควรใช้คำว่า "สูมาเต้อนะ อุ้ย"

                    คงพอหอมปากหอมคอกับภาษาเมืองไปไม่มากก็น้อยนะครับ สรุปว่าการมาเชียงใหม่ครั้งนี้ของนิสิตแพทย์แบงค์ นิสิตแพทย์แบงค์ก็ได้รับประสบการณ์ ความรู้มากมายกลับไป ไม่ว่าจะเป็น ความรู้ในการดูแลคนไข้ การวินืจฉัยโรค หัตถการณ์ต่างๆ ภาษาเมือง รวมถึง ของฝาก

                     ขากลับนิสิตแพทย์แบงค์และเพื่อนๆได้แวะตลาดชื่อดังของนครเชียงใหม่เพื่อซื้อของฝากญาติมิตรที่กรุงเทพ ซึ่งของที่สะดุดตานิสิตแพทย์แบงค์ที่สุดคือสตอเบอรี่ size ยักษ์ ลูกใหญ่มากสีแดงชมพูสวยงามน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง กิโลกรัมละ 200 บาทเท่านั้น ที่กรุงเทพคงหาซื้อสตอเบอรี่งามๆขนาดนี้ไม่ได้อีกแล้ว เห็นดังนั้นจึงซื้อมาสองกิโลกรัม กับไส้อั๋วและน้ำพริกหนุ่มกลิ่นหอมนุ่มจมูกอีกประมาณ 1 กิโลกรัม นิสิตแพทย์แบงค์รู้สึก Happy สุดๆ ได้ของฝากแล้ว หึ หึ

                    ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่

                    "ขอโทษนะค่ะ น้ำหนักสัมภาระคุณเกินไป 4 kg ค่ะ ต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 348 บาท (87x4)" โอ้หมดกันของถูกของตู......Sad ไปเลย.....

                   
    ที่กรุงเทพ ณ บ้านแสนรักของนิสิตแพทย์แบงค์

                   "แม่ แบงค์ซื้อสตอ....มาฝาก" นิสิตแพทย์แบงค์ชักคำพูดไว้ก่อน เมื่อเห็นคุณแม่แสนรักกำลังหยิบสตอเบอรี่ในจานเข้าปาก โอ้...ขนาดลูกมันช่างใหญ่อะไรเช่นนี้ พอๆกับที่เราซื้อมาเลย ไม่สิเผลอๆดูลูกมันจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำ สีก็แดงสดน่าทาน

                   "แม่ ซื้อสตอเบอรี่มากิโลกรัมล่ะเท่าไรเหรอครับ"

                   "อ้อ กิโลกรัมละ 190 บาท ลูกใหญ่มากเลยนะลูกหวานช่ำทั้งนั้น เห็นที่ร้านเขาว่าผลไม้ดีๆที่ไว้ส่งนอก เขาก็เก็บมารวมไว้ที่กรุงเทพนี่หล่ะ แม่รู้จักแม่ค้าเขาเลยคัดให้อย่างดีเลย เอ่อตะกี้ลูกแบงค์ว่าไงนะ?"

                   "ไม่มีอะไรแล้วครับ" โอ้ย! จะเป็นลม c(-_-)"


    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    EXTRA c(^_^) ก่อนจบตอนนี้



    ปังเย็นภูเขาไฟจากร้าน milk zone



     สวนสัตว์เชียงใหม่



    ฮิปโปตัวน้อยกำลังกินฟักทอง

    แพนด้า "ช่วง ช่วง"



    ถ่ายกับเพื่อนๆที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวช สวยมากเห็นดอกซากุระเลย



    อีกมุมหนึ่งของพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวช



    นี่คือพาหนะเดินทางหลักของพวกเรา คนที่โน้นเรียกว่ารถแดง แต่ถ้าที่กรุงเทพพี่ขอเรียกว่าสองแถวแล้วกัน

                รถแดงสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน และแหล่งชุมชนที่คนพลุ่งพล่าน ซึ่งสามารถเหมารถแดงไปตะลุยในเมืองหรือไปไหนก็ได้ตามใจอยาก ตราบเท่าที่มีเงินจ่ายนะ

    Tic ในการใช้รถแดง

                1. พยายามทำตัวให้ดูเป็นคนเหนือมากที่สุดขณะต่อราคา +  ทำหน้าตาให้มั่นใจเหมือนจะบอกคนขับว่ากุรู้ราคานะ

                2. พยายามพูดด้วยภาษาเมือง

                "ไปโรงพยาบาลนครพิงค์ค่ะ" อันนี้จะโดนหัวละ 20 - 25 บาท

                "ไปโฮงยานครพิงค์ก๊ะเจ้า"  อันนี้ใช้คำเมืองเข้าสู้จะโดนหัวละ 15 บาทเท่านั้น



    ร้าน i Berry

            เป็นร้านที่เขาว่าหากมาเชียงใหม่แล้วไม่ได้เข้าก็ถือว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่ เป็นร้านที่ตกแต่งได้แนวมาก ที่หน้าร้านมีหุ่นปั้นของเหมาเจ่อตุงและหมาหน้าคนตัวยักษ์ที่หลายๆคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตา มันคือหมาที่อยู่ในเดี่ยว 7 ของพี่โน๊ตนั้นเอง ภายในร้านก็ออกแบบได้อย่างลงตัว มีเอาไฟในห้องผ่าตัดมาตกแต่งร้านด้วย(เอามาจากไหนหว่า)

    พี่เชอรี่กับหมาหน้าคน

            ขณะที่นิสิตแพทย์แบงค์กำลังจะสั่งอาหารในร้าน ก็พบว่ามีฝูงชนในร้านกำลังหือฮา เอ๋เขากำลังรุมล้อมอะไรกันน่ะนั้น ด้วยความสงสัยจึกเดินเข้าไปก็รู้ว่าวันนี้พี่โน้ตอยู่ร้านนั้นเอง โอ้! มาครั้งนี้คุ้มเหลือเกิน ไม่ขอถ่ายรูปไม่ได้แล้ว 

            หลังจากที่ต่อคิวอยู่นานพอสมควร ก็ได้ถ่ายสักที ขณธที่ถ่ายรูปนิสิตแพทย์แบงค์ได้มีโอกาสสนทนากับพี่โน๊ตสองสามประโยค

            "พี่โน๊ตครับ เอ่อพี่มีแต่คนมารุมขอถ่ายรูปแบบนี้ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ"

            "อ้อน้อง พี่ไม่เหนื่อยหรอก รู้ไหมพี่เกิดมาเพื่อหน้าที่นี้นี่หล่ะ" พี่โน๊ตตอบ พร้อมทั้งส่งยิ้มกลุ้มกริ่มให้

            "กรี้ด!! นั้นพี่โน๊ตนี่หน่า เร็วเข้า" หลังจากถ่ายรูปกับนิสิตแพทย์แบงค์เสร็จไม่นานก็มีคนเข้ามาในร้านอีกเพียบ พี่โน๊ตถึงกับรีบวิ่งไปหลบหลังร้าน อ้าวเป็นซะงั้นไป 55 ถึงจะเกิดมาเพื่อหน้าที่นี้แต่ก็คงต้องมีพักบ้างสินะ c(^_^)


     
    ภาพสุดท้าย พี่เชอรี่ถ่ายกับพี่โน๊ตที่ร้าน I berry ^_^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×