ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พี่หมอ มศว เล่าเรื่อง (Ultimate Version)

    ลำดับตอนที่ #13 : บันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ ตอน ไหว้แล้ว...หลวงตา

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 55



    เรื่องโดย ~หมูสนาม~ นิสิตแพทย์ มศว MD20

                      เรื่องเกิด ณ กลางดึกของกลางคืน..คืนหนึ่ง.. ขณะที่พี่กำลังอยู่เวรที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน(Emergency Room)ของโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์(สำหรับน้องที่ลืมไปแล้ว.....ก็โรงพยาบาลของคณะพี่นั้นล่ะ) ขณะนั้นพี่กำลังนั่งง่วงๆ เตรียมพร้อมจะฟุบหลับลงกับโต๊ะตรวจ c(-_-)ZZzz

                       ทันใดนั้น!! ประตูห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงกรีดร้อง.....

                       
    "ช่วยด้วย!! หมอ..ช่วยด้วยสามีของป้าจะตายแล้ว อือๆๆT_T"  คุณป้าปล่อยโห่ออกมาหลังจากตะโกนร้องให้ช่วยเสร็จ

                       "คุณป้าใจเย็นๆก่อน เกิดอะไรขึ้น ตั้งสติก่อนแล้วค่อยๆพูดค่อยๆจากัน" พี่พยายามบอกให้คุณป้าตั้งสติให้ดี...ทั้งๆที่จริงๆแล้วพี่ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน (เหอๆก็แบบว่ากำลังจะหลับ จู่ๆก็มีคนพรวดพราดเข้ามาส่งเสียงดังซะขนาดนี้ - -")

                       "โส  รีบไปตามพี่เพลงมาดูเร็ว" พี่รีบบอกโส(เพื่อนพี่เอง)ให้ไปตามพี่เพลงซึ่งเป็น Intern1 แพทย์ใช้ทุนประจำห้องฉุกเฉินวันนั้นมาดู...คุณลุงสามีของคุณป้าที่เพึ่งถูกบุรุษพยาบาลเข็นเข้ามา 

                        หลังจากที่ได้เดินไปดูคุณลุงที่เตียงที่เพึ่งถูกเข็นเข้ามาก็พบว่าคุณลุงสภาพแย่มาก 
                        โดยมีอาการ
                            - พูดไม่ได้ รู้สึกเหมือนลิ้นคับปาก
                            - หนังตาตก ลืมตาไม่ขึ้น
                            - มีหายใจลำบาก ร่วมกับแขนและขาไม่มีแรง
                      
                         ข้อมูลเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยโรคหรอกครับน้องๆ การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์นั้นอยู่ที่การซักประวัติตรวจร่างกายคนไข้ประมาณ 80 % ที่เหลืออีก 20 % นั้นคือการวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ เช่น เจาะเลือดตรวจ ส่งfilm X-ray เป็นต้น ดังนั้นสำหรับคุณลุงคนนี้ขั้นตอนต่อไปที่ควรทำมากที่สุดคือ กลับไปถามข้อมูลจากคุณป้าเพิ่มเติม(ต้องไปถามอย่างเร่งด่วนนะ เนื่องจากคนไข้เริ่มแย่แล้ว!!)

                         "
    คุณป้าค่ะ ตั้งสติหน่อยค่ะช่วยเล่าอาการของคุณลุงให้ฟังหน่อยว่าจู่ๆ เป็นแบบนี้ได้อย่างไร สำคัญมากเลยนะที่คุณป้าต้องเล่าอาการของคุณลุงให้หมอฟัง" พี่เพลง แพทย์ใช้ทุนสาวสวยเน้นย้ำคุณป้าอีกครั้ง

                         "คุณหมอค่ะ.... สะ.สะ...สามีป้าโดนเจ้านี่กัดที่ขา!!" หลังพูดจบคุณป้าก็เอามือล้วงในกระเป๋า แล้วโยนถุงพลาสติกที่ข้างในมี ของบางอย่างอยู่ภายในลงมาที่พื้นห้อง 

                        "ไหน น้องแบงค์ลองไปดูหน่อยสิว่ามันคืออะไร"  พี่รีบไปเปิดถุงนั้นออกตามคำสั่งทันที แล้วถึงกับผะงักเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ภายในมันคือ                            
                                              l
                                              l
                                              l
                                              l
                                              V
                                          เจ้านี่




                  "นี่มันงูนี่หว่าาา!! แถมเป็นงูพิษซะด้วย" พี่อุทานเสียงดัง 

                  พี่เพลงรู้ดังนั้นแล้วจึงรีบไปดูคุณลุงอีกรอบ พร้อมทั้งเขียนคำสั่งรักษาให้คุณพยาบาลให้เตรียม AntiVenum มาให้พร้อม ปรากฏว่าคุณลุงหายใจลำบากกว่าเดิมมาก ค่าความอิ่มตัวของ oxygen ในเลือดที่วัดจากปลายนิ้วต่ำลงเหลือ 89% แสดงว่าคุณลุงเริ่มมีภาวะหายใจล้มเหลวแล้ว พี่เพลงจึงตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจให้คุณลุงในทันที !! ----> ผลคือคุณลุงหายใจดีขึ้น ค่าความอิ่มตัวของ oxygen ในเลือดที่วัดจากปลายนิ้วเพิ่มขึ้นมาเป็น 98 % แสดงว่าคุณลุงอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยแล้ว

                  หลังจากช่วยคุณลุงให้พ้นจากภาวะวิกฤติแล้ว พวกเราได้แก่ พี่ พี่เพลง และเพื่อนของพี่ จึงเริ่มตรวจร่างกายคุณลุงอย่างละเอียดใหม่และพบรอยเขี้ยว(Fang mark) เป็นลักษณะ รูสองรู ที่นิ้วเท้าดังรูป



                  พี่ก็เกิดความสงสัยว่า เอ๋...เจ้างูตัวร้ายตัวนี้มันเป็นงูอะไรนะ และพี่เขารู้ได้อย่างไรถึงสามารถสั่งเซรุ่มได้ถูกชนิดงู จึงรีบถามคำถามที่สงสัยนั้นกับพี่เพลง

                  "อ้อง่ายมากค่ะน้อง งูพิษแต่ละชนิดมันจะมีลักษณะที่แตกต่างกันในตัวของมัน อย่างงูที่กัดคุณลุงตัวนี้คือ งูเห่าค่ะ สังเกตได้จากลายดอกที่หลังหัวมันพบเฉพาะในงูชนิดนี้ ส่วนอีกอย่างที่ช่วยก็คือต้องดูว่าในแถบนี้เป็นถิ่นที่งูอะไรชุกอย่าง เช่น ถ้าเป็นภาคใต้งูที่พบบ่อยก็คืองูกะปะ แต่สำหรับท้องทุ่งนา จังหวัดนครนายกของเราก็ต้องเจ้างูเห่านี้ล่ะ" ฟังแล้วพี่ถึงกับกระจ่างถึงบางอ้อในทันที และรีบกลับไปหยิบเจ้างูในถุงมาดูอีกรอบก็เป็น....ตามที่พี่เขาว่าจริงๆ



                และก็ไปถามคุณป้าว่าไปโดนงูกัดที่ไหนมา (ตอนนี้คุณป้าแกดูมีสติมากขึ้นแล้ว) คุณป้าจึงได้เล่าว่าขณะเดินทางกลับบ้านโดยผ่านคันนากับคุณลุง ตอนนั้นมันช่วงหัวค่ำไฟส่องตามทางบริเวณนั้นก็ไม่เพียงพอ คุณลุงได้สะดุจบางอย่างนึกว่าเป็นขอนไม้ จึงได้เตะให้พ้นทาง ปรากฎว่าเจ้าขอนไม้ที่เตะไปก็คือเจ้างูนี่หล่ะ พอโดนกันสามีป้าแค้นมากเอาท่อนไม้(อันนี้ของจริง)ตีเจ้างูจนตายเลย

                "อ้าวแล้วหลังจากโดนงูกัดไปไหนมาเหรอครับ ทำไมไม่รีบพาคุณลุงมาโรงพยาบาล" พี่ถามด้วยความสงสัย

                "อ้อ....ป้าก็คิดจะพามานะ แต่ตาลุงสามีป้ามันบอกว่าไม่ต้อง ให้พาไปวัดแทน"

                "วัด เหรอครับ-_-" ??"

                "ใช่แล้วค่ะ ตาลุงมันบอกว่ามีหลวงตาที่วัดเก่งกาจด้านวิชาสมุนไพรรักษาโรคจึงให้พาไปหา"

                 "แล้วไปถึงหลวงตาทำอะไรบ้างครับ" พี่สงสัยมาก

                 "หลวงตาแกก็เอาสมุนไพรฟอกตรงบริเวณที่ถูกกัดให้ แล้วก็สวดมนต์ร่ายคาถา แต่หลวงตาแกสวดไปสวดมาสามีป้ามันก็ไม่มีแรงขึ้นมา มีลิ้นคับปากพูดไม่ได้ ป้าเห็นท่าจะไม่ดีแล้วเว้ยเลยจะพามาโรงพยาบาล แต่ก็มีปัญหา " 

                 "ปัญหาอะไรเหรอครับ?" พี่ถามคุณป้าด้วยความสงสัย

                 "ก็หลวงตาแกไม่ให้ไป แล้วก็บอกว่ายังสวดคาถาไม่เสร็จเลย จะให้ไปได้ยังไง ตอนนั้นป้าถึงกับลมจับ ต้องอ้อนวอนตั้งหลายทีกว่าหลวงตาแกจะยอมปล่อยป้ากับสามีมา"

                  "ไหว้.....แล้วหลวงตาปล่อยสามีป้าไปโรงพยาบาลเถอะ "นั้นแหละกว่าหลวงตาจะยอม

                จบแล้วนะครับกับเรื่อง ไหว้....แล้วหลวงตา เป็นยังไงกันบ้างครับสนุกไหมครับ เรื่องนี้พี่นำมาเขียนมีจุดมุ่งหมายอยู่ 2 ประการ

                 1. เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ยังมีชาวบ้านอีกมากที่ยังรักษาอาการเจ็บป่วยโดยอาศัยความเชื่อในท้องถิ่นนั้นๆ

                 2. พี่ต้องการแสดงให้เห็นถึงการเรียนแพทย์ในระดับชั้นคลีนิกที่เป็นไปในลักษณะ "พี่สอนน้อง" เมื่อเราอยู่ในระดับชั้นคลีนิกนั้นเราต้องขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจากการฟังอาจารย์สอนในห้องเรียน การอ่านหนังสือเอง หรืออาศัยระบบเกื้อกูลที่หมอรุ่นพี่จะถ่ายทอดความรู้ของตนให้กับรุ่นน้อง พี่คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีนะ 

    เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนจากกัน

                 พิษงูที่พบในประเทศไทยนั้นแบ่งไปเป็น 3 ชนิด คือ พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบเลือด และพิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบกล้ามเนื้อ

                 วันนี้พี่จะพูดถึงงูที่มีพิษต่อระบบประสาท(Neurotoxin) เท่านั้น โดยงูที่มีพิษดังกล่าวได้แก่                 

    - งูเห่าไทยและงูเห่าพ่นพิษ (Cobra & spitting cobra ; Naja Kaouthia & Naja siamensis )

    - งูจงอาง (King cobra ; Ophiophagus hannah)
    - งูสามเหลี่ยม (Banded krait ; Bungarus fasciatus)            
    - งูทับสมิงคลา (Malayan krait ; Bungarus candidus

                  พี่มีสูตรจำง่ายๆว่า "จงอางเห่าสามที"

                  เอาหล่ะถึงเวลาพี่ต้องไปแล้ว  Bye Bye 


               

    อ่านไหว้...แล้วหลวงตา ฉบับ REWRITE คลิ๊กที่นี่
    ประกาศ ขณะนี้ผู้เขียนกลับมาเขียนบทความอีกครั้ง โดยจะย้ายไปที่http://thedoctorstory.blogspot.com/ 
    บ้านแห่งใหม่น้องๆใครเล่นfacebookสามารถติชมผ่านid เฟสบุ๊คได้โดยตรงเลยครับ ;-D
      
    วหลวงตา ฉบับ REWRITE คลิ๊กที่นี่
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×