ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พี่หมอ มศว เล่าเรื่อง (Ultimate Version)

    ลำดับตอนที่ #2 : แพทย์ มศว เอ๋ !! เป็นยังไงบ้างนะ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.44K
      30
      9 ธ.ค. 53



    เขียนโดย PuZZle_zZ นิสิตแพทย์ มศว MD20 ปี  2547
    (เพื่อนพี่ เลิกเขียนไปแล้วครับ)


                     สวัสดีค่ะน้องๆ  พี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปเปลี่ยนใจน้องทันไหม กับมุมมองใหม่ของการเรียนแพทย์  ตัวพี่เองก็ไม่เคยยื่นคะแนนเอนท์ด้วยสิคะ เลยลืมๆไปว่า ช่วงต้นเดือนเมษา เค้ามีเทศกาลยื่นคณะกัน แต่วันนี้ว่างๆ จากการซ้อมเต้นตาม Pop Angles  ก็เลยมาเล่นเน็ต อ้าวเพิ่งรู้ว่ามีการแนะนำคณะด้วย แล้วใย แพทย์ มศว  อย่างเราจะนิ่งเสีย ไม่ได้คะ ขอเขียนด้วยคน



                     น้องอ่านๆ ไปก็ไม่ต้องสงสัยนะคะ ว่าพี่แอบอ้างมาเขียนรึปล่าว ยัยนี่ใช่นิสิตแพทย์จริงเหรอ พี่ก็ยังงงตัวเองอยู่เหมือนกัน จนวันที่ตัวเองสอบตรงคณะแพทยศาสตร์ มศว ติดนั่นแหละ วันนั้น พี่ดีใจมาก เหงื่อแตกพลั่ก กินอะไรไม่ลง พยายามตบหน้าตัวเองไป 10 ที เป็นแบบนี้อยู่ 3 วัน พอไปบอกพ่อแม่ ก็ดีใจ รู้สึกว่าจะมากกว่าพี่คูณ 10 เท่า แทบจะประกาศทั่วจังหวัด ถ้าจ้างรถสิบล้อไปแห่รอบตลาดได้ ก็ทำไปแล้ว พอไปโรงเรียน อาจารย์ เพื่อน ก็รุมล้อม เรียกหมอ  ตอนนั้นพี่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบเรียนหมอรึปล่าว แต่อยากสอบให้ได้ไว้ก่อน เพื่ออะไร พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าเท่ มั้ง  ( คิดแบบนี้ นี่ใช้ไม่ได้เลยนะเรา แย่จัง แต่เท่จริงๆ นะ )  แล้วทีนี้พี่ก็ได้ไปเข้าค่ายดูงานที่คณะจัดขึ้น พาไปดูว่าหมอ เค้าทำอะไรกันบ้าง คราวนี้ล่ะคะ พี่ก็ได้ค้นพบความจริงว่า มันโหดสุดๆ ไปมา 3 วัน พี่เหนื่อยมาก วันๆ ไม่ได้นั่งเลยคะ ืยื นกันเกือบทั้งวัน เราต้องฝึกกล้ามเนื้อขาให้ดี   แต่อาชีพนี้มันก็สุดยอดเหมือนกันในความรู้สึก  พอพี่กลับมาบ้านก็นั่งคิด ตกลงกับตัวเอง ว่าไหวมั้ย ใจนึงก็กลัว เรียนหนัก อีกใจนึงก็น่าจะเรียนได้น่า ถึกๆ อย่างเรา ยิ่งแม่บอกว่า มศว ปี 1 เค้าให้ไปเรียนที่องครักษ์ นครนายก ใกล้กับโรงเรียนนายร้อย เอาว่ะ ได้ใกล้ชิดนายร้อย เฮ้ย!! ไม่ใช่ ได้ช่วยชีวิตคน   สู้โว้ย!!!!! แล้วพี่ก็ตกลงปลงใจเป็นนิสิตแพทย์ มศว เต็มตัว



                      แพทย์ มศว  หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูเท่าไหร่ แต่ความจริงเป็นคณะที่ก่อตั้งมานาน 20 ปี แล้ว กำลังจะบรรลุนิติภาวะ ก่อนเข้ามาเรียนพี่ก็เคยน้อยเนื้อต่ำใจ เวลาบอกใครๆ ว่าสอบติดหมอที่ไหน พอบอก มศว ก็มีหลายคนที่งง ว่า อ้าว มศว มีคณะแพทย์ด้วยเหรอ มีดิ่ ก็กำลังจะไปเรียนอยู่นี่ไง แน่ะไม่เชื่อล่ะสิว่าชั้นจะเรียนหมอ ก็หน้าตาไปทางนิเทศมากกว่า แย่จัง แต่พอเข้ามาเรียนตอนนี้ก็ผ่านพ้นไป 1 ปี พี่ก็ภูมิใจกับคณะนี้มาก พี่แพทย์รุ่นที่1 ของเราก็ดังไปทั่วประเทศ ได้รับรางวัลแพทย์ดีเด่นของประเทศจากแพทยสภาในฐานะแพทย์ผู้เสียสละ ทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานในที่ทุรกันดาร พี่ไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อนะ แต่ของเขาดีจริงๆ



                       ต่อไปเราจะว่าด้วยการเรียนในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในชั้นปีที่ 1 นิสิตทุกคณะในมหาวิทยาลัยจะไปเรียนกันที่ องรักษ์ จังหวัดนครนายก ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่หรอก แต่บรรยากาศดีมากเลยนะ เราจะได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ สำหรับคณะแพทย์ พอปี 2-3 เราจะกลับมาเรียนชั้นพรีคลีนิก ที่ประสานมิตร ใจกลางเมืองกรุงเทพ และในชั้นคลีนิก ปี 4-5-6 เราก็จะกลับไปเรียนที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่องรักษ์ จังหวัดนครนายกอีกครั้ง เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่สูง 16 ชั้น สวยมาก อั้ม พัชราภาเคยมาถ่ายละครด้วยนะ พี่ปี 4-5-6 ส่วนใหญ่จะเรียนกันหัวบานอยู่ที่นั่น พี่ว่าข้อดีข้อหนึ่งของคณะแพทย์ที่นี่ คือ เหมือนเราได้เรียนอยู่ จุฬาและเชียงใหม่ ไปพร้อมๆ กัน ฟังดูไฮโซเนอะ ก็คือได้เรียนบรรยากาศธรรมชาติ บริสุทธิ์ ที่องครักษ์ และไปสัมผัสความเจริญที่ประสานมิตร ซอยสุขุมวิท 23 มีทั้งรถไฟฟ้าใต้ดินและลอยฟ้าผ่านเชียวนะ อะไรจะสบายขนาดนี้



                       สำหรับการเรียนพี่คงบอกได้อย่างละเอียดเฉพาะปี 1 ที่พี่ผ่านประสบการณ์ตรงมาแล้ว พี่ขอบอกว่าปี 1 เราก็ไม่ธรรมดาแล้วค่ะ ที่นี่เค้าจะให้นิสิตได้สัมผัสการวิชาชีพแพทย์กันตั้งแต่ปี 1 เทอมแรกเลยก็ว่าได้  นอกจาก basic sci และอังกฤษ ที่คณะแพทย์อื่นๆ เค้าเรียนกัน ที่ มศว เรายังได้เรียนภาษาไทย เพื่อฝึกการใช้ภาษาที่ถูกต้อง เอาไว้สื่อสารกับคนไข้ให้รู้เรื่อง วิชามนุษยและจริยธรรมเพื่อให้เป็นหมอที่ดี วิชานี้น่าสนใจมากค่ะ เริ่มต้นวันแรกเราก็รับคำสั่งให้เขียนเรียงความที่ว่า เกิดมาทำไม อ้าวกรรมแล้ว เราเกิดมาทำไมว่ะ เรียนวิชานี้ไปเราก็จะเริ่ม งง กับชีวิตเป็นพักๆ อ่ะ อีกวิชาหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือ วิชาหนทางสู่ความเป็นแพทย์  ฟังชื่อวิชาดูเลิศหรูมาก ก็จริงค่ะ เป็นวิชาที่เราได้เข้าใกล้ความเป็นแพทย์มากขึ้น วิชานี้อาจารย์จะให้รุ่นพี่แพทย์ที่จบแล้วมาเล่าประสบการณ์ใช้ทุนให้ฟังบ้าง ไปสัมภาษณ์คนไข้บ้าง แต่งานนึงที่พี่ยังติดใจไม่ลืม คือ อาจารย์ให้นิสิตไปหาหมอค่ะ ฟังดูง่ายๆ นะคะ แต่เราต้องไปศึกษาการตรวจคนไข้ของหมอ โดยที่ไม่ให้เขารู้ว่าเป็นนิสิตแพทย์  และต้องเสแสร้งทำเป็นไม่สบาย เป็นโรคใกล้ตายเต็มที่ (อันนี้เฉพาะพี่คนเดียวนะ) พี่ช่วงนั้น ร่างกายแข็งแรงดีมาก หน้าตาอิ่มสุข เรื่องที่จะรู้ว่าเป็นนิสิตแพทย์น่ะไม่มีทางหรอกค่ะ เพราะพี่หน้าออกไปทางคณะพละมากกว่า หน้าตาดีเลยหมดห่วงไป แต่เรื่องทำเป็นไม่สบายน่ะซี ทำไงดีล่ะช้าน ไม่เป็นค่ะ เป็นโรคเบสิคๆ ก็ได้ วันนั้นพี่ก็ไปหาหมอด้วยอาการเจ็บคอ พอหมอถามก็พยายามพูดเสียงแหบๆ เข้าไว้ ทำหน้าตาให้โทรม(อันนี้ทำยาก คนมันหน้าเด้ง) ตรวจไปตรวจมา หมอกลัวว่าจะเป็นวัณโรค จะนัดมาเอกซเรย์ปอดซะงั้น  กรรมแล้ว วันนั้นเสียค่ายา ไป 500 บาท ไม่น่าเป็นโรคเจ็บคอเลย เพื่อนพี่มันแกล้งเป็นโรคท้องเสีย เสียค่ายา ไปไม่ถึงร้อย  เฮ้อ



                        นั่นแค่วิชาในเทอมแรกเราก็เรียนรู้การเป็นหมอล่วงหน้าที่อื่นไปแล้วนะคะ พอมาเทอมสองคราวนี้ล่ะ เจอของจริง  Human Cell Biology วิชาแพทย์ตัวแรก ว่าด้วยสารชีวโมเลกุลต่างๆ กระบวนการเมตาบอลิซึมของมัน ยากมาก!!! และในวิชานี้เราได้มีการนำการเรียนการสอนแบบ SDL ( Self Direct Learning ) อ่ะ งงล่ะสิว่าคืออะไร ถ้าจะอธิบายให้เด็กมัธยมฟัง พี่ว่ามันก็คล้ายๆ กับ Child Center ที่ให้นิสิตไปค้นคว้าการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้วเอามานำเสนอ เป็นผู้สอน แต่ความรู้สึกมันจะต่างกันมาก เนื้อหามันเยอะมาก ทุกคนต้องพร้อม พอเรื่องวิชาการ บรรยากาศก็จะร้อนระอุขึ้นมาทันที เพราะทุกคนร้อนวิชากันมาก พอปี 2 ก็มี PBL ( Problem Base Learning ) แค่ฟังชื่อก็น่าสนุกแล้วเนอะ ให้กำลังใจตัวเอง เรื่องการสอบ เป็นอะไรที่ละเอียดยิบ  ตอนกลางภาค พี่เกือบตาย ทำไม่ทัน สอบเสร็จ เพื่อนก็ลากไปดูหนัง เรื่องอะไร ก็ เอ๋อเหรอ หนังซึ้งและเศร้า แต่พี่ร้องไห้ตลอดเรื่อง เศร้ามาก ดูหนังไม่ค่อยรู้เรื่อง นึกถึงแต่ข้อสอบเมื่อเช้า กลัวตก ยิ่งเพลงประกอบภาพยนตร์ก็ทำให้สะเทือนใจ ฮือ ฮือ     ขออย่ายอมแพ้  อย่าอ่อนแอแม้จะร้องไห้ ……… แต่ปาฏิหาริย์มีจริง โอ้ว สอบผ่าน ดีกว่าที่คิดเยอะเลย พอไปดูคะแนน แล้วหน้าก็บานเป็นจานยูบีซี อาจารย์ที่สอนถึงกับเดินมาจับมือแสดงความยินดี            “ หนูท็อปใช่มั้ยจ้ะ”  ถ้าท็อปจริง หนูคงช็อกไปแล้ว  



                            ชีวิตและสังคมของนิสิตที่นี่เราจะสนิทกันเกือบทั้งคณะ ก็แต่ชั้นปี มี 80 -120 คน ทำให้สนิทกันเร็ว รุ่นพี่ก็จะดูแลเอาใจใส่รุ่นน้องดี มีกิจกรรมทำร่วมกันบ่อยๆ  อาจารย์ส่วนใหญ่ใจดี สอนเข้าใจ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาอาจารย์ได้ ยกเว้นอ้อนขอเกรด พี่พยายามแล้วไม่เป็นผล 555+



                           การเรียนปี 1 เราเรียนกันที่ มศว องครักษ์ มหาวิทยาลัยกว้างใหญ่ไพศาล รอบๆ เต็มไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี หลังสอบ พี่และเพื่อนก็จะไปเล็มหญ้ากินบ่อยๆ หญ้าที่นี่กินแล้วเขาเงางามดี เอ๊ะ ยังไงเนี่ย  พาหนะที่สำคัญ คือ จักรยาน ไว้ปั่นเล่นตอนเย็นๆ หนุ่มปั่น สาวซ้อนท้าย  โรแมนติกจริงๆ     พี่ก็พยายามโบกจักรยานหลายคัน แต่ไม่มีใครให้ซ้อนซักที ไม่เป็นไร ที่ มศว มีอะไรให้ทำอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ แอโรบิค  เทนนิส ฟิตเนส บาส นานากีฬาโอลิมปิคและพาราลิมปิค  หรือบางคนชอบท่องอินเตอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลง ห้องสมุดก็มี ให้  ว่างๆ เบื่อๆ เราก็ไปเที่ยวกัน ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ดูเหมือนว่าจะไปช็อปบ่อยที่สุด ตลาดองครักษ์ก็มีอาหารอร่อยเยอะ  ดรีมเวิร์ล ก็ไปเล่นปล่อยแก่กัน น้ำตกที่นครนายกก็มีสวยๆ ให้เล่นเย็นใจ



                          เป็นปี 1 ปีเดียวมั้งที่จะเที่ยวสนุกได้แบบนี้ พอปี2 การเรียนก็หนักขึ้น ปิดเทอมนี้พี่ก็เตรียมตัวเตรียมใจ พักผ่อนเพื่อเตรียมรับงานหนักเต็มที่ ปี 2 พี่จะต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ในวิชามหกายวิภาคศาสตร์  ก็เป็นธรรมดาของคนเราที่จะต้องกลัว…….พี่ก็เลยเตรียมใจโดยการไปดู บุปผาราตรีและคนเห็นผี   เกี่ยวกันมั้ย



                          สำหรับการเรียนในปีต่อๆ ไป มันก็จะหนักขึ้น ยากขึ้นเรื่อย ๆ ปิดเทอมก็จะสั้นลง สั้นลงจนหายไปจากชีวิตการเรียนของเรา พอขึ้นปี 4 เราก็จะไม่มีเสาร์-อาทิตย์ เป็นของตัวเอง เราจะได้อยู่กับคนไข้มากขึ้น  เราเก่งแต่รักษากายก็ไม่พอหรอกนะ เราต้องรู้จักดูแลสภาพจิตใจของคนไข้ด้วย ทำให้เขาสบายใจ มีความสุขขึ้นมาบ้าง เล็กน้อย - ปานกลาง ก็ยังดี



                         น้องๆ ที่กำลังตัดสินใจอยู่ พี่ขอให้คิดให้ดีเถอะนะ เรียนแพทย์ที่ไหนก็ตาม เมื่อจบมาเราก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์เท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้นว่าจะเป็นแพทย์ที่ดีได้    รึปล่าว   ทางเดินที่น้องเลือกในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของน้องไปตลอดชีวิต  ใครที่มีใจชอบจริงก็มาเรียนเถอะ แต่ถ้าใจมันไม่รัก ก็อย่าฝืน ทำตามความต้องการของใครเลย ชีวิตเป็นของเรานะ ขอให้น้องทุกคนโชคดี พบกับสิ่งที่ตัวเองชอบ และเรียนทางนั้นได้ดีที่สุด

        

                         P.S. มีอะไรก็เมล์มาคุยกันได้นะ  พี่ชื่ออะไร บอกดีไหม เอาเป็นว่า ถ้าไม่โดนใครด่า จะเปิดเผยตัว ล่ะกัน 555+  เรียกพี่ว่า สายลมที่หวังดี แล้วกันนะ  เอ๊ะ! ทำไมชื่อหวานขนาดนี้ แหม! ทำไปได้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×