คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter: 7 the silver knight of Alanaf
Chapter: 7 the silver knight of Alanaf
สุดท้ายพวกเขาก็ต้องออกแรกแบกเด็กหนุ่มคนป่วยขึ้นหลังกลับหอเอง ด้วยเหตุผลของคุณพยาบาลที่ว่า
...มีแรงแล้ว พอตื่นปุ๊บก็เป็นปรกติเองนั่นแหละ...
ด้วยประการฉะนี้พวกเด็กหนุ่มทั้งหลายก็เลยต้องแบ่งระยะการแบกออกให้ครบจำนวนคนเนื่องจากไม่สามารถหาคนที่จะแบกได้สำเร็จและน้ำหนักตัวของคนถูกแบกก็ไม่ค่อยจะเบาเสียเท่าไหร่ สุดท้ายพอกลับมาถึงหอพวกเขาก็ต้องหมดแรงแทนคนที่ถูกแบกไปตามๆกัน...
เปลือกตาหนาของเรฟ กระพือขึ้นช้าๆเพื่อปรับแสงก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับความรู้สึกกดดันแปลกๆจากรอบข้าง และเมื่อหันไปมองรอบตัวก็รู้สาเหตุ สายตาทุกคู่รอบข้างจับจ้องมาที่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นด้วยความรู้สึกแตกต่างกันไป ทำเอาคนที่พึ่งตื่นนั่งเหวอทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่
“ทำไมมองฉันอย่างงั้นน่ะ”
“นายไม่รู้”ใครคนหนึ่งถามขึ้น เรฟส่ายหน้าผับๆ
“ไม่รู้สิ ไม่งั้นจะถามเหรอ”
“งั้นจะอธิบายให้”เด็กสาวคนเดินยืนขึ้น รูปร่างของเธอดูสวยงามอย่างไม่มีที่ติท่วงทีสง่างามราวเจ้าหญิงจากแดนไกล รูปหน้าสวยน่ารักประดับด้วยนัยน์ตาสีทองเรืองรอง เส้นผมสีเขียวมรกตนุ่มยาวจรดเอวถูกรวบมัดไว้เรียบร้อย
“ข้อหนึ่งนายได้คะแนนสูงสุดในการสอบเข้าเอรานาฟในครังนี้ด้วยคะแนน 92 คะแนน ซึ่งลบสถิติล่าสุดที่ 90 คะแนนได้อย่างขาดลอย
ข้อสอง ต่อไปนี้นายคือคณะกรรมการนักเรียนของหอเงิน ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก ทุกคนจึงเล็งเห็นนายว่าควรจะเข้มแข็งกว่านี้ไม่ใช่อ่อนปวกเปียก เข้าห้องพยาบาลตั้งแต่วันแรกอย่างนี้
ข้อสาม เมื่อกี้คณะกรรมการหอเขามาเยี่ยมเธอ แถมฝากบอกนายว่า เดี๋ยวจะเอาคืนคราวก่อน ระวังตัวให้ดีๆ...
แล้วจะยังให้บอกข้ออื่นๆอีกไหม”การพูดจาดฉะฉานตรงไปตรงมาคล้านขวานผ่าซาก ทำเอาคนรอบข้างมองหญิงสาวตรงหน้าราวของแปลก...
“อ่า ไม่ต้องก็ได้ ว่าแต่พวกเกรล่ะ”
“อยู่นี่ไง”เสียงเอ่ยขึ้นมาก่อนร่างที่อยู่เฉียงเด็กสาวผมเขียวไปไม่ถึงเมตร ทำให้อารมณ์ที่ไม่คงที่คงรอยของเด็กหนุ่มอยู่แล้วปะทุขึ้นมาอีกครั้ง สะสมกับความแค้นครั้งก่อนรวมกับการไม่ช่วยเขาครั้งนี้ จึงทำให้เส้นสติของเรฟขาดไปชั่วครู่
“อ๋อเหรอ เอ่อ เรดอนช่วยกางม่านรัตติกาลเวทย์ให้เกรหน่อยสิ รู้สึกว่าเขาอยากจะฝึกให้เก่งขึ้นนะ”ไม่ทันที่คำสั่งของเรฟจะจบ ใต้เท้าของเด็กหนุ่มตาสีเหล็กก็บังเกิดวงเวทย์สีดำสนิทและม่านรัตติกาลเวทย์เข้าคลอบคุลมทั้งร่างในทันที!
“อะ ไอ้เรฟ ใจร้าย! เอาฉันออกไปนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยง่า”เกรร้องอ้อนวอนเสียงอ่อน พร้อมหน้ากากบทโศกที่ถูกเอาขึ้นมาสวมโดยฉับพลันทันใดเมื่อเจอสถานการณ์ไม่คาดฝัน แต่เรฟกลับมองไปอย่างเย็นชา
“แน่ใจเหรอว่าไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เออ ฉันผิดก็ได้ที่ไม่ช่วยแกเมื่อกี้ แต่ที่เรน่าเขาพูดมันก็จริงนี่ จะให้ฉันช่วยนายยังไงน่ะ”
“อย่างนั้นก็ช่วยพาฉันหลบหน้าพวกดาริวหน่อยก็ได้ ฉันจะได้ไม่ต้องไปประลองบ้าบอกับหมอนั่นอีก รู้ไหมมันเหนื่อย!”ร่างสูงผลุนลุกขึ้น ทำให้คนรอบข้างหันกลับมามองที่เขาอย่างสนใจ
“นายว่าอย่างนี้ฉันก็น้อยใจแย่สิ”น้ำเสียงเสียดายของกษัตริย์แห่งไวท์ดรากอนที่ปรากฏตัวด้านหลังเขาพร้อมด้วยขนมปังในมือขวา และท่าทางการกินที่ไม่สมเป็นกษัตริย์นั้น เริ่มทำให้สติของเรฟเริ่มจะควบคุมไม่ได้อีกครั้ง เรฟหายใจเข้าอดกลั้นและนั่งลงที่เดิมช้าๆ
“ตามใจนายแล้วกัน เพราะยังไงฉันก็ไม่ใช้พลังงานสิ้นเปลืองเหมือนใครบางคนอยู่แล้วอยู่แล้วนี่”เรฟตอกกลับทั้งที่ไม่หันไปมอง ดาริวกลืนขนมปังทั้งชิ้นในครั้งเดียว ก่อนที่เสียงร้องประท้วงจะเป็นของคนที่ไม่อยากเปลืองพลังงานเมื่อคนที่ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองจับล็อกคอกดด้วยความหมั่นเขี้ยว...
กว่าสถานการณ์จะผ่านไปได้ด้วยดี ก็ตอนที่รุ่นพี่แอลเดินเข้ามาลากตัวดาริวออกไป เพราะรุ่นพี่ตัวดีหนีการประชุมออกมาอย่างกะทันหัน...
“ดีนะเนี่ยที่รุ่นพี่เขาเอาตัวไปก่อน ไม่อย่างนั้นพวกนายคงตีกันจริงๆแน่”เด็กสาวคนเดิมบ่นให้เรฟที่นั่งกอดอกอยู่โซฟาตรงข้ามกัน
“แล้วพวกนายรู้จักกันแล้วเหรอ”เรฟพึ่งสังเกตว่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวรอบๆตัวเขาต่างพูดคุยกันราวสนิทสนมกันมานานแสนนานแล้ว
“ใช่ ก็อยู่ใกล้ๆกันตอนเข้าแถว ก็เลยรู้จักกันไว้ เอ จะว่าไปบางคนพวกเราก็ยังไม่รู้นี่นะ เอางี้ แนะนำตัวรายคนเลยแล้วกันนะ”เกรพูดมัดมือชก พลางหันไปมองคนข้างตัวที่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เด็กหนุ่มรูปร่างค่อนข้างเล็กแต่แข็งแรง ใบหน้าสดใสราวเด็กแรกเกิด นัยน์ตาสีเขียวใบไม้มองเขาอย่างยินดี เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ถูกตัดถึงติ่งหู เรฟพยักหน้าเข้าใจ ตอนพวกเกรไปเยี่ยมนั้นเขาไม่มีแรงพอที่จะผงกหัวขึ้นไปดูให้ละเอียดนัก
“ฉัน ลอสวูล แอนเดอร์ ลอสวูลนะ นายนี่เก่งจังนะ ทำลายสถิติได้เนี่ยสุดยอดเลย”เขาชมเรฟ ที่ตอนนี้ยิ้มแก้มปริไปแล้ว
“เฟรซิน่า คาเบนดา เรียกเรน่าก็ได้นะ แล้วก็ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันนะ เรฟ แอนดรูและเมนาสด้วย ที่จริงจะมีอีกสามคนที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ ค่อยรู้จักกันทีหลังก็ได้”หญิงสาวผมเขียวที่ด่าเขาฉอดๆเมื่อครู่กล่าว แต่ดูจะพอเป็นพิธีเสียมากกว่ามาจากความจริงใจ
“แพนนา อิคาเรค ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอ่อแล้วนั่น เมนาส เกรริเวีย เขาไม่ค่อยพูดน่ะ”เด็กสาวที่สอบมากับเขาแนะนำตัว ก่อนจะช่วยแนะนำให้เมนาสที่ดูท่าคงไม่อยากพูดนักในตอนนี้ และคงจะตลอดไป เรฟหันไปมองแอนดรูที่ยิ้มให้เขาอยู่ก่อนแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันแอนดรู”
“ริเซีย อินฟีเรีย เดลลานอย”เด็กสาวรูปร่างผอมบางแข็งแรงนัยน์ตาสีเทาหม่น เช่นเดียวกับเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่รวบเอาไว้เพื่อความคล่องตัวเท่านั้น ท่าทางของเธอราวกับสิ่งรอบข้างดูน่ารำคาญทั้งนั้นในสายตาเธอ...
“ปิแอร์ สกุล คาโดส ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ จำฉันได้ไหม”เด็กหนุ่มผมม่วงกล่าวลุ้นๆ ทำเอาเรฟหัวเราะขำ
“จำได้สิ ยังไม่ถึงวัน ฉันจะลืมได้ไง อ้อ เรฟฟารอส คาเวเรีย เรียกเรฟก็ได้ ฝากตัวด้วย เพราะฉันคงจะต้องให้พวกนายช่วยอีกหลายครั้งเลยล่ะ”เรฟพูดยิ้มๆ ซึ่งพอพวกเกรได้ยินคำนี้ก็แทบร้องขึ้นมาพร้อมกัน
“อย่านะ!”
“ล้อเล่นน่า เแล้วพวกนายทำไมไม่ขึ้นห้องล่ะ”
“ก็รุ่นพี่เขายังประชุมไม่เสร็จ เพราะพี่ดาริวมาทะเลาะกับเธอเมื่อกี้น่ะสิ”ริเซียตอบน้ำเสียงไม่พอใจ
“แล้วดาริวเกี่ยวอะไรด้วย”
“รุ่นพี่ดาริว เป็นประธานหอเงินในปัจจุบัน ถูกแต่งตั้งอย่างถูกต้อง แล้วนายก็ควรเรียกรุ่นพี่เขาว่าพี่ด้วย เขาอายุมากกว่าเรานะ”เรน่ากล่าวเรียบๆ สายตาคมจ้องเขาอย่างตำหนิติเตียน แต่เรฟกลับยักไหล่สบายๆ
“ปีหนึ่ง กับปีห้า ใช่ว่าอายุจะไม่เท่ากันไม่ได้นี่”
“หมายความว่านายซ้ำชั้นรึไง”เรน่าถาม คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นมาอย่างสงสัยกับคำกล่าวของเด็กหนุ่ม
“ไม่ใช่! เอาน่า เอาเป็นว่าฉันจะเรียกพี่ดาริวให้ก็แล้วกันนะ”เรฟยิ้มตอบ ขณะเน้นกับคำว่าพี่มากเป็นพิเศษ ทั้งสองคนจ้องตากันไม่กระพริบ เพื่อนๆรอบตัวก็ไม่อยากห้ามเพราะกลัวจะลามมากขึ้นกว่าเก่า... จนกระทั่ง
“ฮ้า ในที่สุดก็จบสักที”เสียงบ่นดังลั่นจากชั้นสองเรียกความสนใจทั้งหมดให้หันไปมองที่คนพูด ที่บัดนี้บิดขี้เกียจอย่างเมามันไม่สมกับตำแหน่งอันทรงเกียติที่ถูกแต่งตั้งเลยแม้แต่น้อย...
ดาริวยกมือลงกวาดสายตาไปมองรุ่นน้องรอบๆห้องโถงด้วยสายตาวิบวับราวประเมินราคา จนกระทั่งมาหยุดที่เรฟที่บัดนี้จ้องกลับไปพร้อมยิ้มน้อยๆ ดาริวยิ้มแผล่แล้วประกาศก้อง
“เอาละๆ ในฐานะประธานหอเงิน หอต้อนรับทุกคนเข้าสู่บ้านหลังใหม่นะ ชื่อเต็มๆของหอเราคือ The silver knight of Alanaf หรืออีกชื่อหนึ่งคือหออัศวินเงิน ในโรงเรียนนี้พวกเธอไปได้ทุกที่นะ ตราบใดที่พวกเธอสามารถจะไปได้ล่ะก็...”รอยยิ้มที่ส่งมาพร้อมกับคำกล่าวที่ดูจะขย่มขวัญมากกว่าคำแนะนำธรรมดาฉุดอารมณ์รื่นรมของรุ่นน้องเลือนหายไปในทันที
ก่อนที่ประธานหอตัวดีจะทำลายขวัญกันมากกว่านี้ รุ่นพี่สาวอีกคนหนึ่งก็เดินมาจากด้านหลังพร้อมกับดึงเส้นผมทองยาวสลวยของคนขู่เสียเต็มแรง จนดาริวถึงกับโหยหวนน้ำตาเล็ด
“โอ๊ยยยยย!!!! เจ๊ไปบ้ามาจากไหนเนี่ย ผมคนนะ! ไม่ใช่ขนสัตว์”ดาริวร้องโอดโอยหันขวับไปให้หญิงสาวที่ยืนกอดอกมองการกระทำของเขานิ่งๆ สายตาทิ่มแทงที่มองมาทำเอาดาริวถึงกับเงียบกลืนน้ำลายอึกเลยทีเดียว
รูปร่างบอบบางแต่สมส่วนของรุ่นพี่สาวอยู่ในชุดนักเรียนสุภาพ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนราบเรียบแต่ไม่เย็นชา เรือนผมสีม่วงลาเวนเดอร์เข้มดัดปล่อยสยายมาถึงกลางหลัง นับว่าเป็นรุ่นพี่ที่น่ารักอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าไม่ติดตรงบรรยากาศรอบๆเจ้าหล่อนที่ดูเย็นๆชอบกล
“ถอยไปซะ ถ้าไม่ได้ทำอะไร”คำกล่าวส่งๆดังมาจากปากของหญิงสาวที่น่าจะเป็นประธานมากกว่าคนที่โดนว่า ทำเอารุ่นน้องและคณะกรรมการบางคนกลืนน้ำลายอึกเสียวๆ
“ฉันจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และฉันหวังว่าคงจะไม่มีใครยกมือขึ้นถามอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ”คำเตือนที่ส่งตรงมาให้คนขี้ลืมที่เตรียมกระดาษกับปากกาขึ้นมาในทันที เรียกรอยยิ้มของรุ่นพี่สาวขึ้นมาเล็กน้อยและจางหายลงไปในทันที
“หอพักของเรามีอยู่ทั้งหมดเก้าชั้น ชั้นที่หนึ่งที่พวกเธอยืนอยู่นี่คือห้องรวมพลหรือห้องนั่งเล่น ด้านซ้ายเป็นห้องอาหาร ขอย้ำว่าห้องอาหารจะเปิดตรงเวลาคือตอนเช้า 6 นาฬิกาถึง 7 นาฬิกา 30 นาที ตอนเที่ยงคือเวลา 12 นาฬิกาถึงบ่ายโมง และตอนเย็นคือ 18 นาฬิกาจนถึง 21 นาฬกา 30 นาที ไม่มีการยกเว้นในกรณีใดๆ ไม่ว่าจะเป็นประธานหอก็ตาม”คำพูดพาดพิงถึงดาริวที่อมลูกมะนาวไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้างขวาคือห้องสมุด จะเริ่มเปิดตั้งแต่ 6 นาฬิกาถึง 18 นาฬิกา...”
“ทีห้องสมุดยังเปิดทั้งวัน โรงอาหารทำไมต้องเปิดเป็นเวลาด้วยเล่า”คำพูดลอยๆที่ไม่ค่อยเบาเท่าไหร่มาจากหัวหน้าหอตัวที ที่บัดนี้โดนสายตาของรุ่นพี่สาวกำราบให้อีกครั้ง
“ต่อไปคือชั้นสองเป็นห้องประชุมสำหรับคณะกรรมการนักเรียน ห้องประชุมเฉพาะกิจ และห้องประลอง ห้องประลองจะเปิดตลอดเวลา ถ้าใครมีเรื่องกับใครก็ขอให้มีเรื่องให้เป็นที่เป็นทางหน่อยแล้วกัน ไม่อย่างนั้นคงได้เด้งออกจากเอรานาฟทั้งที่ยังไม่ทันได้เรียนวันแรก
ชั้นสามถึงชั้นแปดคือห้องพัก ชั้นสามเป็นของปีหนึ่ง แต่ละห้องจะอยู่กันสามคนขอให้ไปดูรายชื่อให้ดีด้วย จะติดไว้ที่บอร์ดแจ้งข่าวให้ทราบหลังจากการแนะนำสถานที่
และชั้นสุดท้าย ชั้นที่เก้าเป็นห้องพักผ่อนและสวนหย่อม ต่อจากนี้จะเป็นกฎของหอเงิน ส่วนกฎของโรงเรียนนั้นจะถูกจัดเตรียมไว้ในห้องพักต่างๆแล้ว ขอให้ศึกษากันให้ดีด้วย
1. หอพักจะปิดในเวลา 21 นาฬิกา ขอให้ทุกคนตรงเวลากันด้วย
2. ห้ามมีการต่อสู้นอกสถานที่ๆจำกัดเอาไว้
3. ห้ามในการใช้อาวุธนอกจากในชั้นเรียนโดยเด็ดขาด
4. ห้ามใช้ห้องประชุมโดยพละการโดยเด็ดขาด
กฎของหอมีเท่านี้ ขอให้จดจำไว้ด้วย ต่อจากนี้จะเป็นการปล่อยตามอัธยาศัย ใครจะออกเข้าโรงเรียนในสามวันนี้ตามสบาย แต่เมื่อวันเปิดเทอมเริ่มขึ้น การออกนอกโรงเรียนโดยพละการจะถือเป็นการฝ่าฝืนกฎรุนแรงทันที เพราะฉะนั้นขอให้จำให้ดี จะได้ไม่โดนทำโทษ ขอบคุณ”คำจบแบบหนาวๆสั่นประสาทนั่น เรียกเสียงถอนหายใจหลายเฮือกสำหรับหลายคน
“อ้อ”
“เฮือก!”
“คณะกรรมการนักเรียนทั้งใหม่และเก่า ขอให้เข้าประชุมในตอนนี้ด้วย”ประกาศสุดท้าย ก่อนที่ร่างของรุ่นพี่สาวจะลับสายตาไปจากระเบียงชั้นสอง
ภายในห้องประชุมของคณะกรรมการนักเรียนเป็นเพียงห้องใหญ่ๆ ที่มีโต๊ะประชุมอยู่ตรงกลางเท่านั้น เก้าอี้แต่ละตัวถูกจับจองโดยรุ่นพี่คนอื่นๆที่ดูเหมือนว่าจะชินเสียแล้วสำหรับตำแหน่งการนั่ง ดาริวหลิ่วตาให้เรฟขณะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ประธาน พวกเขานั่งลงตรงเก้าอี้ที่เหลือ เรฟมองไปรอบๆก็เห็นว่า รุ่นพี่หญิงคนเมื่อกี้ไปนั่งอยู่ที่ด้านขวาของดาริว ขณะที่แอลอยู่ด้านซ้าย
...รองประธานฝั่งซ้าย ฝั่งขวาสินะ แต่ว่าทำไมผู้หญิงถึงอยู่ฝ่ายบู้ได้ล่ะเนี่ย...ความฉงนบังเกิดขึ้นขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้ ในเมื่อรองประธานฝั่งซ้ายจะเกี่ยวกับกลยุทธ์และความรู้ แต่ฝ่ายขวาจะเกี่ยวกับด้านพละกำลังและการต่อสู้ แล้วจะให้ผู้หญิงบอบบางอย่างนั้นรับหน้าที่บ้ากระหน่ำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน...
ราวกับสาวน้อยผู้ถูกปรามาสจะอ่านความคิดเขาออก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหันมองหน้าเขา นานทีเดียวกว่าทั้งสองจะละสายตาออกจากกัน
“เอาล่ะ ที่จริงการประชุมครั้งนี้มันก็ไม่มีอะไรมากมายหรอกนะ เพียงจะย้ำและอธิบายเกี่ยวกับหน้าที่ของคณะกรรมการใหม่ก็เท่านั้น”ดาริวเกริ่นนำ มองไปรอบๆแล้วค่อยพูดต่อพร้อมเปลี่ยนกริยาบทให้ดูผ่อนคลายมากขึ้น
“ก่อนอื่น ก็ขอฟังรายงานเกี่ยวกับการประชุมครั้งก่อนก่อนก็แล้วกันนะ อลิเซีย เชิญเลย”
รุ่นพี่สาวเจ้าของตำแหน่งที่ไม่เข้ากับตัวเองลุกขึ้น
“เกี่ยวกับการสอบเข้าในปีนี้ดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อย มีคนที่ฝ่าด่านมาถึงด่านห้า ที่หอเราเป็นคนควบคุมทั้งหมด 29 คน ผ่านเกณฑ์ระดับต่ำ 15 คน ระดับกลาง 9 ระดับสูง 5 คน ไม่มีคนบาดเจ็บหนัก มีเพียงอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย 16 คนและฝืนร่างกายอีกคนหนึ่ง...”หญิงสาวเงียบไป ขณะที่เรฟยิ้มแหยะๆรับสายตาที่จ้องมองมาจากทุกทิศทาง
“จบคำรายงานค่ะ ขอเชิญรองประธานฝ่ายซ้ายค่ะ”
“...”
ในที่สุดการประชุมก็จบลงหลังจากนั้นอีกชั่วโมงกว่าๆ และเมื่อพวกเขาออกมา ก็พบว่านักเรียนที่เหลืออยู่ในหอมีเพียงพวกเกรและนักเรียนอีกสองสามคนเท่านั้น
“หวา กลับไปหมดเลย เราก็เลยเหงาแย่”น้ำเสียงเสียดายของดาริว เรียกเสียงหัวเราะของใครหลายคนในที่นั้น เรฟ แอนดรูและเมนาสเดินมาหาพวกเขา ขาดเพียงเรน่าที่บัดนี้พูดคุยกับอลิเซียหน้าห้องประชุมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างถูกคอ
“เป็นไง พวกนายจะออกไปเอาข้าวของไหม”เรฟถาม
“แน่นอน ไม่งั้นทั้งเทอมฉันจะเอาอะไรใส่กันล่ะ”ริเซียกล่าวเสียงขึ้นจมูกนิดๆ สาวห้าวยืนขึ้นเป็นคนที่สองหลังเมนาสที่ลุกเดินออกไปรอก่อนตั้งนานแล้ว
“แล้วนายล่ะแอนดรู เรน่าด้วย”เรฟเอ่ยถามเพราะแอนดรูและเรน่าเพิ่งนั่งลงเมื่อครู่ ไม่มีท่าทีที่จะตามพวกเขาไป เด็กหนุ่มเหสายตาขึ้นมามองคนถามงงๆ ก่อนนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้อยู่ด้วยตอนเขาพูดคุยกัน แอนดรูจึงยิ้มให้เจ้าหนุ่มผมน้ำเงินพร้อมคำตอบถนอมความอารี
“ทางบ้านจัดส่งมาให้แล้วล่ะ สงสัยทางเรน่าก็เหมือนกันใช่ไหม”คำถามเหความสนใจของคนถามไปยังคู่กรณีสอง ที่ยังนั่งมองเด็กหนุ่มผู้โยนมุขตาไม่กระพริบ
“อืม ใช่ พวกนายไปเถอะ พวกฉันจะเฝ้าหอให้”
“ช่ายๆ เราไปเหอะเรฟ คิดถึง ‘บ้าน’ จะแย่แล้ว”ไม่ทันที่ทั้งสามจะได้เอ่ยปากอะไรอีก มือปริศนาและน้ำเสียงที่เรฟไม่พึงประสงค์ก็เอ่ยขึ้นพร้อมลากเขาออกไปในทันที ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าของน้ำเสียงนี้เป็นของดาริวแน่นอน
พวกเขาเรียกเกวียนแถวๆหน้าประตูโรงเรียน ที่บัดนี้ไม่แปลกแตกต่างไปจากโรงเก็บเกวียนเช่าขนาดยักษ์ ให้ไปส่งตลาดเกรเดียนที่ตั้งของศูนย์ฝากของใหญ่และดีที่สุดในอาณาจักร โดยมีเสียงเอะอะของเด็กๆ (ตัวใหญ่) คอยคุยไปด้วย (อาจจะเป็นการประลองเวทย์ได้ถ้าไม่ติดตรงที่ไม่อยากเสียค่าซ่อมเกวียนเพิ่ม) เล่นเอาเจ้าของเกวียนรับจ้างตะบึงม้าตนให้ถึงที่หมายโดยเร็วแถมด้วยการส่งฟรีไม่เสียค่าบริการ ก่อนจะตะบึงเกวียนตนเองให้ถอยห่างจากเด็กกลุ่มนี้อย่างเร็วที่สุด ท่ามกลางสายตาของผู้โดยสารโชคดี แปลกไปจากเรฟและดาริวที่คนหนึ่งส่ายหน้ากับความงกของกษัตริย์ไวท์ดรากอนที่บัดนี้รังสีอาฆาตยังไม่หายสนิทดีเลย แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มก็ยังไม่หายไปจากใบหน้า
...จะเป็นอย่างไรเล่า ถ้าดาริวไม่ปล่อยคลื่นอย่างนั้นใส่เจ้าของเกวียน เป็นใคร ใครเขาก็วิ่งไม่คิดชีวิตอยู่แล้ว...ถ้าเขาไม่ได้อยู่ข้างๆและรู้จักกับคนๆนี้มาก่อน มีหรือที่เขาจะจับกระแสแปลกๆนั่นได้ มองพวกปิแอร์ที่หน้าหมางงไม่หายแล้วก็ถอนหายใจเฮือก
“สงสัยอยู่ในช่วงบริการพิเศษล่ะมั้ง ไปเถอะ”
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้บรรดามิตรสหายที่ยังไม่หายงงเดินตามรุ่นพี่ตัวดีเข้าไปในสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สีขาว ป้ายตัวโตบ่งบอกถึงสถานที่พวกเขากำลังเข้าไป สำนักงานรับส่งฝากภัณฑ์ เอทาเรียจำกัด จำนวนชาวบ้านที่เดินเข้าออกที่แห่งนี้จนประตูแทบพังแสดงให้เห็นถึงความนิยมในการสื่อสารแบบนี้อยู่มาก
...นิยม เพราะไม่มีทางอื่นให้ใช้ต่างหากครับ...เดรอนแก้ความเข้าใจของเจ้านายตนที่ตอนนี้เปรียบดังเด็กสามขวบที่พลัดหลงมาในป่าใหญ่ เรฟขมวดคิ้วสงสัย
...งั้นการสื่อสารก็มีเพียงทางนี้ทางเดียวเหรอ...
...ไม่เชิงหรอกค่ะ เช่นการใช้หินไลทานที่มีคุณสมบัติในการสื่อสารแค่เพียงเติมเวทย์ลงไปนิดหน่อยก็สามารถสื่อสารกับคนที่มีหินแบบเดียวกันได้แล้วค่ะ เสียแต่ว่าหินชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงและผู้ที่จะใช้ได้มีเพียงระดับนักเวทย์เท่านั้น...
...งั้นฉันก็ใช้ไม่ได้สิ...เรฟผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้ลองของใหม่
...ไม่หรอกค่ะ แค่เพียงเป็นนักเรียนของเอรานาฟก็เลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเวทย์ในทันทีค่ะ...
...อ้าว งั้นเหรอดีเลย...เรฟกล่าวอย่างยินดี แต่ก็โดนเจ้าภูติแห่งความมืดสวนขึ้นมาก่อน
...แต่ว่าท่านเรฟควรใช้วิธีนี้ดีกว่านะครับ...
วูบ...
ความรู้สึกแปลกๆก่อตัวจากด้านหลังเขาขณะที่เจ้าภูติหนุ่มยังบรรยายไม่เลิก เรฟหันไปมองอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เพียงแวบเดียว ชายคนหนึ่งมองเขาอยู่ตรงนั้น แววตาโหยหานั้นทำเอาเขาใจหายตามไปด้วย ความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้นมาและหายไปอย่างรวดเร็ว ใครกันนะ
...เดรอน...เอสเรียกชายชาวภูติที่รู้ตัวแล้วหันไปมองตามสายตาที่เจ้านายตนมอง รอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่มทันที
...หมอนั่น คงทำงานใกล้เสร็จแล้วสินะ...
หากแต่บทสนทนานี้ไม่ได้เจาะเข้าไปในห้วงความคิดของเด็กหนุ่มเจ้าของร่าง
“เห้ย! เรฟนายจะไปไหนน่ะ!”เกรตะโกนลั่น เมื่ออยู่ดีๆเด็กหนุ่มดันออกวิ่งอย่างเร่งรีบออกไป ยังไม่วายหันมาสั่งเสีย
“พวกนายไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามไป”
ทิ้งให้พวกคนที่เหลือเกาหัวงงๆกับปฏิกิริยาแปลกๆของเด็กหนุ่มร่วมชั้น มีเพียงดาริวที่มองตามเด็กหนุ่มไปยิ้มแปลกๆ
“ช่างเขาเถอะ พวกนายก็ไปเอาของสิจะยืนอยู่นี่อีกนานไหม”เมื่อหัวหน้าหอที่เคารพกล่าวเชิงไล่ เด็กๆทั้งหมดก็ยกกันไปที่จุดรับของ ดาริวก็เช่นกัน แต่เขาไม่ได้รับของตัวเองหรอก ของเจ้าที่เพิ่งวิ่งหนีไปเมื่อตะกี้ต่างหาก
มุมอับหนึ่งของอาคารกลับมีทางเดินให้ผ่านเข้าไปได้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปพร้อมสีหน้ายิ้มๆ เพราะไม่ว่ามากี่ที ที่นี่ก็ยังเวอร์เหมือนเดิมไม่มีผิด ไอ้ผ้ายาวๆระโยงระยางไปทั่วเนี่ยสวยตรงไหนเขาก็ไม่เข้าใจคนแต่งจนถึงปัจจุบันนี้
ห้องขนาดเล็กขนาดที่ว่าคนสิบคนมาอยู่รวมกันยังว่าอึดอัด มีเพียงโต๊ะเพียงโต๊ะเดียวที่เด่นอยู่กลางห้อง แถมห้องทั้งห้องยังเป็นสีขาวอีกต่างหาก ผนังด้านในจารึกข้อความภาษาประหลาดที่ไม่ใช่ภาษาของชนเผ่ามนุษย์แน่นอน
“มีธุระอะไร คนอย่างเจ้าถึงถ่อมาที่นี่ได้ล่ะ”น้ำเสียงครุ่นๆดังมาจากทางเข้า ที่บัดนี้ถูกยึดครองโดยสาวร่างบางสีหน้าเรียบเฉย
ใบหน้าหวานละมุนอยู่ภายใต้กรอบแว่นสีดำเป็นการเป็นงาน เส้นผมสีทองรวบรัดตึงไว้ด้านหลัง ชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเข้าทับด้วยเสื้อกั๊กดำกับกระโปรงยาวสีเดียวกันดูเป็นพิธีไม่เข้ากับอายุของเจ้าของร่างที่อายุน่าจะไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ
ดาริวยิ้มกริ่ม
“มารับของ”
คราวนี้เป็นคนที่ฝ่ายหญิงสาวจะงงแทน
“ของใคร”เธอถาม หลังจากเดินเลยชายหนุ่มไปจัดโต๊ะทำงานของตน
“คนที่พวกเธอรอรับจนต้องติดแหงกอยู่ตรงนี้ไงเล่า”จบคำกล่าว หญิงสาวก็หันมามองทันที
“บอกตรงๆเสียก็สิ้นเรื่อง ใบรับของ”
กระดาษแผ่นเล็กถูกส่งให้หญิงสาวที่หยิบมันมาอ่านโดยระเอียดเหลือบมองคนตรงหน้าพลาง นานมากกว่าหญิงสาวจะส่งกล่องเล็กๆเท่าถ่านสองเอให้กษัตริย์ไวท์ดรากอนที่ทำหน้างง
“เอาให้เจ้าตัว เดี๋ยวพวกนั้นก็รู้เอง”หญิงสาวตอบโดยไม่ต้องให้ถาม ดาริวยิ้มให้ก่อนเดินจากไป...
กลับมาที่เรฟ เจ้าตัววิ่งหาคนที่เห็นเมื่อครู่อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็ไร้ซึ่งร่องรอยแถมพลัดมายังถิ่นที่ไม่สมควรอีกต่างหาก
เจ้าชายแดนเทพมองภาพเบื้องหน้าหวาดๆ
...ไม่ยักกะรู้ว่าเอราเทียมีที่แบบนี้ด้วย...
...ไม่ว่าที่ไหนมันก็มีหมดล่ะครับ ตราบใดที่ที่นั่นยังมีคนจนและพวกอาชญากรอยู่...เดรอนกล่าวเสียงเรียบ
ตรอกเล็กๆอับๆสองข้างรายล้อมด้วยกำแพงอิฐสูงหลายสิบชั้น จนแสงจากด้านบนส่องมาเกือบจะไม่ถึงเบื้องล่าง ทั้งขอทาน ทั้งคนไร้บ้านนั่งนอนเกลื่อนเส้นทางสายเล็กๆ สายตาของพวกเขามองชายหนุ่มที่หลงเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกแตกต่างกันออกไป เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองยังได้ใส่เสื้อผ้าดีๆอยู่ ได้กินของดีๆอยู่ มีที่อยู่อาศัย มีสิ่งต่างๆนาๆ ไม่ต้องทุกข์ยากลำบาก
เขาเคยคิดว่าถึงเขาจะสูญสิ้นทุกอย่าง เขาก็ต้องลุกยืนได้อีกครั้ง แต่บัดนี้เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว เมื่อวันที่มนุษย์ถึงจุดตกต่ำ จะมีสักคนที่ยังคิดได้ จะมีสักคนกันที่ยังหยิ่งกับความดีของตนเอง...
“แง”เสียงร้องกระจองอแงของเด็กน้อยเรียกสติของเด็กหนุ่มให้หันไปมองเด็กน้อยสามขวบคนหนึ่งที่ดิ้นทุรนทุรายในมือของผู้เป็นแม่ ไม่ทันได้คิดอะไรร่างกายของเขาก็โผเข้าไปใกล้แล้ว
“เด็กเป็นอะไรไปครับ”เด็กหนุ่มถามสตรีเบื้องหน้าที่มองเด็กหนุ่มอึ้งๆ ก่อนจะรู้ว่าตนเองควรทำเช่นไร
“มะ ไม่รู้ อยู่ๆ กะ ก็ร้องไห้หนัก ขะ ข้า ข้าก็ไม่รู้! ฮือ”ผู้เป็นแม่ร้องไห้ฟุบกับอกลูกชาย เป็นภาพที่ทำให้ใจของเด็กหนุ่มสะเทือน
...เอส ช่วยได้ไหม เดรอนก็ได้...น้ำเสียงที่ผิดไปจากทุกครั้งพูดกับสองภูติที่รอรับคำสั่งอยู่แล้ว
แสงสีเขียวเปล่งประกายปรากฏขึ้นด้านข้างเด็กหนุ่ม ตามมาด้วยร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง ความงามระดับเทพธิดาถูกจับจ้อง เช่นเดียวกับผู้เป็นนาย เอสช้อนร่างเด็กชายมาไว้ในอ้อมกอดของตน นัยน์ตาสีใบไม้เรืองแสงจางๆจนยากสังเกตเห็น
“อาหารเป็นพิษแล้วก็โรคไข้หวัดใหญ่ค่ะ ถ้าไม่รีบรักษาจะไม่ทันกาล ท่านเรฟคะ”ภูติสาวกำลังจะขออนุญาต แต่เรฟตอบกลับมาก่อน
“ฝากด้วยนะ”ประโยคสุดท้ายที่เด็กหนุ่มทิ้งไว้ก่อนวิ่งจากไป ภูติสาวมองตามหลังร่างนั้นเศร้าๆ
...ท่านคงเศร้าใจสินะคะ ที่ไม่สามารถช่วยใครได้ แม้แต่คนที่ตนเองรักก็ตาม...เธอหันกลับมามองเด็กชายในมือ เนื้อตัวขะมุกขะมอมด้วยสภาพชีวิตอันรันทด ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคู่ แสงสีเขียวเรืองๆก็เข้าปกคลุมร่างเด็กน้อยที่กลับเงียบสงบลงอย่างประหลาด ไม่นานนักแสงนั้นก็หายไปพร้อมด้วยเด็กน้อยที่กลับมาเต้นร่าดังเดิม
“หายแล้วเหรอ”ชายหนุ่มที่วิ่งหายไปกลับมาอีกครั้งพร้อมอาหารเต็มมือ รอยยิ้มสบายๆส่งให้ภูติสาวที่หายเข้าไปในร่างเจ้านาย
“เอานี่ กินซะนะจะได้หายไวๆ ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานเธอกับแม่เดี๋ยวก็สบายแล้ว”
เด็กหนุ่มลูบหัวยุ่งๆของเด็กชายยิ้มจะแทบเห็นเหงือก ขณะที่น้ำตาของผู้เป็นแม่จะไหลรินลงมาด้วยความปลื้มใจ
“ท่าน...”เธอกล่าว ก่อนที่จะเรฟเป็นฝ่ายสะดุ้งเสียเองเพราะหญิงไร้บ้านคุกเข่าก้มลงหน้าผากจรดพื้นพร้อมร้องขอบคุณเสียงดัง
“พะ พอเถอะครับ เอ่อ ผมก็แค่ผ่านมาเท่านั้นเอง ขอร้องเถอะครับ”เรฟอ้อนวอนเสียงอ่อน สีหน้าลำบากใจของผู้เป็นนายกลับเรียกเสียงหัวเราะร่วนจากเดรอนและเอสที่แอบขำเล็กน้อย ก็ใบหน้าของเด็กหนุ่มมันแดงเรื่อจนน่าขันน่ะสิ
ความคิดเห็น