คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter: 5 ด่านสุดท้าย
Chapter: 5 ด่านสุดท้าย
แต่เมื่อพวกเขาเดินมาถึงสถานที่สอบด่านสาม ก็ต้องหยุดกึกด้วยความงงงวย
“แล้วนี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย”เกรที่มาถึงก่อนเอ่ยขึ้น
สถานที่ที่ไม่น่าจะมีในเมืองกลับอยู่ตรงหน้าพวกเขา เหวลึกที่เมื่อมองลงไปก็เห็นเพียงหินโสโครกและลำธารสายเล็กๆพาดผ่าน และไม่ต้องถามด้วยว่าพอตกลงไปแล้วจะเป็นยังไง...
“อ้าว มาถึงแล้วเหรอจ๊ะ เร็วจัง นึกว่าจะไม่เหลือรอดแล้วนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็ไม่มีใครผ่านไปด่านหน้าได้หรอก”น้ำเสียงใจดีกล่าว แต่คำพูดนี่มันไม่ช่างเป็นการตัดกำลังใจโดยแท้เลย
รุ่นพี่สาวคนหนึ่งเดินออกมาจากร่มไม้ที่ตนเองซ่อนอยู่ ใบหน้าอ่อนเยาว์รับกับเส้นผมสีทองดัดเป็นลอนติดริบบิ้นสีแดงแลดูน่ารัก เธอมาพร้อมกับรุ่นพี่อีกห้า-หกคนที่อยู่ด้านหลัง
“เอาล่ะ แค่ผ่านเหวนี่มาได้ก็ถือว่าผ่านแล้วล่ะ ห้ามมาสิ”เธอกล่าวและนั่งลง ณ ที่ตรงนั้นราวกับว่ากำลังรอพวกเขาอยู่จริงๆ และมันเป็นการรอที่นานจนถึงกับต้องนั่งรอ
“เล่นท้าซึ่งๆหน้าเลยรึเนี่ย”เด็กสาวที่มากับเขาเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก พอเห็นสายตาเย้ยหยันอย่างนั้นแล้วอยากอัดคนสักปาบ!
“ข้ามไปเหรอ สงสัยต้องใช้เวทย์สินะ”เกรกล่าวยิ้มๆ สายตามุ่งมั่นสนุกสนานปรากฏบนแววตาสีเทานั้น เด็กหนุ่มขยับมือไปด้านหน้าแล้วเริ่มร่ายเวทย์ในทันที
“ซอลเซอร์ เกรส!”
ฉับพลันดินที่อยู่รอบตัวเด็กหนุ่มก็ก่อเป็นสะพานให้เขา แต่พอถึงครึ่งทางมันก็หยุดเสียดื้อๆ
“เอ๋!”เกรร้องออกมาด้วยความฉงน เขาก็ไม่ได้หยุดเวทย์นี่ รุนพี่สาวยิ้มน้อยๆ
“ทำได้ทุกทาง แต่ก็ใช่ว่าจะข้ามมาง่ายๆเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ”
“หนอย!”
“เดี๋ยวนะ...นั่นมัน อาณาเขตเกราะเวทแห่งแสง แย่ล่ะสิ ฉันยิ่งเป็นสายวอทเทียอยู่ด้วย พวกนายล่ะ”
“สายเวรเนอร์”เมนาสกล่าวเรียบๆแต่ดูเครียดจัดอยู่ในๆ ทั้งสามหันมามองซัน ความหวังเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม คนโดนจ้องถอนหายใจเฮือก
“ไม่รู้สินะ ว่าแต่ว่าต้องใช้เวทย์สายอะไรในการเจาะอาณาเขตเกราะเวทย์แห่งแสงนั่นได้”
“ธาตุตรงข้ามกับแสง ก็รัตติกาลไงเล่า แต่คนที่มีธาตุสายนี้ถือว่าหายากพอควรล่ะนะ พอๆกับธาตุแสงนั่นแหละ”เด็กสาวตอบอย่างไม่พอใจนัก เพราะเมื่อครู่รุ่นพี่สาวได้ยิ้มเยาะมาให้พวกเขาอีกครั้ง
“อืม งั้นถ้าเกราะเวทย์นั้นระดับสูง เวทย์ที่ใช้ก็ต้องสูงกว่าใช่ไหมล่ะ”ซันยกมือด้านหนึ่งลูบคาง ขณะที่แววตาของเขาพราวระยับอย่างคนรักสนุกชอบกล
“เดรอนทำลายได้ไหม”อยู่ๆเด็กหนุ่มก็ถามภูติรัตติกาลของตนที่รอรับมุกอยู่แล้ว
...ตามประสงค์ เจ้านาย...เสียงยวนยีราวคนรักสนุกดังขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่ม ซันยิ้มรับคำตอบนั้น ก่อนที่ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เส้นสายสีดำนับพันเรียวเล็กราวสายเข็มแต่ดูส่องประกายเจิดจ้าอย่างประหลาด พุ่งเข้าเจาะอาณาเขตแห่งแสงอย่างรวดเร็วและรุนแรง!
“อะ อะไรน่ะ”คราวนี้ถึงคราวที่รุ่นพี่หอขาวจะเป็นคนตกใจบ้าง เส้นสีดำนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่เกราะแห่งแสงที่ยังไม่หายไป ทำเอาพวกเกรถึงกับหน้าเสีย
“ไม่จริงน่า เจอเวทย์แรงขนาดนั้นแต่ยังไม่สะเทือนเลย”เกรพึมพำออกมาอย่างขวัญเสีย
...
“ฮึๆ ฉันยอมแพ้พวกเธอแล้วล่ะ”จู่ๆรุ่นพี่สาวหอขาวก็พูดขึ้นอย่างนั้น สร้างความสงสัยให้พวกเขาอยู่มากโข
เปรี๊ยย!~ เสียงแตกของอะไรบางอย่างดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยกำแพงเวทย์นั้นจะเริ่มมีรอยร้าวลามไปทั่วและแตกออกเป็นละอองเวทย์ลอยไปทั่วส่องแสงระยิบระยับและจางหายไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความทึ่งของทุกคน รุ่นพี่ผู้เป็นคุมด่าน
“ฉัน เพอซิส เครนซิส ปี 4 ขอขาว เป็นรองหัวหน้าหอ แล้วเธอล่ะ”
“อืม ผม เรฟารอส คาเวเรีย ดีใจจังที่รุ่นพี่ทักผมก่อนแบบนี้น่ะนะ”เด็กชายกล่าวก่อนเงยหน้าขึ้น ตอนนั้นเองที่พวกเขาเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ดวงตาด้านซ้ายของเขาที่เคยเป็นสีน้ำเงินสวยกลับกลายเป็นสีดำของรัตติกาล!~
“หืม เนี่ยนะเหรอ ผมยืมพลังจากเดรอนน่ะครับ พอดีตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูพลังนิดหน่อย”
“เดรอน ภูติเหรอก”
“ครับ อ่าก่อนอื่นเนี่ย เกร นายจะทำสะพานไม่ใช่เหรอ!~”เด็กหนุ่มหันไปเตือนสติเพื่อนของตนที่เหมือนจะลืมสิ่งที่ควรจะทำเสียแล้ว
“อะ เอ่อ ซอลเซอร์เกรส!~”
สะพานดินเริ่มก่อตัวอีกครั้งและครั้งนี้มันก็สามารถจะเป็นสะพาดลาดไปถึงอีกฝั่งได้สำเร็จ พวกเขาเดินผ่านมาได้อย่างสบายๆ แถมได้รับการต้อนรับอย่างดีอีกต่างหาก ทั้งที่เมื่อครู่ยังไม่ถูกกันเลยแท้ๆ
“ฉัน ขอโทษด้วยนะ ที่กริยาไม่สุภาพใส่พวกเธอน่ะ แต่มันเป็นหน้าที่ขอโทษนะ”เพอร์ซิสเข้ามาขอโทษพวกเขา สีหน้าของเธอดูหม่นลงเล็กน้อย
“ไม่หรอกค่ะ พวกหนูต่างหากที่เข้าใจผิดเอง ต้องขอโทษด้วยนะคะ”เด็กสาวโค้งอย่างสุภาพ เพราะเมื่อรู่เธอทำประอับกริยาที่ไม่สมควรออกไปอยู่มาก รุ่นพี่ยิ้มส่งให้พวกเขาเมื่อเดินจากไปด่านต่อไป
“อืม ว่าแต่ชื่อเด็กคนนั้นมันคุ้นๆหูนะ ชื่อใครนะ”หนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้น
“ถ้าจำไม่ผิดนะ...”ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อจากนั้น เพอร์ซิสก็ตัดบทเสียดื้อๆ
“ช่างเถอะ ดูทางนั้นดีกว่ารู้สึกจะมาแล้วนะ”เธอพูดพร้อมกับส่งสายตาดุๆไปให้ ทำให้คนอื่นๆต้องไปโดยดี
...ท่านกลับมาอีกครั้งแล้วสินะคะ ท่านเรฟ...เด็กสาวรำพึงในใจ โดยไม่รู้เลยว่านัยน์ตาของเธอนั้นฉายแววยินดีออกมาครู่หนึ่ง แววตาที่ไม่เคยมีใครเห็นจากเธอคนนี้...
...แม่คะ คนๆนั้นใครเหรอคะ...
...ท่านคนนั้นคือผู้ที่จะช่วยเรายังไงล่ะจ๊ะ...
...มีคนทำอย่างนั้นได้ด้วยเหรอคะ...
...มีสิจ๊ะ ถ้าเป็นท่านล่ะก็ ยังไงก็สามารถทำได้จ๊ะ...
“ใช่ ไม่ว่าสิ่งได้ ท่านก็ทำได้จริงๆ ทำได้แม้กระทั่งสละตัวเองเพื่อผู้อื่น”
ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสามและเด็กหญิงอีกหนึ่งได้ถกเถียงเกี่ยวกับด่านที่สี่ เนื่องจากเดินมานานแล้วก็ยังไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
“นี่เดินมาตั้งนานแล้วนะ หรือว่าด่านสี่นี่จะเป็นด่านการอดทนกัน”เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มเสนอความคิดเห็นกับเพื่อชายอีกสามที่เอาแต่เงียบ
“ไม่หรอกน่า มันน่าจะเป็นอะไรที่ชัดเจนกว่านี้ อย่างเช่น...”เกรกล่าวยังไม่ทันจบ เมนาสก็ร้องเตือนขึ้นมาก่อน
“วงแหวนเวทย์!~”
แต่ไม่ทันเสียแล้ว ตอนนี้พวกเขาถูกพันธนาการอยู่ในวงแหวนเวทย์สีดำสนิทเสียแล้วพร้อมกับความง่วงที่เริ่มแทรกซึมเข้ามากัดกินจิตใต้สำนึกของทั้งสี่ และหมดไปในที่สุด...
“ท่านเรฟครับ ถึงเวลาประชุมแล้วนะครับ”เสียงๆหนึ่งแทรกเข้ามาในจิตใต้สำนึกของเขา มันช่างเป็นเสียงที่ดูอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกินตามความคิดของเขา น้ำเสียงที่คุ้นเคยแต่จำไม่ได้ น้ำเสียงที่อบอุ่นนั่น...
แสงบางอย่างเข้าคลอบคลุมการมองเห็นทั้งหมดของเขา แสงที่ดูสบายตาก่อนที่มันจะดับลง พร้อมกับที่ภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ไหลวนเข้ามาในสมองราวกับภาพยนตร์เรื่องยาวที่ไม่มีวันสิ้นสุด รอบด้านมีแต่ความมืดมิด มีเพียงแสงจากภาพตรงหน้าเท่านั้นที่พอจะมองเห็นได้
ภาพบุคคล สถานที่ น้ำเสียง ความรู้สึก และทุกๆครั้งที่มันเปลี่ยนภาพไปสมองเขาก็บีบรัดอัดราวมีเส้นด้ายมาพันธนาการมันไว้และไม่ต้องการให้บางอย่างเผยออกมา บางอย่างที่เขาไม่สมควรรู้ในตอนนี้... ความเจ็บปวดนี้ทำเอาเด็กหนุ่มทรุดลงพร้อมร้องไห้ในทันที ความเศร้า ความโหยหาบางอย่างหมุนวนในจิตใจและร่างกายไม่หยุดหย่อน เขาอยากหยุด อยากหยุดมันจริงๆ!
...ฮึก พอเถอะ หยุดเถอะ ขอร้อง!...
“เรฟ อย่าแกล้งน้องสิลูก”น้ำเสียงอบอุ่นเจือความขบขันดังก้องกังวานไปทั่ว รอบตัวเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยทันที ความเจ็บปวดคลายลงจนหายไปในที่สุด พื้นที่สีดำถูกกลืนกินด้วยพื้นที่สีขาวและตามมาด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี ท้องฟ้าสดใสโปร่งไร้เมฆ อากาศหอมหวานจากกลีบเกสรที่อยู่รอบทุ่งหญ้า
“ฮือ พี่เรฟแกล้วหนู”น้ำเสียงเล็กๆของเด็กเพียงไม่กี่ขวบ เรียกความสนใจของเขาให้เงยมองภาพเบื้องหน้า ภาพเบื้องหน้าเขาดูเรือนลางแตกต่างกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ดูเด่นชัด บุคคลสี่คนที่น่าจะเป็นครอบครัวๆหนึ่งนั่งเล่นอยู่กลางทุ่ง
“อ้าวๆ ยังไงเจ้าเรฟ ไปแกล้งอะไรเรฟี่เค้าอีกล่ะหะ”เสียงชายวัยกลางคนดูอบอุ่นเอ่ยขึ้น
“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ยัยนั่นตกเนินเองต่างหากง่ะ”คราวนี้เป็นเสียงเด็กชายที่แย้งขึ้น น้ำเสียงที่ทำเอาซันเบิกตาด้วยความตกใจ นั่นมันเสียงเขาตอนเล็กๆนี่ ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็
...ไม่น่า หรือว่า...ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะคิดอะไรต่อ ภาพทุกอย่างก็เลือนหายไปในทันใด พร้อมกับสติของเขาที่เลือนหายไปเช่นกัน...
ณ ที่ๆของโลกแห่งความจริง ร่างทั้งสี่ยังคงนอนอย่างปรกติสุขอยู่บนวงแหวนเวทย์สีดำเรืองแสง โดยมีเหตุการณ์วุ่นวายอยู่รอบนอกวงแหวนนั่นแทน
“บ้าน่า ทำไมมีเพียงเด็กคนนั้นที่ฉันไม่สามารถเข้าไปได้ล่ะ”เด็กสาวผู้มีเรือนผมสีดำสนิทและนัยน์ตาสีเหลืองสดตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด
ด่านที่สี่คือด่านทดสอบความเข้มแข็งภายในจิตใจ ซึ่งพวกเขาจะใช้ ‘เวทย์เซอร์จีสคอนเนียส’ ในการทดสอบ
เวทย์เซอร์จีสคอนเนียส มาจากคำสี่คำในภาษาเวทย์ เซอร์ คือโจมตี จีส คือทางจิต คอนคือค้นหา และเนียสคือเสนอ,ตีแผ่ รวมกันเป็นเวทย์ที่ใช้สำหรับเจาะเข้าไปในความทรงจำของศตรูและเข้าไปดึงส่วนที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมา ถือเป็นเวทย์ที่ร้ายแรงสำหรับคนที่มีจิตอ่อน และง่ายดายสำหรับผู้ที่มีจิตแข็งแกร่ง สามารถจะฝ่าฟันทุกอย่างไปได้ แต่สำหรับซันนั้น เวทย์นี้กลับใช้ได้เฉพาะถึงคำที่สามที่แปลว่าการค้นหาความทรงจำขึ้นมาเท่านั้น และความทรงจำนั้นกลับเป็นความทรงจำทั้งหมดไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่งเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าถึงตอนนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้แล้ว เมื่อจะเข้าไปอีกครั้งก็เหมือนจะโดนพลังบางอย่างดีดกลับเสียทุกครั้ง
“แย่ล่ะ ถ้าหยุดไม่ได้แล้วล่ะก็ เด็กคนนั้นแย่แน่ๆ”ชายอีกคนเอ่ยอย่างร้อนรน แต่ในขณะที่สถานการณ์เริ่มเลวร้าย วงแหวนเวทย์ดำนั้นก็ถูกทับซ้อนด้วยวงเวทย์สีขาวและโดนระเบิดทิ้งอย่างรวดเร็ว ฝุ่นที่เกิดจากการระเบิดฟุ้งกระจายไปทั่วเป็นม่านหมอกบดบังทัศนียภาพในการมองเห็น
“แค่กๆ ใครน่ะ”
“เกือบแล้วไหมล่ะ”น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความโล่งอกอย่างแท้จริงดังออกมาจากที่เกิดเหตุ เมื่อฝุ่นนั้นจางลง รุ่นพี่ผู้ที่ควบคุมด่านก็ก้มลงทำความเคารพแทบไม่ทัน
“ท่านผู้อำนวยการ!”ชายผู้อยู่หน้าสุดทักด้วยความตกใจ ชายหนุ่มที่ดูท่าทางอายุคงยังไม่ถึงสามสิบอยู่ในเสื้อสูทสีขาวล้วนตรงขอบขลิบลายสีเงินดูสุภาพ เส้นผมสีทองยาวสยายไปจนถึงหลังมัดรวบอย่างเรียบร้อย นัยน์ตาสีครามมองพวกเขายิ้มๆราวทักทายก่อนหันไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยสายตาเศร้าสร้อย เขาวางเด็กหนุ่มลงที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ใกล้ที่สุด
เขายกมือด้านหนึ่งขึ้นบนเหนือหัวของเด็กหนุ่มผมน้ำเงิน แสงสีขาวสว่างส่องลงมาก่อนจะค่อยๆซึมซาบเข้าไปในหัวของเขา สีหน้าเจ็บปวดเมื่อครู่ค่อยๆจางลงและกลับเป็นสีหน้าสงบนิ่งเหมือนคนหลับทั่วไปช้าๆ
“ท่านจะฟื้นความทรงจำตอนไหนก็ได้ หากแต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ท่านยังมีโอกาสใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขอยู่”เขาพูดกับเด็กหนุ่มที่ยังหลับอยู่ด้วยแววตาและน้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อยจนน่าใจหาย เขาค่อยๆลุกขึ้นหันไปมองนักเรียนผู้เป็นผู้คุมสอบในด่านนี้ยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางกระดากกระเดิกในความผิดพลาดคราวนี้
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเธอไม่ได้ทำผิดพลาด แต่เพราะดันมาเจอเด็กคนนี้เข้าก็เลยเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ยังไงก็ทดสอบต่อไปเถอะ เดี๋ยวช่วยปลุกเด็กพวกนี้ด้วยนะ ฉันอยากให้เขาโดนทดสอบถึงด่านสุดท้าย ทำได้นะ”
“ครับ/ค่ะ”
“อืม แล้วเจอกันนะ”เขากล่าวและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว และอีกไม่นานกว่านั้นนักพวกซันก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวข้างเดียวเช่นไมเกรนแต่ไม่ใช่
“โอ๊ย ปวดหัวชะมัดเลย แถมยังเจอฝันบ้าๆนั่นอีก ไม่น่าเลย”เสียงบ่นของเกรดังขึ้นมาเป็นเสียงแรกๆตามความคาดหมาย ก่อนจะรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มผมน้ำเงินที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันซึ่งตอนนี้ยังคงไม่ได้สติพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะที่คนอื่นๆฟื้นมาหมดแล้ว
“เฮ้ เรฟๆ ตื่นได้แล้ว”เกรเขย่าร่างนั้นเบาๆและเพิ่มแรงมากขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงไม่ยอมตื่นอยู่ดี
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”จู่ๆเดรอนก็ปรากฏกายออกมาด้านนอก ท่าทางของเขาในตอนนู้นิ่งสงบปนเปไปกับความวิตกกังวล ชายหนุ่มนั่งยองๆลงข้างเกรพร้อมกระซิบบางอย่างต้องการให้รู้เพียงสองคน
“หยุดเอาไว้ไม่ทันครับ ความทรงจำบางส่วนหลุดลอดออกมาแล้ว แต่คงไม่ต้องห่วง ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนั้นแต่อย่างไร คงจะเกี่ยวกับคนรอบๆตัวนั่นละครับ อย่างพวกที่อยู่ในโรงเรียนนี้บางคนก็อาจจะจำได้ บางคนก็ยังจำไม่ได้ แล้วแต่ว่าใครจะมาให้เห็นหน้าเร็วที่สุดก็เท่านั้น”
“อย่างนั้นเองเหรอ ค่อยยังชั่วฉันละนึกว่าเขาจะจำเรื่องราวตอนนั้นได้หมดแล้วซะอีก ตกใจหมด”
“นั่นสินะครับ”เดรอนกล่าวก่อนจะโบกมือผ่านใบหน้าของผู้เป็นนายและหายไปในทันที สักครู่นัยน์ตาสีน้ำเงินก็ปรือลืมขึ้นมา แรกทีนัยน์ตานั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งแวว กระพริบตาถี่ๆหลายที เรฟถึงได้สตินัยน์ตามีแววอีกครั้ง
“อ้าว เกร นายโตขึ้นเยอะเลยนี่”นั่นคือประโยคแรกที่เอ่ยพอเจอหน้าเด็กหนุ่มตระกูลชาน เกรทำหน้าบูดขึ้นมาในทันที
...นั่นแหละ ประโยคที่ฉันไม่อยากได้ยินมากที่สุด...
“ช่างฉันเถอะ พวกเราเสียเวลามานานแล้วนะ จะไปสอบต่อได้รึยัง”เด็กหนุ่มชวนพลางฉุดเรฟให้ลุกขึ้นมาจากใต้เงาไม้เสียที
“นายไม่เป็นไรนะ”เด็กสาวที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันเอ่ยถามทันที เมื่อเด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในระยะรัศมี
“อืม”เรฟเลือกที่จะตอบสั้นๆ เพราะตอนนี้เขาปวดหัวจนไม่อาจมีอารมณ์จะไปตอบคำถามใครได้ในตอนนี้ ภาพแห่งความทรงจำบางอย่างทาบทับเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็วจนแทบจะทรุดลงไปแต่ก็ยั้งตัวไว้ก่อนและพอดีกับที่คนอื่นๆไม่ได้สนใจเขาแล้ว จึงไม่มีใครเห็นอาการผิดปกตินี้
“เธอไม่เป็นไรนะ”รุ่นพี่ชายผู้คุมด่านรุดเข้ามาถามพวกเรฟอย่างหวั่นวิตกเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”เรฟตอบกลับ เดินตามรุ่นพี่ชายไปยังด่านทดสอบสุดท้าย
“บอกไว้ก่อนนะ ที่จริงพวกนายน่ะผ่านการสอบเรียบร้อยแล้วละ แต่ด่านต่อไปนี้คือด่านพิเศษซึ่งถ้าพวกนายผ่านด่านนี้ได้ พวกนายจะได้สิทธิพิเศษตอนอยู่ในเอรานาฟ ก็ดีนะถ้าได้มีสิทธิประโยชน์อย่างนั้น แต่พูดตรงๆฉันไม่นึกว่าพวกนายจะไปชนะหนึ่งในนั้นได้หรอก”
“ปี 6 หอเงินเก่งขนาดนั้นเลยหรือครับ”ในที่สุดเมนาสก็ปริปากออกมาจนได้
“จะให้พูดตรงๆอีกละ ไม่ใช่แค่ปีหกหรอก ตั้งแต่รุ่นปีหนึ่งถึงปีสุดท้ายของฟอเงินแต่ละปีล้วนได้รับสมญานามว่าปีศาจไม่ก็เทพ”
“ขนาดนั้นเลย”เกรแอบว่าลับหลังเบาๆ
“ถึงแล้ว ขอให้พวกนายโชคดีแล้วก็มีชีวิตรอดผ่านวันนี้ไปให้ได้ก็แล้วกัน”ชายหนุ่มกล่าวก่อนเดินจากไป โดยทิ้งลูกระเบิดให้ทุกคนได้แก้รหัสกันเอาเอง สักพักเสียงทะเลาะกันของใครบางคนบนยอดไม้สูงก็เรียกสายตาของทุกคนให้กลับไปมอง
“ฉันจะเอา”
“ฉันก็จะเอา”
เสียงทะเลาะกันแบบเด็กๆดังลั่น ก่อนที่รุ่นพี่กลุ่มหนึ่งจะปรากฏตัวหน้าพวกเขา โดยมีคนสองคนกำลังลับฝีปากกันอยู่ด้วยความเมามัน ขณะที่คนอื่นๆกุมขมับจำยอม
“พวกนายน่ะหยุดได้แล้ว”น้ำเสียงสั่งเฉียบขาดจากผู้ที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม นัยน์ตาสีชาดูเคร่งขรึมอยู่ใต้กรอบแว่นทรงรี เส้นผมเงินพิสุทธิ์ดูนุ่มลื่นถูกตัดถึงติ่งหูอย่างเรียบร้อย ชุดที่พวกเขาใส่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นพี่ปีหก หอเงิน...
“อึ๊ย หอเงินจริงด้วย ถ้างั้น...”เกรบ่นพึมพำอย่างหวาดเสียว เมื่อรู้ถึงความจริงที่เขาอาจจะต้องเผชิญหน้าภายในเร็วๆนี้
“หวัดดีจ้า น้องสุดที่รัก”น้ำเสียงหวานแหววแต่ดูสยองขวัญสำหรับเด็กหนุ่มดังขึ้น พร้อมกับรุ่นพี่สาวคนหนึ่งที่เดินมาด้านหน้าเกร เส้นผมสีดำยาวจรดเอวถูกรวบเอาไว้ นัยน์ตาสีเทาเช่นเดียวกับเด็กหนุ่ม ยิ่งทำให้เด็กสาวดูเหมือนเกรภาคผู้หญิงมากๆ
“ง่า สวัสดีฮะ พี่”เด็กหนุ่มตอบรับพร้อมยิ้มเห่ยๆ
โป๊ก! โอ๊ย!
“ฮือ ตีหัวผมทำไมอ่ะ”เกรร้องประท้วงมือทั้งสองข้างกุมหัว นัยน์ตาเล็ดออกมาน้อยๆด้วยความเจ็บ ทำให้เด็กสาวด่าเข้าให้อีกชุด
“ทำตัวยังกับเด็กอมมือ ตัวโตยังกับหมีควายแล้ว ยังมาร้องงอแงอีก!”ก่อนจะเกิดสงครามพี่น้องร่วมสายเลือดตีกัน ชายหนุ่มผู้หยุดสงครามปากในครั้งแรกได้กลับมาเป็นกรรมการอีกครั้งด้วยรังสีเยือกแข็ง ทำเอาคนรอบข้างรีบหาที่หลบภัยกันพายุหิมะที่อาจจะตก ถ้าสองพี่น้องนี่ยังไม่ยอมหยุดทะเลาะกันแบบเด็กๆอีก
“อึ๊ย! จ้าๆ เข้าใจแล้วล่ะ แอลล่ะก็”เด็กสาวผู้น่าจะเป็นพี่สาวของเกรถอยห่างออกไปเข้ากลุ่ม โดยมีรุ่นพี่ชายอีกคนแซว
“นายก็หยุดนิสัยสร้างพายุหิมะพร่ำเพรื่อได้แล้วน่า ฉันล่ะขี้เกียจเก็บกวาด”
ท่าทางขี้เล่นจนเป็นนิสัย รูปร่างสันทัดในชุดนักเรียน ผมสีทองตัดสั้น นัยน์ตาสีส้มดูแปลกตาร่าเริงที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่มักจะประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ
“ดี งั้นฉันจะสงเคราะห์ให้นาย ด้วยการสร้างโลงน้ำแข็งให้”คำพูดตอกคืนของเจ้าชายน้ำแข็งไม่ทำให้คนพูดสะเทือนเล็กน้อย แต่กลับหัวเราะออกมาอย่างรักสนุก
“โอ๊ย ถ้านายทำให้ฉันนะ ฉันคงจะเป็นเกียติมากเลย แต่ว่าตอนนี้เดี๋ยวทดสอบเจ้าพวกนี้ดีกว่านะ ยังไงๆฉันก็ขอนายแล้วกันนะ เรฟ”สารส่งท้าเจาะจงโจ่งแจ้ง ขณะที่คนโดนท้ายังคงยิ้มสบายๆไปให้
“รุ่นพี่คือใครเหรอครับ”
ประโยคต่อมาแทบเอารุ่นพี่หนุ่มสะดุดพื้นเรียบๆหัวคะมำ
“อย่าบอกนะว่านาย...ความจำเสื่อม”ชายหนุ่มจ้องหน้าเรฟอย่างไม่น่าเชื่อ
“อาจจะนะครับ”
“นั่นแหละนาย”ชายหนุ่มสรุปในทันที
“แต่ช่างเถอะ เรามาจับฉลากกันดีกว่าจะได้ไม่ต้องเถียงกันไง โอเคมะ”อยู่ๆรุ่นพี่คนนั้นก็สรุปเองเออเองจนว่าที่รุ่นน้องอย่างพวกเกรก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าคนพวกนี้พูดเรื่องอะไรกัน ด้วยความคันปาก เกรจึงโพล่งถามออกไปเสียอย่างนั้น
“หมายความว่ายังไงน่ะครับ”
“ก็หมายความว่าเราจะประลองกันไง”เขากล่าวพร้อมเหยียดยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจจริง
“ ไม่ต้องขยายให้มากความ เอาล่ะ พวกนายมีสี่ พวกฉันมีหก งั้นถ้าพวกฉัน ใครจับได้กระดาษเปล่าหมายความว่าไม่ได้ประลองนะ เอาล่ะงั้นเดี๋ยวฉันขอก่อนแล้วกัน”ว่าแล้วก็ล้วงมือลงไปในกล่องกระดาษใบเล็กที่ไม่รู้เตรียมมาตอนไหน
“อะ ฮ้า เหลือง เอใครจะได้น้า ต่อไปเอ้า”เขาส่งให้พี่สาวของเกรที่ตอนนี้สายตาจ้องมองมาที่เรฟด้วยสายตาวิบวับหน้ากดดัน และเมื่อผลออกมาก็เห็นได้ว่าเธอได้ฉลากสีเขียว
“ฉันขอเอาสีอะไรก็ได้ แต่ขอให้ไม่ใช่สีเขียว”เกรพูดเสียงค่อยเมื่อเห็นว่าพี่สาวของตนนั้นได้ประลองเป็นแน่แท้
ผลสรุปออกมาคือคนที่ได้ประลองมีพี่สาวของเกรคนหนึ่ง รุ่นพี่ผู้ชายอีกสองคนที่ดูคนหนึ่งท่าทางบ้าเลือดน่ากลัว อีกคนที่เอาแต่สนุกไปวันๆ และอีกคนคือพี่ผู้หญิงที่มีลักษณะเรียบร้อย ไม่น่าจะหล่นลงมาปนกลุ่มกับคนพวกนี้ได้เลยสักนิด...
“เอาล่ะถึงตาพวกนายแล้วล่ะนะ”รุ่นพี่ชายคนแรกที่จับกล่าวยิ้มๆ เขากระซิบบางอย่างข้างหูเรฟ เด็กหนุ่มที่ได้ยินก็เอาแต่ยิ้มขันๆ
...ดูท่าพวกนั้นคงอยากสู้กับท่านน่าดูเลยครับ ท่านเรฟ...เดรอนที่ดูอยู่หัวเราะขำๆ
...แหมก็นะ ดูคุ้นๆแต่จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ถ้าได้สู้ด้วยสักครั้งคงจำอะไรได้บ้างล่ะ...เรฟตอบกลับในใจ น้ำเสียงของเขาในตอนนี้คงอยากประลองเต็มแก่
เขาล้วงมือเข้าไปหยิบกระดาษในกล่องและกำมันไว้อย่างนั้นไม่แบออกมา รอให้คนอื่นลุ้นกันต่อไป เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มได้สีแดงซึ่งเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงท่าทางน่ารักนั่น เกรวาสได้สีฟ้าซึ่งคู่กับรุ่นพี่ท่าทางน่ากลัวนั่น เกรจับคู่ได้กับพี่สาวของตนที่ตอนนี้เด็กหนุ่มก็เข่าทรุดหมดอาลัยตายอยากไปเรียบร้อยแล้ว
“งั้นนายก็คู่กับฉันสินะ”รุ่นพี่ผมทองยิ้มให้เขาพร้อมเรียกทวนเข้ามาในมือ “จะได้แก้มือเมื่อคราวก่อนเสียเลย”
“ใจร้อนจริง”รุ่นพี่หญิงท่าทางเรียบร้อยเอ่ยขึ้น ส่ายหน้าเป็นเชิงปลงๆ
ความคิดเห็น