คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter: 4 เอรานาฟ
Chapter: 4 เอรานาฟ
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นโรงเรียน ขนาดพระราชวังที่เขาว่าสุดยอดแล้วยังเทียบไม่ติด ที่จริงน่าจะเปลี่ยนโรงเรียนเป็นพระราชวังเลยก็น่าจะได้
กำแพงสูงลิบลิ่วที่ไม่รู้ว่าที่นี่เคยเป็นคุกมาก่อนหรือเปล่า ก่อมาจากอิฐขาวสะอาดเหมือนใหม่ กระนั้นก็ยังมีรอยคราบน้ำฝนที่สะสมมานานถึงจะดูไม่ชัดเจนเท่าไหร่ มันดูแข็งแรงเข้มแข็งถึงแม้จะนับเวลาที่มันถูกก่อสร้างมานานนับร้อยๆปีแล้วก็ตามที ประตูทางเข้าเป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ไม่มีลวดลาย มันสูงประมาณครึ่งหนึ่งของกำแพงเลยก็ว่าได้ ยอดปราสาทขนาดมหึมาที่โผล่ออกมาให้เห็นเพียงนิดเดียวนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันหรูหราจริงๆ
‘มันโรงเรียนหรือพระราชวังกันแน่ ขนาดแค่มองจากตรงนี้ก็หรูหราแล้ว แล้วข้างในมันจะขนาดไหนนะ’
“เฮ้อ คิดเรื่องจะสอบเข้าได้ยังไงก่อนดีกว่าเหอะ”ซันรำพันกับตัวเองเบาๆ แล้วมองบรรยากาศรอบๆตัวเอง ผู้คนทั้งที่เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ทั้งผู้ใหญ่ที่น่าจะเป็นผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้น บางคนมีอายุมากกว่าเขา คาดว่าน่าจะเป็นนักเรียนของเอรานาฟ ผู้คนเหล่านี้ยืนอยู่เต็มหน้าลานขนาดใหญ่ของเอรานาฟอย่างคับคั่ง ซันสังเกตว่ามีคนหันมามองเขาเยอะมากโดยเฉพาะผู้หญิงเนี่ยจ้องตาเป็นมันจนเขาถึงกับเสียวสันหลังวาบ ขนาดเขาใส่แว่นตากับหมวกไว้อยู่นะนี่
และในขณะที่ซันกำลังมองดูผู้คนรอบๆเขาอยู่ ก็มีเสียงคนเอะอะทะเลาะกันอยู่ทางทิศตะวันออกของลาน เสียงทะเลาะดังมากจนคนที่ยืนไกลจากที่เกิดเหตุมากอย่างซันยังได้ยินชัดเจน
“นายมาสาดกาแฟใส่เสื้อคนอื่นอย่างนี้แล้วยังมีหน้ามาขอโทษอีกงั้นเหรอ”
“ก็แล้วจำให้ทำยังไง อย่างนู้นก็ไม่ อย่างนี้ก็ไม่ ฉันไม่ใช่ทาสนายนะเว้ย”
“งั้นมาสู้กันไหมล่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
จากนั้นก็มีเสียงของมีคมฟันกันจนมั่วไปหมด มีหวังฝั่งใดฝั่งหนึ่งคงซี้ก่อนสอบแหงๆ...
ฟิ้ว
เสียงวัตถุแหวกอากาศมาทางซันอย่างรวดเร็ว เขาเอี้ยวตัวหลบนิดหน่อย ทำให้วัตถุนั้นปักลงพื้นด้านหลังพอดี เด็กหนุ่มเอื้อมลงไปจับมีดนั้นขึ้นมา มองมีดในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ มันเป็นมีดขนาดเท่าฝ่ามือ ทำมาจากเหล็กกล้าชั้นดี ตรงด้ามจับมีตัวอักษรที่เขียนไว้ว่า chen (ชาน)
“เฮ้ย ขอโทษครับ พอดีมันเล็งผิด”เสียงๆหนึ่งดังมาจากข้างหลังของเขา และเมื่อเขาหันหลังมาตามเสียงก็พบกับเด็กหนุ่มทีมีอายุรุ่นเดียวกัน เด็กหนุ่มที่มีผมดำระต้นคอ ตาสีเทาหม่นดูเป็นประกายกล้า ผิวสีแทนอ่อน เขาใส่เสื้อยืดคอกลมสีน้ำตาลกาแฟกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม แต่ที่เข็มขัดของเด็กหนุ่มกลับมีช่องใส่อะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งซันคิดว่ามันอาจจะเป็นที่ใส่มีดที่ผ่านหน้าเขาไปซักครู่ก็ได้
“ไม่เป็นไรหรอก”ซันยิ้มตอบและสิ่งมีดคืนให้เจ้าของที่ตอนนี้กลับเข้าไปในวงการต่อสู้อีกครั้ง
R
สถานที่รับสมัครสอบเป็นเพียงโต๊ะยาวเพียงโต๊ะเดียวแต่จำนวนนักเรียนที่ต้องการสมัครสอบกลับมีมากมายจนเขาเริ่มจะเชื่อแล้วว่าเอรานาฟเป็นที่หมายปองของทุกคนในอาณาจักรจริงๆ
“แล้วต้องรออีกเท่าไหร่ล่ะเนี่ยกว่าจะไปถึงน่ะ”ซันถึงกับบ่นกระปอดกระแปดตลอดเวลา เนื่องจากตนต่อแถวมาประมาณชั่วโมงกว่าๆเข้าไปแล้ว ขณะที่ดาริวนั้นหายแวบไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ด้วยเหตุผลว่ามีธุระด่วนแจ้งเข้ามา ต้องรีบไป
...แล้วให้พวกข้าช่วยอะไรไหมคะท่านซัน...เอสถามน้ำเสียงเจือใจดี
“ไม่ต้องหรอก อยู่อย่างนี้นานก็ดีอ่ะนะ ไม่รีบด้วย”ซันยิ้มเรียบๆ พลางหักมือตัวเองเล่น
“นายนี่แปลกดีนะ พูดคนเดียวก็เป็นด้วย”คนที่เข้าแถวอยู่หน้าเขาเอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มๆ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีม่วงยาวถึงกลางหลังปิดตาด้านซ้าย ตาสีม่วงอ่อนดูอ่อนโยน ความสูงของเขาเกือบจะพอดีของซันเลย
“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันพูดกับภูติน่ะ”ซันเอ่ยออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่เด็กหนุ่มผมม่วงจ้องมองเขาอย่างตะลึงงัน
“ภูติเหรอ นายมีภูติเหรอ”เขาแทบจะเข้ามาเขย่าตัวของซันอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่รอบตัวพวกเขาอย่างมากมาย และคนพวกนั้นก็กำลังจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยเสียงของเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ซันทำหน้าเหวอเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนที่ได้ยินเรื่องภูติที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องธรรมดา
“มะ มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”
“ธรรมดาบ้านนายสิ คนที่มีภูติน่ะ พลังเวทย์สายนั้นๆจะสูงมากๆเลยนะ เข้าขั้นมหาเวทย์ได้เลย แล้วนายมีภูติสายไหนน่ะ ชื่ออะไรเรียกออกมาให้ดูหน่อยสิ”เด็กหนุ่มมองเขาอย่างตื่นเต้น จนกระทั่งเด็กหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“หึๆ ขอโทษนะ แต่ดูนายจะตื่นเต้นมากๆเลย”ซันพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่จนน้ำตาเล็ด ทำให้เด็กหนุ่มที่ขยั้นคะยอถามเมื่อครู่ถึงกับหยุดอึ้ง และหัวเราะออกมาเช่นกัน
“ฉันปิแอร์ ขอโทษนะที่เมื่อกี้ไปคั้นนายเกินไปหน่อย”เด็กหนุ่มพูดและยิ้มให้เขา ส่วนซันนั้นก็ยิ้มให้เช่นเดียวกัน
“ฉัน เอ่อ เรฟ ยินดีเช่นเดียวกันนะ”
“แอะ ถึงแล้วเหรอเนี่ย งั้นขอให้สอบได้นะ”ปิแอร์พูดกับเขาและแยกออกไปกรอกใบสมัครที่อีกโต๊ะหนึ่ง ซันกรอกใบสมัครที่มีสองหน้าตามที่เดรอนและเอสช่วยกันบอกในหัว และเมื่อเด็กหนุ่มส่งใบสมัครให้รุ่นพี่สาวคนที่รับสมัคร รุ่นพี่คนนั้นก็ถึงกับจ้องใบสมัครนั้นไม่กระพริบพลางจ้องมาที่ซันเหมือนตอกย้ำความจริงที่ตนเองได้เห็น
“แน่ใจนะ ว่ากรอกกถูก”รุ่นพี่สาวมองหน้าเขาอย่างคาดคั้น ส่วนซันนั้นก็ได้แต่ทำหน้าซื่อว่าตัวเองกรอกผิดตรงไหน
“ไม่นี่ครับ ทำไมเหรอครับ”ซันถามกลับคืนเนื่องจากไม่รู้จริงๆว่าผิดตรงไหน
...แล้วไอ้ภูติดารเกอร์กับเทรมเมอร์เนี่ยยิ่งไม่อยากเชื่อใหญ่ ลองทดสอบดูหน่อยแล้วกัน...
“ถ้าอย่างนั้น แล้วภูติของเธอน่ะ เรียกออกมาซิ...”รุ่นพี่สาวมองหน้าเขาพลางยิ้มยียวน
“โอลีฟ! เธอจะทำอะไรของเธอ นั่นคนธรรมดานะ!”เสียงโวยดังมาจากด้านข้างเด็กสาวทันที ส่วนรุ่นพี่คนนั้นก็ไม่ยอมเหมือนกันจึงเอาใบสมัครของซันนั้นแปะหน้าเพื่อนตนเองจนอีกคนเกือบหงาย
“งั้นดูนี่ซะ!”รุ่นพี่โอลีฟพูดใส่หน้าเพื่อน แล้วหันมาหาซันที่กำลังยิ้มแหยะส่งไปให้รุ่นพี่ที่มองเขาด้วยสายตาวับวาม
...เอาไงดีล่ะ เดรอน ไม่น่ากรอกใบสมัครอย่างนั้นเลย...ซันบ่นในใจอย่างอดเสียไม่ได้
...งั้นก็เรียกพวกดิฉันออกไปเลยสิคะ...เอสใส่ไฟ
...บ้าเหรอ จะพาลให้ท่านเรฟป็นจุดสนใจมากขึ้นน่ะสิ...เดรอนเถียง แต่ขณะที่กำลังรอผลการประชุมของสองภูติ รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งผู้มีรูปลักษณ์ดึงดูดใจก็ปรากฏกายขึ้นหลังรุ่นพี่ทั้งสองก่อนจะมะเหงกให้เสียเต็มแรง
“โอ๊ย!~ ง่าแคเรนใจร้ายง่า”รุ่นพี่คนต้นเรื่องฟ้องพลางทำหน้าเบ้พร้อมลูบหัวปอยๆ
เธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างสูงสง่า ผมสีแดงเข้มยาวจนถึงกลางหลัง ตาสีทองทอประกายเอาเรื่องกับคนที่อยู่ตรงหน้า
“พวกเธอนั่นแหละทำอะไรอยู่ มีอีกหลายคนนะที่ต้องการสมัครสอบ แล้วนี่ทำอะไรอยู่ นายน่ะไปได้แล้ว ไปทางโดมสีขาวทางนู้นนู่น”พี่แคเรนบ่นให้เพื่อนของตน และหันมาบอกซันที่รีบเดินออกไปโดยเร็วด้วยกลัวฝีปากแรงๆเหมือนเมื่อครู่อีก
...น่ากลัวเป็นบ้า...
R
โดมที่รุ่นพี่คนนั้นบอกเป็นโดมที่ช่างเหมาะกับชื่อเสียงของเอรานาฟเสียจริง สิ่งก่อสร้างรอบๆโดมนั้นดูเล็กลงในถนัดตา ทั้งใหญ่แถมดูหรูหรา แต่ทั้งที่ประตูมันออกจะกว้างแต่คนกลับยืนออกันอยู่หน้าโดมแถมทำหน้าไม่พอใจกันอีกต่างหาก ซันที่ไม่รู้เหตุผลก็เลยเดินเข้าไปในโดมก่อนโดยมีเสียงฮือฮาของคนอยู่ด้านนอก ยิ่งเข้าไปข้างในก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นี่มันหรูหราได้ที่เลยแฮะ
ที่นั่งเกือบห้าพันที่คนรายล้อมเวทีที่ยกระดับขึ้นมาเล็กน้อย แสงไฟทั้งหมดสาดส่องไปที่เวทีกลางนั่นดูเป็นจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้
“นี่ๆ ดูเขาคนนั้นสิ โดดเด่นจังเลย”
“นั่นสิ...”เสียงซุบซิบรอบๆตัว ทำให้ซันอดจะบ่นกับพวกเดรอนไม่ได้
...ทำไมไม่ตะโกนดังๆไปเลยเล่า...ซันบ่นประชดประชันในใจ
...แหมก็ท่านเรฟออกจะโดดเด่นอย่างที่ว่าจริงๆนี่คะ...เอสพูดเสียงขำจนซันอดค้อนไม่ได้
“ชิ”แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะนั่งลงในที่ๆไม่มีคนพลุ่งพล่านมากที่สุด แต่ก็กลายเป็นบริเวณที่คึกคักมากที่สุหลังจากที่เขามานั่งเพียงห้าหกนาทีเท่านั้น
“ฮู่”ซันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย พลางคิดว่าไม่น่ามานั่งนี่เลย
“นายนี่น่าสนใจจังเลยนะ”เสียงแซวดังจากด้านข้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กหนุ่มที่ปามีดใส่เขาเมื่อเช้านี่เอง
“นาย...”
“ฉัน เกรวาส ชาน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”เขาเอ่ยพร้อมยิ้มเห็นฟัน
“อืม เหมือนกันนะ เรฟารอส คาเวเรีย...”ทั้งๆที่บอกแค่ชื่อ แต่อยู่ๆเกรวาสก็ทำท่าอึ้งหนัก ตาโตเท่าไข่ห่านแถมยังไอ้ท่าอ้าปากค้างอย่างนั้นอีก
“นะ นาย”
...ชาน เอ ตระกูลชาน อ๋อ! คิดออกแล้วครับท่านซัน ตระกูลชานคือตระกูลที่ช่วยในการตามหาท่านเมื่อห้าปีที่แล้วยังไงล่ะครับ เป็นตระกูลเหล็ก...เดรอนยังว่าไม่จบก็โนแทรกจากเกรก่อน
“ก็พ่อฉันเป็นคนช่วยตามหานายเมื่อห้าปีก่อนนี่”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะใช่เรฟของพวกนายตัวจริงรึเปล่า ดูสิ อะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง”เด็กหนุ่มพูดพลางยักไหล่แบบช่างมัน โดยไม่สนสายตาอึ้งๆของเกรที่มองมาแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะหัวเราะเล็กๆออกมา
“นั่นแหละนายล่ะ”
“หือ ว่าไงนะ”ซันหันหน้ามาถาม เมื่อครู่เขาได้ยินเกรพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ได้ยินไม่ชัดนัก
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก”เด็กหนุ่มตระกูลชานพูดโป้ปด หลังจากนั้นคนทั้งโดมก็หันไปสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงกลางเวที จู่ๆกลีบกุหลาบสีแดงสดลอยลงมาจากบนเพดานมากมายไปหมด ก่อนจะปรากฏร่างของรุ่นพี่หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เธอมีผมสีทองยาวสลวยถูกปล่อยลงมายาวถึงสะโพก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ผิวขาวเนียนละเอียดถูกอวดโชว์ด้วยชุดที่เจ้าหล่อนใส่ เสื้อแขนกุดสีแดงเอวลอยรัดรูปจนเผยถึงสัดส่วน ดูน่าหวาดเสียวสำหรับหลายๆคน
“โห”
“ค่ะ ยินดีต้อนรับสู่การคัดเลือกนักเรียนใหม่ปีที่ 164 รอบที่ 2 ค่ะ”เธอประกาศเสียงดังฟังชัดก้องไปทั่วโดม
“รอบที่ 2”ซันทวนเสียงงงงวย เช่นเดียวกับใครอีกหลายต่อหลายคนในโดมที่พึมพำขึ้นมาในทันใด
“ค่าๆ รอบแรกก็คือตอนที่ทุกท่านเข้ามาในโดมนี้แหละค่ะ คนที่มีพลังเวทย์ถึงเกณฑ์จะสามารถมองเห็นประตูและเดินเข้ามาได้ แต่ใครที่พลังเวทไม่ถึงจะไม่สามารถเข้ามาในโดมได้ค่ะ จึงถือว่าการเดินเข้าโดมนี้คือการทดสอบพลังเวทย์หรือสอบด่านแรกนั่นเองค่ะ”หญิงสาวเฉลยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับใครหลายคนที่ดูจะงงกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกับตน
“ใครคิดวิธีสอบอย่างนี้เนี่ย...เชื่อเขาเลย”เกรเอ่ยพลางทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“แต่อย่าพึ่งดีใจไปค่ะ ต่อจากนี้ไปต่างหากค่ะ ถึงเป็นของจริง ต่อไปคือการฝ่าด่านทั้งห้าด่านของคณะกรรมการนักเรียนทั้งห้าสายชั้น ตั้งแต่ปีสองถึงปีหกให้ได้ค่ะ กติกาไม่เกี่ยง วิธีไม่จำกัดแต่จะต้องผ่านด่านทั้งหมดให้ได้ภายในวันนี้ ย้ำนะคะว่าวันนี้ หลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้วถือว่าผู้ที่ยังไม่ผ่านทั้งหกด่านต้องสอบตกนะคะ เอาล่ะค่ะ ขอเชิญทุกท่านตามดิฉันมานะคะ”ผู้ผ่านรอบที่หนึ่งลุกขึ้นและเดินลงไปตามรุ่นพี่สาว ออกไปหลังโดมซึ่งบัดนี้ถางป่าให้กลายเป็นถนนความกว้างเพียงสามเมตร ดูแออัดสำหรับผู้เข้าเข้าสอบถึงห้าร้อยคน
“เอาล่ะค่ะ รุ่นพี่รออยู่แล้วนะคะ ต่อจากนี้ก็ขอให้ทุกคนทำให้เต็มที่นะคะ”จากนั้นรุ่นพี่คนนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้ผู้เข้าสมัครสอบวิ่งไปตามทางถนนนั้นเพื่อเข้าด่านแรกที่มีเพียงรุ่นพี่ชายคนเดียวนั่งขัดสมาธิเท้าคางอยู่กลางถนนโด่เด่ด้วยรอยยิ้มที่ทำเอาผู้สมัครสอบถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ด่านนี้เป็นด่านของปีสอง หอฟ้า ผ่านฉันให้ได้ แค่นั้นจบ เข้าใจใช่ไหม”เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มท้าทายแปลกๆ ผู้สมัครบางส่วนวิ่งฝ่าเข้าไปในทันทีด้วยความใจร้อน เหลือเพียงบางกลุ่มที่ยังยืนหยัดอยู่ที่เดิมด้วยรู้สึกถึงว่าน่าจะมีอะไรบางอย่าง
“มันดูแปลกๆนะ”เกรพูด สายตาสีเทายามนี้ดูสุขุมยิ่งขึ้นคล้ายกับไม่ใช่เกรที่เขารู้จักตอนแรก “ทำไมพี่แกถึงหยุดนิ่งอย่างนั้น ทั้งที่บางคนจะเข้าไปฆ่าเขาได้แล้ว”
“นายก็คิดเหมือนกันเหรอ”เสียงที่ดูออกแนวสดใสดังมาจากด้านหลังสองหนุ่ม เด็กสาวรูปร่างผอมเพรียว เส้นผมสีดำเหลือบม่วงของเธอถูกมัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย สายตาสีเดียวกันมองพวกเขาราวกับเครื่องตรวจหลักฐานก่อนที่จะมีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอ
ฉับพลันเสียงร้องตกใจก็ดังมาจากกลุ่มที่ไปก่อนด้านหน้าเขา เมื่อหันไปมองก็พบแต่สีหน้าตกใจของผู้สมัครสอบบางคนที่หายไปเกือบครึ่ง และสีหน้ายิ้มแย้มของรุ่นพี่
“มันเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ดูนั่นสิ”เด็กสาวเอ่ยพร้อมชี้ไปที่รุ่นพี่ที่ยังนั่งอยู่กับพื้น “อาณาเขตเกราะเวทย์”
“เห้ย! จริงดิ!”เกรร้องขึ้นอย่างตกใจ ทำเอาซันที่ไม่รู้อะไรกับเขาสักอย่างถึงกับขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
...อาณาเขตเวทย์ คือ เวทย์ที่ใช้สำหรับกางม่านหรือข้อกำหนดอื่นๆตามที่ผู้ร่ายกำหนดไว้เพื่อป้องกันศตรูของเราหรือป้องกันตัวเองยังไงล่ะครับ ถือเป็นเวทย์ระดับกลาง ส่วนตรงหน้าท่านซันนี้คืออาณาเขตประเภทเกราะหรือการป้องกันตัวขนาดใหญ่มาก คงคลอบคลุมทั้งถนน แต่ถ้าจะให้พูดล่ะก็ ปกติอาณาเขตเกราะเวทย์จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรอกนะครับ แต่หญิงคนนี้สามารถมองได้ ถือว่าเป็นคนที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน...เดรอนอธิบาย นัยน์ตาสีม่วงมองไปยังร่างของเด็กสาวที่ยังยืนยิ้มอยู่ที่เดิม
“ใช่ นั่นน่าจะเป็นเกราะเวทย์สายเวรเนอร์ ถ้าไปสัมผัสล่ะก็ คงโดนลมนั่นพัดไปไกลเป็นวา ถ้าคิดจะผ่านไปให้ได้คงต้องใช้เวทย์สายเฟรเมอร์เป็นม่านปกคลุมร่างกาย...”ไม่ทันที่เด็กสาวจะพูดจบ เสียงฮือฮาก็เกิดขึ้นก่อนเพราะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งใช้เวทย์ไฟคลุมตัวเดินผ่านไปแล้ว
“แต่คนที่จะทำเช่นนั้นได้ คงต้องมีความอดทนสูงล่ะ ก็เฟรเมอร์มันก็ไฟดีๆนี่เอง เอาไปคลุมตัวคงร้อนจนพอง”
“ไฟใช่ไหม”เกรพูดขึ้น พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะมองไปที่เพื่อนข้างตัวที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร
“แค่นี้ ไอ้หมอนี่ไม่ยะหรี่หรอก”
“หา...”ทั้งเด็กสาวและซันร้องถามพร้อมกันอย่างสงสัย แต่เด็กหนุ่มผมดำไม่ตอบ กลับลากซันไปใกล้อาณาเขตเกราะเวรเนอร์นั้น โดยมีสายตาของทุกคนมองตามไปอย่างสงสัย
“คิดถึงไฟไว้เพื่อน”เกรกระซิบข้างหูเขา และโดยที่เด็กหนุ่มไม่รู้สึกตัว เกรก็ผลักเขาเข้าสู่เกราะนั่นแล้ว! หลายคนร้องอุทานพร้อมปิดตาขึ้นอย่างตกใจ พลางเสียวแทนเด็กหนุ่มที่โดนผลัก
“โอ๊ย! ไอ้เกรบ้า ผลักกันมาได้”เสียงร้องประท้วงของเด็กหนุ่ม ทำให้คนที่ยังหลับตาอยู่ ลืมตาโพล่งขึ้นมาเห็นความจริงเบื้องหน้า เด็กหนุ่มผมน้ำเงินครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่กับพื้นเช่นโดนคนผลักสมควรจะเป็นและที่สำคัญ ร่างของเขานั้นอยู่ระหว่างเกราะเวทย์ของรุ่นพี่คนนั้นพอดี!
รุ่นพี่ชายคนนั้นมองเขาตาค้าง พูดไม่ออก เมื่อมีคนฝ่าด่านของเขาเข้าไปได้โดยไม่ใช้เกราะเวทย์แม้แต่น้อย
...ยังรู้จักท่านเรฟน้อยไป...เอสพูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
ซันลุกขึ้นปัดกางเกงด้วยความปกติทุกอย่าง มองไปยังเพื่อนชายของตนที่ยิ้มกวนมาให้ ก่อนเกรจะกางม่านเฟรเมอร์ผ่านมาตาม
...เดี๋ยวเถอะ...
“นะ นาย”รุ่นพี่คนนั้นมองเขาตะลึงค้าง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างปลงใจ “เอ้า! ผ่านก็ผ่าน!”
สักครู่เด็กสาวก็กลั้นใจเดินตามมา และเมื่อมาถึง เธอก็แทบลมจับเนื่องจากร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทัน
“ไม่เป็นไรนะ”เกรถามเด็กสาวที่ดูหน้าซีดๆชอบกล เธอยิ้มพลางพยักหน้าตอบ สักครู่ก็เดินต่อไปกับพวกซันที่จะไปด่านสอง แต่ระหว่างทางพวกเขาพบกับผู้เข้าสอบอีกคนหนึ่งที่ยืนพิงต้นไม้ระหว่างทาง
ชายหนุ่มที่มีหน้าตาดีไม่พอสมควรแต่หล่อมาก รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีน้ำเงินอมฟ้านิดๆทอประกายเป็นเงายาวถึงไหล่ ตาสีดำมีแววเย็นชา ผิวขาวเนียนละเอียดเข้ากับสีผม เขาใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวดูสุภาพ กางเกงยีนดำกับรองเท้าผ้าใบ เขามองพวกซันด้วยสายตาเรียบเฉยแถมมองแบบไม่กระพริบตา จนเกรกับเด็กสาวอีกคนรู้สึกอึดอัด จะมีก็เพียงซันคนเดียวที่มองกลับไปอย่างสงสัยและยิ้มให้เขา
“ไปด้วยกันไหมล่ะ นายน่ะ”
“ว่าไงนะ!”เด็กสาวมาใหม่กับเกรร้องขึ้นพร้อมกัน ยังไม่รู้จักกันแต่ดันไปชวนเขาอย่างนั้น!
“แหม ยังไงก็ไปทางเดียวกัน ก็ไม่เห็นมันจะเสียตรงไหนนี่ ได้แต่ได้กับได้”ซันหันไปยิ้มให้ทั้งสอง ซึ่งพอเห็นก็ค้างและส่ายหัวออกมาในที่สุด
“นิสัยเสียเดิมๆสิน่า”เกรพึมพำเสียงแผ่วพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมน้ำเงินเหลือบฟ้าเดินเข้ามาตามคำเชิญชวนของเพื่อนหนุ่มของตน
“เมนาส เกรริเวีย”เขากล่าวน้ำสียงราบเรียบ ผิดกับอีกคนที่เอาแต่ยิ้ม
“อืม ฉันซันารอส คาเวเรียนะ งั้นเราก็ไปต่อเถอะนะ เนอะเกร”ซันพยัดเพยิดหน้ามาทางเกรที่ดูท่าจะรอรับลูกอยู่แล้ว
“ไปก็ไปสิ นายนั่นแหละชักช้า เดี๋ยวก็ได้ไปที่โหล่หรอก”เกรพูดพลางหัวเราะหึๆอารมณ์ดี
“มาแล้วๆ นั่นไงกลุ่มแรก”เสียงร้องตะโกนใสๆจากป้อมปราการใต้ดินขนาดใหญ่ที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขา ป้อมที่สูงเลยจากพื้นดินขึ้นมาประมาณสองเมตรดูไม่น่ากลัวแม้แต่น้อย ถ้าพวกเขาไม่ตระหนักถึงคำพูดที่ได้ยินต่อจากนั้น
“ดีแล้ว จะได้สนุกมือกันเสียที เก็บกดมานานแล้ว”คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายที่ดูอยากจะชกใครเสียเต็มแก่ ทิ้งให้คนที่มาถึงอย่างพวกซันถึงกับเกาหัวแกรกๆ การคุยกันมันก็ไม่ผิดหรอก แต่ก็ไม่ควรจะดังขนาดนี้โดยเฉพาะช่วงนี้คือการทดสอบผู้จะเข้าเอรานาฟแล้วด้วย
“แน่ใจนะว่ามันเป็นการสอบน่ะ”เกรบ่นพร้อมส่ายหัวเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน มิทันที่ประโยคนั้นจะจบ ก็มีรุ่นพี่หญิงคนหนึ่งปรากฏต่อหน้าพวกเขาเสื้อคลุมด้านหลังของรุ่นพี่หญิงคนนี้เป็นสีทองเลื่อมส่องประกายกับแสงอาทิตย์ทำให้แสบตาใช่ย่อย ผมสีทองดัดหญิงยาวถึงกลางหลังและนัยน์ตาสีชมพูนั้นก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียยิ่งกว่าประมาณ
“นี่คือด่านสอง ฝึกพลังกายคุมโดยหอทอง ปี 3 “เธอทำหน้าเคร่งขัดกับร่างกายที่ดูบอบบางนั่น “พวกนายต้องผ่านด่านทั้งหมดในนี้ให้ได้ เข้าใจนะ”ทั้งหมดพยักหน้ารับ รุ่นพี่คนนั้นยิ้มให้พวกเขาก่อนหายวับจากไป
“แค่เนี้ยย!”เด็กสาวร้องขึ้นมาด้วยความโมโหปนความไม่เข้าใจกับความคิดของรุ่นพี่
“แหม มันน่าสนุกออกนะ”ประโยคนั้นของซันทำเอาคนอื่นๆถึงกับมองมาอย่างหวาดๆคนที่กำลังยิ้มหึๆอย่างนึกสนุก
จากนั้นทั้งสี่ก็ยกขบวนเข้าไปในป้อมปราการที่ทั้งอับทั้งแคบ ก่อนจะกว้างขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับไฟ กำแพงอิฐดูอับชื้นไม่น่าไว้วางใจก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
“โห นี่แล้วจะมีอะไรโผล่ออกมาน้า ผีหรือว่า...”
“ธนู!”เด็กสาวร้องขึ้น พลางผลักซันที่อยู่ด้านหน้าให้ล้มลงไปกับพื้น ส่วนเกรและเมนาส นั้นกระโดดลงไปฟุบลงกับพื้นทันทีที่เด็กสาวร้องเตือน ธนูสองลูกพุ่งมาจากผนังตัดผ่านมาทั้งสองด้าน
“ใช้เวทย์ไม่ได้”เมนาสเอ่ยเสียงเครียด เมื่อกี้เขาลองใช้เวทย์น้ำแข็งแต่กลับใช้ไม่ได้เลย
“แย่ล่ะสิคราวนี้”ซันได้แต่พึมพำเสียงเบาพลางหลบลูกธนูสองลูกที่มาจากด้านบน
“เฮ้ย! เอากันถึงตายเลยเหรอเนี่ย!”เกรร้องโวยวาย ลูกศรหลายต่อหลายลูกได้ถูกส่งมาทุกทิศทุกทาง ส่วนพวกซันก็ได้แต่หลบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“โว้ย! ไม่มีทางพ้นไอ้ลูกศรบ้าพวกนี้หรือไงกันนะ”เกรบ่นอีกครั้ง เมื่อเขาเกือบโดนลูกศรสีทองลูกหนึ่งเสียบแขน
“มี! วิ่งไป เร็ว!”เด็กสาวร้องบอก เธอวิ่งไปหลบธนูไปด้วยพร้อมกัน ชายทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนจะวิ่งตามเด็กสาวออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่วายต้องสะเพร่าโดนลูกธนูเฉียดๆไปสองสามลูก ทั้งสี่วิ่งมาถึงจุดปลอดภัยและถอนหายใจโล่งอกมาพร้อมกัน
กะจะทดสอบพลังกายจริงๆสินะ...เดรอนพูดน้ำเสียงไม่พอใจนัก ...ท่านซัน ขอข้าออกไปหน่อยนะครับ... คำขอร้องทำเอาซันขมวดคิ้วขุ่น
”นายจะออกมาทำไมน่ะ”เขาพูดสนทนาออกเสียง จนคนทั้งสามหันมามองหน้าเขากันหมด
“ก็ช่วยท่านน่ะสิครับ”ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะอนุญาต ผู้เป็นภูติก็แวบออกมาเสียแล้ว ชายรูปร่างโปร่งปรากฏต่อหน้าพวกเขา ทั้งสามเกิดอาการค้างมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาของตน ส่วนผู้เป็นนายก็ได้แต่กุมขมับปวดหัวกับภูติตน
“แล้วออกมานี่ ช่วยอะไรเล่า บอกก่อนนะ ว่าฉันจะสอบด้วยตัวเอง พวกนายห้ามช่วย”ซันสั่งห้ามเสียงเข้ม
...ใช่ๆ เดรอนน่ะ เสือก!~...เอสร้องขึ้น
“หา! เมื่อกี้ด่าข้าว่ายังไงนะเอส! ออกมาเคลียเดี๋ยวนี้นะ!~”เดรอนร้องท้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นัยน์ตาสีม่วงโรจน์ด้วยความความโกรธ
“ได้เลย! เมื่อกี้ฉันบอกว่านายน่ะ เสือก!~”ร่างเด็กสาวร่างบางอ้อนแอ้นปรากฏพร้อมเสียงด่าอย่างสะใจ ผมน้ำตาลยาวของเธอยาวสลวยเกินสะโพกลงไป นัยน์ตาสีเขียวเข้มมีแววเย้ยหยัน
“โหย! ยัยภูติเทรมเมอร์เอ้ย อยู่กับป่าดีอยู่แล้วมั้ง!~”เดรอนตอกกลับ
“ย่ะ ตาภูติดารเกอร์ นายก็ยังกะดีกว่าฉันมากนี่”
“โอย พอเถอะทั้งสองคน ฉันช่วยตัวเองได้น่า”ซันตัดบทเสียเอง เพราะถ้านานกว่านี้ เขาอาจจะไม่ได้สอบจริงๆแน่ เดรอนและเอสหยุดการโต้เถียงทันควันและหันมามองเจ้านายตัวเอง
“ได้แน่นะครับ”
“แน่ใจเหรอคะ ท่านเรฟ”
“ไม่เชื่อใจฉันเหรอ”ซันพูดตรงๆสีหน้าปรับมาเป็นราบเรียบ นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้น...ถึงแม้จะครู่เดียว พวกเขาก็เห็นว่ามันเป็นสายตาอันเต็มไปด้วยอำนาจ เดรอนและเอสนิ่งเงียบและหายตัวไปโดยดี ซันถอนหายใจโล่งอกอีกครั้ง แต่พอหันไปมองพวกเกรก็เห็นว่าทั้งสามยังตกใจกับเรื่องเมื่อครู่อยู่
“ไปกันต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจหรอก”ซันพูดพลางยักไหล่สบายๆ เมนาสเดินตามไปคนแรก ตามด้วยอีกสองคนที่ยังทึ่งๆอยู่
“นั่นมันภูติใช่ไหม”
“ใช่ๆ แต่มีถึงสองตนนี่ สุดยอดไปเลยเนอะ”
“อืม แต่ฉันว่านะ คงไม่รอดหอเงินหรอก”
“นั่นสินะ”
ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านด่านสองมาได้ หลังจากเจอทั้งร่องเหวลึก เจอหอกเจอดาบเจอทวน และอีกสารพัดด่านที่ทำเอาเสียเวลาไปโข
“ต่อไปก็ด่านสามสินะ”ซันวิ่งออกมาจากอุโมงค์ของด่านสองด้วยสภาพที่ดูเหมือนจะฝ่าของมีคมมาเยอะเหมือนกัน ส่วนอีกสามคนที่ตามมานั้นก็มีสภาพไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
“จากที่ฉันดูนะ ด่านต่อไปนี่ ของรุ่นพี่ปี 4 คงจะยากน่าดูล่ะน้า”เด็กสาวเอ่ยเหนื่อยใจ พลางคิดถึงสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้
“ไปต่อกันเถอะ”เกรขัดขึ้นแล้วเดินออกไปทันที โดยไม่สนใจเด็กสาวที่ทำหน้าจะถีบเด็กหนุ่มเสียมะรอมมะร่อ
“เอาน่าๆ”ซันเดินมาสงบศึกของทั้งสองทันควัน กลัวจะแตกคอกันมากกว่านี้ เด็กสาวทำหน้าฮึดฮัดแล้วเดินตามเด็กหนุ่มคู่กัดไปโดยดี
แต่เมื่อพวกเขาเดินมาถึงสถานที่สอบด่านสาม ก็ต้องหยุดกึกด้วยความงงงวย
“แล้วนี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย”
R
ความคิดเห็น