คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter: 3 ภูติ
Chapter: 3 ภูติ
เปรี้ยย!
เสียงลั่นจากกลางอกของเด็กหนุ่ม แต่ไร้ความเจ็บปวด มีเพียงแต่ความอบอุ่นเย็นสบายอาบไปทั่วร่างกายที่ทำให้ใจของซันสงบขึ้นอย่างประหลาดเท่านั้น ไอสีหม่นไหลออกมาจากร่างเขามากมาย ก่อนที่มันจะพุ่งกลับไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว
ฉับพลันบรรยากาศก็เริ่มรวนเร จากท้องฟ้าสีฟ้าสดใสกลายเป็นตอนนี้มีแต่ก้อนเมฆฝนสีคล้ำเต็มไปหมด ทุ่งหญ้าที่สดใสมีแมลงอยู่เต็มไปหมดแต่บัดนี้กลับไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าในรัศมียี่สิบเมตรที่เด็กหนุ่มยืนเหลืออยู่เลย
แต่ทันใดวงแหวนเปล่งแสงสีทองสดสว่างกับสีเงินสว่างพิสุทธิ์ก็เกิดใต้ตัวของเด็กหนุ่ม ตอนนี้แววตาของเขาไม่มีความกลัวแม้แต่น้อยกลับมีแต่ความตื่นเต้นระริกระรี้ ความดีใจ ความสุขรวมปนเปกันเต็มไปหมด
วาบ
แสงนั้นพุ่งเข้าหาซันอย่างรวดเร็วก่อนที่แสงนั้นโอบร่างเขาไว้ รู้สึกเหมือนตัวเองคือเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีน้ำเต็มแล้วแต่กลับเบาสบาย ภาพบางอย่างก่อเกิดในใจของเขา ภาพของประตูที่โดนพันธนาการอย่างฝันครั้งก่อน โซ่ที่พันมันอยู่แตกเปรี๊ยะและแตกออกคนละทาง ปล่อยประตูให้อิสระ ซันเอื้อมมือไปเปิดประตู และเมื่อเปิดออกแสงสีขาวสว่างก็เปล่งออกมา ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด และวินาทีนั้นที่สติของเขากำลังจะเลือนไปอีกครั้ง แต่ก่อนที่มันจะหมดไปก็มีเสียงกระซิบข้างหูอย่างอ่อนโยนว่า
‘ข้าอยู่กับท่านตลอดไป จงเรียกข้า...เอสมิลิเซีย ภูติความพฤกษาแห่งท่าน’
แล้วสติของซันก็ขาดหายไป
R
จิ๊บๆๆๆ
เสียงขับขานของเหล่าวิหกต่างสีสันที่เริ่มตื่นและออกหากินในตอนเช้าตรู่ในอีกวัน ปลุกซันให้ตื่นจากนิทราขึ้นมาในท่าทางที่...เอ่อ...ผิดท่าซักนิด แขนซ้ายปล่อยลงข้างเตียง ขาซ้ายเกยอยู่บนหัวนอน ขาขวาอยู่ข้างเตียงอีกข้างหนึ่ง แขนขวาอยู่บนเตียง ส่วนหัวอยู่ปลายเตียง เปลือกตาเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปิดลงอีกครั้งด้วยแสงเข้าตา
“อืม...เช้าแล้ว”เขาพึมพำกับตัวเองอย่างนั้นก่อนจะก้าวลงเตียงทั้งๆที่ยังง่วงอยู่
...ถ้ายังง่วงอยู่ก็นอนต่อเถอะนะครับ เดี๋ยวไม่มีแรงเอา...เสียงห่วงใยของเดรอนดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่ม ซันถึงกับขมวดคิ้ว
“คุณเดรอนอยู่ไหนครับเนี่ย”
...ก็อยู่ข้างๆตัวท่านเรฟตลอดนี่ครับ ก้มลงมองที่คอสิครับ...คำแนะนำของเดรอนทำให้พบว่าตอนนี้เขาสวมสร้อยเส้นหนึ่ง ซึ่งจี้ของมันก็คืออัญมณีน้ำงามกลมเกลี้ยงคล้ายลูกแก้วขนาดครึ่งนิ้วก้อยสองชนิดสองเม็ดคืออเมทิสและมรกต
“นายเป็นอเมทิสสินะ แล้วมรกตนี่ล่ะ”
...เอสเองค่ะท่าน...อีกเสียงหนึ่งตอบกลับมาเสียงสดใส ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับเหวอ
“คุณเอสเหรอ!”
...ค่ะ ดิฉันเป็นภูติพฤกษาของท่านเรฟเองค่ะ ส่วนเดรอนนี่เป็นภูติแห่งความมืดค่ะ...เอสพูดจาได้ฉะฉานจนซันนั้นได้ยินเสียงโป๊กขึ้นขณะที่เธอกำลังบรรยาย ต่อด้วยบทโต้เถียงกันของหนุ่มสาวชาวภูติ ไม่สนใจเจ้านายของตนที่ตอนนี้รำคาญเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังสนั่นสลับไปมาอยู่ในหัว
“พอเถอะ หนวกหูน่า”ซันบ่นปนรำคาญ เรียกให้เสียงของทั้งสองเงียบลงทันใด จากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องน้ำได้โดยปรกติสุขปราศจากเสียงไซเลนอยู่ในหัวสักที แต่เมื่อเด็กหนุ่มมองกระจกที่อยู่หน้าห้องน้ำอารามความตกใจก็ปล่อยเสียจนสุดเสียง
“เฮ้ย!ทำไมผมของฉันเป็นสีนี้ได้เนี่ยมันต้องเป็นสีดำไม่ใช่เรอะ แล้วไอ้ตาสีน้ำเงินนี่มันมาจากหนายยยยย”ซันที่สติแตกไปแล้วตะโกนขึ้นอย่างตกใจ ขณะที่ตนเองแทบจะมองกระจกจนแทบทะลุผ่านเข้าไปแล้ว เพราะถึงตอนนี้โครงหน้าของเขายังเหมือนเดิม แต่ผมที่เคยเป็นสีดำเงาตอนนี้มันกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มดูดี นัยน์ตาสีดำที่คุ้นเคยตอนนี้กลายเป็นตาสีน้ำเงินราวกับห้วงทะเลอันไกลโพ้นมีประกายระริกระรี้ด้วยความตกใจยิ่งเสริมใบหน้านั่นให้ดูดียิ่งขึ้นอีกเป็นสิบเท่า ผิวสีขาวนวลเปล่งปลั่งนั่นเสริมร่างนั้นให้กลายเป็นเทพบุตรจริงๆ
นี่แหละครับร่างจริงท่าน...เดรอนแย่งตอบเอสที่ดูท่าจะยังไม่หายโกรธกัน
“เนี่ยอ่ะนะ!”ซันร้องเหวอ ไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้
...แหมร่างท่านก็ออกจะดูดีนี่คะ ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้หนาตาเหมือนปลาไหลข้างคลอง...เอสชมเจ้านายตนพร้อมกับกัดภูติแห่งรัตติกาล ที่ตอนนี้มีสายฟ้าเปรี๊ยยๆระหว่างทั้งสองเรียบร้อยแล้ว จากอารมณ์ตกใจเลยกลายเป็นอาการเบื่อหน่ายปนระอาใจเสียงทะเลาะที่ดูท่าจะเริ่มอีกครั้งแล้ว
กว่าที่เขาจะหยุดการทะเลาะกันอย่างเป็นสาระมากของทั้งเดรอนและเอส ทั้งร่างใหม่ที่ดูยังไม่ค่อยชินด้วย รวมทั้งการทะเลาะกับนายทหารที่ไล่เขาออกจากวังโดยหาว่าลักลอบเข้ามา แต่ในที่สุดเดรอนที่หมดความอดทนก็ออกมาว่านายทหารคนนั้นเสียเอง จึงทำให้กว่าจะลงมาห้องทานอาหารได้ก็ปาไปเกือบสาย
...ชิ นายทหารชั้นต่ำล่ะสิท่า ถึงไม่รู้จักนายท่านของข้าน่ะ...เสียงบ่นของเดรอนดังขึ้นมาอีกครั้งในหัวของเขา หลังจากที่ไอ้คนนี้แหละที่อยู่ๆก็ออกมาจนนายทหารคนนั้นสลบคาที่เลยทีเดียว
“นายก็เกินไป ว่าเขาซะแรงเชียว”ซันว่าแต่ก็อดยิ้มน้อยๆให้ชายหนุ่มไม่ได้
“แล้วเมื่อกี้ เธอบอกว่าพวกเธอเป็นภูติของฉันงั้นเหรอ เอส ทำไมฉันถึงได้มีภูติได้ล่ะ”ซันถามหญิงสาวอีกคนในห้วงความคิดของตน ก่อนจะได้ยินคำตอบด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย
...ก็ท่านเรฟมีพลังเวทย์มากนี่คะ ไม่สิ มหาสารมากกว่า ใช้ได้แบบทิ้งขว้างได้เลย ท่านก็เลยมีภูติได้ไงคะ ที่จริงภูติเองต่างหากค่ะที่เลือกเจ้านายและเมื่อเลือกแล้วจะภักดีกับคนๆนั้นไปจนวันตาย ดิฉันก็เหมือนกันนะคะ จะขออยู่กับท่านเรฟจนเอสคนนี้จะหาไม่เลยล่ะค่ะ...ประโยคท้ายสุดขึ้นเสียงสูงเหมือนอ้อนผู้เป็นนาย
...ไม่ต้องอ้อนเอาหน้าเลยนะ เอส แต่ข้าก็จะรับใช้ท่านไปจนวันตายเช่นเดียวกันครับ...
...แบร่! ว่าแต่คนอื่น...
“ฮะๆ พวกนายนี่ตลกชะมัด”ซันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ก็ไอ้บทจะผิดกันมันก็ผิดกันแทบตาย เวลามันจะถูกกัน มันก็ถูกกันราวกับเป็นคนเดียวกันเหมือนตอนนายทหารคนนั้นไล่เขานั่นแหละ ซึ่งตอนนี้เขาก็เดินมาถึงหน้าห้องเสวยพอดีโดยความช่วยเหลือของเดรอนที่บอกทางให้...
เมื่อเดินเข้าไป เขาก็พบห้องอาหารขนาดใหญ่มากๆ ตามผนังสีขาวถูกประดับตกแต่งไปด้วยรูปภาพสัตว์ในเทพนิยาย ที่ลายเส้นที่เขียนบนแผ่นผ้านั้นพลิ้วไหวราวมีชีวิต ข้างๆกันนั้นเป็นหน้าต่างไม้สักอย่างดีดูสวยงาม วิวที่สามารถมองเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ สีเขียวมรกตอมน้ำเงินยามกระทบแสงอาทิตย์ที่อยู่ท่ามกลางพรรณพืชมากมายของป่าในบริเวณพระราชวัง เหมาะกับการเจริญอาหาร เสาค้ำเพดานขนาดใหญ่ที่อยู่ทั้งสี่ข้าง เป็นเสาโรมันที่ทำมาจากหินปูนขาวอย่างดี พื้นหินอ่อนใสถูกปูทับด้วยพรมสีเขียวขลิบขอบสีทองดูหรูหรา โต๊ะไม้ยาวเป็นเงาขลับที่ตั้งอยู่กลางห้องนั้น ถูกปูทับด้วยผ้าเหลื่อมสีทองอ่อน เก้าอี้ไม้มีเบาะสีเดียวกันกับผ้าปูโต๊ะอาหาร พนักพิงมีผ้าสีขาวคลุมเอาไว้เพื่อความสะอาด ทุกที่นั่งมีผ้าเช็ดปาก จานและช้อนส้อมครบชุดทุกที่นั่งแต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนใช้แค่สองคนเท่านั้น
ตัวหัวโต๊ะมีคนๆหนึ่งนั่งจับจองเป็นเจ้าของอยู่ แล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ดาริวนั่นแหละ แต่วันนี้เขาใส่ชุดโปเวทธรรมดาไม่เหมือนครั้งล่าสุดที่เจอกัน เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำเกือบรัดรูปใส่มาพร้อมกับกางเกงยีนสีเข้มที่ชายหนุ่มเอามาใส่แล้ว เหมือนเป็นพี่ของซันประมาณไม่เกินสามปีและขอรับรองเลยว่าพี่แกใส่ชุดแบบนี้ สาวหลงชัวร์...
“เอา ยืนอยู่นั้นแหละ เดี๋ยวก็เป็นตะคริวหรอกมานั่งนี่สิ จะได้กินข้าวแล้วเดี๋ยวชั้นจะพาไปทำธุระ”ดาริวว่าอย่างขำนิดๆ ที่เห็นซันยืนตัวแข็งไปอย่างนั้นพร้อมกับผายมือไปทางเก้าอี้ด้านขวาของตนเอง
“อะ เอ่อครับ”ซันว่าพลางยิ้มอายๆด้วยความเปิ่นของตนเองไปให้ แล้วเดินไปนั่งตามเก้าอี้ที่ดาริวบอก ก่อนที่คนใช้อีกสองสามคนจะเดินยกอาหารออกมา
“วันนี้ชั้นจะพาเธอออกไปในเมือง ไปสมัครเรียนน่ะ ฉันจะให้เธอไปเข้าโรงเรียนเอรานาฟ โรงเรียนที่ดีที่สุดในเมืองนี้กัน รีบไปเร็วๆเถอะ”เขาพูดอย่างอารมณ์ดีโดยไม่รู้หรือรู้แต่ไม่สนใจกับคู่สนทนาที่อ้าปากค้างรอแมลงวันเข้าไปแล้ว
“อะไรนะครับ จะให้เข้าโรงเรียน แต่ผมยังเขียนอ่านภาษาของที่นี่ไม่เป็นเลยนะครับ”ซันที่เริ่มมีสติแล้วปฏิเสธแทบในทันที
“เหรอ แต่ชั้นว่าเธอเป็นนะ”ดาริวพูดเสียงเหมือนเด็กๆ
“ยังไงครับ”ซันถามไปอย่างงงๆ
“เออน่า ไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวไปตลาดตอนเช้าไม่ทัน”ดาริวพูดแล้วฉุดแขนซันแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องเสวยโดยเร็ว มันช่างเป็นกริยาที่ไม่สมกับผู้เป็นเจ้าเมืองสักนิด ด้านนอกของพระราชวังเป็นสวนหย่อมสีเขียวขจี ปลูกพันธ์ดอกไม้นานาชนิดที่พร้อมกันออกดอกเบ่งบานกันทั่วสวน มันเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนักในตอนเช้านี้
“เร็วๆสิ เร เดี๋ยวไปตลาดไม่ทัน”เสียงดาริวพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีจากข้างหลัง เมื่อซันมองไปด้านหลังก็เห็นดาริวนั่งอยู่บนเกวียนขนาดใหญ่เล่มหนึ่งที่นั่งได้ประมาณสิบคนได้และไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่สัตว์ที่จูงเกวียนนั้นกลับไม่ใช่ม้า แต่เป็น...
“มันตัวอะไรล่ะนั่น”ซันพูดขึ้น ผูกคิ้วเป็นขมวด
“อ้อใช่ นี่ตัวบิรอส สวยไหมล่ะ เค้าพูดคุยกับเรารู้เรื่องด้วยนา”
สัตว์ที่มีลักษณะเหมือนสิงโตเผือก ขนสีขาวสะอาดส่องสว่างราวกับนุ่นกระทบกับแสงอาทิตย์ ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ขณะที่หูของมันกลับกลายเป็นเหมือนปีกสีขาว หางของมันยาวประมาณเมตรหนึ่งได้ ดวงตาสีไพลินนั้นดูเยือกเย็นยิ่ง
“เอาเถอะ เสียเวลามากแล้ว เร็วๆ เร”ดาริวพูดเร่ง ซันจึงยอมกระโดดขึ้นเกวียนนั้นโดยเร็วในทันที
“แล้ว อะไรน่ะครับ ที่คุณเรียก เร น่ะ”ซันถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ ย่อมาจากเรฟ ชื่อของเธอไงล่ะ เร”ดาริวเฉลยคำตอบที่ทำให้ซันไปถึงบางอ้อหรอ...
“ท่านดาริวจะให้ไปส่งที่ไหนครับ”เสียงของชายมีอายุพอสมควรดังมาจากข้างหน้าเกวียน ชายวัยกลางคนที่เกือบจะแก่ใส่ชุดเสื้อผ้าธรรมดาคือเสื้อคอกลมกางเกงยาวสีน้ำเงินทั้งชุด
“ไปตลาดประจำเมืองแล้วกันนะ”ดาริวตอบ
“แล้วเราจะที่นั่นทำไมเหรอครับ”ซันถามต่อ
“ตลาดประจำเมืองน่ะเหรอ จะพาไปทัศนะศึกษาโลกใหม่แล้วก็พาไปสมัครเรียนด้วย”ดาริวก็ตอบอีกเช่นกันโดยยังรอยยิ้มแจ่มใสอยู่บนใบหน้า แต่ซันเห็นรอยยิ้มนั้นน่ากลัวสิ้นดี
“อ้อ ครับ”แล้วทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอีกเลยตลอดทาง
R
ตลอดทางที่ซันเดินทางไปกับกษัตริย์แห่งเมืองไวท์ดรากอนในเกวียนเล่มน้อยที่ดูไม่ประเจิดประเจ้อจนเกินไปแต่ก็พอใช้ได้เพื่อกันไม่ให้ชาวบ้านแตกตื่นว่าใครมา ปุเลง ปุเลงไปตามถนนดินแดงเส้นเล็กๆที่ต่อจากช่องลับของพระราชวัง (ดาริวชอบใช้ทางนี้หนีออกมาเที่ยวในวันที่น่าเบื่อหรือวันที่มีการประชุมในวัง แต่แล้วก็โดนจับได้เสียเกือบทุกครั้งไป=_=) ถนนดินแดงเส้นนี้จะต่อไปยังถนนเส้นสายหลักของเมืองเอราเทียที่เป็นเมืองที่อยู่ข้างๆไวท์ดรากอน เมืองแห่งเวทย์และก็เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรมนุษย์อีกด้วย
เมืองเอราเทียเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเอรานาฟ โรงเรียนที่ดีที่สุดในเมืองและในอาณาจักรนี้ด้วย เอรานาฟเป็นโรงเรียนของรัฐบาลที่ดูแลโดยอาจารย์
เอรานาฟถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองก็ว่าได้เพราะนักเรียนที่จบมาจากเอรานาฟนั้นล้วนมีแต่เป็นผู้ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากกว่าผู้คนธรรมดามาก ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังเวทย์ การใช้อาวุธ ไหวพริบและความรู้ความสามารถก็มีอยู่มากพอสมควร ทางเมืองต่างๆของอาณาจักรมนุษย์จึงต้องการตัวไปทำงานให้เป็นอันมาก หรือจบมาแล้วรวยว่างั้นเถอะ
เอรานาฟถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยที่ 20 ของกษัตริย์วิลลาสเบเรอที จนมาถึงสมัยที่ 48 ของดาริว หรือเรียกง่ายๆว่าเอรานาฟได้ถูกก่อสร้างมาเคียงคู่กับอัลทาเรียมาเป็นเวลาประมาณ 160 ปีเลยทีเดียว จนป่านนี้นักเรียนของเอรานาฟรุ่นแรกคงไปเกิดประมาณสิบกว่าชาติได้แล้ว
เอรานาฟเป็นโรงเรียนกินนอน รับนักเรียนใหม่ไม่จำกัด แต่ส่วนใหญ่จะน้อยมากเพราะการสอบนั้นจะคัดจนได้คนที่มีคุณภาพสูงสุดเท่านั้น เมื่อผ่านเข้าไปแล้วจะเป็นกระบวนการแบ่งหอ ที่มีไว้ด้วยกัน 6 หอตามความสามารถของพลังเวทย์หรืออื่นๆ มีหอขาว หอดำ หอฟ้า หอแดง หอทอง หอเงิน จะแบ่งหอตามความสามารถของนักเรียนนี่คือข้อมูลที่ดาริวเล่าให้ฟังคร่าวๆ
R
สองข้างทางมีพืชพรรณต้นไม้ ดอกไม้นานาชนิดที่ซันรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้างก็ธรรมดาไปแล้ว ก็มันไม่ใช่โลกของเขานี่ เขาเห็นดอกไม้สีฟ้าลายขาวขนาดใหญ่ประมาณครึ่งตัวคนอยู่ข้างทางและมันกำลังจับกินแมลงอยู่ด้วย ต้นไม้สูงใหญ่ มีใบสีแดงขอบเหลืองหงิกงองอกออกมาตามลำต้น และยังมีลูกกลมๆเหมือนส้มแต่เป็นขาวอมชมพูที่คิดว่าน่าจะเป็นผลของต้นๆนั้น ส่วนสิงสาราสัตว์นั้นซันคิดว่าคงมีอยู่ไม่น้อยเพราะตลอดทางมานี้ ตามข้างทางของถนนหรือกลางถนนดินแดงนั้นจะมีรอยเท้าของสัตว์และมูลสัตว์ให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ส่วนตัวสัตว์นั้นคาดว่าน่าจะหนีเข้าไปในป่าลึกเนื่องจากตื่นเสียงเกวียนและเสียงผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาบนทางเส้นนี้
“คุณนาฟครับ กว่าจะไปถึงตลาดนี่ไกลไหมครับ”ซันถามบริกรด้านหน้าที่พึ่งรู้ชื่อของคนๆนี้มาเมื่อกี้นี้จากดาริว
“ก็อีกสักสองสามนาทีขอรับท่านเรฟ ทำไมรึขอรับ”นาฟหันมาตอบขณะที่สายตายังมองด้านหน้าอยู่
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ขอบคุณนะครับ”ซันตอบพร้อมกับนั่งลงไปดูธรรมชาติรอบข้างเช่นเดิม
ดูไปดูมามันก็เคลิ้มล่ะสิ หนังของเขาก็เริ่มหย่อนลงและเริ่มใกล้จะปิดเพราะกินอาหารเช้ามากไปหน่อย ตามสุภาษิต เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนซะงั้น
“นี่เร เราจะ...”ดาริวหันมาทางซันเพื่อจะชวนคุย แต่ก็ยกเลิกความคิดนั้นแล้วหยุดพูดทันที เพราะจะพูดไป มันก็เปลืองน้ำลายไปเปล่าๆ เพราะคนที่กำลังจะคุยด้วยตรงหน้าเขานั้น...นอนหลับคาแขนตัวเองไปแล้ว...
“ท่านดาริวครับอีกไม่นานจะถึงตลาดแล้วครับ อ้าวนั่นท่านเรฟหลับไปแล้วนี่ครับ ให้ปลุกให้ไหมครับ”ราฟหันหน้ามารายงานสถานการณ์
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวถึงที่หมายแล้วข้าจะปลุกท่านเองแล้วกัน”
“ครับ”นาฟขานรับแล้วหันไปทำหน้าที่ของตนต่อไป
“ฮึๆ สงสัยเหนื่อยมั้ง ไม่เป็นไรหรอก ราตรีสวัสดิ์ นะ ท่านเรฟารอส”
“เรฟๆ ตื่นได้แล้วถึงแล้วนะ”เสียงอ่อนโยนปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นจากนินทราอันแสนดี ให้มาเจอกับใบหน้าที่ส่งยิ้มไม่น่าไว้วางใจมาให้เขาของกษัตริย์แห่งไวท์ดรากอน
“อืม ครับๆ”เด็กหนุ่มตอบเสียงงัวเงีย ขณะขยับตัวลุกขึ้นโดยจำไม่ได้ว่าตนเองเผลอหลับไปตอนไหน เขามองไปที่สิ่งที่ดาริวยื่นเข้ามาให้เขา หมวกกับแว่นดำ...จะเอาไปสืบใครเนี่ย! และเมื่อเงยหน้าเป็นเชิงคำถาม กษัตริย์หนุ่มก็ยิ้มตอบทันทีราวรู้แกว
“ใส่ซะ ลงไปจะได้ไม่ต้องฟังเสียงคนกรี๊ด”พูดจบ ตนเองก็ใส่หมวกกับแว่นตาเช่นเดียวกัน แต่ซันที่ไม่เข้าใจก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น จนดาริวเห็นเป็นต้องไขข้อข้องใจอีกรอบ
“ก็หน้าตานายตอนนี้มันใช่ธรรมดาที่ไหนเล่า รับรองสาวๆเนี่ยตรึม เชื่อประสบการณ์จริงที่เคยเจอมา เชื่อฉันเถอะ”ประโยคสุดท้ายน้ำเสียงดาริวขึ้นสูงราวต้องการให้เชื่อ ซันเลยต้องใส่แว่นกับหมวกอย่างจำใจ เมื่อลงจากเกวียนตรงหน้าพวกเขากลับเป็นป่าทึบ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของตลาดด้วยซ้ำ
“อย่าคิดว่าตลาดมันจะอยู่แต่ในที่โล่งๆสิ”ดาริวกล่าวพร้อมยิ้มยวนยีเสียจนน่าถีบ เขาพาซันเดินลึกเข้าไปในป่ามากขึ้นและที่นั่นก็มีตลาดตามคำโม้ของดาริวจริงๆ
“ช่วงลดราคาครับ หนังมังกร สามพันเดน ถูกๆครับ”
“ปราน สมุนไพรช่วยรักษาโรคหอบหืด หายในสามสัปดาห์ค่ะ ลูกค้าได้กำไร แม่ค้าขาดกำไรค่ะ เร็วๆค่ะช้าอดนะคะ”
“ผงซันมูน คุ้มค่า คุ้มราคาค่ะ เร็วค่ะของมีจำนวนจำกัดค่ะ”
สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เหมือนมันตลาดขายของหรือตลาดสงครามน้ำลายกันแน่เนี่ย ตามร้านขายของสองข้างที่บ้างก็ปูเสื่อนั่ง บ้างก็หาเตียงมาตั้งของต่างเปิดปากตะโกนอวดคุณภาพของสินค้าของตนซะลั่นตลาด ขนาดที่ไม่ต้องเดินไปหาร้านให้เมื่อยขาเอง ก็สามารถเดินไปตามเสียงได้เลยทีเดียว
“โอ๊ะ กำลังสนุกเสียด้วยสิ”ดาริวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน แต่ซันนั้นกลับคิดตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง
“งั้นเข้าเราไปกันเถอะ”ดาริวชวน
“แล้วจะมาซื้ออะไรเหรอครับ”ซันถามด้วยความเคลือบแคลงใจอย่างหนัก
“ก็มาซื้อของใช้อะไรเล็กน้อยน่ะ แล้วก็จะมาซื้อผงเวทย์รักษาน่ะรู้สึกที่วังจะหมดแล้วอะนะ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ใช้พวกคนใช้ล่ะครับ ก็ออกจะมีเกลื่อนวัง ออกมาซื้อเองทำไม”
“เอ่อ รู้แล้วเหยียบเอาไว้ให้มิดเลยนะ”ดาริวพูด พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของซัน “พอดีฉันหนีพวกในวังมาเที่ยวเล่นน่ะ”
“แค่เนี้ย”ซันถึงกับคิ้วขมวด
“ก็เคี่ยวจะตายไปพวกนั้นน่ะ ให้อยู่แต่ในห้องทำงานทั้งวัน อกจะแตกตายอยู่แล้ว มีแต่งานๆ งานและงาน ไม่ก็ประชุมกับตาแก่หัวดื้อทั้งหลายนั่นอีก @#^& ( ) &^%$#$%^&”และอีกต่างนาๆที่ดา ริวสรรหามาบ่น ถ้าไม่บอก ก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่า ดาริวคือกษัตริย์ของเมืองไวท์ดรากอนน่ะ...
และดาริวก็ยังบ่นเรื่องงานต่อไปเป็นพรืดไม่หยุด ถึงเวลามันจะเลยมายี่สิบห้านาทีแล้วก็ตามที จนประชาชีแถวนั้นมองดาริวเป็นตาเดียว และห่วงเหลือเกินว่าประชาชนพวกนั้นจะจำกษัตริย์ของตนเองได้ ซันจึงเตือนสติดาริวก่อนที่มันจะเป็นเรื่องใหญ่
“เอ่อ คุณดาริวครับ จะไปกันได้รึยังครับ”ซันขัดจังหวะขึ้นขณะที่ดาริวยังร่ายบทพรรณนาของเขาต่อไป จนดาริวต้องหยุด
“อ้อ โทษที มันอัดอั้นน่ะ”ดาริวหยุดและเอ่ยขึ้นพลางเกาศีรษะสองสามที
“ไม่เป็นไรครับ”ซันว่า
“งั้นเราไปกันเถอะยืนอยู่นี่นานแล้วเมื่อยเป็นบ้า”ดาริวบ่น
‘เหอะๆ ถ้าไม่เหนื่อยสิถึงแปลก พี่แกเล่นทั้งยืนทั้งบ่นไปล่อซะเกือบครึ่งชั่วโมง’ซันคิดเงียบๆในใจแล้วยิ้มอย่างแหยๆมองดาริวที่กำลังเดินเข้าไปในตลาด
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ อ้าว เรเร็วๆสิช้าอยู่นั่นแหละ”ดาริวเอ่ยขึ้นมาสนุกสนานเต็มที่
‘แล้วใครมันทำให้เสียเวลาเล่า ไม่ใช่คุณดาริวรึไง แล้วทำไมทำท่าทางสนุกขนาดนั้นหว่า สงสัยไม่ค่อยได้ออกจากวัง (ถูกเลยล่ะ ToT : ดาริว)’
“เป็นยังไงบ้างครับ ท่านดาริว ท่านเรฟ”เสียงของนาฟดังมาขณะที่ดาริวและซันกำลังเดินกลับมาทางเกวียน
“อ้อ ได้เยอะเลยล่ะ ไปถือช่วยเร หน่อยก็ดีนะ”ดาริวพูดเสียงปนหัวเราะแล้วกระโดดขึ้นรถไป
‘กษัตริย์ประเภทไหนวะเนี่ย’ซันคิด
“ท่านเรฟเหนื่อยไหมครับ”ราฟถามหลังจากเดินมาช่วยขนของจากมือของซันไปไว้ที่หลังเกวียนให้
“ขอบคุณครับ ไม่เหนื่อยหรอกครับ”ซันตอบพร้อมกับยิ้มให้นาฟ ก่อนจะกระโดดขึ้นเกวียนตามดาริวไป
“คุณดาริวครับ จะไปโรงเรียนเอรานาฟต่อเหรอครับ”ซันถามแบบอย่างรู้
“ใช่ อ้อ เร ต่อไปนี้เธอต้องจำไว้นะว่าเธอไม่ได้ชื่อ ซัน แต่เธอชื่อ เรฟารอส คาเวเรีย”ดาริวพูดอย่างจริงจัง ต่างจากทุกครั้ง
“คร้าบๆ รู้แล้วครับ ว่าแต่ว่านี่คุณดาริวจะไม่บอกหน่อยเหรอครับว่าผมเป็นใคร แล้วพ่อแม่ผมละครับ”
“เอะ! นั่นนกดารานนี่ โอ้โห! นึกไม่ถึกเลยว่าจะเห็นอยู่ในเมืองได้ด้วย”ดาริวกระโดดไปเกาะหน้าต่าง ตัดปัญหาการตอบคำถามของซันหน้าด้านๆ
“คุณดาริวครับ”ซันพยายามจะรั้งตัวกษัตริย์ไวท์ดรากอนตัวดีให้มาซักต่อ แต่ดูท่าทางคงจะสู้ความตอแหลระดับเซียนอย่างดาริวไม่ได้ ครั้งจะหันไปถามเจ้าภูติตัวดีก็ดันเงียบไปซะเฉย จึงขยับไปหาอะไรทำต่ออีกมุมหนึ่งของเกวียน เมื่อซันจากไปดาริวถึงได้เหลือบตาไปมองเล็กน้อยก่อนถอนหายใจโล่งอกออกมา
“เฮ้อ เอาเถอะ จะให้จำอะไรได้ตอนนี้ คงไม่ได้เป็นอันทำอะไรพอดี ปล่อยให้ความจำเสื่อมไปสักพักก็แล้วกัน อย่างนี้ดีแล้วใช่ไหม ท่านเดรอน ท่านเอส”
...นั่นสินะ...
R
บรรยากาศข้างทางในตอนนี้ต่างจากตอนไปตลาดลิบลับ ต้นไม้เริ่มบางตาลงและแทนที่ด้วยบ้านเรือนและร้านค้ามากขึ้น รถราที่วิ่งไปมาบนถนนนั้นก็ขวักไขว่มากขึ้น ซันเห็นเกวียนบางเล่มบรรจุเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเป็นจำนวนมาก คิดว่าคงไปสมัครเข้าโรงเรียนเอรานาฟเช่นกันกับเขา บางคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเวทย์ บางคนสำรวจอาวุธของตนเอง บางคนหลับเอาแรง...
“เอ้า เรฟ ขอต้อนรับสู่เมืองเอราเทีย เมืองที่ผลิตผู้กล้าและนักเวทย์เก่งๆมามากมาย แถมเศรษฐกิจยังดีเยี่ยม ยังไม่นับหน้าตาของเพื่อนเจ้าของเมืองที่หน้าตาดีปานเทพบุตรลงมาเกิด สติปัญญายังฉับไวและถูกต้องนี่ยังไม่นับทักษะการต่อสู้และการใช้อาวุธที่ดีไม่แพ้อัศวินชั้นหน้าเลยทีเดียว...”ขณะที่ดาริวพูดได้สาระในประโยคแรกและประโยคที่สองส่วนประโยคถัดมาก็ยอตัวเองทั้งนั้นและดูท่าว่าจะไม่หยุดง่ายๆด้วย ซันมองไปนอกเกวียนด้วยความตื่นเต้น สายตาของเขาจับจ้องไปยังประตูอิฐสีขาวสว่างสะท้อนแสงระยิบระยับที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขานี้ มันดูแข็งแกร่ง เสาของประตูนั้นเป็นลักษณะเป็นเสาโรมัน ความกว้างระหว่างเสานั้นมีขนาดประมาณเวียนสองเล่มเข้าได้สบายๆ หน้าประตูมีเจ้าหน้าที่สองสามคนทำหน้าที่ตรวจคนที่เข้าออกเมือง พวกเขาใส่เสื้อคอตั้งสีน้ำเงินเข้มขอบสีดำ มีสายคาดขอบดำสีน้ำเงินอ่อนพาดไหล่ทับเสื้อ กางเกงสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งเมื่อเห็นเกวียนของซันเจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นก็มองไปหา
“ขอตราเดินทางด้วยครับ”เจ้าหน้าที่ถามราฟขณะที่พวกเขากำลังจะผ่านประตูเมือง
“สวัดดี เอลฟา ยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเหมือนเดิมซินะ”ดาริว (สอด) พูดขัดขณะที่ราฟจะตอบ เรียกสายตางุนงงของเข้าหน้าที่เอลฟาได้เป็นอย่างดี
“คุณเป็นใครกันครับ”เอลฟาถามอย่างสุภาพและสุขุมมาก
“เหอะ จำไม่ได้จริงด้วย ฉันก็...”ดาริวหยุดพูดแล้วถอดหมวกและแว่นตาออกให้เห็นใบหน้าของกษัตริย์แห่ง ที่พอเอลฟาเห็นแทบจะนั่งทำความเคารพแทบไม่ทัน แต่โดนขัดก่อน
“ไม่ต้องหรอก แล้วจะให้ฉันเข้าไปได้ยังเนี่ย ต้องพาเจ้าเรฟเนี่ยไปสมัครเรียนอีกนะ”ดาริวพูดพร้อมกับชี้มายังซันที่ทำหน้างง เอลฟาถึงกับตาค้าง
“ทะ ท่านเรฟจริงๆหรือครับ ท่านกลับมาแล้ว”เคลฟาว่าอย่างดีใจน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาสีดำนั้นระริกระรี้อย่างดีใจที่ได้เจอบุคคลที่อยากเจอ
“เออน่า เป็นความลับห้ามไปบอกให้ใครรู้เด็ดขาดนะ ตกลง พวกฉันไปได้ยังเนี่ย”ดาริวพูด
“ครับๆ เข้าไปเลยครับ”เอลฟาว่าพลางผายมือเหมือนเชื้อเชิญ แล้วราฟก็เดินทางต่อเข้าไปในเมือง
“พอดีตอนนั้นนายเป็นที่รู้จักพอสมควรนะเรฟ”
ภายในเมืองนั้นคึกครืนถึงแม้ว่าตอนนี้จะสายแล้วก็ตาม ร้านค้าต่างๆที่อยู่สองข้างทางนั้นมีมากมายจนลายตาด้วยสีสันของแต่ละร้าน ซันเห็นร้านขายอาวุธ ร้านขายอุปกรณ์เวทย์มนต์ ร้านขายหนังสือต่างๆที่ดูเหมือนเตรียมตัวกันเปิดร้านให้แก่นักเรียนใหม่และเก่าของเอรานาฟกันทั้งนั้นเพราะแผ่นโฆษณาที่อยู่หน้าร้านแต่ละร้านต้องมีชื่อเอรานาฟกันทั้งนั้น มาถึงตอนนี้ความกังวลของซันก็เข้าคลอบคลุมจิตใจอีกรอบแถมมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ดาริวที่พอจะรู้เรื่องนี้ขยี้ผมสีน้ำเงินเรืองนั้นอย่างเมามันจนเจ้าของต้องผลักตัวของดาริวออกไป เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ย ขณะดาริวกำลังหัวเราะท้องคับท้องแข็ง
“ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าว่าจะสอบเข้าได้ยังไง”
“ง่า แล้วจะสอบได้ยังไงล่ะครับ”เด็กหนุ่มถามขณะจัดผมตัวเองให้เป็นทรงอีกครั้ง
“ก็คงยากหน่อยล่ะนะ เพราะนายจำเวทย์พื้นฐานไม่ได้เลย ฉันจะสอนหลักสูตรเร่งรัดให้ก็แล้วกันนะ”ดาริวเอ่ยอย่างมัดมือชก ไม่ให้เด็กหนุ่มได้ปฏิเสธเลย
“ลม คือ เวรเนอร์”ทันทีที่เขากล่าว สายลมหมุนวนขนาดเล็กก็เกิดบนฝ่ามือของเด็กหนุ่ม
“ไฟคือ เฟรมเมอร์ น้ำ วอลเทอร์ ดินคือ ซอลเซอร์ พฤกษาคือ เทรมเมอร์ ไฟฟ้าคือ ทรีคเคอร์ รัตติกาลคือดารเกอร์ แสงคือ เลนเทอร์ แล้วต่อด้วยระดับของเวทย์ที่ต้องการใช้
แบ่งระดับความแรงได้เยอะน่ะนะถ้าพูดตามความจริง ระดับเธอตอนนี้ก็ใช้ระดับล่างสุดจนถึงต่ำไปก่อนละกัน อย่างแรกพื้นฐานคือ เดฟ อย่างเช่น เวรเนอร์เดฟ!~”สิ้นเสียง สายลมที่เคยพัดอ่อนๆก็รวมตัวกันใหญ่มากขึ้นแต่ไม่มากพอในการโจมตีหรือทำอันตรายได้
“ต่อไปคือ เพฟ เดม เวส เครน เดน เคม เบส ดอน มอส ครอส ซอสและสุดท้ายคือเกรสเป็นเวทย์สูงสุดของระดับต่ำ ส่วนรูปแบบนั้นตัวผู้ใช้จะกำหนดเองโดยใช้จิตเป็นตัวตั้ง ส่วนระดับสูงและกลางจะเป็นเวทย์ที่มีคำเรียกเฉพาะมากกว่า ต้องศึกษาเอาเอง แต่ฉันว่าเธอควรจะฝึกเวทย์ทั้งหนึ่งร้อยสี่บทให้คล่องจะดีกว่านะ”
...หนึ่งร้อยสี่บท ให้จำได้ในวันเดียว จะบ้าเหรอครับคุณดาริว!!!...ซันประท้วงในใจ ขณะที่ใบหน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ ปกติแค่เรื่องธรรมดาเขายังลืมง่าย เรื่องอะไรแล้วเขาจะจำได้เล่า!
“แหมมันไม่ยากอย่างที่คิดหรอก แค่จำชื่อเรียกทั้งแปดธาตุแล้วก็ระดับทั้งสิบสามระดับได้ก็สบายแล้ว”ดาริวพูดพร้อมยักไหล่สบายๆ “นายผิดเองนะที่ดันใช้ได้ทั้งแปดธาตุ คนอื่นแค่สามธาตุก็พอทนแล้ว”
“สรุปผมผิดใช่ไหมเนี่ย”ซันบ่นพึมพำ ขณะที่ในหัวก็มีเสียงสอนของเดรอนและเอสอยู่ไม่ขาดช่วง เจอทั้งในทั้งนอกแล้วอยากตาย แต่ตายไม่ได้!~
R
ความคิดเห็น