คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter: 2 โลกอัลทาเรีย
Chapter: 2 โลกอัลทาเรีย
โลกอัลทาเรีย โลกด้านขนานกับโลก โลกที่มีอีกอารยะธรรมเป็นของมันเอง วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมากกว่าโลก จนในที่สุดสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ก็สามารถใช้พลังแห่งธรรมชาติได้ และพวกเขาเรียกมันว่าเวทย์มนต์...
นอกจากนั้น เผ่าพันธุ์บนโลกนี้ยังแบ่งออกเป็นสี่เผ่าพันธุ์ใหญ่ให้เห็นชัดเจน
หนึ่งคือชาวเฮเมอเรียน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอาณาเขตอาณาจักรเฮเมอเทีย เป็นอาณาจักรที่มีพื้นที่กว้างไกลคลอบคลุมพื้นที่ได้มากที่สุดในสี่อาณาจักร ถึงจะถูกตราหน้าว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าอ่อนแอที่สุดแต่เผ่าพันธุ์นี้ก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่คิดค้นสิ่งต่างๆมีประโยชน์ขึ้นมามากมาย จนในปัจจุบันเผ่าพันธุ์นี้ เป็นเผ่าพันธุ์สากลที่สามารถอาศัยอยู่ได้ในทุกๆดินแดน
สองคือชาวเอเลสเรียน เผ่าพันธุ์ที่วิวัฒนาการมาจากมนุษย์ที่รักธรรมชาติ จนสามารถใช้พลังเวทย์ได้มากมาย และก่อตั้งชุมชนของตนเองขึ้นเอง เผ่าพันธุ์นี้ถือว่ามีช่วงชีวิตที่ยาวกว่าเผ่าพันธุ์อื่นเพราะอยู่ใกล้กับธรรมชาติผู้ให้ชีวิตนั่นเอง ส่วนใหญ่มีฝีมือในด้านการทอผ้า ตีอาวุธและเก็บของป่าขายแต่พวกเขาไม่ค่อยสนทนากับใครมากนัก เพราะอาศัยอยู่ในป่าลึกเสียมากกว่า ส่วนพื้นที่ๆพวกเขาดำรงอยู่ถูกเรียกว่า อาณาจักรเอเลสเทีย
สามคือชาวเดวิเรียน เผ่าพันธุ์ที่วิวัฒนาการมาจากผู้คนที่มีจิตใจชั่วร้าย ไม่สนใจต่อสิ่งใดในโลกนี้ จนธรรมชาติลงโทษโดยการลดช่วงชีวิตให้สั้นลงและไม่มีการพัฒนาการทางด้านสมองมากนัก มีเพียงด้านพละกำลังเท่านั้นที่พัฒนา จนได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ต้องสาป ส่วนมากปัญหาต่างๆจะมาจากเผ่าพันธุ์นี้เสียมากกว่า อาศัยอยู่ทางอาณาจักรตอนใต้ที่เรียกว่าเดวิเรีย เป็นอาณาจักรปิดไท่คบค้ากับใคร
และสี่คือชาวเอเจนเรียน เผ่าพันธุ์ที่วิวัฒนาการมาจากมนุษย์ที่รักอิสระ ลักษณะพิเศษสำคัญของเผ่าพันธุ์นี้คือปีกสีขาวบริสุทธิ์ที่จะงอกอกมาจากหลัง แต่มันก็มีโทษคือกระดูกของพวกเขาก็ต้องลดมวลลงไปด้วย เพื่อให้การบินนั้นประสบผลมากขึ้น ลักษณะพิเศษของเผ่านี้อีกอย่างก็คือโรคกระดูกพรุนนั่นเอง พวกเขาอาศัยอยู่ในอาณาจักรเอเจนเนอร์ที่ห่างไกล แต่เผ่าพันธุ์นี้ก็สามารถดำเนินชีวิตและรูปลักษณ์ก็คล้ายชาวเฮเมอเรียน ไม่แปลกเลยที่พ่อแม่ชาวเอเจนเรียนจะส่งบุตรของตนเองไปใช้ชีวิตที่เฮเมอเรียในช่วงอายุครบสิบห้าปี
ทุกสิ่งอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข จนกระทั่วจนถึงจุดหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป การแบ่งชั้นวรรณะได้เริ่มขึ้น ระบบทาส การปกครอง ผู้ใหญ่ ผู้น้อยเกิดขึ้น ทำให้ความชั่วร้ายในจิตใจของคนมากขึ้น ความละโมบ ความกระหายอำนาจได้คลอบคลุมจิตใจของพวกเขา ทำการล่วงละเมิดอำนาจของธรรมชาตินั้นได้มากขึ้นทุกที
ในที่สุดผลของมันก็สะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของสงคราม ที่พรากชีวิตและทรัพย์สินของใครต่อใครอีกมากมาย หนึ่งในนั้นที่สำคัญทีสุดคือ สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์ทั้งสามที่เหลือ...
R
แสงแดดยามตะวันโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าเจิดจ้าทาบผ่านลงมาผ่านเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งล้วนแต่เป็นของที่เป็นสีขาวและครามน้ำเงินทั้งนั้น ผนังสีขาวขลิบลายน้ำเงินดูหรูหรา เตียงสี่เสาทำจากไม้อย่างดีที่ตั้งอยู่กลางห้อง ฟูกที่ปูทับด้วยผ้าแพรสีขาวสะอาดพร่องลงมาด้วยน้ำหนักตัวของคนที่นอนอยู่บนเตียง ภายใต้ผ้าห่มหนาลื่นสีน้ำเงินปักเลื่อมทองดูหรูหรามีคนๆหนึ่งนอนอยู่
“อืมม...”
เสียงของเด็กหนุ่มบนเตียงบ่งบอกว่าเจ้าตัวตื่นแล้ว นัยน์สีดำปรือขึ้นช้าๆก่อนจะเบิกโตด้วยความตกใจอย่างหนักที่ตนเองเข้ามานอนในห้องหรูหราอย่างขนาดชาตินี้ เด็กอย่างเค้าทั้งชาตินี้ก็ไม่มีทางได้เห็นเป็นแน่ เด็กหนุ่มหันไปมองทางหน้าต่างกระจกใสทำให้สามารถมองลงไปเห็นข้างล่างได้อย่างชัดเจน แล้วเขาก็ต้องอึ้ง
เมื่อภาพตรงหน้าเขานั้นดั่งไม่ใช่โลกเดิมของตนเอง ป่าไม้สีเขียวชอุ่มดูอุดมสมบูรณ์เบียดเสียดกันทึบไปไกลสุดลูกหูลูกตาที่ขอบตะวันมีภูเขาสีเขียวที่มีต้นไม้ขึ้นรกชัดเหมาะเป็นที่อยู่ของบรรดาสัตว์นานาชนิดเป็นที่สุด เป็นสถานที่ที่ไม่มีที่ไหนบนโลกใบเก่าที่มีแต่ผู้คนทำลายต้นไม้เพื่อไปทำบ้านเรือนโดยไม่คิดจะปลูกคืน พวกพ่อค้าที่ตัดไม่ทำลายป่าไปขายโดยผิดกฎหมายและอีกหลายๆอย่างที่มั่นใจได้เลยว่าถ้ามีที่แห่งนี้ไปโผล่ที่โลกโน้นคงไม่ถึงเดือนป่าทั้งป่าก็จะแบนราบ
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงชายผู้หนึ่งดังมาจากหลังประตูไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงามเรียกสติของเด็กหนุ่มให้หันกลับมา ก่อนที่เจ้าของเสียงก่อนจะเปิดประตูเข้ามาในห้องตาม ผมสีทองยาวประบ่ากระทบกับแสงแดดยามเช้าดูสวยงามยิ่งนัก ผิวสีขาวนวลเข้ากับนัยน์ตาสีมรกตมีแววเอ็นดูเล็กๆออกจะดูกวนๆหน่อยๆ จมูกเป็นสันและริมฝีปากสีชมพูสวยตกแต่งอยู่บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาชวนมอง เขาใส่เสื้อรัดรูปสีขาว ทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงก็สีเดียวกัน เด็กหนุ่มจ้องเขาอย่างสงสัย ทำไมคนโลกนี้มันมีแต่คนหน้าตาดีหว่า...
“เอ่อ แล้วคุณ...”
“ฉันคือดาริว คาดาริว ชาตท์ ยินดีที่ท่านกลับมาท่านเรฟ”
“อะ เอ่อ ไม่ต้องหรอกครับ ว่าแต่ คุณเดรอนล่ะครับ”
พอเขาพูดถึงคนๆนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าเขาก็เกิดอาการหัวเราะกึกอย่างเกือบหยุดไม่อยู่ นัยน์ตามีแววขบขันอยู่ในทีจนเขารำคาญที่ไม่ยอมบอกสักทีว่าทำไมต้องหัวเราะอย่างนั้นด้วย
“ก็อยู่ตรงนั้นไงครับ”
“หืม...”เด็กหนุ่มมองตามทางที่ดาริวบอกก็พบกับกริซด้ามหนึ่งตกอยู่ด้านข้างเตียง ด้านคมของมันคมกริบสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องราวประกาศสรรพคุณด้านความคม ด้ามของมันมีอเมทิสสีม่วงสดที่ดูคล้ายกับนัยน์ตาของใครคนหนึ่งอย่างประหลาดประดับอยู่
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่เข้าใจ ดาริวก็ยิ่งได้ใจ เริ่มอยากแกล้งเด็กหนุ่มตรงหน้าต่อ แต่ก็โดนขัดจากกริซคน (ด้าม?) นั้น
“ไม่ต้องเลยนะดาริว อย่าคิดเชียว”เสียงทุ้มนุ่มของเดรอนดังมาจากกริซที่อยู่ๆก็เกิดแสงสีม่วงใสล้อมรอบก่อนจะปรากฏร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยของเดรอน ทำเอาเด็กหนุ่มกระเด้งสุดตัวเกือบตกเตียง ถ้าเดรอนไม่คว้าเขาไว้ก่อน ไม่งั้นหัวของเขาคงได้โหม่งพื้นโลกตามความต้องการแน่ๆ
“ขะ คุณดาเรน”เด็กหนุ่มพูดติดขัดด้วยอารามตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนดาริวนั้นก็เอาแต่หัวเราะชักดิ้นชักงออยู่ปลายเตียง
“ว่าแต่คนอื่น ตัวเองทำมากกว่าเค้าอีก”ดาริวย้อนกลับ ทำเอาเดรอนส่ายหัวกับนิสัยของคนตรงหน้า ก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆให้เด็กหนุ่มที่ตอนนี้อึ้งเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว
“ยินดีต้องรับสู้โลกอัลทาเรียครับ ท่านเรฟ...”
จากนั้นเขาก็รู้ว่าเดรอนนั้นเป็นภูติแห่งศาสตราระดับสูงที่สามารถแปลงกายเป็นอาวุธอะไรก็ได้ตามที่ตนเองและเจ้านายของตนต้องการ ซึ่งการทำพันธสัญญากับภูตินั้น ทั้งสองฝ่ายต้องมีความสมัครใจทั้งสองฝ่ายเพราะไม่เช่นนั้นพันธสัญญาจะไม่สมบูรณ์ ในกรณีที่พันธสัญญาสมบูรณ์เจ้านายของภูติจะมีสิทธิเป็นเจ้าชีวิตของภูติตนนั้น สามารถเก็บรักษาในตัวของเจ้าของได้ในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะวิธีนี้จะสามารถสมานแผลได้ดีกว่าใช้เวทย์รักษาเป็นสิบเท่า
“แล้วที่นี่มันที่ไหนล่ะครับ”ซันหรือเรฟถามขณะที่ผู้หญิงในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีเขียวเข้มยกอาหารเข้ามาให้เขาซึ่งเดรอนและดาริวห้ามไม่ให้ลุกเพราะเสียพลังไปมากในการย้ายมิติ
“เมืองไวท์ดรากอน เมืองอันดับสองของเผ่ามนุษย์ อยู่เกือบใจกลางอาณาจักรเฮเมอทียพอดี เป็นเมืองที่รุ่งเรืองมากเกี่ยวกับอาวุธและค้าแร่ธรรมชาติ เพราะภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุอย่างนี้แหละครับ”เดรอนตอบ ขณะที่ซันพยักหน้าเข้าใจแล้วค่อยๆละเลียดกินโจ๊กหอมกรุ่นที่อยู่ในถ้วยก่อนจะเพิ่มระดับความเร็วขึ้นจนถึงขนาดเกือบยกขึ้นซดเมื่อรู้ว่าตัวเองหิวมากแค่ไหน! ทิ้งเสียงหัวเราะอย่างพอใจจากทั้งเดรอนและดาริวที่มองเด็กหนุ่มอยู่ไม่ห่าง
“แล้วคุณดาริวล่ะครับเป็นใคร”ซันหรือเรฟถามหลังอาหารเช้าอันสงบเงียบ (มุมไหนเหรอ)
คำถามนี้เล่นเอาดาริวที่กำลังกินน้ำอยู่สำลักน้ำไอแคกๆในทันที สาวใช้ทั้งหลายก็ชุลมุนกันดูแลเจ้านายของตน แต่ดาริวยกมือห้ามไว้ก่อน ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมีเล่ห์นัย จนคนถามต้องเสียวสันหลังวาบ พลางคิดว่าคิดถูกคิดผิดที่ถามออกไป ดาริวกระแฮ่มในลำคอทำท่าสง่างามดูน่าถีบยิ่งนักในสายตาของใครหลายคน
“ข้าหรือคือ
”ดาริวเว้นนิดนึงก่อนเอ่ยคำตอบ
“กษัตริย์แห่งไวท์ดรากอนนคร”
อึ้ง...เป็นคำเดียวที่มีอยู่ในสมองของเรฟ คนอย่างนี้เนี่ยนะ กษัตริย์! เขาคิดว่าผู้ที่จะต้องปกครองบ้านเมืองต้องเป็นคนเงียบขรึม พูดจาน้อยคำ พูดทีก็คมมาเลย ท่าทางดูสง่างามเป็นการเป็นงาน แต่นี่...
...แค่คิดถึงประชาชนก็สงสารแทบขาดใจ...
“ท่านคิดเหมือนกระผมเลยแหล่ะครับ”เดรอนกระซิบยิ้มๆเมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่ม
“เอาๆ เปลี่ยนเรื่องมากแล้ว เข้าเรื่องกันดีกว่า”ดาริวพูดขัดบรรยากาศพร้อมโบกมือประกอบคำพูด “ที่เดรอนอธิบายไปว่ามีเหตุจำเป็นนะ เป็นเพราะสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์เดวิเรียนและชนเผ่าทั้งสาม เมื่อห้าปีก่อนนั่นละ ตอนนั้นนายก็ไปช่วยสู้รบด้วย...”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะครับ ตอนผมอยู่บนโลกนั้นสิบห้าปี แต่ท่านบอกว่าสงครามพึ่งเกิดเมื่อห้าปีที่แล้ว อีกอย่างถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนนั้นผมก็เพิ่งเกิดนะจะเอาอะไรไปสู้เขา...”
“ตอนนั้นท่านเรฟอายุสิบห้าครับ เท่ากับท่านดาริวในสมัยนั้น เวลาของแต่ละโลกมันไม่เท่ากันหรอกนะครับ ที่โลกนั้นอาจเป็นสามปีแต่ที่อัลทาเรียนี่พึ่งผ่านไปเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น สิบห้าปีที่ท่านอยู่ที่โลกนั้นก็เท่ากับห้าปีที่อัลทาเรีย อีกอย่างคือตอนที่ท่านเดินทางไปที่มิตินั้น คงจะโดนความแปรปรวนทางช่วงเวลาในช่องต่อระหว่างมิติจนทำให้ย้อนกลับไปตอนแรกเกิดก็เป็นไปได้ครับ”เดรอนยิ้มตอบเด็กหนุ่มที่ทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกจับได้ว่าจะถามอะไรต่อ...
“แล้วผมจะเป็นยังไงต่อล่ะครับ”เขาถามขึ้น เพราะเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองแต่ก่อนนั้นเป็นเช่นไร
“เป็นหน้าที่ของท่านดาริวแล้วล่ะครับ”เดรอนหันไปโยนให้กษัตริย์หนุ่มที่ยิ้มกวนๆมาให้เด็กหนุ่ม ส่วนเดรอนกลายร่างเป็นกริชหนีไปเรียบร้อยแล้ว
“ตามฉันมาสิ ตอนนี้คงลุกขึ้นได้แล้วใช่ไหม”ดาริวบอก เด็กหนุ่มพยักหน้า ลงจากเตียงด้วยความทุลักทุเลเพราะเตียงมันอยู่สูงมากๆแถมนุ่มเสียจนขยับตัวลำบาก ก่อนตามดาริวออกไป โดยไม่ลืมหยิบเดรอนออกไปด้วย
ดาริวพาเขาเดินไปทางเดินหินอ่อนเงาวับปูด้วยพรมสีเขียวเข้มขลิบทอง ผนังทึบไม่มีหน้าต่างโผล่มาให้เห็นทำมาจากหินสีขาวที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นชนิดใดและทุกๆหนึ่งเมตรต้องมีภาพต่างๆมากมายที่มากจนซันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีภาพอะไรบ้าง
ในที่สุดดาริวก็พาเขามาถึงประตูไม้แกะสลักอย่างประณีต ด้านซ้ายสลักเป็นภาพเทพีที่มีปีกนกอยู่ด้านหลังของนางดูสง่างาม สีหน้าของนางดูอ่อนโยนและอบอุ่นแปลกๆราวกำลังต้อนรับเขาอยู่ ส่วนด้านขวาเป็นรูปสลักของเทพีที่เหมือนด้านซ้ายทุกอย่างยกเว้นปีกที่เหมือนค้างคาวอยู่ด้านหลังนางแทนที่จะเป็นขนนก ใบหน้าของนางนั้นดูสุขุมเยือกเย็นพร้อมกับความเข้มแข็งแต่ก็มีความอ่อนโยนอยู่บนใบหน้าเย็นชานั้นได้ ขนาดซันยังอดชื่นชมคนแกะสลักไม่ได้
“ด้านซ้ายคือเทวีไดอาน่า เทวีแห่งสวรรค์ ด้านซ้ายคือเทวีฮาเดสเน่ เทวีแห่งขุมนรก ที่สำคัญสององค์นี้เป็นฝาแฝดกัน”ดาริวพูดเมื่อเห็นซันสนอกสนใจรูปสลักบนประตู
“แต่ตอนนี้เราเข้าไปในห้องดีกว่า ฉันต้องให้เจ้าอยู่ในร่างที่พอใช้กว่านี้ก่อน”พูดจบดาริวก็ผลักซันเข้าไปในห้องนั้น
R
ภายในห้องนั้นเป็นห้องกระจกที่สามารถมองเห็นได้รอบทิศ พื้นห้องถูกปูด้วยพรมสีขาวสะอาดที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดเอามาปูเพราะดูเหมือนจะทำความสะอาดยากเหลือเกิน แปลกที่ห้องนี้ไม่มีเครื่องเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้อะไรเลย แต่กลับมีของขนาดใหญ่ที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีเทาหม่นตัดกับพื้นห้องที่เป็นสีขาว ที่แน่ๆมันสูงกว่าซันมาก
ดาริวที่เดินตามซันเข้ามา เดินเลยไปหยิบปลายผ้าคลุมแล้วสะบัดมันอย่างแรง จนเผยให้เห็นสิ่งที่ผ้าคลุมเอาไว้
ประตู (?) ใช่คุณไม่ได้อ่านผิด มันคือประตูที่ไม่มีห้องเดินเข้าไป ก็ประตูที่ถูกตั้งไว้ตรงกลางห้องนั่นแหละ รอบๆกรอบเกะสลักเป็นลวดลายของอักขระโบราณแปลกๆที่ ซันไม่เคยเห็น บานประตูทำมาจากทอง ถึงแม้ดูธรรมดาแต่ซันกลับรู้สึกแปลกๆว่าประตูนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ
“สวยไหมล่ะ ประตูนี่ชื่อ เฟรซาเรีย ออฟ ไทม์ ‘ประตูแห่งกาลเวลา’”ดาริวพูดขึ้นเมื่อซันเอาแต่จ้องประตูนั้นไม่วางตา
‘ไม่ธรรมดาจริงๆด้วยแฮะ’ซันคิดในใจแหยงๆ
“เอาล่ะ...ซันเดินเข้าไปในประตู”ดาริวว่าอย่างสบายๆปนขำนิดๆ แต่คนถูกสั่งนี่สิ...งงเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว
“หะ...ให้เดินผ่านบานประตูไปเหรอครับ”ซันแก้ให้เพราะคิดว่าที่ดาริวว่านั้นพูดผิด เพราะมีห้องให้เดินเข้าไปไหมล่ะ
“เข้าไป...เดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า”
“เฮ้ย!”
ผลัก
พูดอย่างเดียวไม่พอกลับผลักซันเข้าไปในประตูที่ไม่รู้ว่าเปิดไว้ตอนไหนอีกต่างหาก หน้าตาก็ดีแต่นิสัย...
แสบนัก!
แต่ในขณะที่ซันกำลังจะคิดต่อก็ต้องหยุดมาสนใจที่ๆตนเองยืนอยู่แทน เพราะหลังประตูบานนี้ไม่ใช่ห้องเดิมอีกต่อไปแต่กลับกลายเป็นว่า มีแต่ความมืดที่มืดจริงๆ ไม่มีแม้แต่แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาซักนิด แต่แปลกที่ตัวของเขานั้นกลับเรืองแสงสีองอ่อนๆดูอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาแต่มันก็ไม่สว่างพอสำหรับการมองเห็น ตอนนี้ดวงตาของเขาก็เปล่าประโยชน์เพราะมองอะไรไม่เห็นอะไรเลยซักอย่าง แล้วก็จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน
‘เดินไปเรื่อยๆก็เจอเองน่า’ว่าแล้ว เขาก็เดินไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น
--- 5 นาทีผ่านไป ---
สถานการณ์ ไม่มีแม้แต่เงาและเสียง
ความรู้สึก เริ่มตงิดๆ
--- 20 นาทีต่อมา ---
สถานการณ์เหมือนเดิมทุกอย่าง
ความรู้สึก ชักทนไม่ไหว
--- 1 ชั่วโมงต่อมา ---
“โอ๊ย!...ไม่ไหวแล้วโว้ย! เดินมาเท่าไหร่ก็ไม่เจออะไรซักอย่างเดียว... เครียน อิส ธาน อุ๊บ”บ่นอยู่ดีๆซันก็เปล่งภาษาอื่นออกมา ทั้งที่ไม่เคยพูดและได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว
“เมื่อกี้หมายถึงอะไรเนี่ย ช่างเถอะ สงสัยจะเผลอพูดเฉยๆมั้งเรา แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหนกันแน่ล่ะนี่”ซันพูดกับตัวเอง
~ตอนนี้ท่านอยู่ภายในจิตใจของตนเองไงล่ะ ท่านเรฟ~เสียงตอบกระซิบแผ่วเบาของผู้หญิงฟังดูอบอุ่นลอยผ่านเข้ามาในโสดประสาทของเด็กหนุ่มปัจจุบันนามซัน ทำเอาเขาถึงกับสะดุ้งตกใจ
“คะ...ใครน่ะ”ซันเค้นคำพูดออกมาจากลำคออย่างติดขัด พลางมองไปรอบๆแต่ก็นึกได้ทีหลังว่ามันมืดเกินจะมองเห็นอะไร
~ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอกท่าน~เสียนั้นตอบกลับมาแผ่วเบาเช่นเคย
“เมื่อกี้คุณบอกว่าผมอยู่ในจิตใจของผมเองเหรอครับ”ซันถามออกไปอย่างอดเสียไม่ได้เพราะเมื่อถามว่าเป็นใครกี่ครั้งคำตอบที่ตอบกลับมาต้องตอบเป็นเชิงปฏิเสธด้วยกันทั้งนั้นในสถานการณ์อย่างนี้
~ใช่ ท่านเรฟ~
“แล้วผมเข้ามาได้ยังไงล่ะครับ”ซันถามอย่างไม่เข้าใจ
~เพราะพลังของท่านเองไงล่ะ~
“พลังของผม?”
~ใช่ “พลัง”คือของที่เกิดมาพร้อมกับตัวตั้งแต่เกิดแต่มีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น “พลัง”คือความสามารถในการเรียกธาตุต่างๆในธรรมชาติมีทั้งหมดด้วยกัน 6 ธาตุมีธาตุไฟ, ลม, น้ำ, ดิน, ไฟฟ้าและพรรณไม้ ส่วนแสงสว่างกับความมืดนั้นเป็นตัวควบคุมธาตุทั้งหกให้มีความสมดุลอยู่ตลอดเวลาดังนั้นจึงสำคัญมาก “พลัง”ของท่านมีมากกว่าคนที่ใช้เวทย์ธรรมดาสามัญมากเพราะท่าน สามารถใช้ได้ทุกธาตุ จะว่าไปท่านก็ไม่ใช่คนนี่เนอะ~
ซันไม่ตอบ และไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายด้วย เพราะมัวแต่ตกใจกับสิ่งที่ตนเองได้รับรู้ มีพลังเยอะหว่าชาวบ้านเนี่ยนะ!...
“แต่ผมไม่เห็นรู้สึกเลยว่ามีพลังนั่น”ซันตอบ ถึงเขาเคยใช้พลังมาบ้าง แต่นั่นเป็นตอนที่โมโหจัดเท่านั้น ส่วนตอนธรรมดานั้นเขาแทบไม่รู้สึกถึงพลังอะไรนั่นเลย
~งั้นข้าจะทำให้เจ้าใช้พลังได้เป็นไงล่ะ ตอนนี้ที่เจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีเพราะ...
บิเรียส อิคาเรียน!
ไม่ทันที่ซันจะกล่าวห้ามเสียงลึกลับก็ร่ายมนต์เสร็จแล้ว
เพล้ง
ทันใดที่ท่องมนต์จบก็เกิดเสียงเหมือนแก้วแตกกลางอกของซัน มันเจ็บจนทำซันฟุบลงไปนั่งกับมือซ้ายขย้ำเสื้อตรงหน้าอกแน่น กัดฟันจนเจ็บปวดไปหมดแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บนั้นเพระมีความเจ็บที่เหนือยิ่งกว่านั้นในกลางอก ตัวของเขาเปลี่ยนจากเรืองแสงบางๆเป็นจ้าขึ้นจนร้อนไปหมด แสงเหล่านั้นเปลี่ยนสีเป็นสีแดง สีน้ำเงิน สีฟ้า สีน้ำตาล สีเหลือง สีเขียว สีขาวและสีดำที่หมุนวนขดกันพร้อมกับที่มันหมุนรอบตัวเขา เขารู้สึกเจ็บปวดเกินทน เหมือนมีพลังบางอย่างกำลังจะทะลักออกมาจากตัว เขาควบคุมมันไม่ได้เลย เหมือนสายน้ำที่เชี่ยวกรากพังอ่างเก็บน้ำออกมา เหมือนมีมีดปักคาที่หัวใจมานานแสนนานกำลังจะหลุดออก ความเจ็บปวดนี้มันเจ็บจนเขาเริ่มทนต่อสภาพร่างกายไม่ไหว สายตาเริ่มพร่าเรือนลงเรื่อยๆ อากาศรอบด้านเหมือนจะถูกสูบออกไปหมด หายใจไม่ออกราวกับมีอะไรมาปิดจมูก ปวดแสบปวดร้อนไปทั่วร่าง สติก็เริ่มจะเลือนราง ตัวทั้งตัวของซันล้มลงไปกองกับพื้น และสติก็หมดไปในที่สุด
R
“ท่า...ซ...”
“ท่านเรฟ”
“หืม...”เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีรัตติกาลสนิทปรือตาขึ้นทีละน้อยเหมือนคนตื่นนอน แล้วเริ่มเบิกตาโตด้วยเหตุการณ์ก่อนสลบไป คิดได้ซันก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างพรวดพราดจนคนที่เป็นหมอนนุ่มให้ตกใจเกือบหงายหลัง แต่ดูท่าคนที่ทำคงยังไม่รู้สึกตัวว่ามีใครอยู่นอกจากตัวเองเพราะตอนนี้ซัน มองออกไปรอบๆสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้
สถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้นั้น เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ดูอุดมสมบูรณ์ ในทุ่งหญ้านี้มีดอกไม้หลายหลายชนิดที่ซันเคยเห็นบ้าง... ไม่เคยเห็นบ้าง มันกำลังแข่งกันแย้มกลีบของมันรับแสงจากดวงตะวันอย่างสดใส ทั้งต้นหญ้าทั้งดอกไม้โบกไปตามกระแสลมอ่อนโยน เสียงต้นหญ้าเสียดสีกันนั้นราวกับเสียงเพลง เหล่าแมลงต่างๆบินวนดอกไม้ด้วยความสดใสราวกำลังเล่นด้วยกันอยู่ ความหลากหลายของสีสันของดอกไม้ปะปนกันได้อย่างน่ามองและดูสวยงาม สายลมโอบอุ้มกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้โชยมาเตะถูกจมูกของซัน เขาสูดอากาศเข้าไปในเต็มปอด
“ฮ้า...สดชื่น”
“จริงเหรอคะ...ดีใจจังที่ท่านเรฟชอบ”เสียงๆหนึ่งดังมาจากหลังซัน เขาหันหลังขวับ ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นแทบหยุดหายใจ จะไม่ให้หยุดได้ไง น่ารักขนาดนั้นในโลกนี้ไม่รู้จะมีอีกรึเปล่า
คนตรงหน้าคือหญิงสาววัยประมาณสิบแปดสิบเก้า ผิวสีขาวละเอียดราวปุยเมฆนั้นไร้ที่ติ ดวงตาสีเขียวเข้มปนอ่อนนั้นดูมีเสน่ห์พร้อมความอบอุ่นขณะมองมาทางซัน ริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูสวยเผยอยิ้มเล็กๆให้ซัน ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นเงาเมื่อถูกแสงอาทิตย์ทิ้งตัวลงมาถึงสะโพกถูกมัดไว้ที่ปลายหลวมๆ เธอใส่ชุดเกาะอกสีขาวยาวถึงเข่าดูน่ารักสมวัย...ดั่งดอกไม้แรกบาน
เวลาผ่านดูเหมือนซันยังไม่ทันหายอึ้ง ได้แต่มองสาวเจ้าไม่วางตาจนสาวเจ้าเริ่มหน้าแดงเพราะฤทธิ์ด้วยความอาย...แต่ก็ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นจนซันเริ่มรู้ตัวว่าจะต้องทำอย่างไร
“เอ่อ...”แต่ไม่ทันที่เขาจะพูด หญิงสาวคนนั้นก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ดิฉันนาม เอสรี่ ไอลิ่ง เอเบเดอร์ เรียกว่าเอสก็ได้ค่ะ”เธอแนะนำตัวเสร็จสรรพ
“สวัสดีครับคุณเอส คือผมไม่ต้องแนะนำตัวแล้วใช่ไหมครับ”ซันเอ่ยออกไปอย่างตรงๆเพราะเธอเรียกเขาว่าเรฟ
“ฮิๆๆๆ...ใช่ค่ะ”เธอหัวเราะเล็กๆอย่างน่ารัก
“อืม...ใช่...คุณเอสครับ ที่นี่ที่ไหนครับ”
“นี่คือทางต่อระหว่างห้องของโลกในจิตใจกับโลกภายนอกค่ะ ที่นี่ดิฉันมีหน้าที่ปรับความสมดุลให้คุณน่ะคะ”
“ปรับความสมดุล?!”ซันงง
“ใช่ค่ะ...ความสมดุลของร่างกายต้องพร้อมมาเป็นอันดับแรก เพราะมิฉะนั้นท่านจะใช้พลังของท่านไม่ได้น่ะค่ะ”เอสอธิบายให้ฟังแต่ซันงงยิ่งกว่าเดิม
“พลังอะไรเหรอครับ”
“อ้าว...ฉันยังไม่บอกคุณหรือคะนี่”เด็กสาวว่าพลางทำท่าหน้าร้าก~ “พลังที่ว่าคือเวทย์มนตร์นั่นแหละค่ะ คิดว่าท่านเรฟคงรู้สินะคะ”มาถึงตอนนี้พระเอกของเราก็ถึงบางอ้อ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อก็เลยนิ่งเงียบไว้
---เงียบ---
“งั้น ดิฉันจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างนะค่ะ”พูดจบเด็กสาวก็ยกมือไปด้านหน้าของซัน แล้วแบมือออก
เดนฟิเรน
ฉับพลัน!ไอสีเขียวอ่อนสดใสก็ผุดขึ้นมาจากมือของเด็กสาวเป็นเกลียวสว่างสดใส สักครู่หนึ่งฝูงผีเสื้อหลากสีหลายสิบตัวก็บินเข้ามาบินรอบๆเกลียวนั้นดูสดใสยิ่งนัก ซันได้แต่จ้องค้างมองความสวยงามของมัน
“ที่ท่านเรฟต้องปรับความสมดุลเพราะพลังของท่านมากเกินไป มากจนท่านในตอนนี้ควบคุมไม่ไหว ต้องมีการปรับสักนิดหน่อยค่ะ”เอสเอ่ย ขณะเขยิบตัวเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม
“คะ ครับ...เอ่อ...///”ซันพูดอย่างติดๆขัดๆพลางเขยิบตัวให้ห่างจากเด็กสาวเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาท
“ทำใจให้ว่างนะคะ แล้วพูดตามดิฉันนะคะ”เอสพูด
...คิดสักครู่แล้วพยักหน้าตอบ
“ความคิดที่ดีงาม เจ้าแห่งอากาศ วินเนอรี่ ความอ่อนโยนเจ้าแห่งวารี วอตเตอร์รี่ ความแข็งแกร่ง เจ้าแห่งดิน ชูตเมอรี่ จิตใจแห่งความกล้า เจ้าแห่งเพลิง ไฟเออรี่...” เสียงของเอสดังก้องกังวานไปทั่วราวเสียงของเหล่าเทพธิดายามขับร้อง
“ความรวดเร็วเจ้าแห่งสายฟ้าฟาด ไลเทอร์ ความไว้ใจเจ้าแห่งพฤกษา ทรีเวอรี่ ความอบอุ่นแห่งแสง ไลเวร่า ความเยือกเย็นแห่งความมืด ดาร์ก โปรดมอบพลังให้กับข้า เพื่อได้ปรับสมดุลในสิทธิการครองพลังศักสิทธิ์นี้” ซันสามารถพูดตามได้อย่างไม่ผิดสักคำไม่รู้ทำไมเขาถึงได้คุ้นกับมนตร์บทนี้นักนะ มันราวกับประโยคต่อไปบังเกิดในสมองขึ้นเองเมื่อใดที่พูดประโยคก่อนหน้านั้นเสร็จไป
“โปรดมอบพลังให้กับข้า เพื่อพลังที่ยิ่งใหญ่ของตัวข้าได้กลับคืน!”
R
ความคิดเห็น