คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter: 1 ซัน
Chapter: 1 ซัน
“แค่กๆ”
“ยายครับ พักเถอะครับ ผมทำเองก็ได้ครับ”ชายหนุ่มวัยราวสิบห้าปีรีบเข้ามาพยุงหญิงแก่ผิวหนังเหี่ยวแห้งและไหม้เกรียมที่อาการไอกำเริบ ผิดกับชายหนุ่มที่ผิวทั้งนวลทั้งขาวอย่างประหลาดทั้งที่ตากแดดตั้งแต่เด็กแท้ๆ หญิงแก่ส่ายหน้าขณะปิดปากฝืนอาการไอของตน
“ไม่เป็นไรหรอก ยายแค่สำลักฝุ่นแค่นั้นเอง ไปทำงานต่อเถอะนะ ซัน”
“แต่ ยายไม่สบายอยู่นี่ครับ ผมบอกแล้วว่าไม่น่าออกมาเลยน่ะ”เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยใส่ยายผู้ดื้อดึงไม่ยอมพักของตน ดูน่ารักหน้าชักของใครต่อหลายคน ยายแก่ยิ้มออก
“ก็ได้ๆ แต่แค่สักพักนะ”
“ก็ไม่ต้องทำเลยก็ได้นี่ครับ แค่ขุดดินผมทำเองคนเดียวก็ได้”ชายหนุ่มยังคงขอร้องยายของตน
“ถ้างั้นยายไม่พัก”
“ก็ได้ครับ”ชายหนุ่มรีบสวน เกรงว่ายายแก่จะทำตามที่บอกจริงๆ ทำเอายายหัวเราะกับความน่ารักของเด็กหนุ่ม
แปลงผักขนาดปานกลางที่อยู่ภายในที่ดินที่ถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หนึ่งส่วนสำหรับปลูกไม้ยืนต้นและผลไม้ซึ่งพวกเขาเลือกที่จะปลูกมะม่วงและส้ม ส่วนที่สองเลือกที่จะปลูกข้าว อีกส่วนนั้น พวกเขาขุดบ่อน้ำเอาไว้สำหรับเลี้ยงปลาและรดต้นไม้ ส่วนอีกส่วนหนึ่งนั้น ใช้สำหรับตั้งที่อยู่อาศัย ที่ซันและยายเลี้ยงไก่และหมูเอาไว้เพิ่ม อีกทั้งหลังบ้าน พวกเขายังปลูกพืชผักสวนครัวอีกด้วย
มันเป็นการอยู่ที่มีความสุขที่สุดในความคิดของยายและซัน เพราะไม่ต้องเป็นหนี้ใคร แถมมีกินมีใช้ ไม่ถึงกับรวยแต่ก็พออยู่ได้ตลอดชีวิต
ยายแก่นั่งบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ พลางหยิบน้ำมาจิบกินให้สดชื่น สายตาที่พร่ามัวมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังขยันขันแข็งกับการขุดดินเตรียมในการปลูกมะม่วงต้นใหม่อย่างภูมิใจและยินดีอยู่ในตัว
ที่จริงนั้นซันไม่ใช่หลานจริงๆของแกหรอก แต่เมื่อสิบห้าปีที่แล้วนั้น แกได้เจอกับร่างของซันอยู่ใต้ต้นไทรต้นนี้เอง ตอนที่เจอนั้น ร่างของซันมีแสงสีทองอ่อนๆหมุนเวียนรอบตัว ตอนแรกแกนึกว่าเทวดาเสียอีก รู้ตัวอีกทีก็เก็บเด็กคนนี้มาเลี้ยงแล้ว แต่ถึงจะเห็นแข็งแรงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ที่จริงแล้วเด็กหนุ่มมีโรคประจำตัวอยู่โรคหนึ่ง นั่นคือโรคกระดูกพรุนนั่นเอง...
ไม่ทันไรเสียงรถมอเตอร์ไซท์แต่งคันโตก็ดังกระหึ่มมาจากถนนใหญ่และหยุดลงตรงหน้าสวนของพวกเขา พอหรี่ตามองก็เห็นว่าคนที่มานั้นก็คือใคร ยายแก่ทำหน้าบึ้งทันทีที่รู้ ขณะที่ชายหนุ่มที่กำลังขยันขันแข่งในการทำงานยังคงไม่สนใจทำงานต่อไป
“ซันจ๊า”เสียงของใครบางคนที่พยายามดัดให้ดูหวานแหววที่สุด ดังเข้ามาในหูของชายหนุ่ม และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เด็กหญิงรูปร่างเล็กผอมจากการไดเอ็ท ทรงผมไสท์ดัดซอยทำไฮไลท์สีม่วง หูของเธอถูกเจาะไว้เสียมากด้วยตุ้มหูเงิน เธอสวมใส่เพียงเสื้อแขนกุดตัวรัดติ้วกับกางเกงขาสั้นจนจะแทนกางเกงในได้แล้ว หรือภาครวมที่ซันถึงกับถอนหายใจ นึกห่วงสังคมที่เริ่มแย่ขึ้นไปทุกวัน
“อืม หวัดดี มีอะไรเหรอ ฉันไม่ว่างหรอกนะ ฉันต้องช่วยยายทำงาน”เด็กหนุ่มทักแบบไม่อารีอาศัย ก่อนตอบปฏิเสธทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันชวนด้วยซ้ำ
‘ก็ในเมื่อมาทุกวัน มาถามเรื่องเดียวทุกวัน ไม่ให้ตอบอย่างนี้ จะให้ตอบยังไง...’เด็กหนุ่มคิดในใจ
เด็กสาวจากที่ยิ้มกว้างก็หุบลงอย่างรวดเร็วด้วยความไม่พอใจนัก สายตาขุ่นโกรธส่งไปให้ยายแก่ที่นั่งยิ้มอยู่ใต้ต้นไทร รอยยิ้มเยาะที่ส่งมาให้เธอ ทำให้เธอถึงกับสติขาด
“ชิ ถ้าไม่มีนังเหี่ยวนั่น ซันก็คงไปกับฉันใช่ไหม”คำกล่าวประชดประชันดังออกมาจากปากของหญิงสาว ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งกึก
“อย่า...เรียก...ยาย...ฉันว่าอย่างนั้นอีกเด็ดขาด”น้ำเสียงทรงอำนาจดังออกมาจากปากได้รูปของเด็กหนุ่มที่ยังก้มหน้าต่ำ ตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาเงยหน้าขึ้นมามองเด็กสาวด้วยสายตาสีน้ำเงินราวน้ำทะเลที่มีคลื่นเดือดจัด!
เด็กสาวสะดุ้งเฮือก ตั้งสติ มองดูนัยน์ตาของเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นความผิดปรกติใดๆ ยกเว้นความโกรธในสายตายังคงอยู่
“งะ งั้นก็ได้ วันหน้าจะมาอีกแล้วกันนะซัน”เธอรีบกล่าวและเดินจากไปในทันที เพราะกลัวว่าจะทำให้เด็กหนุ่มโกรธเกรี้ยวไปมากกว่านี้ เสียงมอเตอร์ไซท์ดังขึ้นและจากไป เป็นสัญญาณว่าเด็กสาวจากไปแล้ว
ยายที่นั่งมองดูเหตุการณ์จากที่ไกลพอสมควร พยักหน้าชื่นชมในตัวเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมไปตามคำเชิญชวนของหญิงสาว แต่ก็ไม่แปลกนักหรอกที่จะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาในหมู่บ้านเวียนแวะเข้ามาหาซันกันมากในทุกๆวัน คงเป็นเพราะหน้าตาของเด็กหนุ่มล่ะมั้ง ทั้งที่เป็นเด็กบ้านนอก แต่รูปลักษณ์และใบหน้าราวหลุดมาจากนิตยสารเกาหลีไม่มีผิด คิดเสร็จก็มองดูพระอาทิตย์ที่เริ่มอัสดงแล้ว
“ซัน วันนี้พอแค่นี้เถอะ จะค่ำแล้ว ไปกินข้าวดีกว่า”แกตะโกนบอกหลานที่อยู่ไกลออกไป
“ครับ”เด็กหนุ่มตอบรับ ทิ้งจอบและวิ่งมาหายายโดยเร็ว ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านไม้ยกระดับจากพื้นขนาดกะทัดรัดไม่เล็กไม่ใหญ่แลดูสวยงามท่ามกลางหมู่พรรณไม้นานาชนิด แต่ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังกินข้ามอยู่นั้น เสียงคนวิ่งขึ้นกระไดบ้านตึงตังก็เรียกความสนใจจากอาหารไปเสียหมด
ชายผู้หนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาทั้งสองด้วยท่าทีราวรีบและตกใจจัด
“ซะ ซัน ที่ยุ้งฉางเก็บข้าวตอนนี้ไฟไหม้แรงเลย ช่วยไปดับไฟเร็ว”
“หา! จริงเหรอ ตาสา ซันรีบไปเร็วลูก ประเดี๋ยวจะไม่ทันกาลเอา”ยายแก่เร่งเด็กหนุ่มที่ตอนนี้วิ่งไปใส่รองเท้าตั้งแต่ยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
“อ้าวเฮ้อ ซัน รอด้วยสิ โอ๊ย เด็กไวรุ่นนี่กำลังเหลือเฟือจริงๆ”ชายที่มาตามบ่นอุบ เมื่อวิ่งตามเด็กหนุ่มไม่ทัน...
ยายแก่ที่โดนทิ้งไว้ที่บ้านคนเดียว มองตามหลังทั้งสองหนุ่มกับอีกไม่หนุ่มวิ่งจากไปจนลับตาก็ถอนหายใจเฮือก พลางคิดสงสัยในใจว่า น่าแปลกทั้งที่ยุ้งฉางข้าวกลางหมู่บ้านนั้น มีเวรคอยตรวจดูอย่างดี ทำไมถึงเกิดไฟลุกขนาดนั้นได้... คิดไปคิดมาก็หนักสมอง แกเลยลุกขึ้นเก็บกับลงตู้ให้เรียบร้อย เหลือจากของเด็กหนุ่มที่ตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะรอมากินต่อ
แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อจากนี้ วัตถุบางอย่างก็กระโจนพังทำลายฟากเพดานลงมาเสียงดังสนั่น ทำเอายายแก่สะดุ้งจนล้มลงไป เมื่อแหงนขึ้นมาดูก็พบกับบางสิ่งที่ไม่เคนไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
มันมองมาที่แกด้วยสายตาสีเลือดและปูดโปนของมัน มันหันมาที่แกและเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ยายแก่เบิกตาโพล่งราวรู้ว่าสิ่งที่จะเกิดกับตนต่อไปนี้คืออะไร
“กรี๊ดดดด~”
R
ฝึบ! ความรู้สึกบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดของเด็กหนุ่มจนเจ้าตัวถึงกับชะงัก
...น นี่ มันอะไรกัน ไอ้ความรู้สึกราวใจจะขาดเช่นนี้น่ะ...
“เฮ้ย ซัน ฉันมาเมื่อกี้ ได้ยินเสียงร้องยายแก เป็นอะไรรึเปล่า รีบกลับไปดูดีกว่านะ”ชายคนที่วิ่งตามหลังเขามาร้องบอก ขณะที่เด็กหนุ่มทิ้งถังน้ำในมือ รีบวิ่งกลับทางเดิมในทันที และเมื่อขึ้นบ้านมา ภาพที่อยู่ตรงหน้าแทบทำให้เด็กหนุ่มเป็นบ้า
ร่างบอบบางของยายที่เห็นกันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน บัดนี้เปื้อนเลือดของนางเองอยู่ในมือของร่างสัตว์รูปร่างประหลาด ลักษณะของมันเหมือนวุ้นใสสีเขียวเมือกน่าขยะแขยง ตอนนี้มันเปลี่ยนรูปร่างเหมือนมนุษย์เพศชายทุกอย่างยกเว้นผิวเป็นเมือกนั่นก็เท่านั้น ตามผิวหนังเส้นเลือดปูดโปนสีดำคล้ำ ตาสีเลือดที่ปูดโปนออกมาจากเบ้า เส้นเลือดตาสีแดงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนบนตาขาว ปากที่มีฟันแหลมคมมีคราบเศษอาหาร น้ำลายสีขาวขุ่นไหลย้อยลงมาจากปากมหาใหญ่ของมัน รังสีฆ่าฟันแผ่พุ่งออกมาจากตัวของมันทำให้ขนในกายลุกซู่ขึ้นมาในทันที แต่ความรู้สึกแค่นี้ ไม่พอเท่าความโกรธที่มีให้ในตอนนี้หรอก...
“กะ แก!”เด็กหนุ่มร้องขึ้นอย่างเดือดดาล และพุ่งตัวเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต มือมหึมาของมันปัดเขาไปกระแทกผนังไม้อย่างแรง!
“อ๊อก!~”เด็กหนุ่มร้องออกมาอย่างเจ็บปวดที่กระดูกสันหลัง นัยน์ตาเริ่มพร่ามัวแต่เมื่อเห็นเพียงเลือดที่กระจายอยู่ตามพื้น ความเจ็บปวดก็ถูกลืมไปหมดสิ้น
“ฉันจะฆ่าแก!”เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาและวิ่งเข้าไปหาร่างสัตว์ประหลาดนั้นอย่างไม่ละความพยายาม มือใหญ่ฝาดลงมาอีกครั้งแต่ครานี้ร่างของเด็กหนุ่มกลับพุ่งผ่านเมืองนั้นอย่างง่ายดาย เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของมันดังขึ้นมาในทันใด แสงสีทองเรืองรองส่องออกมาจากร่างของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่ยังคงเป็นเด็กชาวบ้านธรรมดาๆอยู่ แถมนัยน์ตาและเส้นผมเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นสีน้ำเงินสวยราวท้องทะเลยามค่ำคืน!!!!!
“ย้าก!!!!!!!”
แสงสีทองรวมตัวกันพุ่งเข้าไปหาร่างสัตว์ประหลาดนั้น ร่างเมือกเขียวนั้นเปล่งประกายทองจ้าก่อนแตกออกไปทุกทาง เหลือเพียงร่างของยายแก่ที่ซันเข้าไปรับได้ทัน
ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยและปกป้องคนที่รักที่สุดได้พุ่งเข้ามาในจิตใจของเด็กหนุ่มอย่างเต็มเปี่ยม ความเจ็บปวดทางจิตใจมากมายเสียมากกว่าร่างกาย ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวจากการเสียเลือดมากของผู้ที่เลี้ยงเขามาแล้ว มันยิ่งไม่อยากจะให้อภัยตนเองอีกเลย...
น้ำตาใสๆของลูกผู้ชายไหลออกมาช้าๆอย่างหยุดไม่อยู่ ความรู้สึกจากภายในระบายออกมาในรูปของน้ำตาที่ยายชอบสอนเสมอว่า การร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ในเวลานี้ ยิ่งเขาคิดเรื่องผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดนี้แล้ว น้ำตากลับยิ่งไหลมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฮึก ยายครับ อย่าจากผมไปนะครับ...”
โฮกกกกกกก!
เสียงคำรามราวกับจะไปโกรธแค้นกันมานับล้านปีดังมาจากหน้าบ้านของเขา ซันเงยหน้าขึ้นมา สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปยังด้านอย่างไร้สติเพราะความเสียใจ ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นว่างเปล่าไม่มีแววตา
ผู้เยือนคราวนี้คือ สัตว์ประหลาดร่างสีน้ำตาลกำยำ ตามคอมีแผงขนขึ้นสีแดงเลือดอย่างน่ากลัวแทนความสง่างาม หัวกลม ตาสีแดงสดจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้าหมายเอาชีวิต ข้างหลังมีสัตว์ประหลาดราวสิบ ยี่สิบตัวและทุกตัวล้วนจ้องมายังเด็กหนุ่มด้วยสายตาเดียวกันกับตัวหน้า
ดวงตาสีน้ำเงินวาวโรจน์ด้วยความโกรธอีกครั้ง ในสมองเขาไม่คิดถึงอะไรอีกแล้วนอกจากจะต้องรักษาร่างของผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาให้ได้ พลังสีทองเริ่มพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง และครั้งนี้ราวกับพลังนั้นจะไร้การสิ้นสุดเพราะตอนนี้มันขยายวงกว้างราวห้าเมตรได้แล้ว! เด็กหนุ่มยืนขึ้นเผชิญหน้ากับร่างทั้งยี่สิบกว่าตัวด้วยความไม่กลัวเกรง
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกนายโกรธแค้นอะไรยายฉัน แต่ในเมื่อพวกแกทำร้ายยายของฉัน พวกนายก็ต้องชดใช้อย่างสาสมเหมือนกัน!”เด็กหนุ่มประกาศก้องและราวกับพลังของเขาจะตอบรับกับประโยคที่เอ่ย แสงสีทองก็เริ่มสว่างและกลืนคลอบคลุมทุกอย่างในระยะทางกว่าเก้าเมตรเอาไว้ทั้งหมด!
‘แย่แล้วสิ ขืนให้ท่านใช้พลังมากกว่านี้ ทุกสิ่งรอบด้านคงไม่มีเหลือเป็นแน่ ขนาดตอนนี้พลังยังไม่ถูกปลุกนะเนี่ย...’ใครคนหนึ่งที่ติดตามเหตุการณ์มาตลอด ตั้งแต่เด็กหนุ่มวิ่งเข้าบ้านมาคิดในใจอย่างหวั่นวิตก
‘ขอโทษนะครับ ท่านเรฟ’
ไม่ทันที่ซันจะได้ทำอะไร ความเจ็บแปล็บก็เกิดบริเวณสันคอ ไอสีทองที่เคยมีก็ดับวูบไปในทันใดพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่โงนเงนล้มลง เขารู้สึกว่าร่างของตนถูกใครบางคนพยุงเอาไว้ สัมผัสที่อบอุ่นและคุ้นเคยนั่นทำให้เขาหลับตาลงอย่างสบายใจด้วยเหตุผลบางประการ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาแทบจะทำลายทุกสิ่งแล้วแท้ๆ
สัตว์ประหลาดกลุ่มนั้นพอเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มเลวร้ายลงทุกที จึงเริ่มจะถอยหนี แต่โดนชายคนหนึ่งดักหน้าไว้ก่อน
ร่างที่ปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ดูเหมือนมีแสงสว่างรางๆจากตัว ใบหน้าของเขาถูกปกปิดด้วยฮูตที่เหมือนเจ้าตัวจงใจไม่อยากให้เห็น
สัวต์ประหลาดพวกนั้นผงะนิดหน่อยเมื่อตอนชายผู้นั้นปรากฏต่อหน้า และเริ่มโกรธเกรี้ยวมากขึ้น เมื่อคนตรงหน้าดูถูกด้วยการไม่มีอาวุธติดตัวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“พวกเจ้ากล้ามากที่บังอาจจ้องทำร้ายคนสำคัญของข้า”ชายคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ก่อนที่สัตว์ประหลาดพวกนั้นจะรู้ตัว ชายผู้นั้นก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
“อ๊ากกกกก!!!!!!!!!”
R
‘ที่นี่มันที่ไหนกัน ทำไมมันมืดอย่างนี้...หรือมันเป็นความฝันนะ’
เด็กหนุ่มรำพึงกับตนเองอย่างร้อนใจ เพราะที่ๆเขาอยู่ในขณะนี้ไม่น่าจะทำให้ใจเย็นลงได้เลย รอบด้านเขามีแต่ความมืดมิดขนาดที่ก้มลงไปมองร่างกายตนเองก็ไม่เห็นอะไรเลย แล้วความรู้สึกอึดอัดเหมือนจะหมดอากาศหายใจไปเสียดื้อๆนี่อีก
‘ม...ไม่ไหว ห หายใจไม่ออก’
ทั้งที่น่าจะเป็นความฝัน แต่อาการขาดหายใจที่เด็กหนุ่มเผชิญในตอนนี้กลับเป็นของจริง! เขาจับหน้าอกตัวเองอย่างทรมานก่อนจะทรุดตัวลงท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน ปากอ้าออกพยายามฉวยอากาศเพียงน้อยนิดรอบด้านร่วมกันกับจมูกซึ่งดูไร้ประโยชน์
‘ม ไม่ไหวแล้ว หายไปทีเถอะ’เขาขอร้องในใจ และความคิดนั้นก็ได้ผลทันตา จู่ๆด้านหน้าเขาก็เกิดแสงสว่างจ้าก่อนจะดับลงเหลือเพียงแสงเรืองรองจากบางสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ประตูที่ถูกพันธนาการด้วยสายโซ่ที่เริ่มผุๆพังๆ ขณะที่บานประตูนั้นยังใหม่อยู่เสมอ สัญลักษณ์วงแหวนเวทย์สีขาวที่อยู่กลางประตูทำให้เด็กหนุ่มถึงกับขนาดเจ็บจี๊ดในสมอง
‘ทะ ท่านเรฟ!’เสียงเรียกที่ดังมาจากที่แสนไกล ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มให้หันหลังไปด้านหลัง แต่เมื่อหันหน้ามาอีกทีก็พบว่าประตูนั้นไกลออกไป หรือในความเป็นจริงตัวเขาต่างหากที่ถูกแรงดึงจากด้านหลัง เขาพยายามหลุดจากแรงนั้นแต่ไม่สามารถทำได้ รู้สึกตัวอีกทีเขาก็รู้สึกว่าร่างของตนนั้นระบมไปทั้งตัว เด็กหนุ่มพยายามฝืนลืมตาขึ้น และก็พบว่าด้านหน้าเขาปรากฏชายคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก เขาทำท่ายินดีจัดสังเกตได้จากรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น เด็กหนุ่มพูดไม่ออกขณะที่รู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนขึ้นราวน้ำร้อนสุกเพราะใบหน้าของชายตรงหน้าห่างจากใบหน้าเขาไม่ถึงคืบ! ชายคนนั้นลุกขึ้นยกแก้วน้ำอุ่นมาให้เขา เด็กหนุ่มรับมาขณะที่สายตายังคงจ้องชายหนุ่มตรงหน้า
ร่างสมส่วนอยู่ในชุดรัดกุมสีขาวล้วนตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ดูแปลกตา นัยน์ตาสีม่วงสดมีแววอบอุ่นทำให้อยากเข้าใกล้ตกแต่งอยู่บนใบหน้าคมสวยราวเพศหญิงแต่มีเค้าของความคมเข้มเข้ามาผสานกันอย่างลงตัว เส้นผมสีเงินยวงยาวถูกรวบมัดเอาไว้ด้านหลัง
แต่แวบนั้นเองที่เขารู้สึกว่าลืมอะไรไป เด็กหนุ่มลุกพรวดเมื่อรู้ตัวและล้มตัวลงไปอีกครั้งเพราะฝืนต่อไปไม่ไหว
“ยายผมล่ะ! ยายผมอยู่ไหน”เขาตะโกนโหวกเหวกด้วยความร้อยรน ชายหนุ่มที่เห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มหมดสติในการควบคุมตนเองจึงต้องรีบเข้าไปห้ามเอาไว้
“ไม่เป็นไรครับ เอ่อท่านยายของท่านไม่เป็นไรครับ ท่านไม่ต้องห่วง”
“แต่ฉันเห็นว่าร่างยายฉันโชกเลือด”เด็กหนุ่มเถียง ชายผู้มีนัยน์ตาสีอเมทิสส่ายหน้าด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
“ครับ จริงอยู่ว่าอาการของท่านยายบาดเจ็บมาก แต่ข้าทำการรักษาให้แล้วล่ะครับ ท่านไม่ต้องห่วง”ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆเตือนสติ ซันเริ่มเรียกสติตนเองและขมวดคิ้วเมื่อเรียบเรียงความจำขึ้นมาใหม่
“ที่รักษาน่ะ นายเป็นหมอเหรอ”
“อย่าเอาผมไปเปรียบกับมืออาชีพเช่นนั้นเลยครับ ผมเป็นแค่นักเวทย์พื้นฐานเท่านั้นเอง”ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ รอดูปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม
“อืมเหรอ... (ประมาณ 10 วิ) หา!นักเวทย์เหรอ!”เด็กหนุ่มร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ ขณะที่คนพูดยิ้มแหยะๆส่งไปให้
...ปฏิกิริยาตอบรับกับเรื่องพวกนี้ยังช้าเหมือนเดิม...
“ครับ ท่านคงยังไม่รู้แต่ผมมาที่นี่เพื่อมาตามหาท่านครับ”
“ตามหาผม”เด็กหนุ่มชี้หน้าตนเองยืนยัน ก่อนหัวเราะเสียงดัง
“พูดยังกับผมเป็นเจ้าชายเมืองใดสักเมือง แล้วมีเหตุให้ต้องพลัดหลงกับพ่อแม่ที่แท้จริงเหมือนละครน้ำเน่าอย่างนั้นสิครับ”
“ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆนี่ครับ”ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย ทำเอาเด็กหนุ่มยิ้มค้าง ช็อกกลางอากาศ ท่าทางก็ไม่น่าจะใช่คนบ้าที่ไหนสักหน่อย ทำไมถึงพูดเรื่องไม่น่าจะเป็นจริงอย่างนั้นออกมาหว่า ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น
“ที่พูดมาเนี่ย จริงเหรอ”
“จริงครับ นามที่แท้จริงของท่านคือ เรฟารอส คาเวเรีย เมื่อสิบห้าปีก่อนเกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อย ทำให้พวกข้าต้องส่งท่านมาที่โลกต่างมิตินี้ยังไงละครับ”ชายหนุ่มผู้เดิมพูดชัดเจนในตอนแรกก่อนจะติดขัดในประโยคท้าย แต่กระนั้นน้ำเสียงและหน้าตานั้นก็ดูไร้จริตเสแสร้งไม่จริงใจ
“เรื่องจริง...เหรอเนี่ย ผ ผมนึกว่ามีแต่ในหนังแฟนตาซีเสียอีก”เด็กหนุ่มเริ่มมีอาการติดขัดทางด้านการออกเสียงทั้งที่ไม่เคยจะเป็นเสียบ้างแล้ว
“โลกแห่งนี้ที่พวกเราเรียกกันว่าโลกต่างมิตินี้อยู่ใกล้กับมิติของเรามากที่สุดครับ ท่านจึงถูกส่งมาที่นี่ ส่วนโลกที่ท่านจากมานั้นคือโลกอัลทาเรีย โลกซึ่งทุกคนมีพรสวรรค์จากพระเจ้าที่พวกเขาเรียกันว่าเวทย์มนต์ หรืออีกนัยน์หนึ่งคือโลกที่ทุกคนสามารถควบคุมสายธาตุต่างๆได้อย่างอิสรเสรี สิ่งที่บ่งบอกว่าท่านคือท่านเรฟารอสจริงๆนั่นคือพลังเวทย์ครับ พลังที่เปล่งออกมาจากร่างท่านตอนไปช่วยยายของท่านเองคือสิ่งที่ยืนยันครับ เพียงแต่ตอนนี้พลังของท่าน เอ่อ ถูกกักไว้อยู่ มันจึงจะแสดงออกมาได้แค่ในช่วงที่ร่างกายขาดสติหรือยามโกรธเท่านั้นครับ”
คราวนี้ซันถึงกับนิ่งอึ้งนานเป็นพิเศษ จนคนที่มาตามหาเขาต้องเขย่าร่างเด็กหนุ่มที่วิญญาณหายออกไปจากร่างชั่วครู่
“ฉันไม่ได้ฝันใช่ไหมเนี่ย”ซันพึมพำหลังตนเองได้สติหมาดๆ
“ครับ แต่ตอนนี้ท่านควรไปดูอาการของผู้มีพระคุณคนนั้นดีกว่านะครับ”ชายหนุ่มนัยน์ตาสีม่วงแปลกตาเตือนเด็กหนุ่ม ที่ลืมไปเสียสนิทใจ
“แล้วยายฉันอยู่ไหน”...
ร่างของยายผู้เป็นที่รักของเขานอนสงบยู่บนเตียงของนาง ลมหายใจดังสม่ำเสมอพอให้ดีใจได้ว่าอาการคงดีขึ้นมาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีกับการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดพวกนั้นนัก เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อครู่ยังคงติดตาเขาอยู่ เขารู้สึกว่าตนเองได้หวนกลับไปสู่ภูมิหลังเดิมของตนเอง ความทรงจำที่ย้อนกลับไปใน ณ เวลาหนึ่ง ภาพของใบหน้าคนมากมายลอยอยู่ในหัวเขา แต่เขากลับมองเห็นเพียงสีดำราวกับมีบางอย่างที่ไม่อยากให้เขาล่วงรู้
ชายผู้อยู่ด้านหลังเขามองร่างของเด็กหนุ่มที่บัดนี้กลับไปเป็นซัน เด็กชายชาวชนบทธรรมดาๆ ไม่ใช่มหาเวทย์ที่เกือบจะทำลายทั้งหมู่บ้านเมื่อครู่...
...พลังกำลังจะกลับมาแล้วสินะ แต่ทำไมล่ะ ทั้งที่ยังไม่ได้แก้มนตราสักหน่อย...เขาคิดขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่บัดนี้ลุกขึ้นเหมือนคนกำลังตัดสินใจบางอย่าง
“นายว่านายมาตามฉันกลับใช่ไหม”เด็กหนุ่มถามเสียงเรียบจนจับอารมณ์ไม่ถูก คิ้วทั้งสองด้านของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาม่วงสวยเอนเข้าหากันอย่างงงงวย
“ครับ”
“ถ้าย่างนั้น ฉันจะไปกับนาย”คำตอบรับที่ง่ายกว่าปรกติ ทำเอาชายหนุ่มถึงกับอึ้ง ทั้งที่น่าจะคิดว่าต้องรบกับคำเถียงสักสี่ยกหรือต้องมีการฉุดกระชากลกถูกลับไปเสียอีก มันอึ้งเสียจนหลุดปากถามออกไปอย่างควบคุมไม่อยู่
“ทะ ทำไมท่านถึงตามผมไปง่ายขนาดนั้นล่ะครับ”ซันเงียบไป ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครืออยู่ลึกๆ
“ยายเจ็บเพราะฉัน แล้วฉันจะทนอยู่กับยายด้วยความรู้สึกอย่างนี้ต่อไปได้ยังไง ถ้าฉันยังอยู่ ยายก็มีแต่ต้องมีอันตรายไม่เป็นอันกินอันนอน สู้ฉันจากไปเพื่อให้ยายอยู่อย่างปลอดภัยและมีความสุข...ดีกว่า”คำสุดท้ายหลุดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่แล้ว จากนั้นทุกอย่างในห้องก็เงียบกริบ ทุกสิ่งทุกอย่างราวหยุดอยู่กับที่ ชายหนุ่มนัยน์ตาม่วงมองเด็กหนุ่มอย่างเข้าใจก่อนจะหันหลังกลับไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มอยู่คนเดียวสมความตั้งใจ...
R
“ทั้งหมดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”ชายผมเงินตะโกนบอกเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ด้านในบ้านไม้ยกพื้น ซันไม่ตอบ เขาเดินไปรอบบ้านอย่างโหยหา โดยเฉพาะผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเขามา เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้เตียงก่อนจะก้มลงกระซิบบางอย่างให้ร่างที่ยังคงอยู่ในห้วงของการหลับใหล...
จากนั้นเขาก็เดินออกมาโดยไม่หวนกลับไปมองอีกเลย ชายหนุ่มมองร่างที่เดินมาเอื่อยๆลงจากบ้านตรงมาหาเขา แล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกด้วยความหนักใจ เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าเขา มองหน้าเขาราวสแกนหาอะไรบางอย่าง
“แล้วชื่อของคุณคือ...”
“นามของข้าคือเดรอนแห่งริส”การประกาศนามที่ทำเอาเด็กหนุ่มขมวดคิ้วสงสัย ทำไมจะต้องภูมิใจขนาดนั้นด้วยหว่า...
“แล้วท่านจะรู้ครับ”ซันไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้เขาเห็นชายหนุ่มที่ดูสุขุม ขยิบตาอย่างขี้เล่นให้เขาหรือเปล่าก่อนจะหันหลังไปขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนพื้น โดยมีสายตาของเด็กหนุ่มมองอยู่ห่างๆ
สักครู่เดรอนก็ลุกขึ้นปัดปัดมือและหักนิ้วกร๊อบแกร๊บอย่างมันมือและน่าหวาดเสียวสำหรับคนอื่น
“ท่านมาทางนี้หน่อยครับ”เขาหันมาหาเด็กหนุ่ม ซึ่งทำท่าเอ๋อ ชี้นิ้วมาที่ตนเอง ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาเดินเข้าไปใกล้เดรอนซึ่งยิ้มหล่อรออยู่แล้ว
“เจ็บหน่อยนะครับ ยื่นแขนมาครับ”เดรอนสั่ง ซึ่งเด็กหนุ่มก็ทำตามแม้ว่าจะดูไม่น่าไว้วางใจก็ตามที และเมื่อเดรอนควักกริชออกมา ซันก็ถึงกับกระโดดร่นหลังออกไปไกลด้วยความกลัว
“ฮะๆ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมแค่อยากขอโลหิตของท่านสักสองสามหยดเพื่อนำไมประกอบพิธีกรรมน่ะครับ”เดรอนยิ้มนิดๆ เมื่อมองเห็นว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ไกลเป็นวามองเขาด้วยสายตาตื่นๆ ซันเดินเข้ามาช้าๆทั้งๆที่ยังกลัวอยู่ก็ตาม
“ไม่เจ็บจริงน่ะ”
...ก็ตอนแรกบอกว่าเจ็บไม่ใช่เหรอ...
“รับรองครับ กริชนี้ทำมาจากแร่ธาตุจากเมื่อภูติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแถมยังผสานกับพลังรักษาของท่านเมอร์เนียแห่งป่าภูติอีกด้วย มีคุณสัมบัติพิเศษในการตัดของทุกชนิดหรือแม้กระทั่งผิวเนื้อของคนได้ในครั้งเดียว โดยคนๆนั้นไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด และแผลนั้นจะผสานตัวเองภายในครึ่งนาทีเท่านั้น”คำโฆษนาผลิตภัณท์กริชสีขาวเหลื่อมเงินที่ยิ่งทำให้คนอาจโดนเชือดกลัวยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มจรดมีดลงบนข้อมือของเด็กหนุ่มที่หลับตาปี๋ ในใจก็ภาวนาถึงพ่อแก้วแม่แก้ว สิ่งศักดิ์สิทิ์ในสากลโลกไปต่างๆนานา แต่ยังขอไม่ทันจบ...
“เสร็จแล้วครับ”น้ำเสียงขำๆลอยเข้ามาสู้ประสาทของเด็กหนุ่มที่ยังภาวนาไม่จบเสร็จดี เจ้าตัวค่อยๆลืมตาขึ้นมองก็เห็นใบหน้าหล่อที่ทำท่ากลั้นหัวเราะเกือบหลุดออกมาอย่างเต็มแก่ ก่อนจะไล่ลงไปที่ข้อมือของตนที่มีรอยแผลเล็กๆ เลือดสีแดงไหลออกมาเพียงเล็กน้อยและหยุดอย่างรวดเร็ว บาดแผลเริ่มปิดทั้งๆที่เขาไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย และรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ชายหนุ่มจับเขาเข้ามาใกล้พร้อมท่องอะไรบางอย่างที่ทั้งยาวแถมภาษาก็ไม่รู้เรื่องว่ามันภาษา แต่เขารู้สึกราวกับคุ้นเคยกับภาษานี้มาอย่างดี...
ในทันใด แสงสีฟ้าสว่างวาบไปทั่วแผ่นดินและรอยที่ชายหนุ่มขีดไว้คล้ายเป็นอักขระวงแหวนที่เห็นในหนังแฟนตาซีทั่วไป ชายหนุ่มกระชับตัวเขาเข้ามาใกล้ตนมากขึ้น ใบหน้านั้นดูจริงจังมากกว่าปกติ
“อิสทาเรีย!”เดรอนประกาศก้องพร้อมกับที่แสงทั้งหมดเข้ามาล้อมรอบตัวพวกเขาคล้ายพายุหมุนขนาดเล็ก มันย่อลงๆจนในที่สุดก็หายไปพร้อมกับร่างทั้งสองที่หายไปโดยไร้ร่องรอย...
ความคิดเห็น