คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรฟารอส บุตรแห่งอัลทาเรีย ภาค ศึกชิงโลก
เรฟารอส บุตรแห่งอัลทาเรีย
ภาค ศึกชิงโลก
ดินแดนที่ทุกอย่างลุกท่วมด้วยไฟจากสงคราม กลิ่นคาวของเลือดลอยโชยมาตามลมไปทุกหนทุกแห่ง ต้นหญ้าถูกทำลายจนสิ้นซาก ฝุ่นควันหนาปกคลุมไปทั่วราวหมอกที่จะกลืนกินดินแดนแห่งนี้ แผ่นดินแตกระแหง ร่างไร้ชีวิตนอนเกลื่อนไปทั่วสถานที่แห่งนี้ ส่วนร่างที่ยังคงมีชีวิตอยู่นั้นก็คงยากเต็มทนในการยืนขึ้นเพื่อต่อสู้ต่อ มีเพียงสองคนที่ยังคงยืนตระหง่านท่ามกลางไฟแห่งสงครามและการสูญเสียอันไม่มีทางได้กลับ...
...ชายสองคนที่แตกต่างราวทิวากับราตรีกาล...
ชายผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้เมื่อครู่ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นยังคงอยู่บนหลังม้าทรงโดยปราศจากรอยข่วน
“หึ องค์ชาย ท่านช่างดื้อด้านเหลือเกิน ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าท่านทำอะไรข้ามิได้หรอก”ชายผู้มีเครื่องแต่งกายเป็นสีดำล้วนกล่าวเหยียดหยามชายอีกคนที่กำมือแน่นระบายอารมณ์ ก่อนปล่อยออกไป
“จริงอยู่ว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้...”เขากล่าว
“แล้วท่านจะดิ้นรนไปอีกทำไม”
“ถ้าหากข้ายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่ข้ามี!”ชายผู้มีอาภรณ์สีขาวผุดผ่องประกาศกร้าวต่อจากประโยคก่อนของตน ชายผู้อยู่บนหลังม้าเบิกตาโพล่ง เมื่อไอเวทย์มหาสารผุดออกมาจากร่างของชายเบื้องหน้า ทั้งที่คิดว่าน่าจะหมดแล้ว
...บ้าน่า สู้มาตั้งสองวัน ทำไมถึงยังมีพลังเวทย์เหลือมากมายขนาดนี้เล่า...
“ข้าจะไม่ยอมยกโทษให้กับคนที่ฆ่าคนมากมายเพื่ออำนาจของตนเองหรอก!”น้ำเสียงเกรี้ยวกราดประกาศกร้าวไปทั่วดินแดน ปีกสีขาวสว่างทั้งสองผุดออกมาจากหลังของชายหนุ่มกระทบกับสายลมที่พลิ้วไหวอย่างอ่อนโยนรอบตัวเขา คว้ากริชที่ไม่รู้มาจากไหนกรีดลงบนข้อมือตนเองอย่างรวดเร็วก่อนที่ชายคนนั้นจะชูแขนไปบนท้องฟ้า เลือดสีแดงหลั่งรินออกมาจากบาดแผลนั้นไม่หยุดหย่อนลงมาตามข้อลำแขน และเมื่อมันตกกระทบไปสู่พื้นดิน มหาวงแหวนเวทย์ลายอักขระซับซ้อนก็ปรากฏใต้เบื้องเท้าของเขาในทันที แสงสีทองเปล่งออกมาจากตัวราวจะเป็นตัวแทนของพระอาทิตย์ที่ถูกควันบดบังอยู่เบื้องบน สายลมหมุนวนเข้ามาหาตัวเขาราวแม่เหล็กขนาดใหญ่
แสงสีทองนั้นตั้งฉากกับพื้นโลกบนมือของชายผู้นั้น ก่อนมันจะรวมตัวกันกลายเป็นลูกพลังขนาดใหญ่ที่ส่องแสงสีทองจ้าจนใครเห็นเป็นต้องเบือนหน้าหนี แสงนั้นไหลเข้าไปรวมกันราวไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งจากโดยรอบและตัวของชายหนุ่มเอง กระแสเวทย์มหาสารเมื่อครู่ถูกรวบรวมไปที่ลูกพลังนั้นเกือบทั้งหมด ทำเอาชายผู้อยู่บนอาชาเบิกตากว้างงุงงง
“ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเจ้าต้องโดนอะไรบ้าง”เขากล่าวขณะที่เริ่มร่ายเวทย์บ้าง แสงสีม่วงพุ่งมาจากด้านล่างใต้เท้าของเขาไม่หยุดหย่อนก่อตัวอยู่ด้านหน้า ไฟฟ้าสีดำสนิทลั่นเปรี๊ยยน่ากลัวรอบลูกพลังนั้นจากมือของชายผู้นั้น และความแรงของมันคงไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ เป็นแน่แท้
“ข้ารู้ดี และข้าก็รู้ด้วยว่าผลของมันเป็นเช่นไร ข้าจึงได้เลือกใช้มันยังไงเล่า”ชายที่ถูกเรียกว่าองค์ชายกล่าวเสียเรียบออกจะหอบด้วยความเหนื่อยล้าด้วยซ้ำ ลูกพลังทั้งสองขยายใหญ่ด้วยพลังพอๆกันของทั้งสองฝ่ายก่อนจะปะทะกันเมื่อเจ้านายของพวมันประกาศก้อง
“ทิวากรแหวกภพ!”
“อสุรากลืนปฐพี!~”
ลูกพลังสีดำวิ่งไล่ราบตามพื้น พลังของมันทำให้แผ่นดินแตกเป็นร่องยาวไหม้ดำเกรียม บ่งบอกถึงพลังและความแรงของมัน ขณะที่ลูกพลังสีขาวนั้นลอยขึ้นไปบนฟ้าหมุนรอบหนึ่งก่อนจะดิ่งผ่านอากาศลงมาอย่างรวดเร็ว เสียดสีกับอากาศส่งเสียงหวีดหวิวดูน่ากลัวราวมันมีชีวิตของมัน ลูกพลังทั้งสองปะทะกัน ทั้งสองหยุดยื้อกันไม่นานนักก่อนจะแตกออก แต่ลูกพลังทั้งสองลูกพุ่งเข้าหากันในระยะใกล้เกินไป มันปะทะกันด้วยความแรงระดับระเบิดปรมาณูที่ทำให้ใครก็ตามที่อยู่แถวนั้นโดนลมปลิวไปไกลเป็นเมตร พื้นดินแตกเป็นทางจากแรงลม ต้นไม้แห้งบ้างหักบ้างก็หลุดจากพื้นดินไปทั้งราก ดินรอบด้านระเบิดกระจายเป็นหมอกควันที่มองไม่เห็นอะไรเลยในระยะสองเมตร
เมื่อหมอกนั้นจางลง สายลมที่ตีกันอย่างรุนรงเมื่อครู่เริ่มสงบลง ลูกพลังทั้งสองก็หายไปแล้ว เหลือเพียงหลุมลึกรามสามเมตรขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวยี่สิบกว่าเมตรเป็นร่องรอย
“ในที่สุดก็เสมอกันเหมือนเดิมสินะ”ชายชุดดำกล่าวยิ้มแสยะให้ชายอีกคนที่ยังคงยืนก้มหน้านิ่งอยู่กับที่ มีเพียงรอยขาดที่เสื้อผ้าขาวสว่างนั้นมีเพิ่มมากขึ้นจากแรงปะทะของลูกพลังทั้งสอง ตอนนี้ชายชุดดำมิได้อยู่บนอาชา เพราะมันตายจากแรงระเบิดเมื่อครู่ ขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เอ หรือว่าท่านแพ้นะ เพราะเวทย์เมื่อครู่มันมีผลมิใช่หรือ”
เป็นไปดั่งว่า เส้นผมสีน้ำเงินน้ำทะเลสวยของบุคคลเบื้องหน้าตนแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำเรื่อยๆราวตอกย้ำคำของอีกฝ่าย แต่ผู้ที่ถูกยัดสถานะให้นั้นกลับสวนกลับด้วยท่าทางนิ่งเงียบ
“พูดอยู่นั่น ดูด้านหลังหน่อยสิ”คำที่เขาได้กลับมาไม่ใช่สิ่งที่หวัง แต่ทำให้ชายชุดดำหันไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจอย่างแรง
เพราะด้านหลังเขานั้นคือวงแหวนเวทย์ที่เกิดอยู่กลางอากาศ เพลิงสีขาวสว่างลอยอยู่ทั้งแปดทิศ และสิ่งที่ออกมาจากวงแหวนนั้นคือโซ่สีขาวบริสุทธิ์ที่พร้อมจะพันธนาการใครก็ตามที่นายมันสั่ง และไม่ต้องสงสัยว่าคราวนี้คนที่จะถูกมันพันธนาการนั่นก็คือเขานั่นเอง
“ฮึ่ย! เฮ้ย!”
แต่เมื่อเขาจะกระโดดหนีวงแหวนเวทย์สีขาวอีกวงหนึ่งก็ปรากฏใต้เท้าเขาทำให้เขาขยับขาไม่ได้ โซ่สีขาวนั้นเข้ามาพันธนาการเขาสำเร็จ ก่อนที่มันจะหยุดและดึงเขาเข้าไปในวงแหวน!
“อ้าก!!!!!!”เสียงโอดครวญน่าเวทนาดังออกมาจากในวงแหวนนั้น
“จะ เจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!!!!!!!!!!!!!!!!!”นั่นคือคำสุดท้ายที่ชายชุดดำให้ไว้ก่อนที่วงแหวนเวทย์นั้นจะบีบกัดตัวเองบินไปบนท้องฟ้าเพื่อผนึกร่างของชายชุดดำไว้ที่ใดที่หนึ่งบนโลกนี้ และเฝ้ารอวันที่ใครสักคนจะมาคลายผนึกนี้ออก
ณ ที่ดินแดนเดิม ชายชุดขาวยังคงยืนอยู่กับที่ก้มหน้าต่ำไม่เคลื่อนไหวกาย ทุกสิ่งหยุดนิ่งลง ท้องฟ้าเปิดขึ้นอีกครั้ง แสงของพระอาทิตย์สาดส่องเล็ดลอดผ่านม่านเมฆหมอกที่เริ่มจากหาย ความดำมืดกำลังจะหมดไปด้วยฝีมือของเขา แต่เขาคนนี้กำลังจะหายไป
“ไม่ต้องฆ่าข้าหรอก เพราะข้าจะไม่อยู่ให้เจ้าฆ่าได้หรอก”เขาพูดพึมพำคนเดียว ก่อนที่แสงสีทองจากวงเวทย์ที่ปรากฏใต้แทบเท้าเขาจะเปล่งออกมาและกลืนกินเขาเข้าไปในนั้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงสว่างเรืองรอง น่าเสียดายนักที่เขาไม่สามารถจะอยู่ต่อไปเพื่อยินดีกับมันได้ น้ำใสๆค่อยๆเอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตานั้น รอยยิ้มเศร้าราวปลอบตนเองเผยออกมาจากปากได้รูปนั้น
“ชายชาตรี ย่อมไม่ร้องไห้... ข้าคงทำตามที่ท่านบอกไม่ได้แล้วล่ะครับ ...ท่านพ่อ...”
ร่างของชายหนุ่มถูกดูดกลืนไปจนหมด หายไปก่อนที่แสงอาทิตย์จะมาถึงเขาเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น
ทั้งหมด... เหลือเพียงซากประวัติศาสตร์ เป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่จะเป็นคนเล่ากันต่อกันไป...
ความคิดเห็น