ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF- ตำหนักร้อนบำเรอรัก [markson]

    ลำดับตอนที่ #14 : 13 [REAL END]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.36K
      24
      30 ก.ค. 58

    ตำหนักร้อนบำเรอรัก

    13

     

     

     

     

     

     

    ฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว...

     

    ทุกอย่างหมุนวนเดินไปอีกครั้ง

     

    อี๋เอินเงยหน้าขึ้นจากกระดาษเอกสารทางราชการ มองกลีบบอบบางของต้นท้อร่อนลอยปลิวตกเข้ามาในห้องทำงาน บ้างก็ตกอยู่บนพื้น บ้างก็ปลิวตกบนเอกสารที่กำลังจะจรดปากกาขนนกลงไป น่ารำคาญไปบ้างแต่ชายหนุ่มก็เลือกจะเปิดบานหน้าต่างไว้ อากาศวันนี้เย็นพอสบายตัวไม่หนาวมากหรือร้อนจนเหงื่อออก ดวงตาสวยไล่มองข้อความบนกระดาษคำสั่งเร่งด่วนจากเมืองหลวงแล้วถอนหายใจ คิ้วหนาขมวดติดกัน เครียดกับเนื้อสารที่เพิ่งอ่านจบ

     

    ทางใต้กำลังก่อเค้าวุ่นวายเพราะการกบฏจากเผ่าคนเถื่อน มีสารมาว่าให้เมืองทุกเมืองรักษาความปลอดภัยให้รัดกุม...

     

    แค่นี้เมืองเขาก็วุ่นวายไม่พอหรือยังไง?

     

    อี๋เอินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ช่วงนี้บ้านเมืองชักจะไม่สบสุขเหมือนเก่า มีโจรชุมเยอะขึ้น แต่ไม่ได้มาจากพวกชาวบ้านหรอก เป็นพวกคนต่างถิ่นที่เข้ามาแล้วไม่รู้กฎเกณฑ์บ้านเมือง ยังไม่มีอิทธิพลแค่เช้ามาทำความวุ่นวาย จัดการไม่ยากเท่าไหร่ แต่ไอ้พวกที่เขาห่วงคืออำนาจเก่าต่างหาก เบื้องหลังพวกตระกูลผู้ดีทั้งหลายก็มีแต่ความโสมม ต่อหน้าก็ขึ้นตรงต่อเขาแต่พอลับหลังก็ปลิ้นปล้อนหลอกลวงประชาชน คนพวกนั้นน่าโดนโบยให้หลังลายจริงๆ

     

    “เอ้าๆ หัวคิ้วจะรวมกันแล้ว ท่านเจ้าเมือง”

     

    “หุบปากของเจ้าแล้วมาช่วยข้าทำเอกสารพวกนี้ให้เสร็จจะดีกว่า”

     

    เฟิงจีหัวเราะ เดินเข้ามาใกล้สหายสูงศักดิ์ที่นั่งทำงานหัวฟูอยู่ท่ามกลางกองเอกสารมากมาย ใบหน้าหล่อเหลาดูคร่ำเคร่งและซูบโซมกว่าที่เห็นเมื่อสามเดือนก่อนอยู่โข ก็ไม่อยากตัดสินหรอกนะ แต่ตั้งแต่เจียเอ๋อเป็นอิสระพ้นจากตำหนักไป อี๋เอินก็ไม่เป็นท่านอี๋คนเดิมอีกต่อไป

     

    บุรุษหนุ่มผู้สง่างาม เงียบสงบและใจเย็น กลับกลายเป็นคนคร่ำเคร่งและเย็นชา ราวกับชีวิตชีวาของอี๋เอินหายไปพร้อมกับอดีตสนมหนุ่มผู้นั้น

     

    “เจ้าดูโทรมลงเยอะเลยนะ อี๋”

     

    “...ข้ารู้”

     

    “ไม่หาคนดูแลเจ้าสักคนล่ะหืม? อายุเจ้าก็ถึงวัยแล้วนะ”

     

    มือที่กำลังจับปากกาขนนกหยุดชะงักจนหมึกดำละเลงกว้างทั่วหน้ากระดาษ อี๋เอินเปรยตามองอีกคนดุๆ ส่งสายตาเตือนไม่ให้อีกคนพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก มือเรียวเสยเส้นผมยาวรุงรังประใบหน้าแต่ก็ไม่คิดจะรวบมันขึ้น อี๋เอินปล่อยตัวเองมากจริงๆ

     

    เฟิงจีมองมือที่จับปากกาเขียนต่ออย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     

    “เจ้าไม่ได้จับดาบมานานเท่าไหร่แล้วอี๋”

     

    “ข้าไม่ว่างฝึกหรอก งานข้ารัดตัวเกินไป”

     

    “ข้ออ้างของเจ้าอาจโกหกตัวเองได้ แต่มันโกหกข้าไม่ได้หรอกอี๋...ถ้าคิดถึงขนาดนั้นก็ไปตามเขากลับมาสิ จะมามัวนั่งทุกข์แบบนี้ทำไม”

     

    อี๋ถอนลมหายใจหนักหน่วง วางปากกาลงเก็บเอกสาร วันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำงานต่อแล้ว เป็นเพราะสหายจอมจุ้นของเขาแท้ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้บิดกายคลายกล้ามเนื้อ เดินไปหยุดมองต้นดอกท้อใกล้บานหน้าต่าง และหากมองลงไปด้านล่างก็จะเจอกับห้องเล็กท้ายตำหนัก ห้องที่รวมความทรงจำของเขาและใครคนนั้นที่จากไปเต็มไปหมด

     

    “เขาชนะและควรได้รับรางวัล ข้าสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ไปยุ่งกับเขาอีก จะให้ข้าผิดสัญญาอย่างนั้นหรือ”

     

    “มันก็ใช่...แล้วเจ้าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันล่ะ?”

     

    คำตอบของคำถามช่างเงียบงัน เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่สามารถตอบได้ ความทุกข์ระทมเพราะความคะนึงหาใครบางคนที่ไม่มีสิทธิ์ทวงกลับคืน ยิ่งนับวันยิ่งฝังรากลึกจนไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อไหร่บาดแผลนี้จะหายไปจากใจ

     

    “เสียดายที่เขาไม่รอจนเห็นดอกท้อต้นนี้บาน...”

     

    เฟิงจีถอนหายใจ ตัดสินใจเดินออกมาจากห้องสหายผู้ยังติดลึกกับคนที่ทำหลุดมือไป เขาคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ในเมื่ออี๋เอินไม่มีความกล้าจะเอากลับคืนเอง และเขาก็คงเป็นเพียงคนนอกที่ได้แต่มองว่าละครมหรสพแสนเจ็บปวดใจนี้จะจบลงอย่างไร หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของละครเรื่องนี้จริงๆ...

     

    เจ้าเมืองฉียิ้มน้อยๆมองกลีบดอกท้อดอกหนึ่งที่ร่วงตกลงมาบนฝ่ามือ เขายกขึ้นมามองและอดเทียบสีของมันไม่ได้ว่าช่างเหมือนกับริมฝีปากของใครคนนั้น จรดริมฝีปากลงบนกลีบนุ่มอ่อนสีสวยแผ่วเบา ลมแรงสายหนุ่มพัดผ่านมากระชากกลีบดอกไม้กลีบน้อยลอยละลิ่วไปกับสายลมอย่างไม่มีวันได้กลับคืน ชายหนุ่มมองตามมันไปและหัวเราะขื่นขมในลำคอ

     

    ...เขานี่มันน่าสมเพชจริงๆ...

     

     

     

     

     

    อี๋เอินเดินกลับไปตามทางเลียบสวนหลวง เหม่อมองดูพรรณไม้หายากแข่งกันเบ่งชูสีสันงดงามบานสะพรั่งไปทั้งสวนยิ้มๆ พวกนางกำนัลในชุดสีสันสวยงามตามฤดูกาลกำลังเด็กดอกไม้งดงามบางดอกลงตะกร้าเพื่อนำไปประดับในตำหนัก แน่นอนว่ารวมไปถึงห้องนางสนมด้วย...

     

    “ข้าขอช่อหนึ่งสิ”

     

    เอ่ยปากกับนางกำนัลผู้หนึ่งที่ตกใจจนเกือบทำตะกร้าหล่น นางรีบโค้งศีรษะลงทำความเคารพเขา แก้มแดงก่ำไม่รู้ว่าเขินหรือกลัว อี๋ย้ำความต้องการอีกรอบ นางถึงจัดดอกไม้ช่อหนึ่งยื่นให้ อี๋รับมันมาและเดินต่อไป ยกขึ้นสูดดมกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้แรกแย้ม

     

    “สวัสดียามสายค่ะท่านอี๋เอิน”


    “อ้าว ซูหนิง นั่นเจ้ากำลังจะเอาแจกันนั่นไปไว้ไหน”

     

    หัวหน้านางสนมของตำหนักเลี่ยงหรงยิ้มสง่าและตอบรับเสียงใส “ไปเก็บเจ้าค่ะ แจกันนี้ข้าเพิ่งได้รับมาใหม่จากพวกพ่อค้าเร่ เห็นว่างดงามดีเลยซื้อมาเผื่อไว้ใช้”

     

    “เช่นนั้นข้าขอ”

     

    “ใส่ดอกไม้นั่นหรือเจ้าคะ เดี๋ยวซูหนิงจะจัดให้เจ้าค่ะ”

     

    นางทำหน้าฉงนเมื่อเจ้าเมืองผู้สูงศักดิ์ส่ายหน้า

     

    “ข้าจัดการเอง”

     

    .

    .

    .

     

     

    อี๋เอินเดินหอบดอกไม้และแจกันเดินมาตามทางเดินยาวของห้องเหล่านางสนม แต่วันนี้เขามิได้มาหาใคร ชายหนุ่มแค่เดินผ่านเพื่อไปถึงห้องเล็กๆไร้ความน่าสนใจตรงท้ายตำหนัก ห้องที่เคยเป็นของเจียเอ๋อ นับแต่วันที่เจียเอ๋อไป เขาก็สั่งให้นางกำนัลเข้ามาทำความสะอาดที่นี่ ห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายสิ่งใดออกไป จากนั้นก็ปิดตายห้องนี้มาโดยตลอด หยุดยืนมองบานประตูครู่หนึ่งและผลักมันเข้าไป สูดกลิ่นอายที่แทบไม่เหลืออยู่ของใครคนนั้น วางแจกันบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง จัดดอกไม้ช่อเล็กๆใส่ไว้วางมองมัน ลุกขึ้นเดินไปรอบห้องเล็กนี้ ไม่แปลกที่เจียเอ๋อจะบ่นเพราะที่นี่เล็กแคบและไม่มีอะไรเลยจริงๆ

     

    ตาสวยเหลือบไปมองกล่องขลุ่ยบนหัวเตียงเล็ก มือเรียวลูบฝุ่นละอองบนกล่องไม้ออก ยกมันขึ้นมานั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดิม ขลุ่ยเลาเดิมที่เคยมอบให้เจียเอ๋อยังนอนอยู่ในผ้าบุสีเข้ม ชายหนุ่มยกมันขึ้นมาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่ไม่ปรากฏทิวทัศน์ใดๆยกเว้นกำแพงและท้องฟ้าใสเพียงบางส่วน ยกจรดริมฝีปาก หลับตาลงใฝ่ฝันจินตนาการถึงคนที่อยู่แสนไกล

     

     

    ภาพลวงตาแห่งความรักและความเกลียดชังยังปรากฏชัด

    ฉันที่เป็นคนจูงมือเธอไปสู่ภาพเหล่านั้นกำลังทุกข์ทรมาน

    ฉันที่อยู่ตรงนี้

    กับเธอที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

     

    ฉันจะรอเธอ... แต่หากไม่เจอ เราก็คงไม่ใช่คู่กัน

    ฉันพึ่งรู้ว่าเธอคือลิขิตที่ฟ้าส่งมาให้ คือภาพความจริงของความรู้สึก

    เธอก้าวเข้ามาโลกที่เต็มไปด้วยหิมะธารน้ำแข็งอันแสนเย็นชาของฉัน

    บุกรุกเข้ามาและทำให้มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากตัวเธอ

     

     

    มือเรียววางขลุ่ยลงที่เดิม เงยหน้ากลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตา หัวเราะให้กับความอ่อนแอของตนเอง

     

    ...จะเก่งกล้าจากไหน สุดท้ายก็แพ้สิ่งที่เรียกว่าความรักจริงๆ...

     

     

     

     

     

     

    ตะวันตกดิน ท้องฟ้าก็พลันมืดมิด วันนี้เป็นคืนกระจ่างไร้เมฆ เห็นดวงจันทร์กลมโตเต็มดวงแจ่มชัด พวกนางกำนัลและนางสนมเปิดหน้าต่างออกชมความงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนกันใหญ่เพราะไม่อาจออกมาจากห้องได้ในตอนกลางคืน พวกทหารเฝ้ายามกันแน่นหนาเพราะความวุ่นวายของเมืองหลวงอาจส่งผลกระทบถึงเมืองฉีตอนไหนก็ได้

     

    อี๋เอินในชุดฮั่นฟูสีน้ำเงินเข้มเตรียมตัวเข้านอนเดินมานั่งอยู่หน้าต่างบานใหญ่ เงยหน้าชื่นชมจันทราดวงใหญ่ส่องแสงละมุนปกคลุมไปทั้งแผ่นดิน แม้จะไม่สว่างเทียบเท่าดวงอาทิตย์ร้อนแรงแต่ก็เป็นแสงเย็นย่ำสบายตา ผืนนภาสีเข้มยิ่งทำให้ดวงจันทร์คืนนี้งดงามกว่าวันไหนๆ

     

    ห้องนอนกว้างใหญ่หรูหราไปด้วยทองคำและของหายากล้ำค่าแห่งนื้คือห้องส่วนตัวของเขา ส่วนใหญ่เป็นของที่ตกทอดมารุ่นต่อรุ่นและได้รับเป็นของบรรณาการจากชนผู้สวามิภักดิ์ อี๋เอินไม่ชอบแสวงหาของมีค่า จึงไม่ขวนขวายจะได้มันมาเหมือนเจ้าเมืองคนอื่นๆ แม้แต่หญิงงามชั้นฟ้าเขาก็ไม่สนจะแย่งชิง หลายต่อหลายบทเรียนควรสร้างบทเรียนให้คนที่ได้ยินมัน มากนักที่เมืองแข็งแกร่งทั้งหลายจะล่มสลายเพราะหญิงงาม

     

    นอกจากดาบ เพลงขลุ่ยเพราะๆ ก็เป็นความเงียบสงบของยามค่ำคืนนี่แหละที่เป็นของโปรดเขา

     

    มือเรียวยกชาร้อนขึ้นมาจิบ หลับตารับรสละมุนลิ้น หยิบเอาเลาขลุ่ยที่หยิบยืมมาจากห้องเล็กท้ายตำหนักขึ้นมาขับกล่อมเสียงเพลงแว่วหวานแฝงความคะนึงหาใครบางคนอีกครั้ง

     

     

    หนึ่งความรักกับหนึ่งช่วงเวลา หนึ่งดอกไม้บานและหมู่เมฆก้อนหนึ่ง

    ในภาพแห่งความลวงนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นคือความรัก

    หนึ่งฝั่นละอองและหนึ่งช่วงบรรลุ หนึ่งแสงดาวตกและตัวเธอ

    กลับมาได้ไหม ความรักนั้น ฉันจะทะนุถนอมมันไว้ในฝ่ามือ

     

    ยิ่งฉันกอดแน่นมากเท่าไหร่ ความรักและความโลภก็มากขึ้นเท่านั้น

    ต้องรักจนปวดใจตาย

    ในมือซ้ายนั้นกำหัวใจว่างเปล่า ส่วนมือขวาฉันกำความหลงใหล

    สองมือเข้าลึกไปถึงหัวใจ ความหวั่นไหวและความทุกข์กำลังจารึกลงในใจ

     

    ไม่ยอมรับโชคชะตานี้ได้ไหม...

    ถ้าได้...ฉันจะขอเปลี่ยนมันเพื่อได้เธอกลับมา

     

              ดวงตาสวยกระชากลืมมองเสียงเอะอะวุ่นวายด้านนอก เสียงลั่นระฆังบอกเหตุร้ายเป็นสัญญาณว่ามีผู้บุกรุกล่วงล้ำเข้ามาในเขตตำหนัก ชายหนุ่มวางขลุ่ยนั้นลงบนกล่อง หยิบกระบีเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างอีกบานมองสถานการณ์อย่างใจเย็น

     

    “มันไปทางนั้นแล้ว จับมันไว้!

     

    “มันกำลังตรงไปห้องท่านอี๋เอิน!!!

     

    เมื่อแน่ชัดแล้วว่าผู้รุกมีเป้าหมายอยู่ที่เขา และคงมาเพียงคนเดียวก็ระบายยิ้มพราย ไม่มากนักหรอกที่จะมีใครกล้าบุกรุกเข้าเขตตำหนักของเขาด้วยตัวคนเดียว ไม่เก่งมากก็ต้องโง่มากแน่ๆ...

     

    หลับตาเปิดสัมผัสจนสูงสุด ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากทางระเบียงทางเดินด้านซ้าย นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่ขณะเปิดประตูออกไป เปิดตามองผู้บุกรุกที่วิ่งหนีพวกทหารมาทางเขา

     

    แต่เพียงสบตา เวลาก็ถูกแช่แข็ง

     

    ร่างผู้บุกรุกแสนอุกอาจนั่นป้ำเป๋อขนาดหยุดตัวเองไม่ได้ สองเท้าเล็กพยายามจะหยุดวิ่งด้วยใบหน้าเหวอหวาดูไม่เป็นพิษเป็นภัย และชนร่างอี๋ที่ยืนนิ่งอยู่เข้าให้เต็มๆ ส่งเสียงร้องครางเจ็บเบาๆในลำคอ ในขณะที่คนโดนชนโอบกระชับเอวเล็กท่ามกลางความตื่นตระหนกของพวกทหารที่วิ่งตามมาอย่างกลัวว่านายตัวจะเกิดอันตราย

     

    ความรู้สึกทุกอย่างกำลังระเบิดพวยพุ่งออกมาจนเกินระงับไหว มือเรียวปล่อยกระบี่ลงกับพื้น โอบรัดร่างเล็กนั่นเข้าชิดกาย จับใบหน้ากลมมนเชิดขึ้นประกบริมฝีปากเข้ากับกลีบดอกท้อสีสดที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดแนบแน่น

     

    “อื้ม!!”ร่างเล็กกว่าทุบบนหลังเขาหนักๆครั้งหนึ่งเพราะตั้งตัวไม่ทัน แต่พอโดนรุกมากเข้าก็คลายมือลูบขึ้นคล้องคอชายหนุ่มผู้เหนือคนทั้งแผ่นดินไว้แน่น เอียงใบหน้ารับจูบอย่างเต็มใจ จุมพิตร้อนบดขยี้เรียวปากอิ่มเอิบให้ช้ำแดง ส่งเรียวลิ้นเล็กหยอกเอินลิ้นเรียวที่เข้ามาดูดรัดฟันกันในโพรงปากนุ่ม ซึมซับความคิดถึงผ่านทางรสสัมผัสหวามเสียจนร่างกายรู้สึกร้อนวูบวาบ มือเรียวโอบกอดร่างนั้นเข้ามาชิดจนแทบสนิทลงไปเป็นเนื้อเดียวในขณะที่อ้อมแขนเล็กก็โอบรับลำคอแกร่งไว้แน่นไม่ต่างกัน

     

    นายทหารรวมถึงผู้คนที่แตกตื่นออกมาเพราะเสียงเอะอะเมื่อครู่ถึงกับนิ่งค้างกลืนน้ำลายลงคอมองภาพองค์เหนือหัวกับผู้บุกรุกกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเร่าร้อนสร้างโลกส่วนตัวสีชมพูไม่สนใจสายตานับร้อยของคนในตำหนักด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จากอึ้งค้างกลายเป็นจ้องตาแทบถลนอ้าปากพะงาบๆมองมือเรียวของอี๋เอินที่เริ่มเลื้อยปลดผ้าคลุมเอวผู้บุกรุกออก

     

    ...คือ เข้าห้องดีกว่าไหมท่าน...

     

    “อะแฮ่ม”ในที่สุดก็มีผู้กล้ากระแอมไอเตือนสติเสียงดัง คนนั้นก็ไม่ใช้ใครอื่น ก็ท่านเฟิงจีที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ข้างๆกันก็คือท่านหญิงของตำหนักผู้กำลังปิดปากทำหน้าสมใจ...เอ่อ รื่นเริง...อ่า...เอาเถอะ ท่านหญิงดูจะพอใจเอามากๆจนน้ำตาไหลพรากอยู่ข้างๆท่านเฟิงจีนั่นล่ะ

     

    อี๋เอินเหลือบตามองเฟิงจีอย่างไม่พอใจเพราะกระแอมไอขัดจังหวะ ในขณะที่เจียเอ๋อมุดหน้าลงกับอกแกร่งอย่างเพิ่งนึกอายสายตาประชาชี แล้วท่านเจ้าเมืองฉีก็ทำในสิ่งที่ทำให้หญิงสาวในตำหนักกรีดร้องเพราะความอิจฉา เพราะจู่ๆท่านชายก็โอบรอบสะโพกแน่นอุ้มร่างเล็กนั้นลอยเหนือพื้นบังคับให้เรียวขาเล็กจับเกาะอยู่บนสะโพก ช้อนก้นอุ้มเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ส่งเสียงคำสั่งก้อนเป็นอันจบความอยากรู้อยากเห็นได้อย่างง่ายดาย

     

    “พรุ่งนี้ข้าไม่ออกว่าความ หากมีเหตุด่วนให้เหมยหลินออกหน้าแทน ห้ามใครเข้ามาในห้องข้า หากมีอะไรข้าจะเรียกใช้เอง”

     

    สิ้นคำก็ปิดประตูฉับ จบเรื่องไปเสียง่ายๆ เหมยหลินบิดกายเขินอายราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง มือไม้ระทวยข่วนเฟิงจีที่หัวเราะเป็นคนโรคจิตอยู่ข้างๆ ส่วนคนอื่นๆก็ค่อยๆเก็บสติและพากันทยอยออกไป แล้วก็ต้องรีบจรลีหายไปเมื่อเสียงในห้องเริ่มดังออกมาจนคนฟังหน้าร้อนผ่าวหาที่หลบภัยตามๆกัน

     

     

     

     

    อี๋เอินอุ้มร่างเจียเอ๋อเข้ามาในห้อง วางอีกคนไว้บนเตียงหลังใหญ่และลุกขึ้นคร่อม พินิจมองคนที่ไม่คิดว่าจะได้กลับคืนมาในอ้อมกอดด้วยแววตารักใคร่ เสียจนคนถูกมองเขินอายแก้มแดงปลั่งยกมือขึ้นปิดแก้มกลมของตนไว้

     

    “ปิดทำไม ข้าอยากเห็นหน้าเจ้านะ”

     

    “มันน่าอาย มันต้องแดงจนน่าอายมากแน่ๆ”

     

    อี๋เอินส่ายหน้า จับมือเล็กออกสอดประสานนิ้วกดมือเล็กกร้านไว้บนฟูกนอน ไล่สายตามองร่างนั้นทีละส่วนด้วยความคิดถึง ผิวขาวนวลเนียนออกคล้ำแดดขึ้นนิดหน่อยแต่ยังนับว่าขาวกระจ่างมากอยู่ดี เรือนผมยาวถูกตัดสั้นประบ่าดูแปลกตาแต่ก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใบหน้ากลมหวานอ่อนละมุนขึ้นและน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเดิม คิ้วเรียวเหนือดวงตากลมโตทอประกายวาววับ จมูกโด่งปลายรั้น ริมฝีปากอวบอิ่มจิ้มลิ้ม ทุกสิ่งไม่เปลี่ยนไปเลย มีแต่สีหน้าดูมีความสุขของเจียเอ๋อเท่านั้นที่เพิ่มมาให้เห็น

     

    “หายไปไหนมา”

     

    “เรื่องมันยาว”

     

    “ไม่เป็นไร...ข้าดีใจนะ ที่เจ้ายอมกลับมา”

     

    ชายหนุ่มเกลี่ยผิวแก้มอ่อนบาง จุมพิตริมฝีปากเอิบอิ่มแผ่วเบา ผละออกมาจ้องมองด้วยสายตารักใคร่ ลูบนิ้วไปที่ข้างลำคอขาว และก้มลงจุมพิตสั้นๆอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่โดนกระทำเช่นนี้ทำให้เจียเอ๋ออายจนแทบระเบิดตัวเองออกมาเป็นไอร้อน

     

    นี่อี๋เอินจะรู้ไหมว่าสายตาของตัวเองตอนนี้เป็นพิษเป็นภัยแก่เขาขนาดไหน

     

    “ท่านจะไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าข้ากลับมาเพราะอะไร”

     

    “เจ้าคิดถึงข้า”

     

    “หลงตัวเองไปหน่อยไหมท่านอี๋...คิกๆ”เสียงหัวเราะแหลมสูงนั้นช่างดูมีความสุขแม้กระทั่งคนได้ยินก็ยังเผลอยิ้มตาม “ข้าก็แค่...เหงาๆ ก็เลยมาวิ่งเล่นในตำหนักให้ท่านจับเล่นๆ”

     

    เจียเอ๋อลอยหน้าลอยหน้าตอบ ผิดกับอี๋เอินที่พอฟังคำแถลงของคนใต้ร่างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทั้งที่ประโยคนั้นออกจะกวนประสาทชวนให้เขกกะโหลกคนฉอเลาะ แต่พอออกมาจากปากคนที่รักกลับทำให้เขามีความสุขมากเสียขนาดนี้ อี๋เอินกดจูบบนหน้าผากมนแผ่วเบา

     

    “ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปไหนอีกแล้ว เจียเอ๋อ”

     

    “หึ มันก็แล้วแต่ท่านว่าจะรั้งข้าไว้ด้วยวิธีไหน”

     

    “แล้วถ้าข้ารั้งเจ้าไว้ด้วยหัวใจ...เจ้าจะยอมอยู่กับข้ารึเปล่าล่ะ?”

     

    “ลมปากหรือจะสู้การกระทำ”เจียเอ๋อหัวเราะร่วนทั้งใบหน้ายังแดงก่ำ สะดุ้งวาบมองร่างสูงสง่าที่สอดตัวเข้ามาชิด มือเรียวโอบสะโพกเข้าไว้ มืออีกด้านก็ลูบไล้จนบางสิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในร่าง

     

    “เช่นนั้นข้าก็จะรักเจ้า จนกว่าข้าจะแน่ใจว่าเจ้าจะไม่หนีข้าไปอีก”

     

    “หึ เจ้าเมืองลามก”มือเล็กเปะข้างใบหน้าหล่อเหลา ผงกศีรษะขึ้นประทับจูบอ่อนหวานเบาๆแล้วผละออกมา อี๋เงียบไปพักหนึ่ง หัวเราะในลำคอและมองคนช่างยั่วด้วยแววตาแสนเจ้าเล่ห์

     

    “ก็ในเมื่อเจ้าน่ารักขนาดนี้ จะให้ข้าทนไหวได้หรือ?”

     

    “ใครบอกให้ท่านทนกันล่ะ”



















    [ตัดฉับๆ]




















     

    “ข้ารักเจ้าเจียเอ๋อ”กระซิบบอกเสียงหวานย้ำเตือนให้อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกของตน จ้องมองดวงตากลมที่เสหลบเขินอาย

     

    “อืม...ข้าได้ยินแล้ว”

     

    “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าคิดอย่างไร”

     

    เจียเอ๋อไม่ตอบในทันที ขยับกายดันสะโพกสอบให้ถอนสมอออกไป ก้มมองน้ำขาวขุ่นที่ไหลย้อนลงมาตามง่ามขา นิ้วป้อมลูบมันขึ้นมาปาดไปบนริมฝีปากเรียวสวยของคนที่ยังอึ้งค้างอยู่ ลอบยิ้มแสนซุกซนขยับตัวขึ้นมานั่งบนตักแกร่งกระกบจูบดูดดื่มพัวพันไม่มีใครยอมใคร จนอารมณ์ที่เพิ่งดับไปเริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง มือเรียวที่โอบสะโพกนิ่มเริ่มไม่อยู่เฉย ฟอนเฟ้นเนื้อแน่นนุ่มมือเข้าใกล้ช่องทางฉ่ำ และก็ต้องละออกเพราะโดนเจียเอ๋อตีมือเข้าให้ ตากลมดุวาบแสนงอน

     

    “ท่านนี่ลามกจริงๆเลย เพิ่งเสร็จไปไม่ใช่รึไง”

     

    “กับเจ้าเท่าไหร่ข้าก็ไม่พอหรอก”อี๋เอินตอบรับหน้าตายจนกลายเป็นคนท้วงที่หน้าแดงเอง “ตอบข้าสิ”

     

    “หึ ให้ทำขนาดนี้ถ้าท่านเดาไม่ได้ก็ไม่ควรขึ้นครองบัลลังก์เจ้าเมืองหรอก”

     

    “เจียเอ๋อ”ชายหนุ่มส่งเสียงอ้อน ทำหน้าน่าสงสารอย่างที่ไม่เคยหลุดมาดให้ใครได้ขนาดนี้ เจียเอ๋อมองแล้วหลุดหัวเราะ โถมร่างลงไปชิดกระซิบคำนั้นข้างใบหู เพียงแผ่วเบาแต่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหัวใจ

     

    “ข้าก็รักท่าน อี๋เอิน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ฟ้าสางรุ่งอรุณ พระอาทิตย์ดวงโตโผล่พ้นขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าตะวันออก เสียงนกน้อยบินร่อนอยู่ด้านนอก และเสียงเพลงขลุ่ยแว่นหวานใกล้ตัว เรียกให้ร่างที่ยังนิทราใต้ผ้าห่มผืนหนาลืมตากระพริบปรือ เจียเอ๋อยกมือขยี้ตา เหลียวหาเจ้าของเสียงขลุ่ยซึ่งเป็นคนเดียวกับที่โอบกอดเขาตลอดทั้งคืน

     

    “อืม...ท่านกำลังทำอะไร”ส่งเสียงแหบพร่าถาม หรี่ตาปรืออย่างคนยังไม่อยากตื่นดี

     

    อี๋เอินหันมามองร่างเล็กบนเตียงและยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของคนรัก เพลียขนาดนั้นยังจะลุกขึ้นมาอ้อนเขาได้อีกนะ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ติดหน้าต่างกลับไปนั่งบนฟูก ลูบเส้นผมนุ่มฟูของเจียเอ๋อที่ขยับศีรษะถูอ้อนราวกับลูกสุนัขตัวเล็กๆแสนเชื่องแม้ตาจะยังปิดแน่นอยู่ก็ตาม

     

    “เป่าขลุ่ย ฟังไหม?”แม้จะถามแต่ก็ไม่หยุดฟังคำตอบของเจียเอ๋อ ชายหนุ่มจรดขลุ่ยเป่าท่วงทำนองเพลงเดิมแต่คราวนี้กลับหวานละมุนชวนให้คนฟังรู้สึกอบอุ่นชวนไว้วางใจ

     

    สามีภรรยา 7 ชาตินั้นคงเป็นเพียงแค่ตำนาน

    7 วัน 7 เดือนนั่นคงต้องรออีก 1 ศตวรรษ

    เธอคือท้องฟ้า ผืนดิน สายลม และแสงแดด

    เธอคือกบฏที่ทำให้ใจฉันปั่นป่วนมันไปทุกฤดู

     

    หนึ่งความรักกับหนึ่งช่วงเวลา หนึ่งดอกไม้บานและหมู่เมฆก้อนหนึ่ง

    ในภาพแห่งความฝันและแดนหิมะของฉัน สิ่งนั้นคือรักที่คอยรั้งหัวใจ

    กลับมาได้ไหม ความรักนั้น ฉันจะทะนุถนอมมันไว้ในฝ่ามือด้วยใจจริง

     

    สุดที่รัก ความรักของฉัน ฉันจะถนอมเธอไว้มิให้จากไปไหนไกล

     

    “หวานเชียว จะเอาไว้เป่าให้สนมผู้ใดฟังล่ะ”เอ่ยถามเหน็บแนม ส่งเสียงต่อต้านในลำคอขยับตัวหนีริมฝีปากร้อนที่กดจูบข้างซอกคอหอม ลมหายใจร้อนรุกเรื่อยขึ้นมาถึงใบหูนิ่มแดง อ้าปากขบเบาๆก็สยิวไปทั่วร่างแล้ว ยิ่งเสียงทุ้มกระเซ้าตอบยิ่งเขินขึ้นเป็นทวีคูณ

     

    “ข้าให้สนมน้อยฟังผู้เดียว”

     

    “หึ คนปลิ้นปล้อน...หยุดลวนลามข้าได้แล้ว ร่างกายข้าช้ำไปหมดแล้วเพราะท่าน”เจียเอ๋อร้องห้ามมือเรียวที่เริ่มลูบไปตามง่ามขาเขาอีกแล้วอย่างหงุดหงิดใจ เมื่อคืนทำเอาเขาสลบไปคาอกนี่ไม่พอหรือไงกัน

     

    อี๋เอินไม่ฟังคำห้ามปรามนั้น สอดมือเข้าใต้ต้นขาอวบอัดลูบไล้สัมผัสรอบขรุขระบนผิวเนื้อเนียนละเอียด บังคับจับร่างเล็กนอนหงายลงบนฟูก แยกเรียวขาออกมองตราประทับของตนเองด้วยความรู้สึกผิด

     

    “ตอนนั้นเจ้าคงเจ็บมากแน่ๆ”

     

    “หึ ลองโดนเหล็กร้อนๆทาบผิวสิแล้วท่านรู้ว่ามันเจ็บขนาดไหน”เจียเอ๋อหัวเราะหึในลำคอ นึกโกรธเคืองอีกคนขึ้นมาเสียดื้อๆ พอคิดย้อนไปแล้วเขาโดนอี๋ทำร้ายมามากต่อมากแ ต่ก็ยังไปตกหลุมรักคนแบบนี้ได้อีก บ้าบอชะมัด...

     

    “ขอโทษ”

     

    ถ้อยคำสั้นๆแต่ออกมาจากใจจริงๆทำให้เจียเอ๋อต้องหันกลับมามองร่างสง่า ถอนหายใจยิ้มๆ ประคองร่างลุกขึ้นมาจับใบหน้าหล่อเหลาเข้ามามองตา

     

    “ไม่เป็นไรหรอก...จริงๆแล้วท่านควรขอบคุณรอยแผลเป็นนี่นะ เพราะถ้าไม่มีมัน ข้าคงไม่กลับมาหาท่านแน่ๆ”

     

    ดวงตาของอี๋แสดงความไม่เข้าใจ เจียเอ๋อยิ้มและอธิบายต่อ

     

    “รอยประทับนี่ทำให้ข้าลืมท่านไม่ได้...ทุกครั้งที่เห็นข้าก็จะนึกถึงหน้าท่าน ทุกสิ่งที่อย่างที่ท่านทำกับข้า ไม่ว่าจะร้ายหรือว่าดี จะให้ข้าหนีท่านไปจนสุดบู๊ลิ้มข้าก็ไม่สามารถจะลืมท่านได้ ข้าถึงได้กลับมา เพราะข้าเพิ่งรู้ตัว...ว่าข้าเป็นของของท่าน ทั้งตัวและหัวใจ”

     

    “ขอบคุณนะเจียเอ๋อ...ขอบคุณที่กลับมาเคียงข้างข้า”

     

    “ใครว่าข้าจะอยู่กับท่าน”ร่างเล็กบอกหน้าตาย ขยับตัวลงไปนั่งขอบเตียง หยิบเสื้อตัวเองขึ้นมาสวมหันหลังให้เจ้าเมืองฉีที่เริ่มตามอารมณ์อีกคนไม่ทัน

     

    “พันธะทรัพย์สินระหว่างท่านกับข้าไม่มีอีกแล้ว ข้าเป็นอิสระและข้าก็ไม่อยากอุดอู้อยู่กับที่ๆเดียว ข้าอยากท่องยุทธภพ ตามหาแหล่งเพลงดาบชั้นเลิศ อ้อ หาที่เที่ยวดื่มสุราด้วย”ใบหน้ากลมหันกลับมามองอี๋เอินที่ยังนิ่งเงียบอยู่ “ฉะนั้น ข้าถึงได้บอกยังไงล่ะ ว่าแล้วแต่ว่าท่านจะรั้งข้าไว้ด้วยวิธีไหน”

     

    “...”

     

    “ไม่รู้สินะ...ถ้าเช่นนั้นก็ขอลา”มือขาวกำลังจะสวมเสื้อต่อก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆร่างก็โดนผลักลงไปนอนกับพื้นฟูกโดยมีร่างสูงสง่าเข้าทาบทับ มือเรียวกระชากเสื้อเขาออก กำลังจะต่อว่าว่าถึงจะข่มขืนหรือกักขังก็รั้งเขาไว้ไม่ได้ ก็ต้องเงียบปากไปเมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาจริงจังของอี๋เอิน

     

    “ช่วยข้าทำงานสิ”

     

    “หืม?”

     

    “ตอนนี้มีโจรชุกชุมทุกหนแห่ง บ้านเมืองเรากำลังต้องการยอดฝีมือเช่นเจ้า...อยู่กับข้า ช่วยปราบพวกนั้นร่วมกับข้า...นั่นคือข้าเสนอที่ข้าจะรั้งเจ้าไว้เจียเอ๋อ”

     

    “แล้วรู้ได้ยังไงว่าข้าจะยอมตกลง”

     

    “เจ้าจะต้องตกลง”

     

    เจียเอ๋อแบะปากหมั่นไส้ความมั่นหน้าของเจ้าเมืองฉี แต่ก็ยอมรับว่าชายหนุ่มเป็นผู้นำที่ปราดเปรื่อง มองคนออกอย่างทะลุขาดจริงๆ

     

    “หึ ท่านเดาถูก...ข้าตกลง”

     

    อี๋เอินยิ้มกริ่ม มองร่างขาวที่เสหน้าหลบแสร้งทำไม่พอใจแต่ริมฝีปากกลับอมยิ้มหัวเราะคิกคัก ท่าทางแสนซุกซนนั่นเป็นด้านที่ชายหนุ่มก็เพิ่งได้เห็น และยิ่งทำให้เขาหลงใหลเจียเอ๋อมากขึ้นไปอีก

     

    “แต่ก่อนช่วยงานข้า ข้าว่าเจ้าต้องเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกเยอะ เมื่อคืนแค่สามรอบเจ้าก็สลบเหมือดแล้ว”

     

    “นั่นมันคนละเรื่อง! อย่ามาเหมารวมข้าว่าอ่อนแอนะ! ครั้งแรกท่านก็อ่อนโยนอยู่หรอก แต่พอหลังๆท่านก็เอาแต่กระแทกใส่ข้าจนช้ำไปหมด”เจียเอ๋อว่าร้องฟึดฟัด บังอาจมาว่าเขาอ่อนแอ ลองโดนหนักๆขนาดเมื่อคืนสิ จะมีใครอยู่รอดเกินสามครั้งบ้าง เป็นสนมร่างน้อยๆคงได้ช้ำในตายแน่ๆ เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมอี๋เอินถึงไม่ค่อยมีสัมพันธ์กับนางสนมอื่น ก็ท่านเจ้าเมืองเล่นบ้าพลังหักโหมเสียขนาดนั้น ใครมันจะรับไหวกัน

     

    อี๋หัวเราะไม่ไดโกรธเคืองเพราะโดนต่อว่า รู้สึกมีความสุขจนสามารถยิ้มและหัวเราะได้ทั้งวัน คงเป็นเพราะได้ตัวสร้างความสุขกลับมาอยู่ข้างกายอีกครั้งเป็นแน่ พลันก็เกิดความคิดเจ้าเล่ห์ โถมกายเข้าทาบทับร่างเล็กที่สะดุ้งเฮือกช้อนตามองเขาอย่างไม่วางใจ

     

    “แล้วเช้านี้ให้โอกาสข้าแก้ตัวได้ไหมล่ะ”

     

    “ข้าหิวข้าว”

     

    “กว่าโรงครัวจะทำอาหารเสร็จก็อีกสองยาม เรามีเวลาเหลืออีกเยอะ”

     

    “ในหัวท่านมีแต่เรื่องอย่างนี้หรืออย่างไรกัน...เฮ้อ”เจียเอ๋อถอนหายใจ ยกแขนกอดลำคอแกร่ง เผยรอยยิ้มยั่วยวนแสนซุกซน “ตามใจท่าน แต่อย่าให้ข้าสลบก็พอ”

     

    “หึ เจ้าก็รู้ว่าข้าหยุดตัวเองไม่ได้หรอก ยิ่งกับคนช่างยั่วเช่นเจ้าด้วยแล้ว”

     

    “ก็อย่าทำแรงสิ...”เจียเอ๋ออ้อมแอ้มตอบ “ข้าก็หิวข้าวเหมือนกันนะ อย่าทำรุนแรงจนข้าสลบล่ะ ท่านอี๋เอิน เจียเอ๋อผู้นี้อยากทานข้าวบ้าง ไม่ได้อยากทานลำไผ่ท่านทั้งวันหรอกนะ มันไม่อิ่ม”อ้อนเสียงหวาน ดวงตาทอประกายแวววับซุกซน ยั่วยวนจนอี๋เอินได้ยินเสียงตบะตัวเองขาดข้างในหัว...

     

    “เจ้ายั่วข้าเองนะ เจียเอ๋อ...”

     





    แล้วเหล่านางสนมผู้มีหน้าที่ยกสำรับอาหารมาให้ในยามเช้า ก็ต้องยืนหน้าแดงฟังเสียงครางหวานและเสียงเตียงโยกอยู่หน้าห้องนานกว่าครึ่งชั่วยาม...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    -จบบริบูรณ์-

     

     

     
















    !!ประกาศขายของ!!

    รวมเล่มตำหนักร้อนบำเรอรัก 

    - รายละเอียดยังไม่สมบูรณ์ -



    อ่านรายละเอียดส่วนอื่นได้ในลิงก์ค่ะ

    ระยะเวลาสั่งจอง

    วันนี้ - 30 กันยายาม 2558 


    ปล.ยังไม่ระบุราคา แล้วจะแจ้งรายละเอียดชัดเจนในอีเมลล์ตอบกลับค่ะ



    สงสัยสอบถาม twitter : @silverfeather29

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×