ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF- ตำหนักร้อนบำเรอรัก [markson]

    ลำดับตอนที่ #4 : 03

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 58


    ตำหนักร้อนบำเรอรัก

    03

     

     

     

     

     

     

    อีกครั้งที่เปลือกตาสีอ่อนปรือปรอยลืมขึ้นมาด้วยความเหนื่อยอ่อน ฝืนมองผ้าคลุมเตียงสีสดอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหลับปิดแน่น ลำคอแห้งผากแม้จะกลืนน้ำลายลงไปก็ยังแสบไปทั้งคอ เจียเอ๋อที่สูดลมหายใจเข้าได้ไม่เต็มปอดพ่นลมร้อนระอุออกมา รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกไปตามผิวหนัง เหงื่อขับออกจนร่างกายเหนียวเหนอะหนะไปหมด

     

    “แค่ก!

     

    ไอโขลกใหญ่ เจ็บร้าวไปทั้งหน้าอก ปอดบีบตัวกันรุนแรงน่ากลัว ไอต่อกันยาวจนน้ำตาเอ่อคลอดวงตา ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นจากเตียงแต่เวียนหัวทรงตัวไม่อยู่ ใช้แขนศอกพยุงไม่ให้ต้องล้มพับลงไปอีกครั้ง สบถเพราะไม่ได้ดั่งใจ ภาพตรงหน้าหมุนไปชั่วขณะ เช่นเดียวกับหัวที่เหมือนมีเชือกมาบีบรัดหน่วงๆเบลอๆตลอดเวลา ร่างกายไร้เรี่ยวแรง

     

    ...ไม่ต้องให้เฟิงจีมาตรวจก็ยังรู้ว่าตอนนี้ป่วย...

     

    เจียเอ๋อล้มตัวลงนอนหงาย นิ่วหน้าเจ็บร้าวตรงช่วงสะโพก ความทรงจำเร่าร้อนและเลวร้ายเมื่อคืนย้อนคืนกลับมาทำร้ายเขาอย่างรวดเร็ว

     

    เขาเพิ่งสังเกตว่าเสื้อถูกสวมใส่ให้เรียบร้อย ทั้งที่เมื่อคืนมันยังหลุดลุ่ยอยู่บนตัวอยู่เลย คราบคาวทั้งในและนอกตัวก็หายไปแล้ว นึกอับอายเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนทำความสะอาดร่องรอยน่าบัดซบนั่นให้

     

    เหลือบมองบานประตูปิดแน่นล็อกแน่นหนาแล้วได้แต่พ่นลมหายใจแรง ปวดตัวปวดหัว เหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ได้ เจียเอ๋อเลยเลือกจะปิดตาลงพักผ่อนร่างกายมากกว่าจะฝืนไปอาบน้ำให้สบายตัว...

     

     

     

     

     

    เจ้าเมืองฉีกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องส่วนตัว เวลาเช้าๆแบบนี้ชายหนุ่มชอบที่จะมานั่งจิบชา ทำงานอยู่โต๊ะใกล้หน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดออกไปเห็นสวนด้านหลังได้พอดิบพอดี

     

    ดวงตาเรียวมองต่ำลงไป หน้าต่างบานนี้สามารถมองเห็นเรือนยาวของพวกนางสนมที่ห่างจากเรือนใหญ่เพียงแค่สวนกลางตำหนัก เลื่อนสายตามองไปยังห้องท้ายสุด ปลีกจากห้องทั้งหลายไปไกลด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ออก

     

    ชายหนุ่มหรี่ตามองแม่กุญแจดอกใหญ่คล้องโซ่บนบานประตูนิ่ง

     

    มือเรียวกำลังจะหยิบเอกสารบางอย่างออกมา พอดีกับที่ห้องถูกเปิดออก อี๋เอินไม่ได้ตกใจหรือหงุดหงิดเพราะรู้ดีว่าคนที่ทำเช่นนี้ได้มีไม่กี่คน และตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่คนเดียวในตำหนัก

     

    “เคาะประตูก่อนเข้ามาก็ดีนะ เฟิงจี”

     

    “เจ้านี่ใจร้ายชะมัด”คำปรามาสจากคนมาใหม่แบบยังไม่ทันพูดจาปราศรัยสิ่งใดเรียกดวงตาสวยให้เหลือบไปมอง

     

    ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ท้าวคางมองหมอประจำตำหนักพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทของเขาที่ยกเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเขา ท้าวคางมองด้วยท่าทีเช่นเดียวกัน

     

    “เรื่องอะไรล่ะ?”

     

    “อาการเขาตอนข้าไปดูตอนเช้ามืดไม่ดีเลย แผลเปิดแถมยังมีอาการไข้สูง แต่ข้าให้ยาห้ามเลือดไปแล้ว หวังว่าเขาคงไม่ดื้อดึงจะขยับตัวมากนัก”

     

    “มีไข้?”

     

    “หึ โดนเจ้าทำรุนแรงต่อๆกันสองวัน แถมยังให้เขาเปลือยกายนอนขนาดนั้น จุดที่โดนเจ้าสกัดยังไปขัดขวางไม่ให้ร่างกายเขาฟื้นตัวได้เต็มร้อยอีก”

     

    “อ่อนแอ”อี๋บ่นพึมพำ หยิบเอาเอกสารบนโต๊ะมาอ่าน ดวงตาเรียวไล่มองตามตัวอักษรบนแผ่นกระดาษ ท่าทางนิ่งเงียบ มีเฟิงจีนั่งใครครวญมองสหายผู้เป็นเจ้าเมือง

     

    “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ เขามีอะไรให้เจ้าสนใจมากขนาดนั้น?”

     

    อี๋ไม่เคยชอบดวงตาเรียวคล้ายแมวเวลาจะซักไซ้ข้อมูลจากเขา เพราะเฟิงจีมักจะรู้ใจเขาดีเสียจนไม่มีอะไรจะหลอกเพื่อนคนนี้ได้ ชายหนุ่มวางเอกสารลง หยิบกระดาษและพู่กันมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป พลางตอบคำถามเสียงเนิบ

     

    “ไม่มีอะไร แค่สมบัติขัดดอกจากตระกูลหวัง”

     

    “กล้าหลอกข้ารึอี๋”

     

    มีไม่กี่คนหรอกที่กล้าเรียกเขาห้วนๆแบบนั้น แต่คนโดนยกตนขึ้นเทียบกลับหัวเราะเสียงทุ้มไม่ถือสา

     

    “ข้าไม่รู้...ก็แค่...น่าสนใจ”

     

    “กับผู้ชายเนี่ยนะ ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าเปลี่ยนรสนิยม”

     

    เฟิงจีพูดจบ พอดีกับอี๋เขียนเสร็จ มือเรียวยื่นกระดาษนั้นส่งให้หมอประจำตำหนัก

     

    “ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร ...ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน”

     

    เฟิงจีก้มอ่านกระดาษ หัวเราะในลำคอ เงยหน้ามองเจ้าเมืองที่หันหลังกลับไปมองวิวนอกหน้าต่าง เอ่ยเย้าอย่างคนที่รู้จักกันดี

     

    “แค่น่าสนใจ...จริงหรือ?”

     

    อี๋เอินไม่ตอบ มีเพียงเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอเท่านั้นที่ทำให้หมอประจำตำหนักเข้าใจ

     

     

     

     

     

    เฟิงจีเข้ามาหาตรวจอาการเขาเมื่อตอนเที่ยง พร้อมกับพวกนางกำนัลยกอาหารอุ่นสำหรับคนป่วยเข้ามาให้ หมอประจำตำหนักแจ้งอาการของเขา แน่นอนว่ามันไม่ทำให้เขาแปลกใจสักนิด

     

    ...ป่วยหนัก ไข้รุม แผลอักเสบ...

     

    ...หึ ความผิดอี๋ทั้งนั้น...

     

    เจียเอ๋อพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มองจอกยาสีไม่น่าดื่มบนถาดเล็กๆบนโต๊ะ ยกมันขึ้นมามองทำหน้าแหยะ แทบไม่อยากนึกถึงรสชาติบาดคอของมัน กลั้นลมหายใจฝืนเทลงคอหมดพรวดเดียว ทั้งร้อนทั้งขม แทบกระโดดดิ้นๆ ถ้าไม่ติดสังขารตัวเอง

     

    เจียเอ๋อละอาหารเอาไว้ก่อนเพราะยังไม่อยากอาหาร รวมทั้งอยากนอนมากกว่าด้วย

     

    “หืม...”

     

    ดันตัวลุกขึ้นอีกครั้งเมื่อเหลือบไปเห็นกระดาษยุ่ยๆใต้ชามข้าวต้ม เอื้อมไปดึงมันออกมาอ่าน เขามีสิทธิ์อ่านใช่ไหมในเมื่อมันถูกแอบสอดมาราวกับใครบางคนอยากให้เขาได้อ่านมัน

     

    ...จ่ายสูตรยาตำหนักเลี่ยงหรงให้หวังเจียเอ๋อ...

     

    นิ้วป้อมลูบตราประทับบนกระดาษแผ่นนั้น รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ยกขาตนมองรอยแผลประทับตรงน่องด้านในก็พบว่ามันเป็นรอยเดียวกัน

     

    ...ลายมือของอี๋เหรอ? ใช่หรือ?...

     

    ...อย่างอี๋จะปราณีเขาขนาดนี้เลยหรือ?...

     

    ส่ายหน้าตอบคำถามในใจของตัวเอง วางมันลงข้างหมอน หยิบชามข้าวขึ้นมากินเอื่อยเฉื่อย มาอยู่ที่นี่สิ่งเดียวที่ดีก็คืออาหารนี่แหละ รสชาติอร่อยสมเป็นอาหารชาววัง กินจนเกือบหมดชามก็นำไปวางไว้ที่เดิม รอให้พวกนางกำนัลมาเปิดประตูเก็บกันไปเอง แน่นอน ว่าเจียเอ๋อเปิดประตูเองไม่ได้อยู่แล้ว

     

    นั่งมองวิวด้านนอก หาวอ้าปากกว้างอย่างนึกเบื่อหน่าย ปวดหัวจนต้องเอนตัวลงนอนหลับไปอีกครั้ง

     

    ...ขอให้คืนนี้เขาไม่เจอเจ้าเมืองโรคจิตนั่นเถอะน่า...

    .

    .

    .

    .

    .

    เป็นครั้งแรกที่คำขอของเจียเอ๋อได้ผล

     

    ชายหนุ่มปรือตาตื่นขึ้นมาในช่วงย่ำค่ำ ท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นสีม่วง แสงสีส้มริบหรี่แผ่วๆส่องผ่านสันหลังคาสักพักก็หายไป พอดีกับที่เจียเอ๋อมองเห็นพอดี

     

    ถาดอาหารตอนเที่ยงหายไปแล้ว มีสำรับอาหารคาบเย็น ยา รวมไปถึงเสื้อผ้าใหม่เตรียมพร้อมอยู่ในห้องเรียบร้อย ไม่รู้ว่าเขาหลับลึกหรือพวกพวกนางกำลังมือเบาเท้าเบาเกินไปกันแน่...

     

    เจียเอ่อลุกขึ้นเลิกคิ้วมองมือตัวเอง ความเมื่อยล้าหายไปราวกับปาฏิหาริย์ทั้งที่ตอนกลางวันยังเหนื่อยแทบลุกไม่ขึ้นแท้ๆ แม้กระทั่งส่วนที่โดนทารุณก็ไม่หน่วงแล้ว ลองลุกขึ้นจากเตียงหมุนตัวไปมาก็ยิ้มร่า คว้าชุดบนโต๊ะเข้าห้องน้ำไป

     

     

     

     

     

    “ท่านอี๋เอิน”

     

    หญิงสาวสวยในชุดบางเบาสีชมพูหวานนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมองชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าเหนือตนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ นางรู้สึกเสียหน้ามากที่ชายหนุ่มมองข้ามนางไป ทำราวกับนางเป็นเพียงอากาศธาตุ

     

    ท่านอี๋ไม่เคยเป็นเช่นนี้ แม้จะไม่ได้อ่อนหวานเอาใจใส่ แต่ก็ไม่เคยมองข้ามความสำคัญของใคร

     

    หรือจริงๆต้องบอกว่าชายหนุ่มไม่ให้ความสำคัญกับใครเลยต่างหาก

     

    นางเลยแปลกใจเมื่อชายหนุ่มดูจะ สนใจนางสนมใหม่ผู้นั้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่วันที่นางสนมใหม่ผู้นั้นเข้าถวายตัว ก็เป็นปกติที่ท่านอี๋จะเข้าไปเยี่ยม แต่หลังวันนั้นที่ต้องเป็นวันของนางแล้วท่านอี๋ไม่มานี่สิ ที่แปลก ยิ่งแปลกใจหนักเข้าเมื่อได้ยินว่าท่านอี๋ไม่ได้ติดธุระสำคัญ เพียงแต่ไปหานางสนมใหม่ผู้นั้นซ้ำสองคืน จนเกิดข่าวลือที่ว่าหญิงผู้นั้นคงงดงามมากแน่ๆ ท่านอี๋จึงหลงใหล จนขนาดขังนางไว้ในห้องท้ายตำหนักและห้ามคนนอกจากท่านเฟิงจีกับพวกนางกำนัลเช่นนี้

     

    หญิงสาวมองเจ้าเหนือหัวที่ลุกขึ้นยืน ยื่นมือเรียวเรียกหานางให้ลุกขึ้นยืนข้างเขา

     

    “ขอโทษนะ หลินเว่ย ข้าไม่มีอารมณ์จริงๆ”

     

    หญิงสาวยิ้มรับแกนๆ รู้สึกเสียความมั่นใจแต่ก็ยอมรับโดยดี ยังไงส่วนใหญ่ท่านอี๋ก็ไม่ค่อยมีสัมพันธ์กับพวกนางมากนักหรอก เขาไม่ใช่พวกอารมณ์ทางเพศสูง ออกจะเป็นสุภาพบุรุษและเมตตาพวกนางมากนัก

     

    “ท่านอี๋นี่ช่างเป็นคนดีจริงๆนะเจ้าคะ หลินเว่ยไม่กล้าจะขัดข้องใจท่านหรอกค่ะ”

     

    อี๋ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มแล้วเดินออกมา วันนี้เขาไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรทั้งนั้น

     

    ...คนดีอย่างนั้นเหรอ?...

     

    “หึ...”

     

    แค่นหัวเราะขำกับตัวเอง อี๋รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนเช่นไร...

     

    ชายหนุ่มเผลอเหลือบตามองไปที่ห้องสุดท้ายของเรือนที่ตอนนี้ไฟยังสว่างโร่

     

    ...คงนอนกลางวันจนเกินพอแล้วสินะ...

     

    เขาเดินลงไปเล่นในสวนกลางตำหนักที่เงียบสงบ อี๋ชอบมาเดินเล่นที่สวนนี้เวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือเบื่อจนทนไม่ไหว เดินมองดูพวกพรรณไม้ในสวนอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีก็มานั่งบนม้านั่งข้างต้นไม้ใหญ่ เงาของแสงจันทร์โอบร่มเงามืดปกคลุมตัวเขาที่นั่งนิ่งมองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ของห้องท้ายตำหนัก

     

    ไฟในห้องปิดลง อี๋กำลังจะลุกขึ้นก็ต้องชะงักเพราะคนในห้องโผล่หน้าออกมามองพระจันทร์เต็มดวงในคืนนี้ อวัยวะในอกกระชากเต้นอย่างรุนแรงเพราะภาพตรงหน้า

     

    ใบหน้าคมคร้ามยามนิ่งเฉยกลับน่ารักละมุนตาราวกับหญิงสาวยามแย้มยิ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสวยฉีกออกเต็มที่ แก้มกลมนูนขึ้นกลมน่าหยิก ดวงตากลมยิบหยีเปล่งประกายความสุขระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก

     

    ...รอยยิ้มแสนงดงาม...

     

    แต่ทันทีที่ดวงตากลมเบนมาหาเขา เจียเอ๋อก็หุบยิ้ม ดวงตากลมทอประกายกร้าว ผลุบกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง

     

    “...”

     

    .

    .

    .

     

    ก๊อกๆ

     

    ไม่รู้อะไรดลใจให้อี๋เอินเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องเล็กท้ายตำหนัก ทั้งที่ตั้งใจจะเดินกลับแล้วแท้ๆ

     

    “เจียเอ่อ...”

     

    “...”

     

    อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เสียงสวบสาบของเสื้อผ้าในห้องก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าคนในห้องยังไม่ได้หลับ

     

    “เจ้ายิ้มทำไม”

     

    “ข้ายิ้มไม่ได้รึยังไง ท่านจะบังคับอะไรข้าอีก”น้ำเสียงกรุ่นโกรธจากอีกด้านเรียกรอยยิ้มอ่อนจากผู้ถาม ชายหนุ่มแกล้งขยับโซ่คล้องประตูขณะแนบหูกับบานประตู ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกตกใจจากคนในห้อง เสียงผ้าห่มสะบัดพรึบใหญ่

     

    ถ้าให้เดา เขาคิดว่าตอนนี้เจียเอ๋อคงกำลังนั่งคลุมโปงมองประตูตัวสั่นอยู่แน่ๆ

     

    “พระจันทร์คืนนี้โสภานักหรือไง เจ้าถึงได้ยิ้มกว้างนัก”

     

    ...ยิ้มให้ข้าแบบนั้นบ้างไม่ได้หรือ...

     

    “...”

     

    “ถ้าเจ้าไม่ตอบ...”

     

    อี๋จับกลอนประตู ตั้งใจจะไขเข้าไปจริงๆหากอีกฝ่ายยังดื้ออยู่แบบนี้

     

    “พระจันทร์มันสวยกว่าโต๊ะแล้วก็เตียงในห้องนี้ พอใจท่านรึยัง!!!

     

    เจียเอ่อตะโกนเสียงพร่าแตก มือเรียวหยุดชะงัก ตาสวยมองบานประตูราวกับมันสามารถมองทะลุเข้าไปในห้องได้ ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก

     

    “งั้นก็จ้องมันจนกว่าจะพอใจเถอะนะ”

     

    .

    .

    .

     

    เจียเอ๋อนั่งคลุมโปงอยู่บนเตียงก้มหน้าซุกหัวเข่า ฟังเสียงฝีเท้าหนักเดินห่างออกไปช้าๆ มือขาวเช็ดขอบตาที่น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ

     

    “บ้าเอ๊ย

     

     

     

     

     

     

     

























    .....................
    ครั้งแรกที่เอาลงได้หมดตอน... // ร้องไห้แรง
    ฮึก...ทวงกันเยอๆ ต้องเม้นต์ให้เราเยอะๆด้วยนะ ปั่นมากมาย T_T
    ที่จริงมีคนอ่านก็ดีใจแล้วอ่ะนะ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×