ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7 ft. 2PM] SNH (Shadow Night Hunter) [MARKSON] - END -

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 ตัดสินใจ

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 57







    +---------------------------------------------------------+

     

    บทที่ 2

    ตัดสินใจ

     

    +---------------------------------------------------------+

     

     

     

     

     

    “ฉันจะรอนายอยู่ที่คลับ...แต่ถ้ามีเรื่องอะไร รีบเรียกชื่อฉัน”

     

     

     

     

    +------------------------+ SNH +------------------------+

     

     

     

     

    ผมเข้าเรียนคาบบ่ายด้วยความหงุดหงิดนิดๆ ก็ตั้งแต่ที่มาร์คมาทักผมนั่นแหล่ะ สาวๆหนุ่มในคณะรีบเข้ามาถามไถ่ถึงเดือนคณะแพทย์ปีก่อนสุดหล่ออย่างมาร์คกันใหญ่ จะให้ผมตอบว่ายังไงล่ะ

     

     

    เมื่อวานไอ้หล่อนั่นช่วยฉันจะพวกซอมบี้เงาจันทร์ แถมฉันยังเป็นคู่เขาด้วยนะ

     

     

     

     

    ตอบอย่างนั้นเสี่ยงมีรอยประทับบนหน้านะครับ...

     

     

    พอหมดคาบบ่ายปุ๊บผมก็รีบเก็บข้าวเก็บของลงกระเป๋าเป้ บ๊ายบายพีเนียลที่ทำหน้างงว่าทำไมวันนี้ผมถึงรีบร้อนนัก แล้ววิ่งฉิวออกจากห้องหนีสารพัดคำถามที่จะโถมตัวผมแน่นอน ถ้าผมยังนั่งอยู่ตรงนั้นต่อ

     

     

     

     

     

     

    ผมเลือกที่จะเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทางเท้าในสวนของมหาลัย ยังไม่อยากกลับห้อง แถมยังคิดไม่ตกเรื่ององค์กร SNH ด้วย หากถามใจจริงๆคงต้องบอกตามตรงว่าผมเลือกจะปฏิเสธ ผมยังอยากมีชีวิตธรรมดาๆ ตื่นมาอาบน้ำเข้ามหาลัย ตกดึกก็เที่ยวเล่นบ้างกลับไปนอนเล่นเกมบ้างตามประสาเด็กหนุ่มทั่วไป

     

    แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมดันไปรู้เรื่องสำคัญเข้าให้แล้วเหมือนกัน... ผมจะสามารถมีชีวิตปกติต่อไปได้จริงๆน่ะเหรอ? ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนผมก็เหมือนคนบ้าที่นั่งจับจ้องเงาของอาคารหรือพวกต้นไม้อย่างหวาดระแวง คอยลุ้นว่าจะมีตัวอะไรผุดขึ้นมางับหัวผมเล่นเหมือนเมื่อคืนไหม

     

    ...มันยากมากกับการไม่สนใจในเรื่องที่เรารู้แก่ใจว่ามันเป็นอันตรายแก่เราเอง...

     

    ผมทรุดนั่งลงบนไม้หินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ใหญ่ข้างคณะ มองไปรอบๆก็ยังเห็นนักศึกษาเดินไปมา ผมมองนั่นนี่เพลินจนเผลอหลับไปอีกรอบ...

     

     

     

     

     

    +------------------------+ SNH +------------------------+

     

     

     

     

     

    ตื่นมาอีกทีก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อรอบข้างตกอยู่ในความมืด

     

    “เ__ยแล้วไงล่ะ ค่ำแล้ว!”สบถกับตัวเองเสียงดัง

     

    ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว บนอาคารก็ปิดไฟจนหมด บรรยากาศรอบข้างเงียบเหงาวังเวง ความเย็นเยียบไล่ขึ้นมาตามสันหลังราวกับมีอะไรบางอย่างจ้องมองผมอยู่จากในความมืด ลมเย็นหวีดหวิวข้างหูเหมือนเสียงแว่วหัวเราะของความมืด ผมว่าคงต้องรีบสาวเท้าออกไปจากพื้นที่อันตรายนี้โดยด่วน

     

    แต่ทันทีที่ผมขยับลุกออกจากโต๊ะ ขาด้านหนึ่งก็โดนยึดเอาไว้กับพื้น จิตใต้สำนึกรู้ได้โดยอัตโนมัติว่า

     

    ...กูโดนแล้วไง๊ T^T…

     

    “แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก”กรีดร้องลั่นลืมสติไปชั่ววูบ สะบัดเท้าอย่างแรงจนหลุดแต่กลับสูญเสียการทรงตัวจนร่างทั้งร่างเอนล้มไปบนพื้นหญ้าเต็มตัว ดีที่มีพื้นฐานทางด้านกีฬาเลยพอจะเซฟร่างกายตัวเองได้แต่ก็ยังร้าวไปทั่วทั้งแผ่นหลัง

     

    กรรรรรรรรรร

     

    เสียงคำรามครางเครือเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เอียงหน้าไปมองบนพื้นหญ้าที่เริ่มมีการเคลื่อนไหว เงาของต้นไม้กำลังเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นอะไรบางอย่างที่เขาไม่มีทางลืม

     

    มันมาแล้ว!

     

    ไม่มีเวลาสำหรับการเจ็บปวดหรืออ้อยอิ่งอีกต่อไป ผมรีบยันตัวขึ้นจากพื้นกระโดดพรวดเดียวไปหยิบเป้มาสะพายไว้ให้มั่น ตั้งใจจะออกวิ่งก่อนชะงักเบิกตากว้างมองสิ่งแปลกประหลาดเบื้องหน้า

     

    “อะไรวะเนี่ย!!!

     

    บนสนามหญ้าที่เขาคุ้นตาบัดนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นผืนผ้าใบที่มีเงาสีดำของเหล่าต้นไม้ยืดออกและหมุนเป็นวงกลมรอบพื้นใต้ตัวเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว

     

    ...นี่ขังไม่ให้กูหนีเลยว่างั้น!!!...

     

    กรีดร้องลั่นอีกครั้งเมื่อเห็นมือที่บ้างเหี่ยวย่นบ้างมีแต่กระดูกจะผุดขึ้นมาตามรอยพาดผ่านของเงานั้น ก่อนที่มือนั่นจะจิกลงกับพื้น ยันร่างน่าสยองตั้งแต่ส่วนหัวขึ้นมาช้าๆ เจอแบบนี้ใครกล้าวิ่งผ่านก็ไม่ใช่คนแล้วครับ ผมรีบยันตัวเองไปอยู่บนโต๊ะไม้หิวอ่อนมองดูเหตุการณ์โดยรอบอย่างคิดไม่ตก

     

    ... เจ็บใจตัวเองชะมัด รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังหาเรื่องอยู่ในที่อันตรายเนอะกู...

     

    “เฮ้ย!”ผมรีบหดเท้าขึ้นมาเต้นเป็นกระต่ายขาเดียว แทบร้องไห้เมื่อเห็นมือขาวๆเปรอะคราบเลือดเอื้อมมือมาจับขอบโต๊ะ

     

    ...แม่จ๋า มันมาแล้วอ่า ฮรือออออออออออออออออ...

     

    ที่สำคัญคือพวกนี้กลัวแสง พวกมันเลยไม่ออกมาในตอนกลางวันแต่จะออกมาเพ่นพ่านในตอนกลางคืน”

     

    ฉับพลันคำพูดของเจบีก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมรีบคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงด้วยมืออันสั่นเทา บอกตรงๆว่ากลัวจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดฟังชั่นไฟฉายสาดลงไปใต้เท้าตัวเอง แทบกรี๊ดเมื่อเห็นมือน่าสยดสยองนั่นหดกลับไปใต้โต๊ะ พวกเงาโดยรอบก็เหมือนจะเคลื่อนไหวช้าลงเหมือนรอดูสถานการณ์

     

    ผมมั่นใจว่าผมจะปลอดภัยตราบเท่าที่ไฟยังสว่างอยู่ แต่ถ้าจำไม่ผิดแบตมันอ่อนตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ประเมินคร่าวๆไม่น่าจะยื้อได้เกินชั่วโมง แล้วผมจะหลุดจากที่นี่ได้ยังไง?

     

    “ฉันจะรอนายอยู่ที่คลับ...แต่ถ้ามีเรื่องอะไร รีบเรียกชื่อฉัน”

     

    เสียงของมาร์คก้องเข้ามาในหัว ผมจะเรียกเขาดีไหม? แล้วเขาจะมาหาผมจริงหรือเปล่า?

     

    ไม่ทันจะได้คิดอะไรได้มากกว่านี้ แสงไฟตัวช่วยสุดท้ายก็กระพริบถี่ๆแล้วดับไป แสงสว่างหายไปแล้ว เงาจันทร์ที่รอดูสถานการณ์รีบพุ่งทะยานออกมาจากเงามืดราวรอโอกาสนี้มานาน ร่างสยดสยองมากกว่าสิบร่างกระโจนมาหาผมรอบทิศ!!!

     

    “มาร์คคคคคคคคคค”เรียกแบบชื่อคนตัวสูงสุดเสียงขณะหลับตาแน่นรอความเจ็บปวด สัมผัสได้ถึงกระแสลมพัดผ่านมาจากทางด้านหลังวูบใหญ่ หูได้ยินเสียงเหมือนของมีคมตัดผ่านอะไรบางอย่างต่อเนื่องรวดภายในครั้งเดียว

     

    ผมยังหลับตาอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าลืมตามอง แอบแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่เจ็บอะไรเลยจนเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหูผม

     

    “ทำไมมาเรียกเอาตอนคับขันแบบนี้”

     

    “มาร์ค”ผมรีบลืมตามองร่างสูงโปร่งที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาแต่ที่แขนสวมอะไรบางอย่างคล้ายถุงมือหนังหุ้มตั้งแต่ต้นแขนยันปลายนิ้ว ตรงส่วนข้อมือมีมีดแหลมปลายโค้งยาวโง้งออกมาเหมือนสนับมือแต่มีแค่เล่มเดียวต่อข้างแถมยังยาวกว่า จนดูผ่านๆเหมือนเขาถือดาบมากกว่าเป็นสนับมือ

     

    “...”เขาดุผมทางสายตาก่อนส่งไอโฟนเครื่องที่จำได้ว่าเป็นของมาร์คมาให้

     

    “เปิดไฟฉายแล้วรออยู่นี่ อย่าไปไหน”

     

    ...ไม่ต้องสั่งกูก็ไม่กล้าไปไหนอยู่ดีครับ...ผมได้แต่ตอบเขาในใจ เพราะมาร์คกระโดดลงไปฟัดกับพวกเงาแล้ว ผมรีบเปิดไฟฉายส่องเท้าตัวเอง ตาก็มองการต่อสู้ด้านหน้าเพลินๆ... (ใช่สิ มีคนมาช่วยแล้วนี่)

     

    สังเกตมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเขาสู้แล้วว่ามาร์คจะมีท่วงท่าเหมือนคนกำลังร่ายรำดาบบนเวทีล่องหนมากกว่าการลงดาบเพื่อฆ่าฟัน

     

    ...ไม่ดูเถื่อนดิบโหดร้ายแต่กลับดูสง่าและงดงาม...

     

    ดูเขาสู้ทีไรผมได้จำลองตัวเองเป็นผู้ชมแถวหน้าสุดทุกที ยอมรับเลยว่าละสายตาจากคนคนนี้ไม่ได้จริงๆ แต่เหมือนเขาจะเริ่มมีปัญหาแล้วนะ ทำไมการเคลื่อนไหวเขาดูช้าแปลกๆ แถมใบมีดในมือยังสั่นอีก

     

     

    มาร์คฟันคอเงาจันทร์ตัวหนึ่งขาดกระเด็น ก่อนรีบกระโดดขึ้นมาหาผมที่ยืนรออยู่งงๆ เขามองหน้าผมนิ่ง แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมแทบม้วนตัวเองกลิ้งลงไปกับพื้น

     

     

     

     

     

     

    “จูบฉัน”

     

     

     

    “หา!!!

     

    “ฉันบอกให้นายจูบฉัน”

     

    “ทำไมฉันต้องทำเนี่ย แล้วมันใช่เวลาไหมวะ เห็นไอ้พวกเงาพวกนั้นไหม มันจะงาบคอเราอยู่แล้วนะ!”ผมเอ่ยท้วงเขารัวๆ

     

    “เพราะอย่างนั้นถึงให้นายจูบไง เพิ่มพลังให้ฉันที”เขาเอ่ยพลางยกแขนด้านหนึ่งให้ดู ผมเพิ่งเห็นว่าถุงมือมันมีสเกลเหมือนที่วัดความดันติดอยู่ด้วย แล้วตอนนี้สเกลของมาร์คก็ชี้ขีดแดงแล้วด้วย

     

    “ต้องจูบเหรอ?”ผมถามย้ำเขาด้วยความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ นี่กูต้องจูบคนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่สองวันเนี่ยนะ มาร์ครีบพยักหน้า สีหน้าพ่อคุณก็นิ่งเหลือเกิน เหมือนขอร้องให้ผมต้มมาม่าให้กินอย่างนั้นแหล่ะ

     

    “เออๆ เอาหน้ามานี่ หลับตาด้วย แค่ปากแตะปากใช่ไหม”

     

    “พูดมากน่า”เขาบ่นพึมพำแล้วหลับตาโน้มหน้าลงมาแต่เพราะใกล้มาก กูได้ยินนะเฮ้ย!

     

    ด้วยความหมั่นไส้หรือเพราะเห็นไอ้ตัวน่าสยดสยองเข้ามาใกล้อย่างไรไม่รู้ ผมรีบกดจูบลงบนริมฝีปากแดงนั่นเบาๆ ร้องอื้อตกใจเมื่อถูกมือแกร่งดันท้ายทอยให้รสจูบของเราลึกล้ำแนบแน่นมากกว่าเดิม มาร์คนับในใจหนึ่งถึงห้าก่อนจะผละออกไป ยิ้มกว้างซะจนเห็นเขี้ยวทั้งสองด้านชัด

     

     

     

     

     

    ...ผมว่าผมแพ้รอยยิ้มมาร์คว่ะ...

     

     

     

    ...ใจสั่นชิบหาย...

     

     

     

     

     

     

    +------------------------+ SNH +------------------------+

     

     

     

     

     

    มาร์คสะบัดแขนทั้งสองข้างให้ใบมีดคมปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพุ่งกระโจนลงไปฟันไอ้พวกข้างล่างต่อแบบนอนลิมิต ไม่มีแม้แต่จะหยุดพักจนจำนวนเงาจันทร์ที่ตอนแรกเยอะจนนับไม่ได้กลับเหลือเพียงไม่กี่หยิบมือ

     

    มาร์ครั้งต้นไม้ต้นหนึ่งเอาไว้เป็นฐานเหวี่ยงขึ้นร่างขึ้นเตะเงาจันทร์จนคอหักไปหนึ่งตัว ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็กระโดดหมุนตัวกางแขนฟันเงาจันทร์ที่เหลือให้ดับดิ้นไปตามกัน ตวัดสายตาสำรวจว่าเงาจันทร์แถวนี้หมดแล้วจริงๆ จึงสะบัดแขนเก็บมีดเป็นอย่างสุดท้าย

     

    ร่างของเงาจันทร์ที่ถูกฆ่านั้นจะคงสภาพอยู่ประมาณหนึ่งนาทีแล้วจะสลายหายไปกลายเป็นผงฝุ่นสีดำในอากาศ เขาถึงได้สบายหน่อยแม้จะออกมาล่าเงาจันทร์เพียงคนเดียวก็ตาม

     

     

     

    เดินกลับมาหาเด็กช่างพล่ามที่ตอนนี้นั่งขัดสมาธิรอเขาอยู่บนโต๊ะไม้หินอ่อน เงียบเรียบร้อยจนผิดปกติ ก็อยากถามอยู่หรอกว่าทำไมแต่พอเห็นคนตัวเตี้ยกว่าเม้มปากสวยจนแดงก่ำ ผิวแก้มทั้งสองข้างเปล่งสีชมพูระเรื่ออ่อนๆก็พอรู้ว่าเจ้าตัวเป็นอะไร

     

     

     

     

    ...ปล่อยให้เขินไปเถอะ เดี๋ยวสักพักก็ชิน...

     

     

     

     

    “ไปกันเถอะ...”เขาเอ่ยกับแจ็คสันที่พยักหน้างึกๆอย่างว่าง่าย แบมือให้เจ้าตัวที่หน้าแดงขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังยื่นมือมาให้เขากุมเดินไปตลอดทาง...

     

     

     

     

    ...เวลาไม่ดื้อก็น่ารักดีเหมือนกันนะ เด็กนี่น่ะ...

     

     

     

     

     

    +------------------------+ SNH +------------------------+

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ช่วงนี้อัพถี่ก็จริง แต่สักพักก็คงจะเป็นสภาพปกติ............คือดอง 555555555555555555

    คิดว่าจะแต่งเรื่องนี้สลับกับ #ฟิคโดม นะคะ แต่ดูก่อน เพราะฟิคโดมบอกตรงๆว่านักเขียนเริ่มเขียนไม่ออก อาจจะจบฟิคนี้ก่อนถึงจะต่อฟิคโดม เอาเป็นว่า อ่านแล้วคอมเมนต์ให้กำลังใจคนเขียนด้วยนะคะ

    คอมเมนต์เยอะยิ่งมาเร็วนะจะบอก 555555555



     

    #ฟิคนักล่าเงาจันทร์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×