[BIGBANG FANFIC] The Cursed Prince - [BIGBANG FANFIC] The Cursed Prince นิยาย [BIGBANG FANFIC] The Cursed Prince : Dek-D.com - Writer

    [BIGBANG FANFIC] The Cursed Prince

    นิทาน...ที่ว่าด้วยความรักที่ผูกไว้ด้วยใจ

    ผู้เข้าชมรวม

    865

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    865

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    6
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.พ. 56 / 17:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Author : Silver Shining & T.S.Choi

    Genre : Fantasy Drama, AU
    Pairing : TempG
    Rate : G
    BG Song : Angel’s Tale — HYDE

    Author’s note : 
    เป็นเรื่องที่แต่งไว้นานแล้ว
    ไม่ได้ตั้งใจผูกปมอะไรมากมาย
    เพียงแต่ต้องการเล่นกับภาษา
    ที่มาของเรื่องและแรงบันดาลใจ ได้มาจากหนังสือภารตนิยายของศักดิ์ศรี แย้มนัดดา
    เป็นหนังสือว่าด้วยนิทานโรแมนติกของสันสกฤต 100 เรื่อง

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ๏ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าชายองค์หนึ่ง ทรงพร้อมบริบูรณ์ไปด้วยยศ ศักดิ์ อำนาจ สมบัติมหาศาล รูปโฉมของพระองค์ราวกะเทพเจ้าที่รูปงามที่สุดบนสรวงสวรรค์ พระสุรเสียงกังวานใส จับจิตจับใจผู้ได้ยิน

      ทรงเป็นนักขับ นักร้อง เมื่อแย้มพระโอษฐ์ตรัสสิ่งใด ราวกับเสียงแห่งม่านเมฆเบิกคลี่ให้ดวงอาทิตย์เลื่อนสู่ท้องฟ้า

      ทรงเป็นกวี ทรงรจนาบทร้อยแก้วร้อยกรอง นับร้อยพัน รสน้ำคำแห่งพระองค์เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จากสุดขอบแคว้น จนสุดแดนไกล

      ทรงเป็นที่รักของพระบิดาพระมารดา เหล่าพระราชวงศ์และเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ทรงเป็นที่รักของปวงชน ของทวยเทพ แม้แต่ภูตผีพรายร้ายกาจใดใด ก็มิอาจปลงใจกระทำอันตรายแก่พระองค์ได้

      แม้ทรงเป็นมนุษย์ผู้รู้ตาย แต่ก็ทรงหยั่งรู้ในศิลปะอันลึกล้ำแห่งโลก ทรงรู้จังหวะแห่งเสียง คำ อารมณ์ จนแม้พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดยังกราบไหว้พระองค์ในฐานะจักรพรรดิแห่งภาษา ทวยเทพสรรเสริญพระองค์ในฐานะโอรสแห่งเทพธิดากวี อสูรเกรงกลัวถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์แห่งพระองค์

      ทว่า ทรงจำสิ่งใดไม่ได้

       

      ๏ มิได้ทรงเป็นเช่นนี้แต่เยาว์วัย ทว่าเหตุเกิดแต่เมื่อทรงเจริญพระชนม์เป็นเจ้าชายหนุ่ม ทรงหลงรักนางข้าหลวงผู้รับใช้คนหนึ่ง จนจิตใจทั้งสองผูกพันกระหวัดเกี้ยวดังเถาวัลย์พันต้นไม้ แต่ด้วยหัวใจอันกำดัด คึกคะนองราวกะกวางแรกรุ่น พบแหล่งน้ำกอหญ้าใดก็ระเริงละลาน เข้าไปซุกพานซอนไซ้ เมื่ออิ่มหนำพอใจก็ละทิ้งสู่หญ้าอันอ่อนกว่า

      ฉะนี้ ไม่นาน เจ้าชายทอดทิ้งนางข้าหลวงนั้นเสีย ความเจ็บร้าวแห่งรักแรกก็ผลาญใจอันงดงามแห่งสตรีให้กลายเป็นเถ้าธุลีเปี่ยมพิษ นางข้าหลวงนั้นได้สาบสั่งเจ้าชายด้วยมนตร์ฤทธิ์แห่งปิศาจสุดชั่วร้าย

      “ในเมื่อรักสุดท้ายของข้ากลายเป็นรักแรกที่เจ้าลืม ต่อแต่นี้ก็จงอย่าจำสิ่งใดได้เลย”
      นางข้าหลวงผู้นั้นสาปสั่งเจ้าชาย ก่อนจะหายหน้าไปในราตรีกาลอันมืดมิด

       

      ๏ นับแต่นั้น วันเวลาของเจ้าชายก็หยุดลง เสมือนหนึ่งทรงตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จำได้แต่เพียงเรื่องราวก่อนจะทรงถูกสาป แม้สิ่งไร ๆ จะประทับพระหทัยอย่างลึกซึ้ง เมื่อราตรีเคลื่อนคล้อย อรุณเลื่อนขึ้นสู่ปลายฟ้า ก็ทรงลืมหมดสิ้น

      ได้แต่ตรัสแก่นางพี่เลี้ยงทุกเช้าว่า “พี่ท่าน เมื่อคืนข้ามิได้ทูลลาพระมารดาก่อนนอน พระองค์จะทรงตำหนิข้าอย่างไรบ้างหนอ” นางพี่เลี้ยงได้แต่กลั้นสะอื้นไห้ มิกล้าบอกความจริงไปว่าพระมารดานั้นสิ้นพระชนม์เพราะตรอมใจด้วยพระโอรส นางจึงได้แต่กลั้นฝืนยืนยิ้มรับ

      แล้วเจ้าชายก็จักทรงเสด็จออก ณ ตำหนักพระมารดา ขับกวีด้วยพระสุรเสียงหวานซึ้งปานเสียงน้ำค้างทอดไหลตามกลีบดอกไม้แรกแย้ม เพียงเพื่ออ้อนออดขออภัยโทษจากพระนาง จนเหล่านางกำนัลทั้งหลายที่ได้ยินต้องฝืนสะอื้นโศกกลั้นไว้ในอก ด้วยเมื่อแรกที่เป็นเช่นนี้ เจ้าชายทอดพระเนตรเห็นเหล่านางทั้งหลายร่ำไห้ ก็ไต่ถามความ เมื่อทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด ดวงหทัยอันบอบบางราวดวงแก้วก็ดุจตกต้องแผ่นศิลากระด้าง แตกสลายลงตรงนั้น ทรงกรีดร้องโหยไห้น่าเวทนายิ่งนัก จนแม้เหล่าเทพทุกชั้นสวรรค์ อสูรปิศาจทุกขุม ต่างกลั้นโศกสงสารเจ้าชายอันเป็นที่รักนี้ยิ่ง ทุกเช้า
        


      ๏ ฝ่ายพระบิดานั้น ครั้นเสียพระมเหสีไป พระโอรสก็มาเป็นไปดังฉะนี้ ก็ทรงสุดปัญญาจะกระทำสิ่งใด ได้แต่คร่ำครวญร้องไห้ทุกเช้าเย็น ทรงย้ายออกมาจากพระตำหนัก ให้พ้นไปจากความสดับความเห็นอันปวดร้าว ด้วยน้ำเสียงของเจ้าชายผู้อาวรณ์เปี่ยมรักเมื่อแรกเช้า เสมือนแส้อันเขาเฆี่ยนโบย กระหน่ำลงกลางพระทัยของพระองค์ เสียงกรีดร้องแตกสลายของหัวใจในยามเย็นก็เสมือนน้ำเกลืออันเขาเอามาเถือทาบนบาดแผลโบยตีนั้น เป็นทารุณกรรมร้ายหฤโหดอันสุดจะทรงทานทนได้

       

      ๏ พระบิดาได้ทรงประกาศทั่วราชอาณาจักร สมัครผู้จะมาแก้ไขพระโรคต้องสาปนี้ ผู้ใดสำเร็จ จักประทานแผ่นดินให้กึ่งหนึ่ง ขอเพียงลูกรักสุดหัวใจกลับมาเป็นที่พึ่งแห่งพระบิดาเท่านั้น

      แต่คำสาปอันโหดร้ายจะลบเลือนได้ง่ายเสียเมื่อไร แม้มดหมอนักเวทนักปราชญ์ใดๆ ก็มิอาจรักษา มีแต่พวกต้มตุ๋นมายกยอสรรพคุณสรรพยาป้อนเปรอแก่เจ้าชาย จนพระวรกายซูบผอมอมโรค พระพักตร์เผือดซีด ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะทรงพระดำเนิน เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก เจ้าชายผู้เป็นที่รักแห่งสามโลก กลับกลายเป็นเหยื่อของนักเผชิญโชคนักหลอกลวง หากินบนความหวังผู้อื่น ฉะนี้

       

      ๏ จวบวันหนึ่ง บุรุษนิรนามได้เดินทางมาถึงพระราชวังอันเศร้าสร้อย แสดงเจตจำนงอันจะรักษาเจ้าชายให้หายจากคำสาป แต่คำหลอกลวงเป็นที่จดจำของชาววังทั้งหลาย ความหวังครั้งใหม่จึงไม่ต่างอะไรกับถ้อยคำโป้ปดเลวทราม ชายนิรนามจึงถูกขับไล่เสียให้พ้นจากประตูวัง

      หากขณะนั้นพระราชาทรงพระดำเนินผ่านหลังจากว่าราชการทั้งหลายเสร็จสิ้น เมื่อทรงได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวายแต่ไกล จึงให้ข้ารับใช้ไปสืบถาม เมื่อได้ความ จึงทรงเชิญให้ชายนิรนามนั้นเข้าเฝ้า

       

      ๏ แม้จะเหน็ดเหนื่อยและปวดใจด้วยความลวงทั้งหลาย แต่ก็ทรงไม่สิ้นหวัง เมื่อชายนิรนามนั้นมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ จึงทรงตรัสถามความไป ชายผู้นั้นตอบแต่เพียงว่า ตนมีวิชาอันเชื่อว่าจะรักษาเจ้าชายได้ ขอแต่เพียงกระดาษกับแท่งถ่านเป็นเครื่องใช้เท่านั้น
      พระราชาทรงลังเล วิชาหลอกลวงอันใดอีกเล่าหนอ แต่ช่างเถิด หากมิให้แตะต้องพระกาย ความชั่วร้ายใดๆ ก็คงมิอาจแผ้วพาน จึงมีพระโองการให้นำเสด็จองค์ชายออกมา

       

      ๏ เจ้าชายมีพระพักตร์เผือดซีด แต่เมื่อต้องแสงเรืองรามในท้องพระโรง พระสุวรรณฉวีก็เปล่งปลั่งดังดาวประกายพรึกเมื่อรุ่งสาง แม้จะทรงซูบโทรม แต่พระสุรเสียงอันตรัสถามพระราชบิดาก็ยังกังวานใส สะท้อนก้องไปในท้องพระโรงดังแตรแก้ว น้ำคำอันเรียงร้อยอย่างประณีตแล้วก็รินไหลออกมาราวกับตาน้ำบริสุทธิ์ พระบิดาตรัสตอบด้วยน้ำเสียงสุดรักแฝงรันทดโทมนัส ทรงจัดให้พระโอรสประทับอย่างข้าง ๆ พระหัตถ์โอบกายเจ้าชายกระชับแน่นด้วยความห่วงใย ทรงทอดนัยน์ให้แก่ชายหนุ่มผู้นั้นเริ่มการรักษา

       

      ๏ เมื่อนั้น ชายหนุ่มนิรนามเริ่มลงมือวาดแท่งถ่านไปมาบนกระดาษขาวต่อเนื่อง เสียงกรีดแกรกดังก้องเนืองไปทั่วท้องพระโรง เสียงถ่านครูดกับกระดาษราวกะเสียงกิ่งไม้เสียดสีฟังแล้วรำคาญใจ แต่เมื่อฟังต่อ ๆ ไป เสียงถ่านแต่ละครั้งราวกับเสียงดนตรี แต่ละเสียงเสียดสีค่อยส่งเสริมกันเป็นจังหวะ มีปะทะรุกถอย ฟังราวกะผีเสื้อหลากสีเริงระบำลอยค้างในอากาศ เสียงครูดคราดขีดแต่ละขีดราวกับเทวาสะบัดริ้วผ้าทิพย์ หัวใจของคนในท้องพระโรงนับสิบต่างตื่นเต้นกับมนตร์วิเศษ พากันใจหวั่นหวาดด้วยหวังไว้ให้สำเร็จ สลับมองเจ้าชายที ชายหนุ่มที มีเพียงเจ้าชายเท่านั้นที่เพ่งมองใบหน้าของชายหนุ่มนิรนามไม่วางตา

       

      ๏ เมื่อชายหนุ่มหยุดมือ คนทั้งหลายต่างกลั้นหายใจ ชายหนุ่มนิรนามจึงบรรจงวางแท่งถ่านลงข้างกาย แล้วค่อย ๆ พลิกรูปในมือนั้นชูขึ้นแสดงให้แก่เจ้าชาย ทันใดนั้น เจ้าชายก็ผุดขึ้นกรีดร้อง แล้วทรุดลงไปกองกับพื้นเย็นเยียบ น้ำตาไหลพราก เสียงหวานใสกลายแหบพร่าอาดูร สั่นสะเทือนผ่านโสตประสาทเข้าไปขยี้หัวใจทุกดวงในท้องพระโรง พระราชาสั่งเร่งให้พาเจ้าชายกลับตำหนัก แล้วนำตัวโจรชั่วร้ายนี้ไปจำตรวน รอประหารเมื่อย่ำรุ่งพรุ่งนี้


        
      ๏ รุ่งเช้า เจ้าชายทรงตื่นบรรทม ตรัสถามพระพี่เลี้ยงด้วยคำถามเดิม

      “พี่ท่าน เมื่อคืนข้าลืมลาท่านแม่ก่อนนอน พระองค์จะตำหนิข้าอย่างไรบ้างหนอ”

      พระพี่เลี้ยงฝืนยิ้มตอบคำ น่าแค้นใจเจ้าหนุ่มจอมปดนั่นนัก เจ้าชายทรงลุกขึ้นจากพระแท่น ทรงสรง เปลี่ยนฉลองพระองค์ ขณะเมื่อนางกำนัลกำลังเตรียมเครื่องเสวยนั้น ทรงตรัสถามว่า

      “ชายหนุ่มที่พระราชบิดาให้มาเข้าเฝ้า ไปไหนเสียเล่า ข้าจะพาเขาไปพบพระมารดา คงจะโปรดรูปวาดนั้นมากเทียว”

      นางกำนัลทั้งหลายดีใจจนกลั้นไห้มิได้ รีบไปทูลพระราชา เมื่อทรงทราบ ตรัสเรียกให้ปล่อยชายหนุ่มนิรนามนั้นเสีย โปรดตรัสขอบคุณอย่างสุดซึ้งและจะพระราชทานดินแดนทั้งหลายตามที่ทรงสัญญาไว้

       

      ๏ เมื่อนั้น ชายหนุ่มจึงชี้แจงว่า คำสาปนั้นทุเลาลงแล้ว ทว่า จิตอันเป็นส่วนทรงจำภาพทั้งหลายของเจ้าชายถูกทำลายมาเนิ่นนาน อย่างไรก็ไม่อาจฟื้นคืน จะทรงจำสิ่งใดเพิ่มเติมไม่ได้อีก เว้นเสียแต่สิ่งที่ทอดพระเนตรจากภาพวาดเท่านั้น พระราชาจึงขอให้ชายหนุ่มรับราชการในวังเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายตลอดไป

       

      ๏ ทว่าชายหนุ่มปฏิเสธ กล่าวแต่ว่าตนนั้นมีจุดหมายอื่น อีกทั้งเจ้าชายยังมีรักในดวงหทัยอยู่แล้ว สิ่งที่ทำได้มีแต่จะสอนวิชาวาดรูปให้แก่เจ้าชายนั้น

      “กระหม่อมขอเวลา 1 ปี เพื่อถ่ายทอดวิชาให้แก่เจ้าชาย หลังจากนั้นก็จะออกเดินทางตามจุดหมายต่อไป”

      พระราชาจึงตรัสว่า “อันวิชาวาดรูปย่อมมิใช่ของง่าย หากมิใช่ผู้มีพรสวรรค์เช่นท่าน ย่อมมิอาจกระทำให้สำเร็จลงได้ เสมือนการสร้างโลก แม้พยายามบำเพ็ญบารมีสักปานใด ก็มิอาจกระทำได้ดังพระเป็นเจ้า ลูกเราแม้จะเป็นศิลปิน เป็นกวี เป็นนักขับ แต่ก็เป็นปราชญ์แต่ในทางภาษาทางขับร้อง จะเคยแตะต้องถ่านหินขีดเขียนก็หาไม่ เราเห็นแต่เพียงหนทางอันจะให้ท่านอยู่ดูแลเท่านั้น ลูกเราจึงดำรงชีพอยู่ได้”  

       

      ๏ แม้พระราชาจะหว่านล้อมสักเท่าใด ชายหนุ่มยังยืนยันคำเดิมมิเปลี่ยน สุดท้ายก็ทรงจนพระทัย ยินยอมให้ชายหนุ่มเพียงแต่สอนวิชาเป็นเวลา 1 ปีเท่านั้น
        


      ๏ พระราชาทรงสร้างสวนนอกเมืองให้เป็นที่พำนักของชายนิรนาม ในยามเช้า เจ้าชายจะเสด็จ ณ อุทยานเพื่อเรียนวิชาจิตรกรรม นับแต่นั้น ชายนิรนามสอนเจ้าชายวาดรูปทุกวัน แม้คำสาปอันกัดกินหัวใจของเจ้าชายจะทุเลาลง แต่หัวใจที่วิ่นแหว่งของพระองค์ก็จำผู้ใดไม่ได้อีก หากจะมีก็มีแต่ดวงตาเข้มคมและเรียวมืออันกรีดวาดของชายหนุ่มเท่านั้น ที่ประทับลงในพระทัยของเจ้าชายลึกซึ้งเข้าทุกวัน ๆ

       

      ๏ แต่ละวัน ชายหนุ่มจะสอนเจ้าชายขีดเส้นลงบนกระดาษ เพิ่มทีละ ๑ เส้นทุก ๆ วันบนกระดาษแผ่นเดิม ส่วนเจ้าชายนั้น เมื่อเรียนวาดรูปเสร็จก็ขับร้องบทกวีให้แก่ชายหนุ่มฟัง บางครั้งชายหนุ่มยิ้มตามจนแก้มปริ บางครั้งก็โศกเศร้าจนน้ำตาคลอ เจ้าชายเคยทรงเพียรสอนวิชาบทกวีให้แก่ชายหนุ่มบ้าง แต่ชายหนุ่มนั้นปฏิเสธ

      วันเวลาผ่านไป เจ้าชายทรงผูกพระทัยกับชายหนุ่มนั้นลึกล้น เกินกว่าจะปล่อยให้ดวงตาและเรียวมือนั้นหายไป จึงทรงกล่าวชักชวนให้ชายหนุ่มอยู่ร่วมกับพระองค์ คอยช่วยเหลือพระองค์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

      “เจ้าจงอยู่ที่นี่เถิด จงอยู่กับข้า วาดรูปให้ข้าดู ข้าไม่รู้ดอกว่าเจ้ามาจากที่ไหน หรือจะไปแห่งหนใด รู้แต่เพียงว่าข้าอยากให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า วาดรูปให้ข้า ฟังข้าขับกวี ข้ารู้จากดวงตาเจ้า เจ้ามีความสุขเมื่อวาดรูป เจ้ามีความสุขเมื่อฟังข้าขับกวี จงอยู่กับข้าเถิด”

      “พระองค์กล่าวเช่นนี้ไม่ถูก ทรงอย่าตรัสเช่นนั้นอีกเลย เทพย่อมประทานพรให้แก่มนุษย์ต่างกัน พรของพระองค์คือทิพยภาษา พรของหม่อมฉันคือมือคู่นี้ ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตที่เทพประทานให้แบบหนึ่ง ชีวิตหม่อมฉันก็เป็นชีวิตอีกแบบหนึ่ง กระหม่อมมีความสุขเมื่อวาด กระหม่อมมีความสุขเมื่อฟัง แต่เทพเจ้าได้กำหนดให้หม่อมฉันต้องเดินต่อไป เช่นเดียวกับพระองค์ ทรงประทับอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว ใกล้ถึงเวลาต้องทรงก้าวต่อไป เบื้องหลังของพระองค์มีภาระหน้าที่รออยู่ มีผู้ที่รักพระองค์ยิ่งกว่าหม่อมฉันรออยู่ ทรงอย่าตรัสเช่นนั้นอีกเลย”

      เจ้าชายทรงเก็บงำความรู้สึกไว้ในพระทัย มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
        


      ๏ ผ่านไปครบกำหนด 1 ปี รูปที่วาดแต่วันแรกจึงแล้วเสร็จ เป็นภาพเจ้าชายเมื่อวัยเด็กประทับอยู่กับพระบิดามารดา ท่ามกลางพระญาติและประชาชน ข้าง ๆ พระองค์มีสตรีนางหนึ่งเคียงข้าง ใบหน้าของคนทั้งหมด ล้วนเอิบอิ่มด้วยความปีติ

      “เจ้าชายของกระหม่อม บัดนี้พระองค์ได้สำเร็จวิชาแล้ว แม้จะไม่มีพรแห่งสวรรค์ แต่พระองค์ก็ทรงใช้ความเพียรได้มาซึ่งปัญญาอันฆ่าคำสาปที่กัดกินพระองค์ได้แล้ว ขอจงเสด็จกลับไปเถิด หม่อมฉันต้องเตรียมตัวเดินทางแล้ว อีก ๗ วัน หม่อมฉันจะจากไป ไม่หวนกลับมาอีก”

      “อย่าได้กล่าวเช่นนั้น ครูของข้า เทพของข้า ผู้ให้กำเนิดข้าใหม่อีกครั้ง ข้าได้รับถ่ายทอดวิชาจากเจ้า แต่มิใช่ใจเจ้า ข้าต้องการให้เจ้าภักดีต่อข้า อยู่ข้างข้า คอยช่วยเหลือข้า วาดรูปให้ข้า ฟังข้าขับกวี จงอยู่กับข้าเถิด”

      “พระองค์ตรัสเช่นนี้ไม่ถูก ทรงอย่าตรัสเช่นนั้นเลย หม่อมฉันเคยบอกพระองค์เรื่องความลับแห่งชีวิตแล้ว ทรงปลงพระทัยเสียเถิด ทรงอย่าตรัสเช่นนั้นอีกเลย”

      ชายหนุ่มผินหน้าหนีเสีย เจ้าชายจึงเสด็จจากอุทยานนั้นกลับสู่ตำหนัก
        


      ๏ 7 วันให้หลัง เจ้าชายเสด็จกลับมายังสวนนั้นอีก เพื่อร่ำลาครั้งสุดท้าย

      “ครูของข้า เทพของข้า ผู้ให้กำเนิดข้าอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าจะมา ข้าจำได้เพียงแต่ว่า เมื่อคืนก่อนข้าลืมทูลลาพระมารดา จึงตื่นมาด้วยความร้อนใจ แต่ก็มิได้เศร้าโศกอันใด ด้วยไม่ต้องจดจำความเจ็บปวด ทุกวันของข้าเสมือนวันใหม่ ข้าเขียนกวี ข้าขับลำนำ กวีทุกบทที่ข้าเตรียมเพื่อออดอ้อนพระมารดานั้น ไพเราะ ซึ้ง จับใจและไม่ซ้ำกันเลยตลอดมา ช่วงเวลานั้นข้าเป็นสุขยิ่ง ด้วยไม่ต้องรับรู้อันใด”

      “บัดนี้ ข้าได้ความจำคืนมา พร้อมกับความทุกข์ สำเหนียกถึงความโง่เขลาของตน บทกวีจอมปลอมและความฝันลมแล้ง ข้าก้าวข้ามมาสู่ความเจ็บปวดแห่งความโหยหา อาดูร”

      “บัดนี้เจ้าผู้เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของข้า ยังจะจากข้าไปสู่แดนไกล ยังความรันทดใจแก่ข้าล้ำเหลือ ด้วยมิได้เห็นรูปของเจ้า เรียวมือเจ้า ดวงตาของเจ้า ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อสิ่งใด กระนั้นข้าต้องอยู่ต่อไป เพราะภาระเบื้องหลัง เพราะผู้ที่รักข้า ผู้ที่ข้าต้องปกป้อง ข้าอยากเก็บเจ้าไว้คนเดียว เร้นเสียจากสายตาของสามโลก ให้ข้าคนเดียวเท่านั้นที่ได้ดูรูปของเจ้า ให้มือข้ามือเดียวเท่านั้นที่เจ้ากุมสอนขีดถ่าน ให้ดวงตาข้าคู่เดียวเท่านั้นที่ได้ดื่มดวงตาเจ้า แต่ข้าก็มิอาจทำได้ จงนำสิ่งนี้ไปเสียเถิด ครูของข้า เทพของข้า ผู้ให้กำเนิดข้าอีกครั้ง”

      เจ้าชายยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นให้แก่ชายหนุ่ม รูปที่ทรงประทับทั้งชีวิตลงในภาพ เป็นรูปที่งามที่สุดที่ชายหนุ่มเคยเห็น หรืออย่างน้อยก็งามที่สุดเท่าที่หัตถ์แห่งเจ้าชายจะสร้างได้ เบื้องขวาของรูปนั้นเป็นบทกวีอันเจ้าชายเคยขับเล่นอยู่เสมอ…

      “โอ เทพเจ้าแห่งศิลปะ
      ปานท่านประทับหัตถ์วาด
      รูปรอยแห่งความฝันลงในใจข้า
      มิอาจเกิดร่วมใต้ฟ้า
      ชีพหน้าขอเคียงร่วมดังสบธาร”

      ชายหนุ่มรับรูปนั้นไว้ด้วยอาการสงบ เจ้าชายทรงเคลื่อนพระองค์เข้าจุมพิตริมฝีปากของชายหนุ่ม รูปของพระองค์ในมือของชายหนุ่มจึงพักอยู่ด้านข้าง เป็นรูปของชายหนุ่มกำลังยืนสอนพระองค์วาดรูป
       

      ขณะที่ลมพัดพลิ้ว มวลดอกไม้บานสะพรั่ง ชั่วขณะนั้น ทั้ง 3 โลกสงบนิ่ง เร้นร้างห่างไกลเพื่อทูลถวายซึ่งห้วงแห่งความดูดดื่มนี้เป็นกำนัลแด่เจ้าชายผู้เคยต้องสาป

       

      ๏ หลายปีหลังจากนั้น พระราชาผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ผู้ได้รับยกย่องในฐานะจักรพรรดิแห่งกวีทั้งหลายบนแผ่นดิน ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังอุทยานนอกพระนครทุกๆ ปี เล่ากันว่า ทรงรอใครบางคนกลับมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์

       




      ————————END——————————

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×