[BIGBANG FANFIC] Fix You - [BIGBANG FANFIC] Fix You นิยาย [BIGBANG FANFIC] Fix You : Dek-D.com - Writer

    [BIGBANG FANFIC] Fix You

    ความรักไม่เคยทำร้ายใคร ใจเราต่างหาก...ที่ทำร้ายตัวเราเอง

    ผู้เข้าชมรวม

    881

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    881

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    8
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.พ. 56 / 17:36 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Posted Image


    Title : Fix You
    Author : T.S.Choi
    Editor : Silver Butterfly
    Pairing : TempG
    Genre: AU, Romance, Tragedy
    Rate : G

    Author’s note (T.S.Choi) : ท้ายเรื่องมีเพลงประกอบตอนจบ ถ้าอ่านเสร็จแล้ว ลองฟังกันดูนะครับ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ตี 4 แล้ว


      หากแต่เขายังไม่อาจหลับตาลง


      ความเหนื่อยล้าเกาะกุมอยู่ตรงขมับ บีบเค้นอาการไมเกรนเรื้อรังมานานปีให้กำเริบ ริมปากอิ่มคาบบุหรี่ที่ลุกไหม้จนจรดก้นกรอง กาแฟขอดแก้วเย็นชืดไปนานแล้ว


      กระนั้นเขาก็ไม่อาจลุกจากที่นั่น


      โต๊ะเบื้องหน้ากองสุมด้วยกระดาษจดสูตรเคมีและสมการคณิตศาสตร์เป็นพะเนิน เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นช่วง โคมไฟเหลืองนวลจำกัดแสงอยู่เฉพาะบนโต๊ะทำงานแคบๆ หน้าจอเรืองสว่างของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ทันสมัยรายล้อมร่างเพรียวบางไว้ แสดงผลการคำนวณและอัตราต่างๆ อย่างคงที่


      ใบหน้าครุ่นคิดนิ่งเรียบอยู่เนิ่นนาน จมดิ่งในการคาดคะเนและการไขปมปัญหา สุดท้าย หัวคิ้วบางก็ขมวดมุ่น เขาเอนหลังกลับมาพิงพนักเก้าอี้หนังดังเดิม ปลายนิ้วสั่นน้อยๆ เมื่อคีบบุหรี่ออกจากริมฝีปาก แววตาทอประกายอ่อนล้า กาลเวลา 38 ปีประทับริ้วรอยไว้บนใบหน้าอย่างร้ายกาจ ผสานกับความเหน็ดเหนื่อยแห่งการรอคอยและความคาดหวัง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เคยสดใสในวัยหนุ่ม…บัดนี้คงเหลือเพียงความเศร้าโศกที่แห้งกรังอยู่ในแววตา


      10 ปี…


      เขาอดทนและเพียรพยายามมา 10 ปี กว่าจะก้าวมาถึงขั้นสุดท้ายของการทดลอง


      เพื่อนำคนรักของเขากลับคืนมา…




      ควอนจียงลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตัดข้ามห้องที่รกรุงรังไม่ต่างจากโต๊ะทำงาน หลอดทดลอง ภาพแสดงสัดส่วนของร่างกายมนุษย์ กระดานดำที่จดความคิดคำนึงและสูตรต่างๆ ไว้ด้วยชอล์คสีขาวจนแน่นเอียด ร่างบางก้าวออกจากห้องทำงานทึมๆ ของตนเข้าสู่ห้องทดลองสีขาวปลอดที่กั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังกระจกใสแผ่นหนาที่ทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมจากสิ่งที่เขาหวงแหน


      ในหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง


      ร่างเปลือยเปล่าของชเวซึงฮยอนนอนอยู่ในนั้น


      ชเวซึงฮยอนที่บริสุทธิ์และงดงามเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน




      เครื่องตรวจวัดชีพจรดัง ‘ปี๊บ’ มาเป็นจังหวะ เนิบช้า แต่แน่นอน จียงประสบความสำเร็จในการเพาะเนื้อเยื่อของซึงฮยอนจนจำลองร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นมาใหม่แทบจะเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว


      แทบ…



      เขายกมือขึ้นกุมริมฝีปาก ความหวังหนักหนาอัดแน่นในอก มันคัดคั่งอยู่ภายในจนปวดหนึบ ต่อมน้ำตาที่ทำงานหนักมาตลอด 10 ปีดูจะมีปฏิกิริยากับอารมณ์ภายในเล็กน้อย ทว่ามันเหนื่อยล้าจนไม่อาจรีดเร้นของเหลวใดได้อีก



      จียงทอดมองอย่างเลื่อนลอย เขาชะงักอยู่ที่ขั้นคืนสติให้อีกฝ่ายมา 3 ปีแล้ว การฟื้นฟูกายเนื้อจากเซลล์ไม่กี่เซลล์อาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่จะทำไม่ได้… ทว่าการคืน ‘จิตใจ’ ของมนุษย์ให้กลับคืนมาดังเดิมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากทฤษฎีของเขาถูกต้อง รหัสดีเอนเอของคนเราจะบันทึกความทรงจำและความรู้สึกนึกคิดในช่วงสุดท้ายก่อนตายไว้ หากเขาสามารถกระตุ้นให้ดีเอนเอส่วนนั้นทำงานได้อีกครั้ง ซึงฮยอนคนเดิมเมื่อ 10 ปีก่อนก็จะตื่นขึ้นมาและกอดเขาไว้อีกครั้ง


      หากทฤษฎีของเขาถูกต้อง…




      ความเหนื่อยล้าจากการกรำงานมาเกือบ 2 สัปดาห์ทำให้ร่างบางอ่อนแรง เขายื่นมือไปนาบกระจกเพื่อเอนพิง หลับตาลงครู่หนึ่ง ให้สมองหยุดพัก กระนั้น…จิตใจยังคงกระวนกระวาย เขารู้สึกได้ถึงเวลาที่งวดเข้ามา ทุนทรัพย์เริ่มร่อยหรอ โรคภัยเริ่มรุมเร้าตามวัยที่เพิ่มขึ้น และที่สำคัญ…


      ความหวังในใจเริ่มลีบเรียว


      การเดินทางของเขาเดินทางมาใกล้จุดจบแล้ว


      เขาอยากจะร้องไห้… อยากระบายความคิดถึงและความทุกข์ออกมาบ้าง ทว่ากาลเวลาก็โหดร้ายเกินไป มันทำให้เขาชินชาด้วยการตื่นขึ้นมาเห็นร่างของคนรักนอนหลับสนิทอยู่ทุกวัน จนภาพเบื้องหน้าไม่พอจะกระตุ้นระบบการทำงานในร่างกายของเขาให้ ‘ร้องไห้’ ได้อีก…


      ความเจ็บคงหยั่งรากลึกกระทั่งกลายเป็นกระดูกสันหลังอีกชิ้นหนึ่งของเขาไปแล้ว


      ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนที่ซึงฮยอนดับลมหายใจ


      จียงก็ตายไปด้วย…


       

      **********




      “จียง ช่วงนี้นายต้องเดินทางไปบรรยายตามต่างประเทศบ่อยๆ ระวังตัวด้วยนะ” น้ำเสียงทุ้มลึกอบอุ่นดังแว่วอยู่ในโทรศัพท์ ปากอิ่มยิ้มดีใจที่อีกฝ่ายเอ่ยปากห่วงใยเขา


      “ฮยองอ่ะ… เมื่อกี้ก่อนผมออกมาทำไมไม่เห็นพูดแบบนี้บ้าง” กระนั้นเขาก็ยังแสร้งเว้าวอน รู้ทั้งรู้ว่าการคาดหวังการแสดงความรักจากชายหนุ่มผู้เขินอายคนนี้เป็นเรื่องยากแสนยาก… แต่ก็อดไม่ได้ เขารักแสนรัก และปรารถนาความอบอุ่นจากอีกฝ่าย


      “เอ่อ…ก็เมื่อกี้… คนมันเยอะนี่ ฉัน…” เขายิ่งยิ้มกว้างขึ้นเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาในเวลานี้


      “ผมล้อเล่นน่า… แค่ได้ยินฮยองพูดแบบนี้ ผมก็ดีใจแล้ว” อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ช่วงระยะเวลาที่เขารอคำตอบในความเป็นจริงช่างแสนสั้น แต่ในหัวใจที่เปี่ยมด้วยความโหยหานี้ วินาทีนับเป็นนิรันดร์


      “ฉันคิดถึงนายนะ”




      เบาแสนเบา… แต่เขาก็ยังได้ยิน


      ถ้อยคำเพียง 5 คำกลับทำให้เขาหัวใจพองโต บีบรัดในอกเหมือนรากของกล้วยไม้ที่กระหวัดต้นไม้ใหญ่ รึงเร้า ทว่าหอมหวานดื่มด่ำ


      “ผมก็คิดถึงฮยอง…” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาเท่าๆ กัน ราวกับทั้งสองแนบร่างใกล้ชิดใต้ผ้าผืนหนาอย่างเมื่อคืน ไม่มีใครรบกวน ไม่มีอะไรกีดกั้น สัมผัสถึงอุณหภูมิของกันและกัน ถ่ายทอดและกอดเกี่ยว


      เขายังจำได้ถึงสัมผัสเมื่อตอนที่ซึงฮยอนเลื่อนเท้ามาแนบกับเท้าของเขา เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นแก่เท้าที่เย็นเยียบเพราะเครื่องปรับอากาศ เสียงกระซิบของอีกฝ่ายที่ถามว่า หนาวหรือเปล่า ทำให้เขารู้สึกร้อนที่ซอกคอ แผ่นอกและสะโพก ที่ที่ริมฝีปากเรียวนั้นจุมพิต และฝากรอยไว้


      “กลับไปคราวนี้ผมมีเซอร์ไพรส์ให้ด้วยนะ”


      “เซอร์ไพรส์…?” จียงแอบยั่วอีกฝ่ายให้ตื่นเต้น เขายิ้มที่ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ช่วงที่เขากลับมาใกล้วันเกิดของซึงฮยอนพอดี จียงจึงสั่งแบร์บริกทำพิเศษที่สลักตัวอักษร SY&JY for 28th HBD ไว้


      “เรื่องอะไรผมจะบอก กลับมาก็รู้เองแหละน่า ไม่งั้นจะเป็นเซอร์ไพรส์เหรอฮะ”


      “โอเค รีบกลับมานะ… ฉันจะรอ”


      “ฮะ แล้วผมจะรีบกลับไปเจอฮยองนะ”





      ทว่า…




      เมื่อเขากลับมา จียงไม่ได้เห็นดวงตาที่สุกใสขี้เล่นของคนรักอีกแล้ว มันถูกซ่อนไว้ใต้เปลือกตาสีม่วงคล้ำ ผิวหนังที่เขาเคยสัมผัสและโอบกอด กลับเย็นและชืด กลิ่นกายที่เขาสูดใกล้ บัดนี้ฉุนหืนด้วยน้ำยาอาบศพ


      เขาไม่ได้ฟังรายละเอียดที่ตำรวจบรรยาย รู้แต่เพียงเลาๆ ว่ารถของซึงฮยอนถูกรถบรรทุกเบียดแซงจนเสียหลัก กระแทกกับขอบทางด่วน พลิกกระเด็นตกลงมาจากไฮเวย์ขณะมุ่งสู่สนามบิน


      ขณะมารับเขา




      จียงมองร่างที่นิ่งสงบนั้นอยู่เงียบๆ ไม่โวยวาย ไม่กรีดร้อง มีเพียงความอุ่นร้อนที่หลากหลั่งจากดวงตาไม่หยุดหย่อน หลากทะลักกระทั่งมันเหือดแห้ง เขาจำได้แต่เพียงว่า เขากอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ พร้อมกระซิบถามเบาๆ อย่างแสนซื่อ ฮยองฮะ ไหนบอกว่าจะรอผมไง ตื่นสิฮะ



       

      **********





      “ปี๊บๆๆ” จียงสะดุ้งลืมตาเมื่อได้ยินเสียงเครื่องตรวจวัดชีพจรดังรัวผิดปรกติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกฟากหนึ่งของกระจก…ร่างของซึงฮยอนที่นอนอยู่ภายในหลอดทดลองในของเหลวสีเขียวกำลังกระตุก เขาถลันวิ่งไปเช็คที่มิเตอร์ อัตราการคงตัวของเซลล์ลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย หัวใจจียงหล่นวูบ สิ่งที่เขากังวลกำลังเกิดขึ้น เซลล์จำลองไม่อาจแปรสารอาหารเป็นพลังงานที่ใช้สร้างเซลล์ใหม่ได้ทัน


      ซึงฮยอนกำลังละลาย เหมือนดินเหนียวที่ตกน้ำ


      จียงรีบเปิดประตูที่กั้นระหว่างสองห้อง เขาไม่มีแม้แต่เวลาจะเปลี่ยนเสื้อกาวน์และรมก๊าซฆ่าเชื้อ สองเท้าพามุ่งไปยังชั้นเก็บสารเคมีสำหรับพยุงชีพ มือบางรีบควานหาหลอดน้ำยากระตุ้นการทำงานของเซลล์ เขาหยิบมันมา 4 โดส มากกว่าปรกติ 2 เท่า… ถึงแม้จะเสี่ยง แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จียงจะมัวมากังวลกับการคาดคะเนทางวิทยาศาสตร์


      ของเหลวสีน้ำเงินใสไหลเลื่อนผ่านท่อยางที่เชื่อมสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของซึงฮยอนทันที จียงจ้องมองร่างคนรักด้วยความกังวล เหงื่อเย็นโทรมใบหน้า ไม่นาน กราฟแสดงระดับการสร้างเซลล์ก็หยุดดิ่งลง และเพิ่มระดับขึ้นอย่างช้าๆ  ทว่าจียงถอนหายใจโล่งอกขึ้นได้ไม่นาน กราฟแสดงการเต้นของหัวใจก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว สารเคมีเร่งการทำงานของเซลล์มีผลต่อการพยุงโครงสร้างเซลล์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไปกระตุ้นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจให้ทำงานมากขึ้นจนผิดปรกติ หัวใจของซึงฮยอนกำลังจะล้มเหลว

      ‘แดมน์!’


      เขาหันกลับไปยังแผงควบคุมที่อยู่บนผนัง คำนวณอัตราชีพจรและปรับระดับเครื่องกระตุ้นหัวใจ เขารีบกดปุ่มส่งกระแสไฟอ่อนๆ สู่หลอดทดลองเพื่อดึงระดับการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจให้กลับมาเป็นปรกติ ร่างซึงฮยอนกระตุกเกร็งครั้งหนึ่ง ทว่ากราฟหัวใจยังไม่ดีขึ้น จียงกดอีกสามครั้ง ปวดในอกทุกครั้งที่เห็นร่างคนรักสั่นเกร็ง แต่ตัวเลขบนหน้าจอยังคงวิกฤต ทำให้เขาลังเล หากกระตุ้นมากกว่านี้ กล้ามเนื้อหัวใจของซึงฮยอนที่อ่อนแออยู่แล้วอาจชำรุดจนเกินซ่อมแซม นิ้วของเขาระริกจ่อบนปุ่ม…

      สุดท้ายเสียงกราฟสัญญาณชีพจรดัง ‘ปี๊บ’ ยาว ลากเอาความเยือกเย็นของจียงไปด้วย


      ไม่! เขากรีดร้องโหยหวนเหมือนสัตว์ป่ากำลังคลั่ง ก่อนถลันไปเปิดหลอดทดลอง กรอบพลาสติกหนาชั้นนอกค่อยๆ เลื่อนเปิด เหลือเพียงหลอดแก้วด้านใน


      ช้าเกินไป…


      จียงใช้ผ้าขาวที่วางอยู่ข้างๆ พันหมัด ก่อนต่อยกระจกของหลอดทดลองจนแตกเป็นรูโหว่ ของเหลวสีเขียวไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว เขากระชากแผ่นกระจกร้าวให้หลุดเป็นชิ้นๆ โดยไม่สนใจเลือดชุ่มโชกบนมือที่ถูกบาดลึก ดึงสายระโยงระยางที่เชื่อมต่อกับร่างคนรักออก เหลือไว้เพียงเซ็นเซอร์วัดชีพจรแบบไร้สายที่ติดอยู่ตรงลำคอ และอุ้มร่างซึงฮยอนที่อ่อนเปลี้ยออกมานอนบนโต๊ะพลาสติกยาวข้างๆ


      จียงประสานมือบนลิ้นปี่เปียกชุ่มและกดเป็นจังหวะถี่ๆ


      “ฮยองอย่าเพิ่งยอมแพ้สิ อย่าเพิ่งทิ้งผมไป” เขาพร่ำกระซิบเสียงเบาๆ อย่างไร้สติ ขณะสายตาสลับไปมาระหว่างร่างเปลือยเบื้องหน้ากับหน้าจอแสดงผลชีพจร เส้นสีเขียวที่สมควรเต้นขึ้นลงกลับนิ่งสนิท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง…


      “ไม่นะฮยอง อย่าทำอย่างนี้สิ ผมรอฮยองอยู่นะ” น้ำเสียงสั่นเอ่ยกระท่อนกระแท่นขณะรัวประสานมือเหนือลิ้นปี่


      “ขอร้องละฮยอง ตื่นสิ!… ตื่น!”




      “อ๊ากกก..” จียงสะดุ้งเมื่อร่างของซึงฮยอนกระตุกเกร็ง จู่ๆ ชายหนุ่มก็เกร็งตัวสำลักของเหลวสีเขียวออกจากปากและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เขานิ่งอึ้งไป ทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้ซึงฮยอนกุมท้องดิ้นเร่าอยู่บนเตียง… เขาคาดหวังชีพจร แต่ไม่เคยนึกถึงว่าอีกฝ่ายจะ ‘ตื่น’ ขึ้นมาแบบนี้


      “ฮยอง!” เมื่อจียงรวบรวมสติได้ เขาหันไปคว้าหลอดฉีดยาและยากดประสาทอ่อนๆ ก่อนกลับมาปักเข็มใส่ร่างคนรัก ไม่นาน ซึงฮยอนก็หยุดกรีดร้องและนอนสงบบนโต๊ะพลาสติก ทุกอย่างตกสู่ความเงียบ เหลือเพียงเสียงชีพจรที่กลับมาเต้นเป็นปรกติอีกครั้ง พร้อมกับเสียงหายใจหอบของทั้งสอง


      “ฮยอง… ซึงฮยอนฮยอง” จียงเอ่ยเบาจนแทบกระซิบ เขายังคงไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า คนรักของเขาตื่นแล้ว เขาฝันไปหรือเปล่า ชายหนุ่มตกตะลึงจนไม่กล้าขยับเขยื้อน กระทั่งดวงตาคมเข้มนั้นลืมขึ้น แม้จะเพียงนิด แต่แววตาสุกใสที่จียงถวิลหามาแสนนานก็กลับมาจ้องมองเขาอีกครั้ง






      “จียง…กลับมา…แล้วเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนั้นแห้งผากและแผ่วอ่อน ทว่าแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะกระชากทุกอย่างในอกจียงออกมา






      “ผมกลับมาแล้วครับ… ผมกลับมาแล้วครับฮยอง”


      เขาร้องไห้



       

      **********





      จียงยิ้มไม่หุบขณะนั่งที่โต๊ะอาหาร เขาไม่ได้นอนมา 3 วันแล้ว แต่กลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด ดวงตากลมโตจ้องแป๋วยังคนรักที่นั่งอยู่เบื้องหน้าขณะเขาป้อนอาหารสำหรับช่วงพักฟื้นให้ จียงอดขำไม่ได้ที่อีกฝ่ายเบะปากเบือนหน้าหนี พร้อมโอดครวญแก่เขา


      “จียง…ไม่กินไม่ได้เหรอ ฉันไม่ชอบกลิ่นมันเลย”


      “ไม่ได้นะฮะฮยอง… ร่างกายของฮยองยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ ต้องรับสารอาหารเข้าไปมากๆ ไม่งั้นจะคลื่นไส้อาเจียนเหมือนวันแรกๆ อีกนะฮะ”



      ซึงฮยอนดูจะรับมือกับเรื่องที่ตนเองฟื้นจากความตายได้ดีกว่าที่คิด ชายหนุ่มสงบนิ่งฟังขณะเขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อเล่าจบ ซึงฮยอนพูดเพียงสั้นๆ ว่า ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องลำบากมาตั้งหลายปี จียงน้ำตารื้นเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น อย่าพูดอย่างนั้นสิฮะ ผมแค่ทำตามสัญญา ว่าจะกลับมาหาฮยองก็แค่นั้นแหละ




      ร่างกายซึงฮยอนฟื้นตัวเร็วอย่างน่าประหลาด โดยที่จียงเองก็หาคำตอบไม่ได้ อาจเป็นสารเร่งการทำงานของเซลล์ที่เขาเสี่ยงใช้เกินขนาด อาจเป็นการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า อาจเป็นอะไรก็ได้… แต่เท่าที่จียงรู้ นี่คือปาฏิหาริย์




      กระนั้น…เขาก็ยังไม่วางใจนัก พยายามตรวจเช็คกราฟการทำงานของเซลล์ในระบบต่างๆ ของซึงฮยอนมาตลอด 3 วัน 3 คืน แต่ก็ยังไม่พบข้อผิดปกติอะไร เขาจึงตัดสินใจปลดเครื่องตรวจต่างๆ ออกจากร่างกายซึงฮยอน และปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตได้อย่างอิสระตามปรกติ


      ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด…





      “นี่… นายอายุ 38 แล้วนะ ส่วนฉันยัง 28 เท่าเดิม เรียกฉันฮยองๆ แบบนี้ไม่จักจี้บ้างเหรอ” อีกฝ่ายหยอกเขายิ้มๆ หลังจากกลืนสารเคมีน่าพะอืดพะอมลงไปแล้ว จียงที่เพิ่งนึกออกก็อดเขินหน้าแดงไม่ได้


      “ทำไมล่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนซึงฮยอนก็ยังเป็นฮยองของผมอยู่ดี”


      “ต้องเรียกว่าไม่ยอมแก่สินะ ฮ่ะๆๆ” ซึงฮยอนระเบิดหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก เสียงสดใสราวเด็กน้อยที่ไม่ได้ยินมา 10 ปี


      จียงยิ้ม


      “ฮยองบ้า” เขาประท้วง ก่อนจะเดินไปพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ถึงเวลาอาบน้ำแล้วฮะ เดี๋ยวผมต้องเช็กสภาพร่างกายฮยองอีกนะ”


      “ไม่เอาน่า ฉันขี้เกียจนั่งนานแล้วนะ” ซึงฮยอนบ่นงึมงำเป็นเด็กอีกครั้ง การตรวจร่างกายกินเวลานานก็จริง แต่มันจำเป็นสำหรับเขานี่ จำเป็นสำหรับทั้งคู่ คราวนี้จียงจะไม่ยอมให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นอีกแล้ว เขาจะไม่ยอมให้ฮยองจากเขาไปอีก


      ครั้งนี้…จียงจะดูแลซึงฮยอนเอง


      เขาสัญญา…


       

      **********




      “อืม…” จียงครางอ่อนหวานในลำคอเมื่อริมฝีปากของคนรักจุมพิตเบาๆ บนลาดไหล่ ทั้งสองซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กันดังเช่นเมื่อ 10 ปีก่อน ทีแรกเขาไม่ตั้งใจจะให้ซึงฮยอนออกแรงมากนัก แต่การรอคอยนานหลายปีไม่ได้ฝากเพียงบาดแผลเจ็บปวด หากยังหยั่งรากแห่งความปรารถนาล้ำลึกในจิตใจของจียง กี่ค่ำคืนแล้วที่เขาต้องปลดปล่อยตัวเองขณะจินตนาการว่ากำลังนอนอยู่ใต้ร่างสูง


      และในค่ำนี้ ความฝันของเขากลับมาเป็นจริงอีกครั้ง


      “ฮยอง…เหนื่อยหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามหลังจากอีกฝ่ายยอมปลดปล่อยเขาจากพันธนาการแห่งจูบ ซึงฮยอนตอบปฏิเสธเบาๆ  กอดกระชับแขน โอบรัดเขาแน่นยิ่งขึ้น จียงพลิกตัวกลับมา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม


      “ผมคิดถึงฮยองนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบา ชั่วขณะนั้นดูราวเนิ่นนานไม่มีวันสิ้นสุด ก่อนที่ซึงฮยอนจะตอบเขากลับมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ


      “ขอโทษนะ…ที่ฉันทำให้นายต้องลำบากขนาดนั้น” กระบอกตาจียงร้อนผ่าว เขาส่ายศีรษะช้าๆ


      “ไม่เลย ไม่เลยสักนิด…” เขาซุกหน้าเข้าซบบนแผ่นอกกว้าง “ผมแค่อยากอยู่กับฮยองอีกครั้ง…”


      “ฉันอยู่ในนี้มาตลอดจียง… ในนี้” ฝ่ามือหนาเลื่อนมาสัมผัสหน้าอกของเขา ตรงหัวใจ “ฉันไม่เคยไปไหน”


      จียงจ้องตาซึงฮยอน ก่อนลุกขึ้นประทับจูบแผ่วเบาบนริมปากนั้น เนิ่นนานก่อนทั้งสองจะแยกจากกัน ริมฝีปากอิ่มของเขาร้อนและรู้สึกถึงความขมที่หยาดจากดวงตา


      “นายร้องไห้บ่อยกว่าเมื่อก่อนอีกนะเนี่ย โตแล้วนะ…” ซึงฮยอนยิ้มให้เขาอีกครั้ง แววตาคมนั้นค่อยๆ หรี่ลงด้วยความอ่อนล้าและง่วงงุน


      “เป็นเพราะฮยองนั่นแหละทำให้ผมเป็นแบบนี้…” จียงทรุดตัวลงไปนอนแนบบนท่อนแขนของซึงฮยอน หลับตา นอนนิ่ง ฟังเสียงชีพจรของอีกฝ่ายที่เต้นอยู่ใต้ผิวหนังเป็นจังหวะ




      “อยู่กับผมตลอดไปนะ…” คำขอร้องของเขาสะท้อนไปในอากาศแผ่วเบา ทว่าไม่มีเสียงตอบ ซึงฮยอนหลับไปแล้ว เหลือเพียงแต่เสียงลมหายใจยาว


      จียงจึงหลับตา


      และหลับไปในอ้อมแขนนั้น


       

      **********




      “ฮยองเห็นหนังสือ BIOCHEMISTRY ของ NIH ตรงนั้นมั้ยฮะ? เล่มสีเทาๆ น่ะ” จียงตะโกนถามซึงฮยอนที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ขณะที่เขากำลังเก็บกวาดห้องทำงานของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาซึงฮยอนไม่มีสัญญาณผิดปรกติใดๆ เกิดขึ้นแก่ร่างกาย จียงจึงเบาใจขึ้นมาก หนึ่งสัปดาห์ที่เขาได้หลับเต็มอิ่ม และสุดท้ายทั้งสองก็ตัดสินใจลงมือทำความสะอาดบ้านหลังเล็กเสียที


      นายทนอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไงกัน นายเป็นคนรักความสะอาดไม่ใช่เหรอ คำถามของซึงฮยอนในเย็นวันวานทำให้จียงหน้าแดงด้วยความอาย ยุ่งน่า ผมต้องทำงานนี่ ไม่มีเวลามาเก็บกวาดหรอก เพราะฮยองนั่นแหละ เขาตอบพร้อมกับค้อนกลับไป ซึงฮยอนเอาแต่หัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะขยี้ผมเขาเล่น


      “นายวางไว้ตรงไหนนะ” เสียงของซึงฮยอนถามดังกลับมา


      “น่าจะอยู่แถวชั้นข้างๆ โซฟาสีน้ำตาลนะ”


      เขาตอบกลับไปขณะสาละวนคัดแยกกระดาษบันทึกข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเก็บไว้ตลอดสิบปี หลายชุดเป็นช่วงที่เขากำลังทดสอบการผลิตเนื้อเยื่อจากแปลนรหัสพันธุกรรม บางชุดเป็นช่วงที่เขาทดลองของเหลวสำหรับหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ บ้างก็เป็นช่วงที่ทดลองกระตุ้นการทำงานของร่างกาย


      ขณะกวาดตาผ่าน ภาพความทรงจำตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาแล่นกลับมาเป็นช่วงๆ ความรู้สึกตอนที่ล้มเหลว ตอนที่สำเร็จ เขายังจำได้ตอนที่กระโดดตัวลอยร้องตะโกนด้วยความยินดีเมื่อเห็นภาพเนื้อเยื่อที่เขาเพาะไว้ขยายตัวเป็นครั้งแรก และตอนที่เขาทรุดตัวลงร้องไห้เมื่อผลการทดลองของเหลวพยุงชีพล้มเหลวเป็นครั้งที่สี่


      อดีตทำให้จียงถอนใจเบาๆ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องอดทนมาเท่าไรเพื่อคนที่เขารัก ทำให้เขาสงสัยว่าอะไรผลักดันให้เขาเดินมาได้ถึงจุดนี้…


      มือบางเลื่อนมาวางบนอกของตน …ฉันอยู่ในนี้มาตลอดจียง


      นั่นสินะ… นี่คงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เขายืนหยัดมาได้


      จียงยิ้ม…





      เขารวบรวมแผ่นกระดาษที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ไว้กองหนึ่ง และอีกกองที่ต้องขนไปทิ้ง เมื่อจัดการเรียบร้อยจียงลุกขึ้นหันกลับเดินไปทางห้องรับแขก


      “ฮยอง หาหนังสือเจอยังฮะ?”


      ความเงียบก้องไปมาในบ้านแทนคำตอบ


      “ฮยอง?” จียงเดินเข้าสู่ห้องรับแขกสีน้ำตาลอ่อน ทว่าไม่เห็นเงาของซึงฮยอน เว้นแต่…


      “ฮยอง!!!” เขาวิ่งถลันไปหาร่างของซึงฮยอนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น คราบอาเจียนเปรอะบนใบหน้าและพรม เขาใช้มือแตะชีพจร หัวใจของอีกฝ่ายเต้นรัวเร็วจนแทบระเบิด เขาฉีกเสื้อของอีกฝ่ายออก รอยผื่นแดงบริเวณสีข้างบ่งให้รู้ว่าซึงฮยอนกำลังจะไตวาย จียงรีบวิ่งไปยังห้องทดลองที่อยู่อีกส่วนหนึ่งของบ้าน คว้าอุปกรณ์และยาที่จำเป็นทุกอย่างกลับมาหาซึงฮยอน


      ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน


      และเขากำลังจะตื่นสู่โลกแห่งความเป็นจริง



      พระเจ้ากำลังกลับมาทวงปาฏิหาริย์ของพระองค์



       

      **********





      จียงสะดุ้งตื่นเมื่อฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายเอื้อมมาสัมผัสแก้มของเขา


      แก้มที่เกรอะกรังด้วยน้ำตา 





      เขาฟุบหน้าหลับไปข้างเตียง รายล้อมด้วยสายระโยงระยางสำหรับประคับประคองอาการของซึงฮยอนพาดยาวอยู่ด้านข้าง จียงรู้สึกเจ็บปวดที่คนรักต้องกลับมาอยู่ในสภาพนี้อีกครั้ง…ด้วยอาการที่ทรุดหนักกว่าเดิม


      ดูเหมือนว่าร่างกายที่ดีขึ้นมาไม่กี่วันจะเป็นผลมาจากการกระตุ้นของสารเคมีที่เขาฉีดให้ ผนวกกับการช็อตด้วยไฟฟ้าอ่อนๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายของซึงฮยอนทำงานได้เป็นปรกติในระยะหนึ่ง กระทั่งโครงสร้างของเซลล์เริ่มเสื่อมสภาพ ทุกอย่างก็ดิ่งลงเหวอีกครั้ง…





      48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ระบบการหายใจและระบบทางเดินอาหารของซึงฮยอนล้มเหลวไป 3 ครั้ง ไตเกือบวายไป 1 ครั้ง และหัวใจล้มเหลวอีก 2 ครั้ง จียงพยายามทุกวิถีทางเพื่อกู้ชีวิตคนรักของเขาไว้ ท่อนแขนของซึงฮยอนเต็มไปด้วยรอยแผลจากการถูกฉีดยา สารเคมีจำนวนมากหลั่งไหลเข้าในระบบเลือดเหมือนพายุฝน…




      จียงยังดิ้นรนต่อไป แม้จะรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการยืดเวลาเท่านั้น…






      “จียง…” เสียงระโหยแผ่วของซึงฮยอน ปลุกเขาให้ตื่นเต็มตา


      “ว่าไงฮะฮยอง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาพยายามกลั้นน้ำตาที่ปริ่มอยู่ในลำคอ ขณะเพ่งมองใบหน้าคมคายที่กำลังส่ายศีรษะปฏิเสธ


      “คงใกล้แล้วล่ะ…เวลาที่ฉันต้องกลับไป…” จียงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ซึงฮยอนกลับยิ้มน้อยๆ


      “อย่าพูดอย่างนั้นสิฮะ ผมจะไม่ให้ฮยองเป็นอะไรไปอีก” จียงพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เขาโกหกฮยอง เขาโกหกตัวเอง… ทุกอย่างมาถึงปลายทางแล้ว




      “อย่าดื้อสิ… นายไม่เคยยอมแพ้เสมอ” ซึงฮยอนลูบแก้มเขาเบาๆ ปลอบประโลมร่างบางที่นั่งคู้อยู่ข้างเตียงด้วยอาการสั่นระริก


      “ผมไม่ได้ดื้อ…”

      จียงส่ายหน้า… เขาแค่พยายามรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้เท่านั้น






      ซึงฮยอนนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน แววตาคมเข้มหรี่มองเขาอย่างอ่อนล้า แต่ปลายนิ้วยังคงลูบไล้แก้มของจียงอย่างทะนุถนอม


      “นายทำมาให้ฉันมากพอแล้ว… อย่างน้อย…ฉันก็ได้รู้ว่านายกลับมาจาการเดินทางครั้งนั้นอย่างปลอดภัย” ซึงฮยอนยังคงยิ้ม ร่างจียงกลับสั่นสะท้านด้วยความอบอุ่นที่ปวดร้าว




      น้ำตาเขาไหลอีกครั้ง





      บ้าเอ๊ย!  เวลาแบบนี้ทำไมต้องร้องไห้ด้วยนะ 


      ใจคอน้ำตาพวกนี้จะไม่ให้เขามองหน้าคนรักให้เต็มตาสักหน่อยเลยหรือ?






      “อย่าร้องไห้สิ ฉันชอบนายตอนยิ้มมากกว่านะ…”





      เขาอดทนเดินมาสุดทางเพื่ออะไรกัน…เพื่อประจักษ์ภาพเช่นนี้หรือ?


      “ฮยอง…  อย่าทิ้งผมไปอีกได้มั้ย…” จียงสะอื้นพูด หยดน้ำร้อนรินรดบนใบหน้าของเขาเรื่อยๆ


      “เด็กโง่ …ฉันบอกแล้ว ฉันอยู่ที่นี่…มาตลอด” ฝ่ามือหนาเลื่อนลงมาที่หน้าอกของเขา “ฉันอยู่ตรงนี้…เป็นกำลังใจให้นาย …ช่วยให้นายมีชีวิตอยู่ และก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป”


      “นายทำเพื่อฉันมามากพอแล้วจียง… นายรักษาสัญญากับฉันมา 10 ปี แค่นั้นก็ทำให้ฉันหลับอย่างเป็นสุข… ถึงเวลาที่นายต้องมีความสุขบ้างแล้วนะ”


      “ผมอยู่กับฮยองก็มีความสุขอยู่แล้ว” เขาส่ายหน้า เช็ดน้ำตาเป็นระยะ


      “ฉันรู้ …จียง  ฉันรู้…”






      ทั้งสองเงียบไปนาน มีเพียงเสียงจียงสะอื้นมาเป็นพักๆ  เขาเช็ดหัวตาก่อนทอดมองใบหน้าของซึงฮยอนที่ผ่อนคลายลง ใบหน้านั้นมีพลังอย่างประหลาด ช่วยสะกดความรู้สึกในจิตใจจียงให้สงบลง สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่า นี่ไม่ใช่เวลาให้ความเศร้ากลืนกินตน เขากลืนก้อนความสะอื้นกลับเข้าไปและเฝ้ามองซึงฮยอนอย่างเงียบๆ




      “จียง…ฉันขอนอนหนุนตักนายได้มั้ย ช่วยอ่านหนังสือให้ฉันฟังหน่อยสิ”


      “ได้สิฮะ ฮยองอยากฟังอะไรล่ะ” น้ำเสียงของเขาสงบลงกว่าเมื่อครู่โดยไม่รู้สาเหตุ


      “นายยังเก็บหนังสือที่ฉันชอบไว้ใช่มั้ย?”


      “อื้ม…”




      จียงลุกขึ้นยืน เดินไปยังชั้นติดผนัง หยิบหนังสือปกแข็งที่เก็บไว้ในซองพลาสติกอย่างดีออกมา หน้าปกสีทองยังดูเหมือนใหม่ …ปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน… เขาเดินกลับมานั่งที่เตียง



      “ช่วยปลดสายพวกนี้ออกหน่อยได้มั้ย ฉันอยากนอนให้สบายน่ะ”


      “แต่…” เขาตั้งใจจะปฏิเสธ ทว่าดวงตาวอนขอของซึงฮยอนทำให้เขาใจอ่อน แววตาคมมองดูสายระโยงระยางที่พาดพันไปมาเหนือร่างสูง มันทำให้ซึงฮยอนดูไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงร่างทดลองที่ดำรงชีพอยู่เพื่อตอบสนองความปรารถนาของเขา เป็นวัตถุจำลองที่จะผลิตซ้ำใหม่เมื่อไรก็ได้


      เขารู้สึกเจ็บร้าวขึ้นมาในอก ไม่เคยเลยที่จียงจะตระหนักเช่นนี้ เขาจำลองซึงฮยอน ดึงอีกฝ่ายกลับมาจากอดีต จากความตาย วัดค่า ทดสอบต่างๆ นาๆ … นี่ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติต่อคนรักเลย


      เขานึกถึงจิตใจของซึงฮยอน… ชายหนุ่มผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยสดใส ร่าเริง ไม่ยอมอยู่ใต้กฎใดๆ เหมือนนกอินทรีที่ใฝ่ฝันจะบินโผไปในท้องฟ้า นกที่กางปีกโอบอุ้มเขาไว้ และพาเหินลอยไปในดินแดนแห่งความรัก…


      เขากลืนน้ำลาย ก่อนเอื้อมมือไปปลดสายเครื่องวัดค่าต่างๆ รวมทั้งเครื่องพยุงชีพ และเคลื่อนตัวเข้าไปนั่งใกล้ๆ ให้ซึงฮยอนยกศีรษะขึ้นพักบนตัก



      “หน้าที่ฮยองคั่นไว้ยังติดอยู่เลย” เขาพลิกหนังสือเปิดไปด้านใน


      “อืม ฉันติดไว้ก่อนขับออกไปรับนายน่ะ อ่านสิ…”



       

      แล้วอัลมิตราก็ถามต่อไปว่า ‘การแต่งงาน’ เล่าพระคุณท่าน

      และท่านตอบว่า

       

      เธอเกิดมาด้วยกัน และเธอก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป




      เขาอ่านข้อความนั้นอย่างแช่มช้าและสงบ มือหนึ่งกางหนังสือ มือหนึ่งลูบศีรษะของซึงฮยอนอย่างละมุนละไม


       

      เธอจะอยู่ด้วยกันแม้เมื่อปีกขาวของความตายปัดกวาดวันคืนของเธอให้กระจัดกระจายไป

      ถูกแล้ว เธอจะอยู่ด้วยกัน แม้ในความทรงจำอันสงัดของพระเป็นเจ้า

      แต่ขอให้มีช่องว่างในการอยู่ด้วยกันของเธอ

      และขอให้กระแสลมแห่งสวรรค์โบกโบยไปมาระหว่างเธอ




      จียงก้มลงมอง ซึงฮยอนยิ้มน้อยๆ ขณะลมหายใจอีกฝ่ายแผ่วเบาลง น่าแปลกที่จียงไม่รู้สึกปวดในอกอีกแล้ว ทุกขณะมีเพียงเขาและซึงฮยอน


       

      จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งความรัก

      และขอให้ความรักนั้นเป็นเสมือนหนึ่งห้วงสมุทร

      อันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง




      “ไม่ต้องห่วงนะจียง… ฉันไม่เป็นไรหรอก”


      “ฮยอง…”


      “แล้วฉันจะรอนายอยู่ที่นั่น”


      “ฮะ”


       

      จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน

      จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน

      จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว

      ดังเช่นสายพิณนั้นต่างอยู่โดดเดี่ยว ทว่าสั่นสะเทือนด้วยท่วงทำนองเดียวกัน




      ชีพจรตรงขมับของคนบนตักเต้นช้าลงจนเขาแทบไม่รู้สึก จียงสูดหายใจลึกครั้งหหนึ่ง… ก่อนอ่านต่อไปด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด ราวกับกำลังขับกล่อมเด็กน้อยให้หลับใหลอย่างสงบ


      ความรู้สึกอุ่นวาบซาบในอก ความทรงจำหนาหนักตลอดสิบปีสลายกลายเป็นหมอกควัน ไม่ใช่ซึงฮยอนที่ต้องการรักษา แต่เป็นเขาต่างหาก จิตใจที่วิ่นแหว่งด้วยความทุกข์ บัดนี้กำลังเติมเต็มด้วยความวิเวกที่ความรักบริสุทธิ์เท่านั้นจะกระทำได้


       

      จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง

      เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้

      และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก

      เพราะเสาของวิหารนั้น ก็ยืนอยู่ห่างกัน

      และต้นโอ๊คต้นไซเพรส ก็มิอาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้




      เสียงลมหายใจของซึงฮยอนเงียบไปนานแล้ว ทว่าร่างยังอุ่นอยู่ จียงปิดหนังสือ ก้มลงจูบแก้มอีกฝ่ายก่อนกระซิบเบาๆ



      “ผมรักฮยองนะครับ ผมจะใช้ชีวิตแทนเราทั้งสองเอง รอผมที่ฝั่งนั้นก่อนนะ…แล้วผมจะไปหาฮยองในที่สุด…ผมสัญญา”


       

      **********




      เช้าวันรุ่งขึ้น จียงจัดการทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เขาติดต่อให้สถาบันวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยที่เขาเคยทำงานมารับข้อมูลตลอดสิบปีที่เขาบันทึกไว้ รวมทั้งร่างซึงฮยอนเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่นักศึกษา


      เขาประกาศขายบ้านหลังนั้น




      ในวันที่จียงจะออกเดินทาง เขายืนอยู่บนฟุตบาทริมถนน มือหนึ่งถือหนังสือปรัชญาชีวิต มือหนึ่งกุมอกข้างซ้าย






      “ไปกันเถอะ…”







       

      The End






      เพลงประกอบฟิค เนื้อเพลงดูตรง Show more ด้านล่างนะครับ




      After note 

      โอย ทรมาน เป็นฟิคชั่ววูบที่แวบเข้ามาตอนตีสี่ นอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมาแต่ง แต่งไปก็ต้องหยุดเป็นพักๆ

      คำถามที่อยากจะลองฝากให้ตอบกันเล่นๆ คือ ชื่อฟิคว่า fix you เนี่ย ใครกันแน่ที่ fix ใคร แฮ่ะๆ คิดได้หลายแง่นะครับ

      หวังว่าทุกคนจะมีความสุข (?) ในการอ่านนะครับ m(-__-)m *โค้ง

      ปล. ความรู้ด้านการแพทย์ของไรเตอร์ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มั่วเอาก็มาก เดาเอาก็เยอะ อ่านตรงไหนแล้วทะแม่งๆ ก็ปล่อยมันไปเถอะครับ ถือเสียว่ามันเป็นจินตนาการ ฮ่าๆ // *วิ่งหนี*

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×