ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Arno The Magical City

    ลำดับตอนที่ #1 : การพบกันของทั้งคู่

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 49



    เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีเงินในคราบนักพเนจร กำลังเดินไปตามท้องถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน เขาสะพายดาบเล่มใหญ่เกินตัว และ ย่ามหนังสีดำใบเล็กสำหรับเก็บสัมภาระ ไว้กลางหลัง


    เด็กหนุ่มยกมือขวาที่หยาบกร้านอันเกิดจากการจับดาบเป็นประจำขึ้น เสยผมสีเดียวกับนัยน์ตาที่ร่วงลงมาปิดหน้า เด็กหนุ่มวัย 17 ปี คนนี้มีนามว่า 'ซอร์โร โดมาเนีย'


    ซอร์โรกำลังเดินทางไปยังเมือง 'อาร์โน่' ที่ได้ขึ้นชื่อเรื่อง อาถรรพ์ เพื่อตามล้างแค้นให้แก่พ่อของเขา 'อัสซาร์ค โดมาเนีย' ซึ่งถูกฆ่าโดยนักฆ่าที่ได้รับการจ้างวานมาเมื่อ 3 ปีก่อน


    ก่อนที่อัสซาร์คจะจากเขาไป ก็ได้มอบดาบมังกรและจี้รูปกางเขนสีเงินที่เป็นสมบัติประจำตระกูลไว้กับเขา พร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่มีตัวหนังสืออยู่เลยซักตัว เขาเก็บสิ่งของ 3 สิ่งนี้ไว้กับตัวเสมอ เพื่อเตือนใจให้ระลึกถึงพ่อผู้จากไป

    ซอร์โรไม่รู้เบาะแสเกี่ยวกับคนที่จ้างวานฆ่าพ่อเขามากนัก แต่ที่แน่ๆคือต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่อยู่ในเมืองอาร์โน่อย่างแน่นอน ตลอด 3 ปี ตั้งแต่พ่อเขาตาย ซอร์โรก็ได้ไปฝึกวิชากับอาจารย์ที่อยู่ในป่า

    จนเมื่อเขามีความรู้แกร่งกล้า ใช้ดาบอย่างคล่องแคล่ว เมื่อสำเร็จความรู้  เขาก็รีบออกเดินทางทันที ตลอดเวลาที่ซอร์โรหาความรู้มานาน ก็เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ....งานปาร์ตี้ล้างแค้นให้แก่พ่อเขานั่นเอง!!!

    "โอ๊ย"


    ระหว่างที่ซอร์โรยังอยู่ในห้วงความคิดอันร้อนระอุด้วยความแค้นนั้น ก็มีเด็กผมสั้นคนหนึ่ง จากที่ชายหนุ่มคะเน คาดว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน หรืออาจจะน้อยกว่าเขาสักครึ่งปี  วิ่งมาชนเขาจนล้มแขนถลอก  แล้วรีบวิ่งหนีไปโดยไม่ขอโทษซักคำ


    ซอร์โรมองแขนที่ถลอกด้วยความเจ็บใจ จึงวิ่งตามเด็กคนนั้นไปเพื่อจะไปเอาเรื่อง ดูจากผมสีน้ำตาลสั้นระดับต้นคอ และท่าทางที่ดูคล่องแคล่วว่องไวนั้น ซอร์โรจึงสรุปว่าเป็นเขาเป็นเด็กผู้ชาย


    แม้จะเป็นเรื่องเล็กเหลือเกินในสายตาคนอื่น กับการวิ่งชนหกล้มแล้วไม่ขอโทษ แต่ไม่ใช่กับซอร์โรแน่นอน คนถูกชนวิ่งตามคนหนีความผิดมาเรื่อยๆ จนในที่สุด ซอร์โรก็ตามทัน เขายึดไหล่เด็กชายไร้มารยาทคนนั้นไว้ไม่ให้วิ่งต่อ


    ทั้งคู่เหนื่อยจากการวิ่งไล่ล่ากันจนหอบฮั่กๆ แล้วเด็กหนุ่มจับไหล่เด็กคนนั้นให้หันมาทางเขา ซึ่งดูท่าทางเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่ค่อยแปลกใจและไม่หวาดกลัว เหมือนรู้อยู่แล้วว่าซอร์โรจะตามมาเอาเรื่อง แถมไม่มีสีหน้าสำนึกผิดอีกต่างหาก นั่นยิ่งทำให้ซอร์โรยิ่งโมโห


    "นี่นาย วิ่งชนฉันแขนถลอกแล้วไม่ขอโทษ อยากตาย...." ซอร์โรเริ่มแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเขาพิจารณาหน้าของเด็กคนนั้นดีๆ ก็รู้ว่าตนเข้าใจผิด เพราะว่าเด็กคนนี้มีใบหน้าติดจะหวานเกินกว่าจะเป็นผู้ชายได้ คนรู้ตัวว่าเข้าใจผิดก็เริ่มสับสน


    "อ้าว...นายเป็นผู้หญิงหรอกเหรอเนี่ย" ซอร์โรถามด้วยน้ำเสียงงุนงงอย่างยิ่ง


    "ก็แหงล่ะสิ แล้วก็เป็นคู่หมั้นนายด้วย ลืมไปแล้วรึไง" นัยน์ตาสีน้ำตาลของคนที่ลืมความผิดตัวเองจับจ้องมาทางซอร์โรที่งงเป็นไก่ตาแตกรอบ 2 อย่างขำๆ มีแถมโดยการยักคิ้วกวนประสาทอีก


    "คู่หมั้น..." ซอร์โรเอ่ยทวนอย่างแปลกใจ 'เอ๊ะ เขาไปหมั้นกับใครไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง แล้วยิ่งกับผู้หญิงก็ไม่ใช่ผู้ชายก็ไม่เชิงอีกยิ่งแล้วใหญ่' ซฮร์โรจึงเถียงกลับไปอย่างมั่นใจ


    "นายจะบ้ารึไง ฉันไม่โง่ขนาดไปหมั้นกับคนอย่างนายหรอกนะ ถ้าคิดจะแหกตาฉันล่ะก็ เชิญกลับไปคิดใหม่ได้เลย ฉันขอเตือน ดูสารรูปตัวเองซะบ้างเถอะ" คราวนี้เป็นตาของฝ่ายคู่กรณีของซอร์โรบ้างที่เริ่มโกรธจี๊ดขึ้นมา

    "ทำไม คนอย่างฉันมันทำไม นายโง่ไม่โง่ก็คิดเอาเองเถอะ ยังไงนายก็หมั้นไปแล้ว อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้อยากจะหมั้นกับคนอย่างนายนักหรอก ถ้าไม่ใช่พ่อสั่ง นายลองนึกดูดีๆเถอะ ตอนฉันกับนายอายุ 9 ขวบน่ะ" ซอร์โรเริ่มชักเอะใจ และเริ่มรำลึกเรื่องราวต่างๆ...

    ความทรงจำตอนอายุ 9 ขวบของเขาก็เริ่มฟื้นขึ้นมาในมโนภาพ ความทรงจำที่เขาอยากจะลืม คู่หมั้นกับงานหมั้นที่เขาถือว่าเป็นโมฆะนั่นเอง มันคือ...


    ความจริงที่เขาไม่เคยคิดอยากให้มันเป็นความจริง



    ภายในกระท่อมหลังเล็กๆหลังหนึ่ง เด็กชายวัย 9 ขวบ เดินเข้ามาพร้อมกับชายสูงวัยคนหนึ่ง ที่มีผมสีดำยาวรวบไว้ระบ่า นัยน์ตาคมเข้มสีเงินของเขากำลังมองมาที่ซอร์โร พร้อมกับเอ่ยปากพูด


    "ทำตัวดีๆเข้าไว้ล่ะ " อัสซาร์ค พ่อของซอร์โรกำชับเสียงเบา แล้วเด็กชายก็ถูกผู้เป็นพ่อดุนหลังเข้าไปยังกระท่อมด้านใน

    แสงไฟสลัวๆส่องให้พอมองเห็นว่ามีชายคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอัสซาร์คกำลังยืนต้อนรับพวกเขาอยู่ พร้อมผายมือไปยังเก้าอี้ข้างๆเขาเป็นเชิงให้นั่งตามสบาย


    "อ่าๆ หวัดดีนะ ไม่ได้เจอกันซะนานเลย ท่านคงมาเรื่องข้อตกลงงานหมั้นนั่นใช่ไหม นั่งกันตามสบายก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปตามลูกๆมาก่อน" ชายคนนั้นพูดสิ่งที่เข้าใจยากสำหรับซอร์โรวัย 9 ขวบ แต่ดูท่าทางอัสซาร์คจะเข้าใจดี จากนั้นชายผู้นั้นก็เดินออกไปจากสายตาพวกเขา

    สักครู่ชายคนนั้นก็เดินออกมาพร้อมเด็กอีก 2 คนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ เมื่อ 2 คนนั้นเงยหน้าขึ้นซอร์โรจึงเห็นว่าเด็กคนแรกเป็นเด็กผู้หญิง เธอมีผมสีน้ำตาลถักเป็นเปียยาวจนถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสจ้องมองมาทางเขาแล้วยิ้มให้ ซอร์โรคาดว่าคนนี้คงจะเป็นคู่หมั้นของเขาอย่างแน่นอน


    ส่วนเด็กอีกคนมีผมสีน้ำตาลตัดสั้น ตัวเก้ๆกังๆ สูงเท่ากับคนแรก  ยิ่งกว่านั้นเค้าโครงหน้า สีผม สีตาก็เหมือนกันไม่มีผิด ต่างกันก็เพียงแค่การแต่งตัวและทรงผมเท่านั้น ซอร์โรจึงสรุปว่าเป็นเด็กผู้ชาย และคาดว่าน่าจะเป็นพี่ชายฝาแฝดของคู่หมั้นเขา ซอร์โรเพียงยิ้มให้น้อยๆ แต่เด็กคนนั้นกลับมีท่าทีไม่สนใจเขา ซึ่งก็ใช่ว่าซอร์โรจะสนใจ


    "อ่า...เด็กพวกนี้ยังเล็กอยู่ ซอร์โรลูกท่านก็ด้วย แค่แลกแหวนกันก็พอเนอะ เก็บแหวนไว้ที่ท่านกับข้า ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมายหรอก ท่านก็ว่างั้นใช่มั้ย ท่านอัสซาร์ค" ชายคนนั้นกล่าวกับอัสซาร์คที่พยักหน้ารับ พลางมองเด็กทั้ง 3 คนอย่างเอ็นดู


    อัสซาร์คเอาแหวนสีเงินธรรมดาๆยื่นให้ชายคนนั้น พร้อมกับที่ชายคนนั้นก็ทำแบบเดียวกัน "ตอนนี้ก็ถือเป็นพี่น้องกันก่อนก็แล้วกันนะ ซอร์โร ทักทายพวกเขาหน่อยสิ" ประโยคหลังอัสซาร์คหันไปกล่าวกับลูกชายของตน

    "ครับพ่อ" ซอร์โรรับคำอย่างว่าง่าย แบบที่คนเป็นพ่อเริ่มคิดว่าควรจะซื้อขนมให้เจ้าลูกชาย ในฐานะที่วันนี้วางมาดทำตัวดีผิดปกติ ทั้งที่ธรรมดาถ้าไม่ด่าก็ไม่มีวันหยุดทำตัวน่าปวดหัว


    "ยินดีที่ได้รู้จักนะ น้องสาวน้องชายของพี่ พี่ชื่อซอร์โร" ซอร์โรหันไปเอ่ยทำความรู้จักกับน้องทั้ง 2 คนของเขาอย่างยินดี แต่คำว่า 'น้องชาย' มันช่างกระทบใจของคนเป็นพ่อของทั้ง 2 ฝ่ายจนสะอึกอึ๊ก

    'หวังว่าซอร์โรมันคงไม่คิดว่าคู่หมั้นของมันเป็นผู้ชายหรอกนะ'



    พอซอร์โรออกมาจากห้วงความทรงจำในอดีตแล้ว เขาก็มองหน้าเด็กผู้ชาย เอ๊ย ผู้หญิงตรงหน้า ที่มีเค้าของเด็กที่ซอร์โรเจอตอนนั้น คนที่เขานึกว่าเป็นพี่ชายฝาแฝดของคู่หมั้นนั่นเอง!!


    แล้วหลังจากนั้นพ่อเขาก็ได้มาอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดว่านั่นแหละคือคู่หมั้นของเขา และเธอเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย

    ในตอนนั้นซอร์โรก็ได้ตัดสินใจทันทีว่างานหมั้นไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเขารับไม่ได้กับชะตากรรมตัวเอง ถึงแม้เธอคนนั้นจะมีส่วนคล้ายผู้หญิงบ้างก็เถอะ

    เธอคนนั้นมีชื่อว่า'เวลดาร์ ไฟเทนท์' ชื่อนามสกุลของเธอดูจะคุ้นหูเขา ผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิง เธอมีนัยน์ตาสีน้ำตาล สีเดียวกับสีผมที่ตัดจนสั้น เสื้อยืดแขนกุดแถมด้วยกางเกงขาสามส่วนช่างเหมาะกับความเป็นชายโดยแท้

    แล้วยังมีดาบที่สะพายไว้ด้านหลังอีก คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเจ้าหล่อนมาเป็นคู่หมั้นของซอร์โรได้ยังไง และ ท่าทางเธอเองก็แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ถูกชะตากับซอร์โรเช่นกัน


    "เป็นไง จำได้แล้วใช่มั้ย"คู่หมั้นปัจจุบันทันด่วนของซอร์โรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย "ทีนี้รู้รึยังล่ะว่าใครกันแน่ที่โง่" เธอพูดพร้อมหัวเราะหึๆ


    เหมือนฟ้าผ่าลงมาตรงกลางใจ ซอร์โรนึกย้อนกลับไปตอนที่เขาประกาศไปเสียงดังฟังชัดว่า'ฉันไม่โง่ขนาดไปหมั้นกับคนอย่างนายหรอก' แล้วคนโดนด่าทางอ้อมก็เป็นฝ่ายกลืนน้ำลาย ถ้าทำเป็นจำได้ก็คือยอมรับว่าโง่ แต่ถ้าซอร์โรบอกว่าจำไม่ได้ล่ะ


    "นายอย่าบอกนะว่านายจำไม่ได้"จู่ๆเวลดาร์ก็โพล่งความคิดของคนกำลังหาทางออกขึ้นมา คราวนี้ซอร์โรจนปัญญา โดนด่าว่าโง่อย่างเดียวคงดีกว่าโง่แล้วความจำเสื่อมด้วย


    "ฉันจำได้แล้ว ฉันนี่มันโง่ชัดๆที่ไปหมั้นกับผู้หญิงอย่างนายได้"ซอร์โรพยายามเอาคืน แต่เวลดาร์กลับตีหน้าซื่อ ทำเป็นไม่สนใจ


    "แต่ที่นายวิ่งชนฉันเนี่ย ยังไงมันก็เป็นความผิดของนาย เพราะฉะนั้นนายต้องขอโทษ"ซอร์โรยังไม่ยอมแพ้ กัดหญิงสาวต่อ


    "...บางทีถ้านายรู้ว่าทำไมฉันถึงชนนาย"เวลดาร์เปรยหาข้อแก้ตัว "นายอาจสนใจก็ได้นะ"


    "เหตุผลอะไร" โป๊ะเชะ ซอร์โรติดกับของหญิงสาว


    "ไปคุยกันข้างในดีกว่า"เวลดาร์ชักชวน แต่ซอร์โรกลับยิ่งงงเข้าไปใหญ่ คิ้วขมวดติดกัน เพราะข้างหน้าพวกเขาคือทางตัน เป็นกำแพงอิฐสีแดงขนาดใหญ่กั้นเอาไว้ ส่วนด้านล่างก็เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่

    เวลดาร์เห็นหน้าสับสนของซอร์โร เธอจึงยักคิ้ว


    "หึๆ เดี๋ยวฉันจะแสดงเวทมนตร์ให้ดู แล้วนายจะแปลกใจยิ่งกว่านี้อีก"



     

    เวลดาร์แสดงเวทมนตร์จริงๆ เพียงเธอหยิบเศษกระจกออกมาจากกระเป๋ากางเกง ส่องเข้าไปในรูเล็กๆมืดๆที่อยู่บนกำแพงอิฐ แผ่นหินที่ใต้เท้าพวกเขาก็เลื่อนออก เผยให้เห็นช่องสำหรับปีนลงไป มีบันไดเชือกแขวนอยู่

    เวลดาร์ไม่รอช้า รีบปีนบันไดเชือกลงไปอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเท้าถึงพื้นเธอก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองซอร์โรที่ยืนอึ้งอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม

    "นี่นาย เร็วๆเข้าสิ บันไดเชือกแค่นี้ ปีนไม่เป็นหรือไง ทำเป็นยืนอึ้งอยู่ได้ เดี๋ยวคนก็มาเห็นเข้าหรอก" เวลดาร์โพล่งเข้าให้อย่างเหลืออด

    เมื่อคนที่อยู่ข้างล่างด่ามาเป็นชุด เด็กหนุ่มซึ่งยืนอ้าปากค้างอยู่ก็รีบหุบปาก แล้วปีนบันไดเชือกลงมาอย่างทะมัดทะแมงเพราะไม่ชินกับทาง

    ซอร์โรมองลงไปเห็นเวลดาร์ยืนอยู่เป็นห้องเล็กๆ ไม่เชิงเป็นห้องซะทีเดียว เหมือนตรอกแคบๆเสียมากกว่า แต่ท่าทางจะลึกน่าดู แสงไฟจากเปลวเทียนหลายเล่มส่องให้เห็นว่า


    เบื้องหน้าหญิงสาว มีเก้าอี้ไม้ 4 ตัววางอยู่รอบโต๊ะกลม ลึกเข้าไปอีกเป็นเสื่อพร้อมหมอนม้วนเก็บไว้สำหรับปูนอนตอนกลางคืน แต่ลึกไปกว่านั้น ซอร์โรไม่อาจมองเห็นได้ เพราะไม่อยู่ในรัศมีไฟที่จะส่องไปถึง

     

    ที่นี่ ที่ไหนกันเนี่ยเด็กหนุ่มคิดอย่างแปลกใจ

     

    แล้วก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่า เมื่อสายตาของเขาทอดไปภายในอุโมงค์ใต้ดินที่สว่างเล็กน้อยด้วยแสงเทียนนั้น ปรากฏให้เห็นร่างของเวลดาร์ นัยน์ตาสีเงินของเขาทอดมองลึกเข้าไปด้านใน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนแอบอยู่ในความมืด ซอร์โรเอ่ยขึ้น


    "นั่นน้องสาวฝาแฝดของนายที่ฉันเคยเจอรึเปล่า" เวลดาร์พยักหน้าเป็นคำตอบ


    ภาพเบื้องหน้าไม่ต่างจากวันที่เขาพบเธอในครั้งวัย 9 ขวบเลย


    ...น่ารัก...

    เจ้าหล่อนอยู่ในชุดกระโปรงยาวเลยเข่า ผมสีน้ำตาลถักเป็นเปียยาวไปจนถึงกลางหลัง มีส่วนหนึ่งปล่อยลงมาคลอเคลียใบหน้านวล นัยน์ตาน้ำตาลของหญิงสาวจ้องมาที่ซอร์โรอย่างกล้าๆกลัวๆ ในมือน้อยๆของหล่อนถือธนูเอาไว้แต่ไม่ได้เล็ง

    เธอ คือ 'รีเนอร์ ไฟเทนท์' เป็นน้องสาวของเวลดาร์ คู่หมั้นจำเป็นที่ยืนอยู่ข้างเขา ในความคิดของเด็กหนุ่ม เธอทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับดิน สัญญานความรู้สึกในสมองของเขากำลังส่งเสียงร้องปิ๊งๆ


    เด็กสาวคู่หมั่นเดินไปยังสาวน้อยที่ยืนแอบอยู่ พร้อมจูงเธอออกมาเบื้องหน้าเขาพลางเอ่ยปาก


    "นายคนนี้ชื่อซอร์โร เป็นศัตรูของพี่" เธอกล่าวกับน้องสาวอย่างไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย “...แต่ตอนนี้ต้องจับมือกันไว้ก่อน เสร็จเรื่องเมื่อไหร่ค่อยฆ่าทิ้ง"


    "เกินไปหน่อยแล้วมั้ง" ซอร์โรกล่าวเสียงเครียด ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เขาไม่ชอบโดนใครหยาม

     

    "นายคิดว่าจะทำได้เหรอ เวลดาร์ ฮึๆ"


    "เรื่องนั้นพักไว้ก่อนเถอะ" เวลดาร์ยอมสงบศึก "ฉันว่าตอนนี้เรามีเป้าหมายเดียวกัน ไปนั่งคุยกันก่อนดีกว่า"

    รีเนอร์เดินไปหยิบเชิงเทียนที่แขวนอยู่ข้างกำแพงแล้วเดินนำลึกเข้าไปด้านในอุโมงค์ เวลดาร์เดินตาม

    และซอร์โรที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็จำใจเดินตามไปด้วยอีกคน




    นัยน์ตาสีเงินของซอร์โรทอดมองรอบ'ห้อง'ที่อยู่ลึกในอุโมงค์ 'ห้อง'ส่วนนี้มีขนาดใหญ่กว่าเส้นทางเมื่อครู่ที่พวกเขาผ่านมา มีผ้าผืนบางเกี่ยวอยู่กับกิ่งไม้เล็กๆกั้นพื้นที่ส่วนนี้กับส่วนนอก


    มีเสื่อม้วนกองไว้ด้านลึกสุด ริมด้านหนึ่งมีโต๊ะไม้เหมือนด้านนอก เก้าอี้ 4 ตัววางรอบ รีเนอร์กับเวลดาร์เดินนำซอร์โรไปนั่งรอที่โต๊ะ

    หลังจากซอร์โรนั่งเรียบร้อยแล้ว เวลดาร์ก็เปรยขึ้น "นายกำลังเดินทางไปเมืองอาร์โน่ใช่มั้ย"


    เด็กหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดว่าจะบอกดีหรือไม่

    "ไว้ใจกันหน่อยซี ตอบมาเร็วๆเข้า " หญิงสาวเอ่ยเร่ง เราเจอชะตากรรมเดียวกันนะ พ่อฉันก็ถูกฆ่าตายเหมือนนายนั่นแหละประโยคต่อมาของเวลดาร์ทำให้ซอร์โรประหลาดใจอย่างยิ่ง ทั้งๆที่เขาไม่เคยบอกใคร แล้วเธอคนนี้รู้ได้อย่างไรกัน


    ในที่สุดคำตอบก็หลุดออกมาจากปากซอร์โร "...ใช่ จะไปแก้แค้นให้พ่อ แต่เคยได้ยินมาว่าเป็นเมืองอาถรรพ์"

    "แล้วก็ยังจะไปเหรอ"

    "ก็ใช่น่ะสิ พ่อฉันตายทั้งคน มันต้องมีคนรับผิดชอบ"


    "ฉันเข้าใจ แต่นายรู้รึเปล่าว่ามันอาถรรพ์ยังไง" เวลดาร์เอ่ยเหมือนลองภูมิ ซอร์โรทำหน้าสงสัย พร้อมเอ่ยปากถาม "อาถรรพ์ยังไงล่ะ"

    "เคยได้ยินมาว่า..."


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×