ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Northern Lights [Bill Skarsgard]

    ลำดับตอนที่ #9 : Ocean green eyes

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 62



    Northern Lights

    Chapter 9 : Ocean green eyes



     

                ณ ห้องแชทกลุ่มพี่น้อง (ไม่มีเบอร์ 4) ทั้งคนอยู่บ้านที่สวีเดน และคนที่ติดภารกิจอยู่แผนกไอซียู ตามติดสถานการณ์ประหนึ่งว่าอยู่ที่ประเทศไทยด้วย โดยคนที่รับหน้าที่รายงานข่าวสารอย่างอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด รายงานได้ว่องไวตามติดสถานการณ์ราวกับสำนักข่าวเอสวีทีแห่งสวีเดน วอลเตอร์จะช่วยเสริมบ้าง เหมือนเป็นลูกคู่ แต่ส่วนใหญ่พี่คนโตโซโล่เดี่ยวโดยไม่รอน้องชายแต่อย่างใด สมกับเป็นนักชงมือหนึ่งประจำตระกูล แซม สการ์สการ์ดจำได้แม่นว่าสมัยเขาจีบภรรยา ก็มีพี่ชายผู้แสนใส่ใจคอยชงคอยเชียร์ อเล็กซานเดอร์สนใจชีวิตรักของน้องๆมากกว่าของตัวเอง แซมคิดว่าพี่ชายอาจรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะช่วยให้น้องๆมีความสุขก่อน ส่วนตัวเขาจะแต่งงานเมื่อใด ไม่ใช่ปัญหา



                ภาพถ่ายกลุ่มที่อเล็กซานเดอร์ส่งมาให้ห้องแชทกลุ่ม ซึ่งไม่มีบิลอยู่ด้วยนั้น ทุกคนในภาพมองกล้องอย่างพร้อมใจกัน ยกเว้นบิลแค่คนเดียวที่ก้มลงมองคนข้างตัว หญิงสาวคนนั้นตัวเล็กกว่าบิลประมาณเกือบสามสิบเซนติเมตร ศีรษะของเธอไม่พ้นไหล่ของบิล สีผิวของเธอออกเหลืองอย่างคนที่มีเชื้อสายจีน ไม่ใช่ขาวอย่างคนยุโรป เธอสวมเสื้อยืดสีเหลืองที่ทำให้แซมพาลนึกถึงตัวละครจอร์จี้ในภาพยนตร์อิท เธอน่ารักดี ข้อนี้ทุกคนยอมรับโดยกังขาใดๆ วอลเตอร์เองก็บอกว่าเธอสุภาพ ประหม่านิดหน่อย แต่ไม่ได้ทำตัวเป็นแฟนคลับบ้าคลั่ง



                “วอลเตอร์ทำดีมาก” ไอยาพิมพ์บอก พร้อมอิโมจิยกนิ้วโป้ง “จับภาพตอนพี่บิลมองเขาพอดีเลยนะ”



                “ระดับนี้แล้ว” วอลเตอร์น้อมรับคำชมแต่โดยดี



                “อยากไปอยู่ที่นั่นด้วยจัง ต้องสนุกแน่เลย” กุสตาฟส่งอิโมจิหน้าร้องไห้มาท้ายประโยค



                “พี่อเล็กซ์วางแผนจะทำอะไรต่อ” แซมถาม



                “พี่อเล็กซ์เดินหน้าไปแล้วครับ พี่แซม” วอลเตอร์พิมพ์ตอบทันที “นัดคุณโมเสร็จสรรพ ให้มาเจอกันวันนี้ตอนบ่าย จ้างมาวาดรูปพี่บิล แผนสูงจริง พี่ชายเรา”



                “บิลจะมีชีวิตอยู่ถึงตอนเย็นไหมนั่น” กุสตาฟเอ่ยแซว



                “ไม่รู้ว่าคุณโมจะมาคนเดียวหรือจะพาใครมาด้วยหรือเปล่า?” อเล็กซานเดอร์บอก “จากที่พี่เห็นเมื่อวาน เขามีครอบครัวใหญ่เหมือนเรา เป็นน้องสาวคนเดียวเหมือนไอยา แล้ววัฒนธรรมเอเชียไม่เหมือนเรา พวกเขามักจะหวงลูกสาวยิ่งกว่าหวงไข่มุกเสียอีก”



                “นัดเขาวาดรูปที่ไหนคะ?” ไอยาถาม



                “ล็อบบีโรงแรมที่พวกพี่พักอยู่” อเล็กซานเดอร์ตอบ



                “ทำไมไม่นัดที่โรงแรมเขาล่ะ เขาจะได้อุ่นใจมากกว่า” ไอยาว่า



                “ตอนนั้นคิดไม่ทัน ขอโทษครับคุณน้องสาว” อเล็กซานเดอร์ส่งหน้าร้องไห้มาให้



                “ฉันจะอาบน้ำแล้ว วันนี้ต้องไปหาแม่แต่เช้า” กุสตาฟบอก “จะรอใส่ใจนะครับ พี่อเล็กซ์กับน้องวอลเตอร์คือความหวังของทีมใส่ใจในสวีเดน”



                “ก่อนแยกย้าย ไปคุยห้องนู้นสักหน่อยดีไหม?” แซมเสนอ “ถ้าพวกเราเงียบหายไปจากห้องแชทพี่น้องกันหมด เดี๋ยวเบอร์สี่ไหวตัวทัน รู้ว่าเราเปิดห้องแยก”



                “เป็นความคิดที่ดี เดี๋ยวผมไปเปิดประเด็นห้องนู้นให้ครับ” วอลเตอร์บอกอย่างกระตือรือร้น



                พี่น้องสการ์สการ์ดจึงไปป่วนในห้องแชทอีกห้องที่มีบิลอยู่ด้วย เริ่มจากวอลเตอร์ส่งรูปที่ถ่ายเมื่อวานเข้ากลุ่มไปก่อน พี่ชายคนอื่นๆและไอยา ต่างมาแสดงความคิดเห็นว่าเที่ยวสนุกน่าดู อย่าลืมของฝาก อิจฉาคนได้เที่ยวประเทศโซนร้อน ที่สตลอกโฮล์มหนาวจนจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งตัวกันแล้ว บิลตอบกลับว่าครั้งหน้าพวกเขาควรมาด้วยกันทั้งครอบครัว เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าพี่น้องแอบสร้างห้องแชทลับหลัง ซึ่งทุกคนก็ตั้งใจจะเก็บเป็นความลับต่อไป พวกเขาเคารพความเป็นส่วนตัวของบิลอย่างแน่นอน แต่บางเรื่อง พี่น้องสการ์สการ์ดจำเป็นต้องรวมพลังกัน เพื่อให้บิลมีความสุข



                วันนี้บิลตื่นตอนสิบเอ็ดโมง อเล็กซานเดอร์กับวอลเตอร์ตื่นนานแล้ว คุยกันสองคนว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อดี บิลจึงออกมาข้างนอกคนเดียว ซื้อกาแฟและแซนด์วิชง่ายๆเป็นอาหารกลางวัน นั่งกินที่ร้านไปเลย เขาเข้าไปดูทวิตเตอร์ของเธออย่างที่ทำประจำเกือบทุกวัน แปลกใจที่เธอไม่ลงรูปภาพเมื่อวาน เธอเคยประกาศชัดเจนว่าเป็นแฟนคลับของเขา ได้เจอเขาตัวเป็นๆและถ่ายรูปด้วยกัน กลับไม่ทวิตเลยสักข้อความ เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ บิลลองเข้าไปที่หน้าส่งข้อความลับ แค่เผื่อว่าเธอจะพูดเรื่องที่เจอบิลให้ WildScar ได้รู้



                “ประเทศคุณมีแดดจ้าอย่างนี้เสมอ แม้จะเป็นฤดูหนาว ผมชอบนะ” เขาส่งข้อความไป ไม่ใช่ประโยคคำถาม เป็นประโยคบอกเล่าสำหรับชวนคุย เขารอคอย ผ่านไปหนึ่งนาที ยังไม่ตอบ ผ่านไปอีกหลายนาที ยังเงียบเชียบ จนเขาดื่มกาแฟจนหมดในอีกสิบนาทีต่อมา จึงมีการแจ้งเตือนเด้งขึ้น



                “ประเทศคุณหนาวเสมอ แม้จะเป็นฤดูร้อน ฉันก็ชอบค่ะ” เธอตอบกลับมาอย่างขำขัน



                “สวีเดนในฤดูร้อน อากาศร้อนนะครับ” เขาเถียง



                “อุณหภูมิสูงสุดคือกี่องศาคะ?” เธอถาม



                “77 องศาฟาเรนไฮต์”



                “แต่ที่ไทย สูงสุดคือ 104 องศาฟาเรนไฮต์ในบางพื้นที่ค่ะ และมีแนวโน้มว่าจะยิ่งสูงขึ้นในอนาคต” เธอเถียงด้วยข้อมูลจริง



                “ยอมแล้วครับ” เขาตอบกลับ เผลอยิ้มมุมปากขณะกดส่งข้อความ



                เธอส่งอิโมจิหัวเราะ และพิมพ์ต่อ “ฉันไปก่อนนะคะ วันนี้มีธุระ”



                “ทั้งที่อยู่ระหว่างเที่ยวปีใหม่หรือครับ” บิลรีบพิมพ์



                “มีคนมาจ้างฉันวาดรูปวันนี้ค่ะ ฉันต้องไปแล้วจริงๆ”



                “โชคดีครับ”



                เขาก็ต้องไปแล้วเช่นกัน ชายร่างสูงยกแขนเรียกพนักงานมาเก็บเงิน เมื่อได้เงินทอนมาครบถ้วนแล้ว เขาลุกออกจากร้าน เดินข้ามถนนและไปต่ออีกนิดหน่อยจะถึงโรงแรมที่พักอยู่ ยังไม่เห็นวี่แววของเธอ จากที่ได้ยินเมื่อวาน เธอบอกว่าไม่ได้พกอุปกรณ์มาด้วยเลย น่าจะไปซื้ออุปกรณ์จำเป็นสำหรับการวาดภาพ อเล็กซานเดอร์ได้ฟังอย่างนั้นจึงบอกเธอว่าขอแค่ภาพลายเส้นก็พอ ไม่ต้องลงสีแล้ว เพราะจะลำบากเธอตามหาอุปกรณ์จนเกินไป บิลยอมรับว่าพี่ชายของเขาไหลลื่นเก่งทีเดียว ถ้าคิดจะจีบผู้หญิงเอง คงทำสำเร็จได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ปัญหาก็คือพี่ชายของเขายังไม่เจอคนที่ใช่ ส่วนบิล เขาไม่ไหลเก่งขนาดนั้น จากเหตุการณ์ที่ร้านสตาร์บัคส์ เขารู้สึกเป็นไอ้งั่งบื้อใบ้ไปเลย ใครจะคิดเล่าว่าบทจะได้เจอ เจอง่ายเหลือเกิน เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ โมเนต์เองก็เหมือนกัน เธอไม่ได้พูดกับเขาสักคำ มีแค่ตอบอเล็กซานเดอร์แบบถามคำตอบคำ เธอตกใจไม่แพ้เขาหรอก



                อเล็กซานเดอร์กับวอลเตอร์นั่งรอที่ล็อบบีแล้ว ทั้งคู่แต่งตัวตามสบายไม่ต่างจากเมื่อวาน กางเกงขาสั้นกับเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลาย เหมือนจะไปเที่ยวชายหาด ขณะที่บิลแต่งตัวหล่อเต็มยศอยู่คนเดียว เขาใส่แจ็กเก็ตสีน้ำตาลตัวโปรด ทรงผมที่ไม่เคยเซ็ตระหว่างท่องเที่ยว วันนี้จำเป็นต้องเซ็ตให้เรียบร้อยดูดี วอลเตอร์กล่าวชมว่าหล่อมากพร้อมฉีกยิ้มยิงฟัน



                “พี่กับวอลเตอร์จะออกไปเที่ยวเล่นแถวนี้ อยากได้อะไรไหม จะซื้อมาฝาก” อเล็กซานเดอร์ถาม



                “พี่จะไม่อยู่ด้วยหรือ?” บิลจ้องพี่ชายเขม็ง แล้วเขาจะคุยอะไรกับเธอล่ะ ถ้าอยู่ด้วยกันตามลำพัง แม้ล็อบบีจะมีคนเดินเข้าออกตลอดเวลา แต่เขาประหม่าอยู่ดี



                “ประมาณบ่ายสามพี่ก็กลับมาแล้ว ไม่เบี้ยวค่าจ้างเขาหรอก ถ้าคุณโมวาดรูปเสร็จก่อนเวลานั้น นายชวนเขาคุยไปเรื่อยๆ จะพาเขาไปซื้อขนมกินข้างนอกก็ได้...” อเล็กซานเดอร์แนะนำ



                “หรือชวนไปเดินเล่น ก็ไม่เลวนะครับ” วอลเตอร์เสริมเป็นลูกคู่ “แถวนี้มีร้านค้าน่ารักเยอะแยะ”



                พูดไว้แค่นั้น แล้วทิ้งเขาไปดื้อๆ บิลนั่งลงบนเก้าอี้โซฟา ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ



                มโนราห์มาถึงโรงแรมสายไปห้านาที เธอเถียงกับพี่ชายทั้งสามไปสามรอบตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเช้า และก่อนสิบเอ็ดโมง พวกนั้นตั้งใจจะยกโขยงตามมาให้ได้ เธอเป็นเด็กสิบขวบหรือไง ถึงต้องมีผู้ใหญ่คอยติดตามไม่ว่าจะไปไหน พวกสการ์สการ์ดจะคิดยังไง ถ้าเห็นเธอพ่วงพี่ชายพี่สะใภ้มาทั้งหมดหกคน แม่ ป้า หลานชายก็อาจตามมากันครบทั้งครัว จะยิ่งน่าอึดอัด เท่าที่เป็นอยู่ เธอก็รู้สึกอึดอัด กระวนกระวาย ประหม่าจะบ้าตายแล้ว เธอกำลังจะได้วาดรูปใคร นั่นน่ะบิล สการ์สการ์ด นักแสดงที่เธอชื่นชอบเชียวนะ หนุ่มสวีดิชที่เธอปริ๊นท์รูปแปะไว้ในห้องทำงาน ไว้ดูเวลาเศร้าหรือเบื่อ มโนราห์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออก ก้าวเท้าเดินเข้าไปยังล็อบบีโรงแรม



                การมองหาเขาไม่ใช่เรื่องยาก เขาโดดเด่นจากทุกคนเสมอ แม้จะแต่งตัวธรรมดา เสื้อลายพิมพ์ใบไม้กับกางเกงขาสั้นแบบเมื่อวาน หรือแต่งตัวดีเหมือนหลุดจากนิตยสารในวันนี้ ผมของเขาไม่ได้ปล่อยสบายแบบวันก่อน คราวนี้เซ็ตอย่างจงใจให้พ้นเหนือหน้าผาก โครงหน้าของเขาจึงเด่นชัดทุกส่วน ให้ตายเถอะ แค่มองไกลๆ ก็เหมือนจะหายใจไม่ออกแล้ว นี่เธอต้องไปนั่งวาดรูปโครงกระดูกหน้าสมบูรณ์แบบแห่งสแกนดิเนเวียนั่นจริงหรือ? มโนราห์ไม่เห็นอเล็กซานเดอร์หรือวอลเตอร์นั่งอยู่แถวนี้ด้วยเลย มีแค่เขาคนเดียว แค่บิล สการ์สการ์ด เมื่อเธอเดินเข้าไปจนอยู่ในระยะมองเห็นได้ เขาช้อนตาและเงยหน้าขึ้นมองเธอ โอ้โห ช็อตนี้ ขอตายตรงนี้เถอะ!



                คนเราเขินจนร้องไห้ได้หรือเปล่า? เพราะเธอรู้สึกเหมือนดวงตากำลังร้อนผ่าว คล้ายจะร้องไห้ เธอทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม ได้แต่ยืนนิ่งงัน เบิกตากว้าง มือสองข้างจับขอบถุงผ้าใส่อุปกรณ์ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว



                เขาลุกขึ้นยืน กล่าวทักทายว่าสวัสดีตอนบ่ายอย่างแสนสุภาพ พอเห็นเขาเต็มความสูงอย่างนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กกระจ้อยร่อย มโนราห์สูงหนึ่งร้อยหกสิบสองเซนติเมตร มาตรฐานหญิงไทยทั่วไป เขาสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบสอง เธอเตี้ยกว่าเขาถึงสามสิบเซนติเมตร ถึงตอนนี้เขาจะผอมกว่าที่เธอเคยเห็นในเรื่อง Hemlock Grove และภาพยนตร์เรื่องอื่นก่อนหน้า แต่เขาก็ตัวใหญ่กว่าเธออยู่ดี ยีนบ้านสการ์สการ์ดนี่มันยังไงกัน ทุกอย่างที่โดดเด่นไปรวมตัวอยู่ในตระกูลเดียวเลยหรือไง



                “คุณอเล็กซานเดอร์ไม่อยู่หรือคะ เขาไม่ได้บอกฉันไว้ว่าอยากได้ภาพลักษณะไหน แค่บอกให้วาดด้วยดินสอ” มโนราห์พูดเข้าเรื่องงาน พลางนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มีโต๊ะสี่เหลี่ยมกั้นกลางระหว่างพวกเขา



                “เขาออกไปเที่ยวกับวอลเตอร์แล้วครับ” บิลตอบ



                เขามองเธอเม้มริมฝีปาก ท่าทางหนักใจ แล้วก้มลงหยิบอุปกรณ์ กระดาษม้วนคลี่กางหนีบไว้กับแผ่นกระดาน ดินสอเบอร์หลากเบอร์สำหรับการใช้งานที่ต่างกัน ยางลบ กบเหลาดินสอ และมีแม้กระทั่งคัตเตอร์สำหรับเหลาดินสอด้วย เขามองสำรวจเธออย่างเพลินตา วันนี้สวมเสื้อยืดสีครีมอ่อน กางเกงผ้าสีน้ำตาลเข้าชุดกัน ผมสีดำยาวมัดเป็นก้อนกลมๆไว้ด้านบน เส้นผมส่วนหนึ่งรุ่ยร่ายออกมาเพราะความยาวไม่เท่ากัน ไม่แต่งหน้าอีกแล้ว ไม่ทาแม้แต่ลิปสีอ่อน บิลมองออกเสมอว่าใครแต่งหน้าหรือไม่แต่งบ้าง เขาคลุกคลีอยู่ในวงการมานาน บอกความแตกต่างได้ เธอเงยหน้าขึ้น เผลอสบตากับเขาพอดี



                “ฉันคงต้องถามจากคุณเอง คุณอยากได้รูปลักษณะไหนคะ หน้าตรง หันข้าง เอียงมุมไหน เห็นครึ่งตัว หรือว่าจะให้เห็นแค่หน้ากับลำคอและปกเสื้อ” เธอชี้มือไปที่ระดับไหล่ของตนเอง



                “ยังไงก็ได้ครับ” บิลตอบ นัยน์ตาของเขายังจ้องเธอ สังเกตความเคลื่อนไหวของใบหน้า คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนิดๆ เธอยกมือขึ้นเก็บผมไว้หลังหูอย่างเคอะเขิน หลบสายตาของเขา อาการแบบนั้น ทำให้เขารู้ว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่กำลังทำตัวไม่ถูก เธอก็เป็นเหมือนกัน



                “เอียงมุมนิดหน่อยแล้วกันนะคะ และเห็นจนถึงกระดุมเม็ดที่สอง โอเคหรือเปล่าคะ” เธอพยายามหาจุดกึ่งกลาง



                “แล้วแต่คุณเลย” เขายิ้มนิดๆให้เธอ และเห็นแก้มสองข้างนั้นกลายเป็นสีชมพู



                โมเนต์พยายามเก็บอาการให้มากที่สุด แต่เล็ดลอดจนเขาสังเกตเห็นได้อยู่ดี และเขาชอบอาการทั้งหมดที่เธอเผลอหลุดออกมา เพราะเก็บไม่อยู่ ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของสีหน้า ไม่กล้ามองตาเขานานๆ โธ่ แล้วจะวาดออกมาได้ไหมนั่น บิลแทบจะหลุดหัวเราะ แต่เขากลั้นเอาไว้ กลัวเธอจะเข้าใจผิดว่าเขาหัวเราะขำเธอ บิลยืดหลังตรง แล้วนั่งหันหน้าทำมุมตามที่เธอบอกทุกอย่าง



                “ผมหายใจได้ไหม ระหว่างที่คุณวาดภาพ” บิลแกล้งถาม มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม



                “ได้ค่ะ” โมเนต์ตอบ ยิ้มออกมาจนได้



                “แล้วชวนคุยได้ไหม?” เขาถามอีก



                “ช่วยอยู่นิ่งๆก่อนนะคะ” น้ำเสียงของเธอเหมือนกำลังขอร้องให้หยุดซน



                บิลหยุดพูด ทำตามคำขอร้อง นั่งนิ่ง พยายามไม่ขยับตัว โดยเฉพาะใบหน้า ลำคอและไหล่ ใบหน้าของโมเนต์หายไปหลังไม้กระดานรองกระดาษ มือของเธอขยับ ลากดินสอ มีเพียงหน้าผากกับดวงตาที่โผล่ออกมาเป็นช่วงๆ บิลรู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อมองสายตาของเธอ แววตานั้นจริงจัง กำลังจับรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าของเขา จะให้เขารู้สึกเฉยๆได้หรือ ลูกนัยน์ตาสีดำกลมๆของเธอไล่มองตั้งแต่เส้นผม หน้าผาก บางครั้งเธอเอียงศีรษะเล็กน้อย กระพริบตาเนิบช้าเหมือนคิดอะไรอยู่ บางครั้งเธอเผลอสบตาเขา บิลพลันรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผาก เมื่อเธอวางโครงทุกอย่างเรียบร้อย ตอนที่ต้องวาดดวงตาของเขา ทั้งมอง ทั้งจ้อง ยังไงก็ต้องสบตากันยาวนาน



                มโนราห์รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมาก แรงจนเจ็บซี่โครง บ้าบอที่สุดในชีวิตการทำงานแล้ว เธอไม่เคยวาดรูปคนที่ชอบ โดยมีคนที่ชอบนั่งเป็นแบบ เธออาจเคยวาดทอม ฮิดเดลสตัน แต่นั่นวาดจากรูปถ่ายบนหน้าจอ นี่มันต่างกันอย่างสุดกู่ เขานั่งอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนี้จริงๆ จับต้องได้ มีตัวตน ไม่ใช่ภาพบนหน้าจอหรือบนกระดาษที่เธอปริ๊นท์ออกมาแปะ เธอเห็นรายละเอียดบนใบหน้าของเขาทุกอย่าง รอยแผลจางๆบนแก้มขวา หน้าผาก โหนกแก้มบางเฉียบ กะโหลกของเขางดงามจนควรค่าแก่การเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา มโนราห์สบถว่าให้ตายสิ ให้ตายสิ เป็นร้อยรอบแล้วในใจ



                “ดื่มอะไรกันหน่อยดีไหม? ผมขอโทษที่ลืมไปเลยว่าคุณยังไม่ได้ดื่มน้ำ” เขาพูด น้ำเสียงอ่อนโยนสุภาพ ทุ้มน่าฟัง เสียงอย่างนั้นฆ่าคนตายได้เลย ฆ่าเธอก่อนคนแรก



                “ไม่เป็นไรค่ะ” มโนราห์ยิ้มจนตาหยีอย่างเกรงใจ



                เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เลื่อนสายตาไปทางอื่น กระแอมให้คอโล่ง “ผมจะกดเครื่องดื่มที่ตู้ให้ มีอะไรที่คุณไม่ชอบดื่มไหม”



                ถามตอนนี้ คิดอะไรไม่ออก สมองเบลอไปหมด “ไม่มีค่ะ”



                บิลพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน เดินลิ่วออกจากตรงนั้น ตรงไปยังตู้กดน้ำดื่มอัตโนมัติ เขาลังเลว่าจะเลือกโค้ก สไปร์ทหรือน้ำเปล่า เขาไม่รู้ว่าโมเนต์ชอบอะไรมากกว่ากัน สุดท้ายเขาเลือกกดโค้กมาสองกระป๋อง และเดินกลับไปหาเธอ โมเนต์กอดแผ่นกระดานไว้แนบอก แกว่งขาไปมา เงยหน้ามองสำรวจเพดานฆ่าเวลา เขาวางกระป๋องโค้กของตัวเองลงก่อน และเปิดฝาอีกกระป๋องยื่นให้เธอ



                “ขอบคุณค่ะ ให้ฉันจ่าย...” เธอกำลังจะหยิบกระเป๋าเงิน



                “ไม่ต้อง” เขาโบกมือปฏิเสธอย่างแข็งขัน นั่งลงที่เดิม และดื่มโค้กบ้าง



                บิล สการ์สการ์ดเพิ่งจะซื้อโค้กให้เธอหนึ่งกระป๋อง ขอเก็บกลับบ้านได้ไหม ไม่สิ ให้เขาเซ็นชื่อให้เลยดีไหม ไม่ ไม่ อย่าทำตัวแฟนเกิร์ลตอนนี้ เป็นมืออาชีพหน่อย สงบใจไว้ มโนราห์สูดลมหายใจเข้าลึกสุดใจ เรียกสติคืนร่าง เธอเริ่มทำงานต่อ กำลังลงเส้นบริเวณเส้นผมของเขา



                “คุณเริ่มวาดรูปตั้งแต่เมื่อไหร่” บิลถาม มองสายตาของเธอเลื่อนมาที่เขา



                “จำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ค่ะ แต่ยังเด็กมาก” เธอตอบ หันกลับไปมองกระดาษเช่นเดิม ด้วยท่าทางจดจ่อ จนบิลไม่กล้ารบกวนอีก เขามองเธอต่อไปอย่างเพลินตา ทุกอย่างดูช่างอ่อนโยนนุ่มนวล ข้อมือ นิ้วที่จับดินสอ เส้นผมที่หลุดลุ่ยออกมาและปลิวขยับเบาๆเมื่อเธอโคลงศีรษะ ขนคิ้วของเธอค่อนข้างรกไม่เป็นระเบียบ เธอคงไม่เคยดึงขนคิ้วเพื่อจัดแต่งเลย ขนตาของเธอยาวกำลังพอดี กระพือเร็วๆเมื่อเธอกระพริบตา



                “ฉันกำลังจะวาดดวงตาแล้วค่ะ ช่วย...” เธอพูดติดขัด “ช่วยมองมาทางฉันด้วยค่ะ”



                เขาก็มองอยู่ตลอด ไม่สังเกตบ้างหรือ?



                เรื่องยากที่สุดมาถึงแล้ว ยากกว่าทุกส่วนบนใบหน้า เธอเขี่ยเส้นผมไปเหน็บหลังหูไว้ทั้งหมด ท่องยุบหนอพองหนอไว้ สมาธิก็อาจช่วยอะไรไม่ได้ ณ จุดๆนี้ เธอทำใจอยู่นานเกือบนาที ก่อนจะเลื่อนดวงตาขึ้นมองสบตาเขา บิล สการ์สการ์ดทำทุกอย่างตามที่บอกไม่ผิดเพี้ยน บอกให้มองมาที่เธอ ก็จ้องอย่างจริงจัง มโนราห์พยายามควบคุมการหายใจของตัวเอง สีสันในดวงตาของเขางดงาม เธอรู้ว่าเขามีดวงตาสีเขียว ภายใต้แสงไฟของล็อบบีโรงแรม ดวงตาของเขาเหมือนจะมีสีสันที่เข้มขึ้น ทำให้เธอนึกถึงแสงเหนือ นึกถึงมหาสมุทร ทะเลอันดามันที่น้ำเป็นสีเขียวมรกตปนๆกับสีฟ้า น่าเสียดายที่วาดเขาด้วยดินสอ ไม่มีการลงสี ถ้าเธอต้องลงสีดวงตาคู่นั้น เธอคงอยากเก็บภาพไว้เอง ไม่ยอมขาย



                เธอจ้องเขานาน บิลไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรบ้าง เธอนิ่งเงียบ คล้ายเหม่อลอยหลงทาง เขาคิดว่าเห็นเงาตัวเองสะท้อนจากดวงตาสีเหมือนไข่มุกดำของเธอ พริบตาต่อมา เธอขยับมือ กลับไปมองผลงานของตัวเองอีกครั้ง ลงมือวาดภาพต่อ สีหน้าจริงจังเข้มงวด ไม่วอกแวก บิลอยากให้เวลายืดยาว เขาชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เธอไม่รู้ตัวสักนิดว่าตอนทำงาน เธอดูมีเสน่ห์กว่าเวลาอื่น



                ไม่รู้ว่าเวลาไปนานแค่ไหนแล้ว โค้กในกระป๋องหมดเกลี้ยง เธอใช้ยางลบปาดๆบนกระดาษ ปัดขี้ยางลบ เธอเหลาดินสอด้วยกบเหลา บางครั้งใช้มีดคัตเตอร์ เมื่อไม่ต้องการให้ดินสอแหลมจนเกินไป คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันยุ่งเหยิง เธอหยุดพักยืดเส้นบ้างประมาณครึ่งนาที เขาก็ต้องยืดแขนขาบ้างเช่นกัน นาฬิกาเหนือเคาน์เตอร์โรงแรมบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมามากกว่าสามชั่วโมง และในที่สุดรูปวาดก็เสร็จสมบูรณ์ เธอยื่นให้เขาดู พร้อมบอกว่า เขาสามารถขอให้แก้ไขได้ทุกที่ตามต้องการ แต่บิลไม่ต้องการแก้ตรงจุดใดเลย



                “สมบูรณ์แบบ” เขากล่าวชม พลางเงยหน้าขึ้นมองเธอ



                เขาหมายถึงรูปวาด



                และเธอด้วย        













    TALK

    มารัวๆ สองวันติดงี้ เพราะไม่รู้เลยค่ะว่าอาทิตย์หน้าจะได้อัพบ้างไหม //เป็นเศร้า เป็นท้อ


                      

       

                 

                   

     

                       

                 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×