คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [ Blake ] : Never regret.
Psyche
Chapter 9 : Never regret.
[ Blake ]
เลือดเปื้อนมือของเขาเต็มไปหมด สีแดงฉาน เข้มจัด ติดตรึง ล้างเท่าไหร่ก็ล้างไม่ออก เบลครู้ตัวว่ากำลังฝัน แต่ เขาไม่สามารถออกจากความฝันได้ จนกว่ามันจะจบลงเอง เขากำลังล้างมือ หลังจากฆ่าผู้ชายคนนั้นบนถนนแปซิฟิกไฮเวย์ คนที่ไม่จำเป็นต้องตาย เบลคไม่เคยฆ่าใคร เขาจะไปฆ่าคนได้ยังไงกัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาอาจจะทำเรื่องแย่ๆมาเยอะ แต่เขาไม่เคยชั่วร้ายจนถึงขนาดตัดสินทันด่วน เหนี่ยวไกปืนปลิดชีพคนอื่น เลือดจึงอยู่บนมือเขาแล้ว เบลคเห็นภาพย้อนกลับซ้ำๆเหมือนกรอวีดีโอ นิ้วชี้กดไกปืน เสียงดังปัง ความฝันทำให้มันแย่ขึ้นด้วยการเปลี่ยนเป็นภาพช้า เขาเห็นลูกกระสุนลอยหวือ ดวงตาเบิกโตของอีกฝ่าย แสงสุดท้ายในชีวิต ร่างล้มลงกองกับพื้น
เบลคสะดุ้งตื่น
ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าเขาจะรู้ตัวว่ากลับสู่ความเป็นจริงแล้ว
อากาศเย็นยามค่ำคืน เสียงเปรียะๆของกองไฟที่ใกล้มอด เขาพลิกตัวนอนหงาย แผ่นหลังสัมผัสกับความหยาบกร้านของผิวดินที่ทำให้ไม่สบายตัว
ศีรษะหนุนอยู่บนกระเป๋าเป้ที่อัดแน่นด้วยเสื้อผ้าเพื่อทำให้มันนุ่มขึ้น
เบลคขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สิ่งแรกที่เห็นคือ ไรลีย์นั่งเฝ้ายามกะแรก
เธอหันหลังให้เขา มือสองข้างวางเท้าอยู่บนพื้น ศีรษะแหงนตั้งบ่า
เหม่อมองดูดวงดาวเวลาเที่ยงคืน ผมสีบลอนด์มัดหลวมๆรุ่ยร่ายอยู่บนบ่า เบลคกระพริบตา
ผ่อนลมหายใจ รู้สึกดีที่ตื่นออกมาจากฝันน่ากลัวนั้นได้
แม้ว่าความเป็นจริงก็ไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่ากันนัก
“ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนกะเลย”
ไรลีย์พูด เมื่อหันมาเห็นว่าเบลคตื่นแล้ว “นายนอนต่อได้อีกชั่วโมงนะ”
“ฉันตื่นเต็มตาแล้ว”
เบลคตอบ ยักไหล่น้อยๆ “ถ้าเธอจะนอน...”
“ฉันยังไม่อยากนอน”
ไรลีย์พูดขึ้นทันที
แล้วก็เงียบกันไป
เบลคคิดว่าไรลีย์ค่อนข้างประหลาด ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นหรือใครๆที่เขาเคยพบมา
เธอไม่ใช่อย่างโบ ที่เก่งเรื่องเอาตัวรอด ช่างคุย เป็นคนเปิดเผย
ไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปที่ป่านนี้คงจะกลัวหัวหด น้ำตาไหลพราก พูดพร่ำบ่น
หวาดกลัวลนลานทำอะไรไม่ถูก ไรลีย์ไม่ใช่คนช่างพูด ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็น
เธอจะไม่เปิดปาก เธอเหม่อลอยบ่อยครั้ง เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร
บางทีเธอดูเย็นชาและนิ่งสงบเวลาที่เธอไม่รู้ว่าเขากำลังมองอยู่ บางทีเธอดูใสซื่อเหมือนหญิงสาวที่กำลังหลงทางและหวาดกลัว
ตอนที่เธอยิงผู้ชายและผู้หญิงกลางถนนคืนนั้น เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ เธอจับปืนแทบไม่เป็นด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะเล็งยิงเลย แต่วันนั้น
เธอยิงเข้าเป้าแม่นยำ โดนจุดตาย เขายังไม่ทันคิดอะไรตอนเกิดเหตุ
คิดแค่ว่าเธอคงกลัวและตกใจมาก แต่พอมานั่งคิดทบทวนอีกที มันแปลกจริงๆ
ไรลีย์อาจไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาอย่างที่เขาคิด
จะว่าไป ครั้งแรกที่เจอกัน เธอโผล่มาจากไหนไม่รู้ นั่งคุดคู้หลบอยู่ในพุ่มไม้
ท่าทางหวาดกลัวสุดขีด เธอรอดมาจากอะไร หรือเกิดเรื่องใดขึ้นก่อนหน้านั้น
เขาไม่เคยได้รู้ และอยู่ๆจะถามขึ้นมา คงทำให้เธอระแวงอีก
ทั้งที่เขาเป็นพวกมีเรื่องขัดใจหรือสงสัยก็จะพูดและถามทันที แต่คราวนี้
เขาเลือกที่จะเงียบ และสังเกตไปก่อนจะดีกว่า ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตกใจตื่น
พวกเขาจอดรถ
ตั้งแคมป์ไฟเล็กๆข้างทางเพื่อหยุดพักหนึ่งคืน
การนั่งรถเป็นเวลานานโดยไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ทำให้กล้ามเนื้อปวดระบม
ตอนนี้พวกเขาอยู่ริมถนนเพิร์ชพาร์ค ข้างๆแปซิฟิกไฮเวย์
เบลคเลือกที่จะเลี่ยงออกจากถนนใหญ่ ขับเลี้ยวเข้าถนนที่เล็กกว่า
และหาจุดเหมาะๆในการนอนพัก เบลคยังคงนำวิทยุสื่อสารที่ได้จากมนุษย์สามคนนั้นติดตัวไว้
เผื่อว่าจะได้ยินการติดต่อสื่อสารอีก แต่ผ่านมามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว
เงียบกริบ ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนจาก ฐาน เรียกหา หน่วยสาม เบลคไม่รู้ว่าจะตามหาคลื่นสัญญาณวิทยุได้ที่ไหน
เขามีความรู้เรื่องนี้แค่หางอึ่ง การเดินทางจึงยังรีรออยู่แถวโอเรกอน ไปไม่ถึงไหน
เขาหวังว่าจะเจอคนอื่นโผล่มาอีก
ถ้าเขาเป็นพวกนั้น
คงไม่อยากโผล่หน้ามาแล้ว เพื่อนสามคนเพิ่งตาย คงวิ่งหนีหางจุกก้น
เบลคคิดว่าการตัดสินใจของเขาบัดซบมาตลอดชีวิต แต่ไม่มีครั้งไหนจะแย่เท่าครั้งนี้
“นายคิดว่ามีอะไรอยู่บนนั้น”
อยู่ๆคนที่ไม่ชอบพูด ยื่นบทสนทนาเข้ามาก่อน ไรลีย์นอนราบไปกับพื้น
ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องท้องฟ้าสีหมึกที่แต่งแต้มด้วยจุดเล็กกระพริบวิบวับ ยิ่งมืด ยิ่งมองเห็นแสงดาวชัดเจน
ไม่มีไฟถนน ไม่มีไฟหน้ารถ หรือแสงไฟจากตามร้านค้าบ้านช่อง
ดวงดาวจึงพากันเยี่ยมหน้าออกมาทักทายในราตรีที่ไร้แสงจันทร์ ท้องฟ้าปลอดเมฆ เบลคเงยหน้าขึ้นมองบ้าง
แปลกใจกับคำถามล่องลอย ไร้ที่มาที่ไป
“ก็ดาวน่ะสิ
ดาวเทียม ดาวเคราะห์ ช่องว่างดำมืดไกลสุดลูกหูลูกตา” เบลคตอบ
สังเกตเห็นดวงตาของไรลีย์เหลือบมองมาทางเขาครู่หนึ่ง แล้วเลื่อนกลับไปที่ท้องฟ้า
“นายคิดว่ามีสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวไหม?”
ไรลีย์ถามอีก
“เธอกำลังวกกลับเข้าทฤษฎีที่ว่าพวกมันเป็นมนุษย์ต่างดาวใช่ไหม”
เบลคถามอย่างไม่แน่ใจ
“เปล่า”
ไรลีย์ส่ายหน้าน้อยๆ “ฉันไม่อยากคุยเรื่องพวกมัน ฉันแค่อยากรู้ว่านายคิดยังไง
นายคิดว่าบนดาวดวงอื่นมีสิ่งมีชีวิตอยู่อีกไหม เราจะเป็นดาวดวงเดียวในจักรวาลหรือเปล่า
ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้ามนุษย์สูญพันธุ์ไปจริงๆ จะทำให้จักรวาลสั่นคลอนไหม?
เหมือนอย่างระบบนิเวศเสียหายถ้ามีสัตว์สูญพันธุ์”
เบลคหัวหมุน
เขาไม่เคยคิดเรื่องลึกซึ้งแบบนั้นมาก่อน
ไม่มีกลุ่มเพื่อนที่จะมาถกปัญหาทางปรัชญาชีวิต ใครจะไปนึกว่าวันหนึ่งโลกจะเข้าขั้นวิกฤต
และเขาจะได้มานั่งกับสาวสวยที่แปลกประหลาด ริมถนนตอนกลางคืน ไกลจากบ้าน
และไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง เขาละสายตาจากหมู่ดาวเบื้องบน ลงมามองหญิงสาวที่นอนราบ
นัยน์ตาสีน้ำเงินเหมือนกำลังสงสัยทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ เขาอาจผ่านผู้หญิงมาเยอะแยะ
แต่ไรลีย์เป็นคนที่มีแววตาที่ดูซื่อบริสุทธิ์ที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยเห็นมา
โดยเฉพาะเวลาที่เธอครุ่นคิด
“ไม่รู้สิ”
เบลคยักไหล่ “แต่ฉันเคยได้ยินมานะ
เป็นคำพูดของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์สักคนที่ฉันจำชื่อไม่ได้ เขาบอกว่า 'เราจะสรุปว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ยังไง
ในเมื่อเราไปอวกาศแค่ช่วงสั้นๆ เหมือนออกเรือในทะเล วักน้ำทะเลขึ้นดูในฝ่ามือ
และสรุปเอาโง่ๆว่าในทะเลไม่มีปลาวาฬ'* ส่วนเรื่องสูญพันธุ์อะไรนั่น
ฉันว่าธรรมชาติจะปรับตัวได้เอง ดูอย่างตอนไดโนเสาร์สูญพันธุ์สิ
จักรวาลไม่ได้แตกซะหน่อย ธรรมชาติสร้างสิ่งมีชีวิตอื่นขึ้นมาแทน”
“ใช่”
ไรลีย์ตอบรับ เสียงกระซิบ “ธรรมชาติสร้างอย่างอื่นขึ้นแทน”
พวกเขาไม่ได้คุยกันต่อ
ต่างกอบโกยช่วงเวลาสงบสุขที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใด
คำพูดสุดท้ายของไรลีย์เหมือนจะปลิวหายไปกับสายลมที่พัดผ่านมา
เบลคไม่เคยสงสัยสิ่งใดที่ซับซ้อน ยิ่งเป็นเรื่องชีวิต ความตาย จักรวาล ระบบนิเวศ
กลไกของธรรมชาติ เพราะเขาเคยชินจนไม่สังเกตเห็น ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่ง ไรลีย์ถาม
เขาจึงอยากรู้ขึ้นมา หลังอุกบาตชนโลก แผดเผาสิ่งมีชีวิต
ฆ่าล้างไดโนเสาร์ไม่มีเหลือ สิ่งมีชีวิตใดที่เกิดขึ้นมาก่อน มันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กมาก
เหมือนอย่างพวกแพลงก์ตอนในทะเล ผ่านวิวัฒนาการจนกลายเป็นทุกวันนี้ คงสุดยอดไปเลย
ถ้ามีโอกาสได้เห็น ได้รับรู้ความลับในอดีตเหล่านั้น
อดีต
ความเป็นไปของโลก อาจจะน่าพิศวงก็จริง แต่เบลคกลับคิดว่า
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขาตอนนี้ น่าพิศวงและแปลกประหลาดยิ่งกว่า
เบลคกำลังคิดในใจว่าช่างเป็นคืนที่เงียบสงัด และปลอดภัย ตอนที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นนัดแรก เขาผุดลุกขึ้นยืนทันที หัวใจเปลี่ยนจังหวะการเต้นอย่างฉับพลัน เขาไม่จำเป็นต้องบอกให้ไรลีย์เตรียมตัว เธอคว้ากระเป๋าแล้วลุกพรวด ทั้งสองคนวิ่งกลับไปที่รถ ไม่รอดูว่าเป็นกลุ่มมนุษย์หรือกลุ่มพวกมัน ถ้าได้ยินเสียงปืน ก็ไม่ดีแน่ที่จะเสี่ยงซุ่มอยู่แถวนี้ต่อ เบลคกำลังจะเปิดประตูรถ
“เดี๋ยวก่อน”
เขาเรียกไรลีย์ไว้ “ถ้าเราสตาร์ทรถและขับออกไป พวกมันก็ต้องได้ยินเสียงเรา”
“แถวนี้เป็นที่โล่งว่างๆ
ไม่มีที่ซ่อนนะ” ไรลีย์หันมองซ้ายขวาในความมืด
“ใต้ถนนนั่นไง
ที่เราขับผ่านมา” เบลคชี้มือกลับไปบนถนน
พวกเขาออกจากเส้นแปซิฟิกไฮเวย์เข้ามาในถนนเพิร์ชพาร์ค
แต่มันเป็นถนนเล็กที่ลอดใต้แปซิฟิกไฮเวย์อีกที
จึงมีช่วงใต้ถนนใหญ่ที่ทั้งมืดและเงียบ พอจะซ่อนตัวได้ ไม่มีเวลาให้คิดทบทวนครั้งที่สองอีกแล้ว
เสียงกรีดร้อง และเสียงปืนดังไล่เข้ามาเรื่อยๆ เบลคขยับอ้อมตัวรถไป
คว้ามือไรลีย์และพาเธอออกวิ่งอย่างรวดเร็ว
แต่ดูท่า
พวกเขาจะรู้ตัวช้าไป กระสุนปืนที่ลอยหวือเฉียดศีรษะเขาไปแบบเส้นยาแดง
เขาจับมือไรลีย์แน่นกว่าเดิม ไม่มีโอกาสจะซ่อนแล้ว พวกมันตามมาติดๆ ขณะเดียวกัน
เขามีโอกาสได้เห็นมนุษย์คนอื่นๆไปด้วย มีจำนวนมากทีเดียว อย่างน้อยก็สิบกว่าคน
แต่เขาไม่มีเวลาไปมองสำรวจใคร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือวิ่งลูกเดียว
แล้วไรลีย์ก็กระตุกมือเขา พาเลี้ยวอย่างกะทันหัน กลายเป็นคนดึงให้เบลควิ่งตาม
เธอออกจากถนน พาวิ่งไปบนหญ้า ขึ้นเนิน เบลคยังได้ยินเสียงว่ามีบางคนตามเขามา แต่แยกกันเป็นหลายกลุ่มแล้ว
ไรลีย์พาเขาวิ่งกลับมาบนแปซิฟิกไฮเวย์
ขณะที่เริ่มได้ยินเสียงล้อรถขนาดใหญ่บดพื้นถนนจากที่ไกลๆ อาจจะเป็นรถถังของพวกทหาร
แต่เบลคไม่สนบ้าบอ ต่อให้มันมีเฮลิคอปเตอร์มาไล่ตาม
เขาจะลองเชื่อสัญชาตญาณของไรลีย์ดู เพราะท่าทางเธอจะไม่ธรรมดา
เธอพาเขาวิ่งข้ามถนน
กระโดดลงจากขอบทาง ลงไปสู่ถนนเส้นเล็กอีกฝั่ง วิ่งอย่างทุลักทุเลไปบนพื้นหญ้าและวัชพืชที่ขึ้นสูง
ข้อดีคือ อีกฝ่ายตามได้ยากหน่อย ข้อเสีย วิ่งได้ช้าลง
และเสี่ยงกับการถูกหนามหรืออย่างอื่นตำเท้า
เบลคแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าทางที่วิ่งไปคือทางไหน แต่ไรลีย์ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย
จนในที่สุดเธอหยุด และดึงให้เขาก้มตัวลงต่ำอยู่ในพงหญ้า
เขาได้ยินเสียงตัวเองหอบหายใจ รู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลย้อยตรงรักแร้
พวกเขายังจับมือกันแน่น แต่ไรลีย์เป็นฝ่ายที่บีบมือเขาไว้ เบลคได้ยินแต่เสียงร้อง
โวยวาย เสียงปืน ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังตูม ไฟสีส้มแผ่กว้าง
โชคดีที่มันอยู่ไกลจากเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงกระเด็นลอยไปแล้ว เบลคไม่อยากคิดเลยว่าอะไรถูกระเบิด
หวังว่าจะไม่ใช่รถยนต์ที่เต็มไปด้วยเสบียงของพวกเขา
เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังแสบหู
ดังมาจากด้านหน้า ไม่ไกลนัก เบลคเห็นทหารคนหนึ่งจับตัวผู้หญิงร่างเล็กป้อมไว้ได้
เธอทั้งถีบเตะต่อย กรีดร้อง ดิ้นพรวดพราด มีทหารแค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าเขาลุกขึ้นยืน
แค่หยิบปืนและยิงออกไป ก็จะช่วยเธอได้ เขาไม่ได้เป็นฮีโร่ ไม่คิดว่าตัวเองเป็น
เพียงแต่ เขาไม่อยากปล่อยให้ใครต้องตายไปต่อหน้าต่อตาเหมือนวันนั้นที่วอล์มาร์ท
ตอนนั้นมีพวกมันเยอะเกินไป โบอาจจะทำถูกแล้วที่ห้ามเขาไว้ แต่นี่มีแค่คนเดียว
และเธอคนนั้นอาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มมนุษย์ที่เขาได้เบาะแสเมื่อวานก็ได้
“อย่านะ”
ไรลีย์ทิ้งน้ำหนักมือลงบนไหล่ของเขา เมื่อเบลคขยับแขนจะหยิบปืนที่เหน็บไว้กับเอว
เขากำลังจะสะบัดแขนไรลีย์ออกตอนที่บุคคลที่สามโผล่เข้ามา
เบลคจึงหยุด ดูสถานการณ์ อีกคนที่มาใหม่เป็นผู้หญิงเช่นกัน ผิวสีเข้มแบบแอฟริกัน
เธอสวมชุดขาวทั้งตัว ตัดกับสีผิว เบลคจึงมองเห็นเธอได้ชัดถนัดตา
ทหารจับหญิงร่างเล็กคุกเข่า ตรึงไว้กับพื้น ผู้หญิงผิวเข้มมองสำรวจ
จับแขนอีกคนขึ้นดู มืออีกข้างกดๆไปบนขมับและหน้าผาก แล้วจับเสยคางเพื่อมองหน้าให้ชัด
“ใช้การไม่ได้
ฆ่าซะ” พูดจบ หล่อนหันหลัง เดินออกไปประดุจนางพญา ทหารที่ได้รับคำสั่งขยับปืนในมือ
เบลคทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
หลายวันที่ผ่านมา เขามีแต่ฆ่าและทำลาย เขาช่วยชีวิตใครไม่ได้สักคน แม้แต่โบ
คนที่เขาคิดว่าน่าจะรอดมาด้วยกัน ถ้าเขาช่วยเธอ แล้วมันทำให้เขาเสี่ยงถึงตาย ดีกว่าหดหัวอยู่ในกระดองเป็นไอ้ขี้แพ้
ไม่ว่าผลลัพธ์ของการตัดสินใจอย่างบ้าคลั่งและโง่เง่าครั้งนี้จะเป็นยังไง
เขาจะไม่เสียใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยกปืนอยู่ในระดับสายตา เล็งเป้า
และเหนี่ยวไกทันที มันไม่พุ่งเข้าจุดตายหรอก เบลคไม่ได้แม่นปืนขนาดนั้น
กระสุนปักบริเวณต้นแขนใกล้หัวไหล่ ทหารสะดุ้งแรง เผลอปล่อยตัวเหยื่อ
ผู้หญิงผิวเข้มหันขวับกลับมา เบลคกำลังจะเล็งยิงอีกครั้ง แต่ไรลีย์พุ่งตัว
วิ่งออกไป ไม่สนใจเสียงเรียกของเขา เธอกระโจนเข้าใส่ผู้หญิงในชุดขาว
ยกมือขึ้นบีบคอ ผลักให้ล้มลงกับพื้น ทหารหันปืนไปทางไรลีย์ ทำให้เบลคไม่มีทางเลือก
จำเป็นต้องยิงซ้ำ และคราวนี้กระสุนฝังกลางหลัง ทหารล้มคว่ำไป ถ้าไม่ตาย
ก็อาจจะเป็นอัมพาต
“ไรลีย์!” เบลคตะโกนเรียก
“หนี!” ไรลีย์ตะโกน ลุกขึ้นและวิ่งเข้ามาหาเขา
เบลคมองไปและเห็นแสงไฟจากรถถังของทหารกำลังเคลื่อนข้ามฟากถนนใหญ่
ไม่ต้องรอให้ไรลีย์บอกซ้ำ ทั้งเขา และผู้หญิงร่างเล็กป้อมที่ช่วยเอาไว้ได้
ต่างหันหลังพร้อมกัน วิ่งตาลีตาลานข้ามทุ่งหญ้า ผ่านบ้านร้าง
ตะเกียกตะกายวิ่งขึ้นเนิน วิ่งตรงต่อไป ไม่หยุดยั้ง
เสียงปืนและความวุ่นวายยังคงได้ยินตามมาเรื่อยๆ
จนเขาไม่ได้แน่ใจว่าพวกมันเข้ามาใกล้ หรือว่าเขากำลังหลอนไปเอง พวกเขาวิ่ง
ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ความกลัวทำให้จิตใจเตลิดเปิดเปิง ล้มลุกคลุกคลานไปเรื่อย
กระทั่งเบลคได้ยินแต่เสียงหัวใจเต้น รู้สึกถึงความร้อนผ่าวไปทั้งตัว
เหงื่อไหลเหมือนเพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ มือของไรลีย์คว้าแขนของเขาให้หยุด
ขณะที่เธอย่อตัวลง หอบหายใจอย่างหนัก
ค่ำคืนกลับมาเงียบเชียบอย่างเดิม
พื้นที่รกร้าง ต้นไม้ หญ้าสูง ท้องฟ้า และแสงดาวอยู่รอบตัวพวกเขาทั้งสามคน
อะดรีนาลินที่พุ่งพล่านค่อยๆปรับลดลง เบลคทิ้งตัวลงนั่ง หมดเรี่ยวแรง
ไม่รู้ว่าวิ่งมานานหรือไกลแค่ไหนจากจุดเดิม หลังจากโล่งใจที่รอดตาย ปัญหาหลายอย่างพากันกลับเข้ามาในสมอง
รถยนต์ที่ทิ้งไว้ ไม่รู้มีชะตากรรมอย่างไรบ้าง ในนั้นมีทุกอย่าง อาหาร ยา น้ำดื่ม
เบลคกับไรลีย์เหลือแค่กระเป๋าคนละใบที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าเพื่อใช้หนุนหัวนอน
ไม่ต่างกับการเริ่มจากศูนย์ใหม่อีกครั้ง แถมตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนอีก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่
เบลคคิดว่าพอจะคลำทางกลับไปยังแปซิฟิกไฮเวย์ได้ พวกเขาต้องหารถคันใหม่
ตุนเสบียงใหม่ และคราวนี้กลายเป็นสามคน ไม่ใช่สองอย่างเก่า เบลคเพิ่งจะมองผู้หญิงอีกคนให้ชัดถนัดตา
เส้นผมของเธอหยิกฟูทั่วทั้งหัว กระเซอะกระเซิง หน้ากลม
เขามองไม่เห็นสีผิวในความมืด ทุกอย่างดูเหมือนๆกันไปหมด
แต่ท่าทางเธอน่าจะยังอายุน้อย
“ขอบคุณ”
เมื่อเธอพูด แม้จะยังเป็นเสียงหอบ เบลคก็เดาได้ว่าอายุไม่น่าเกินสิบห้าหรือสิบหก
“ไม่เป็นไร”
เบลคพยักหน้า
“เอายังไงต่อ”
ไรลีย์ถาม เพิ่งจะทิ้งตัวลงนั่งหมดแรงบนพื้นหญ้า
“ไม่รู้เหมือนกัน”
เบลคตอบอย่างไร้จุดหมาย
“พวกคุณต้องลงใต้นะคะ”
เด็กสาวพูดโพล่งขึ้นมา “ไปแคลิฟอร์เนีย ฉันต้องกลับไปฐาน เรา...”
“เดี๋ยว
นี่เธอจะบอกว่า...” เบลคหยุดพูด หันไปมอง คว้าไหล่ของเด็กสาวทั้งสองข้าง
“เธอรู้จักกลุ่มมนุษย์หรอ?” อยู่ๆก็เหมือนถูกหวยแล้วได้แจ็คพ็อตสองชั้นรวด
ถ้ารู้อย่างนี้ เขาจะช่วยคนอื่นบ่อยๆ
“พวกเราไม่ได้เรียกตัวเองว่าแบบนั้นหรอก”
เด็กสาวยักไหล่
“แล้วเรียกว่าอะไรล่ะ?”
ไรลีย์ถามแทรกขึ้นมา
“ไซคี”
เด็กสาวบอก “เราเรียกกลุ่มของเราว่า ไซคี”
* ดัดแปลงเล็กน้อยจากคำพูดของ Neil deGrasse Tyson นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาชาวอเมริกัน ต้นฉบับก่อนว่า "การด่วนสรุปว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นในจักรวาล คงเหมือนคนไปทะเล ตักน้ำขึ้นมาดู แล้วสรุป ก็นี่ไงหลักฐาน ไม่มีปลาวาฬในมหาสมุทร" จากเพจเฟซบุ๊ก สนทนาไซ-ไฟ
ความคิดเห็น