คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Glance
Northern Lights
Chapter 8 : Glance
อากาศไม่ร้อน เย็นและอุ่นกำลังสบาย
คนที่เกิดและเติบโตในประเทศหนาวจัดอาจรู้สึกว่าร้อนเกินไปบ้าง บิลไม่เรื่องมากนัก
เขาปรับตัวได้กับทุกสภาพอากาศ และคุ้นชินกับการเดินทางข้ามโซนเวลาแล้ว
เพราะบินระหว่างอเมริกากับสวีเดนบ่อยครั้ง เขาพอจะรับมือกับอาการเจ็ตแล็กได้ดีขึ้น
แต่วันแรกที่มาถึง เขาตกใจอยู่เหมือนกัน
แม้จะรู้แล้วว่านี่เป็นประเทศเขตโซนร้อนชื้น
แต่การได้เห็นอาทิตย์เจิดจ้าสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม
เป็นเรื่องเซอร์ไพร์สทีเดียว สตลอกโฮล์มในเวลานี้คงจะหนาวเหน็บจนร่างแทบแข็ง
เวลากลางวันสั้นลง กลางคืนยาวนานเหมือนไม่มีวันจบสิ้น
อเล็กซานเดอร์เช่ารถหนึ่งคัน เปิดกูเกิลแมป
ขับพาเขากับวอลเตอร์ไปอำเภอแม่ริมตั้งแต่วันแรก วอลเตอร์มีอาการเมารถ
บวกกับอาการเจ็ตแล็ก เขาต้องแวะอาเจียนข้างทางไปสองรอบ กว่าจะถึงที่พักได้ บิลเกือบคิดว่าต้องพาน้องชายไปโรงพยาบาลแล้ว
วอลเตอร์เข้าไปนอนพักเอาแรงทันที ยังไม่สนใจชื่นชมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
สวยจริงๆ
สวยเหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง ต้นไม้สีเขียวยังมีให้เห็น ทั้งที่เป็นฤดูหนาว
นี่เองคือข้อดีของประเทศโซนร้อน ไม่มีหิมะตก พวกเขาได้เห็นต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปี
ที่พักของพวกเขาเป็นกระโจมสีขาว ตั้งอยู่บนเนินเขา เห็นวิวดีที่สุดเลยก็ว่าได้
หลังจากเห็นความกระด้างของอเมริกามาพักใหญ่ ความสวยงามและอ่อนโยนในบรรยากาศของประเทศไทย
ทำให้บิลรู้สึกว่าได้พักผ่อนจริงๆเสียที อเล็กซานเดอร์สั่งน้ำผลไม้ และเอนกายลงบนเก้าอี้
ชื่นชมทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างสบายใจ บิลดื่มน้ำแตงโมปั่นของเขา รสชาติหวานสดชื่น
พนักงานเสิร์ฟสาวมองพวกเขาอย่างสนใจและเขินอาย ไม่รู้ว่าเธอจำพวกเขาได้หรือเปล่า
อเล็กซานเดอร์ดื่มน้ำ แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะไม้ มองบิลอยู่ครู่หนึ่ง และยื่นบทสนทนา
“เธออยู่เชียงใหม่ใช่ไหม”
คำถามไม่มีที่มาที่ไป แต่บิลรู้ว่าพี่ชายหมายถึงใคร
ใบหน้าใสแฉล้มของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏในความคิด
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ตรงไหนของเชียงใหม่
“ใคร?” บิลยังคงไม่ยอมรับ
ปากแข็งไว้ก่อนเช่นเดิม
อเล็กซานเดอร์ส่งสายตาเอือมระอามาให้เล็กน้อย
แต่เปลี่ยนเป็นหัวเราะเบาๆจากลำคอ “แล้วใครล่ะ?”
“จะรู้ไหมว่าใคร” บิลยียวนกลับ
“เดี๋ยวนี้กล้ากับพี่ชาย”
อเล็กซานเดอร์ชกหมัดเข้าที่ต้นแขนของเขา ไม่หนักมาก แต่ก็แรงพอควร
บิลชกอีกฝ่ายกลับ ตำแหน่งเดียวกัน “จะไม่เล่าให้พี่ฟังเลยหรือ
ถึงขนาดอยากตามเขามาไกลครึ่งโลก ไม่ธรรมดาแล้ว”
จะให้เขาเล่าได้อย่างไร
ในเมื่อไม่มีอะไรให้เล่า เรื่องนี้มันบ้าบอล้วนๆ
เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เพราะเขาไม่ได้เปิดเผยว่าเขาคือใคร
เขาชอบที่เธอยังคุยกับเขาโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปไหม
ที่เขาตามมาถึงที่นี่ เขายังสองจิตสองใจ หากเจอกันแล้ว เขาจะบอกเธอดีหรือไม่
เขาแค่อยากเห็นเธอก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที
อยากรู้ว่าตัวตนจริงๆกับตัวตนในโลกออนไลน์เหมือนกันไหม? หากไม่เหมือน
หากตัวตนบนโลกออนไลน์ของเธอเป็นแค่การหลอกลวง เขาจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามเดิมของเขา
แต่บิลก็ไม่รู้อยู่ดี หากว่าเธอไม่ใช่พวกหลอกลวง
หากทุกอย่างที่เธอแสดงบนนั้นกับตัวจริงของเธอ เหมือนกันทุกอย่าง เขาจะทำอย่างไร
เขาชื่นชอบผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงบนยูทูปที่เล่นกับแมว ร้องเพลงกับอูคูเลเล่
ผู้หญิงบนทวิตเตอร์ ถ้อยคำทุกคำของเธอสะท้อนตัวตน ความน่ารัก ความเป็นธรรมชาติ
ไม่เสริมเติมแต่งใดๆ
“เงียบนานอีกแล้ว
จะไม่เล่าให้ฟังจริงๆใช่ไหมเนี่ย” อเล็กซานเดอร์ถามอีกครั้ง “ตกลงว่าคนไหน
หนึ่งในคนที่พี่ถ่ายเซลฟี่ด้วยแน่ๆ ตัดคนที่เป็นผู้ชายออกไป เหลืออีกสองคน”
อเล็กซานเดอร์หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู เลื่อนหารูปภาพจากเดือนกันยายน
แล้วโชว์ให้บิลดู “แค่จิ้มบอกพี่ก็ได้ว่าคนไหน พี่อยากรู้จะแย่แล้ว”
“ผมจะไปเดินเล่นคนเดียวแล้วนะ”
บิลทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่อเล็กซานเดอร์ดึงแขนเขาไว้
“พี่เดาเองก็ได้”
อเล็กซานเดอร์หรี่ตาลง “พี่รู้แอคเคาท์ทวิตเตอร์ของนาย แล้วรู้ใช่ไหมว่ามันโชว์ความชอบและการตอบกลับได้ด้วยนะ
พี่ว่าพี่พอจะรู้แล้วล่ะว่าคนไหน” บิลยังนั่งนิ่ง
แม้จะเริ่มรู้สึกว่าเบาะนั่งมันฮวบชอบกล
อเล็กซานเดอร์จิ้มนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์ครู่หนึ่ง แล้วหันให้บิลเห็น
หน้าทวิตเตอร์ของโมเนต์โชว์เด่นอยู่บนนั้น เรื่องใส่ใจสอดรู้ไว้ใจพี่อเล็กซานเดอร์ได้เสมอ
เป็นนักสืบโซเชียลขนานแท้ “ล่าสุด เธอทวิตรูปภาพบนม่อนแจ่ม เมื่อเช้านี่เอง
ท่ามกลางดอกทานตะวัน ตกลงคนนี้ใช่ไหม?” อเล็กซานเดอร์จ้องหน้าน้องชาย
“ไม่ต้องมาแสดงปั้นหน้านิ่งใส่พี่ พี่เป็นพี่ชายแก พี่รู้ พี่เห็น”
บิลยังไม่เห็นรูปล่าสุดของเธอ
ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินและนั่งรถมาถึงบนนี้
เขายังไม่มีโอกาสหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู เพราะมัวแต่เป็นห่วงวอลเตอร์
“คุยกับเขานานแค่ไหนแล้ว”
อเล็กซานเดอร์ถามอย่างสนใจ บิลไม่ตอบเหมือนเดิม “ทำไมไม่บอกเขาล่ะว่าเราอยู่นี่
เผื่อจะมาเจอกันไง”
“ผมไปเดินเล่นนะ” บิลตัดบท รีบลุกพรวด
เก็บแขนเก็บมือ ไม่ให้พี่ชายดึงตัวไว้ได้อีก
อเล็กซานเดอร์เห็นท่าทางอย่างนั้นก็ไม่รบกวนน้องชายแล้ว
บิลเดินลงจากระเบียงไม้ไปข้างล่าง อาทิตย์กำลังจะตกดินหายไประหว่างมุมเขา
อากาศเย็นสบายกำลังดีเพราะมีความชื้นในอากาศ เขาเดินไปเรื่อยๆตามทาง
ต้นไม้อยู่สูงเหนือศีรษะเหมือนซุ้มประตู จุดชมวิวอีกแห่งของรีสอร์ทมีม้านั่งบริการ
นักท่องเที่ยวคนอื่นยืนถ่ายรูปกันเต็ม เขานั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง
หันหน้าออกไปยังทิวเขาสีเขียว แสงสีทองอร่ามเต็มท้องฟ้า
บิลหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง และเปิดทวิตเตอร์
โมเนต์ยืนกลางดอกทานตะวัน
เธอสวมหมวกสีขาวกันแดดและเสื้อยืดสีน้ำเงิน สีตัดกับดอกไม้พอดี
สมเป็นจิตรกรผู้ใช้สีอย่างชำนาญ เธอเลือกเสื้อผ้าที่เข้ากับวิวรอบตัว
ในรูปเห็นใบหน้าเธอแค่ครึ่งเดียว เพราะยืนหันข้าง
ข้อความในทวิตบอกว่าพี่ชายเป็นคนถ่ายรูปนี้ให้ บิลกดดูเมนชั่นตอบกลับ
นายมิวสิคมาตอบกลับอีกแล้ว ใช้คำเดิม ชมว่าน่ารัก เธอยังไม่ได้ตอบกลับ
ทั้งที่ผ่านมาทั้งวันแล้ว บิลแปลกใจเล็กน้อย บางทีเธออาจจะเที่ยวเพลิน
และยังไม่ได้เช็คทวิตเตอร์ก็เป็นได้ บิลกดไปที่ข้อความลับ
ข้อความสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ยังอยู่เหมือนเดิม
พวกเขาจบบทสนทนาไว้ก่อนที่บิลจะขึ้นเครื่องบิน ผ่านมาเกือบสองวันแล้ว
บิลยังไม่ได้ตอบกลับไป
“ลงจากเครื่องแล้ว ปลอดภัยดี”
เขาส่งข้อความไปบอก
เขาไม่ได้หวังว่าเธอจะตอบกลับ
ตอนนี้เธออาจจะรับประทานอาหารเย็นกับคนในครอบครัวและยุ่งอยู่ แต่ผ่านไปไม่ถีงนาที เมื่อบิลก้มลงดูหน้าทวิตเตอร์อีกครั้ง
มีแจ้งเตือนว่าเธอตอบกลับ
เธอตอบเขา แต่ไม่ตอบนายมิวสิค
“บินไกลมากเลยนะคะ เมื่อยแย่”
เธอส่งตัวอิโมจิร้องไห้มาข้างๆ
“ผมนั่งเฟิร์สคลาส ไม่เมื่อยมากเท่าไหร่”
เขาตอบกลับ
“โอ้โห ฉันไม่เคยนั่งเฟิร์สคลาสเลยค่ะ
แอร์โฮสเตสชั้นเฟิร์สคลาสสวยไหมคะ” เธอถามอย่างอารมณ์ดี
เขาส่งอิโมจิหัวเราะกลับไป
แล้วพิมพ์ต่อ “ผมเห็นรูปล่าสุด ไปเที่ยว สนุกไหม?”
“สนุกค่ะ แต่วุ่นวายสุดๆ
เพราะมากันทั้งบ้านเลย” บิลจับน้ำเสียงสนุกสนานของเธอได้จากประโยคนั้น
นึกถึงวีดีโอที่เธอบอกว่าจะไปเที่ยวกับที่บ้าน ยิ้มจนดวงตาหายไปหมด ท่าทางดีใจ
รู้ว่าต้องเหนื่อยและวุ่นวาย แต่เธอก็ยังสนุกสนานอยู่ดี
“ผมก็มาเที่ยวกับพี่ชายและน้องชาย”
เขาพิมพ์บอก
“ไปประเทศไหนคะ” เธอถาม
จะตอบอย่างไรเล่าทีนี้
นี่เขากำลังขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ บิลถอนหายใจ ถ้าบอกว่าตอนนี้เขาอยู่เชียงใหม่ เธอจะคิดว่าเขาเป็นสตลอกเกอร์หรือเปล่า
ดูจากการที่เธอไม่ยอมตอบนายมิวสิค บางทีเธอคงไม่ชอบคนที่เข้าหาอย่างรวดเร็วเกินไป
เขาควรจบบทสนทนาไว้แค่นี้ก่อน ทำทีว่ามีธุระสำคัญพอดี หรืออย่างไรดี?
“ไม่อยากตอบ ก็ไม่เป็นไรนะคะ
ฉันเข้าใจค่ะ J” เธอส่งหน้ายิ้มมาด้วย เหมือนไม่คิดอะไรมาก
แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความห่างเหินที่เกิดขึ้น ราวกับมีช่องว่างบางๆกางกั้นทันที
ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ไม่อยากตอบ “ผมมาประเทศไทย”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง “จริงหรือคะ?
อยู่จังหวัดไหน”
แล้วจะยังไงดีล่ะคราวนี้ จะโกหกไปก่อน
หรือความจริงล้วนๆไปเลย
“เอ่อ ฉันต้องไปแล้วค่ะ
ป้าเรียกไปกินข้าว ไว้คุยกันใหม่นะคะ”
โล่งอกไปที
.............................................................
มโนราห์เดินตามป้าจรัส
คุณป้าที่รักของเธอไปยังโต๊ะอาหาร
เมื่อมองเข้าไปที่โต๊ะยาวซึ่งพนักงานนำมาต่อกันนั้น เธอคิดได้อย่างเดียวว่าครอบครัวเธอช่างเป็นครอบครัวใหญ่มากจริงๆ
พี่จอมพี่ชายคนโตร่างเล็กกว่าใครเพื่อน นั่งข้างอาซ้อใหญ่
ถัดไปเป็นลูกชายคนเดียววัยสิบขวบ อีกฝั่งคือพี่จ่างพี่ชายคนกลาง คำว่าจ่าง
มาจากคำว่าบ๊ะจ่าง อาเหล่ากงเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ เขานั่งข้างอาซ้อกลาง พี่จ่างตัวสูงกว่าทุกคนในครอบครัว
แต่อาซ้อกลางดันตัวเล็กที่สุด ถัดมาคือพี่จิน พี่ชายคนเล็กกับอาซ้อเล็ก
สองคนนี้ส่วนสูงไม่ต่างกันมาก อาซ้อเล็กเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ทำงานราชการ
นอกนั้นทำงานบริษัทเอกชนกันทั้งหมด มโนราห์นั่งข้างแม่ของเธอ
ทุกคนกำลังคุยกันเสียงดังระหว่างตักกับข้าวใส่จาน
การไปเที่ยวเป็นคณะใหญ่อย่างนี้
ต้องมีการวางแผนที่ดีทั้งเรื่องสถานที่เที่ยวและที่พัก
มโนราห์กับพี่จินช่วยกันจัดการในเรื่องนี้ มโนราห์ถนัดเรื่องหาร้านอาหารดีๆ
ส่วนพี่จินกับภรรยาหาโรงแรม คืนนี้พวกเขาเปลี่ยนที่พัก
ลงจากแม่ริมมาที่อำเภอเมืองแล้ว
พรุ่งนี้จะเดินเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่และอยู่ยาวไปจนถึงสุดสัปดาห์เพื่อเที่ยวไนท์มาร์เก็ตด้วย
อาซ้อทั้งสามคนชวนกันว่าจะไปนั่งที่สตาร์บัคส์ในวันพรุ่งนี้
หลังกินอาหารเย็นและจ่ายเงินเรียบร้อย
พวกเขาออกมาเดินเล่นบริเวณสระน้ำของโรงแรม ขณะที่แม่กับป้าพาหลานชายไปกินไอศกรีมกันต่อ
อากาศเย็นเกินไปจนไม่มีใครอยากจะลงไปว่ายน้ำ อาซ้อเล็กบอกว่าเตรียมชุดว่ายน้ำมา
แต่กลัวจะเป็นหวัด จึงแค่นั่งเล่นบนเก้าอี้ชายหาดเท่านั้น
มโนราห์ชอบคุยกับอาซ้อทั้งสามของเธอ แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย อาซ้อใหญ่ชื่อขวัญ
เป็นคนขยันและเก็บเงินเก่งที่สุดในบ้าน พื้นเพมาจากจังหวัดเพชรบูรณ์
ทำงานฝ่ายจัดซื้อบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ขณะที่พี่จอมเป็นหัวหน้าแผนก
พวกเขาเจอกันในที่ทำงาน พี่ชายเล่าให้ฟังว่าตามจีบมาตั้งห้าปี คบกันอีกหกปี
กว่าจะได้แต่งงานสมใจ ยากลำบากเหลือเกิน อาซ้อกลางชื่อฟาง เคยทำงานเป็นพริตตี้มาก่อน
รูปร่างเล็กบาง สวยที่สุด ตอนนี้เลิกเป็นพริตตี้รับงานตามมอเตอร์โชว์แล้ว
ผันตัวมาทำงานออฟฟิศ เทรนให้พวกพริตตี้หน้าใหม่แทน
พี่ฟางเจอกับพี่จ่างในงานมอเตอร์โชว์นี่แหละ
ถ้าอยากได้เคล็ดลับความสวยงามหรือเครื่องสำอาง ต้องปรึกษาพี่ฟาง
ส่วนอาซ้อเล็กชื่อน้ำ ก่อนจะสอบบรรจุเป็นข้าราชการ
เคยทำงานบริษัทเดียวกับพี่จินมาก่อน เมื่อออกไปแล้วก็ยังติดต่อกันตลอด
คู่นี้คบกันนานพอสมควร ก่อนจะแต่งงานกัน
บรรดาหนุ่มๆบอกว่าอยากออกไปเที่ยวข้างนอก
พี่ฟางที่เป็นคนง่ายๆสบายๆโบกมือไล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
พี่ขวัญแค่บอกว่าอย่ากลับดึกเกินห้าทุ่ม เพราะลูกชายน่าจะหลับแล้ว
ไม่อยากให้ลูกตื่นเพราะพ่อกลับเข้าห้อง มีแต่พี่น้ำที่ซักถามละเอียดยิบว่าจะไปไหน
ไปร้านอะไร จะทำอะไรบ้าง พี่จอมกับพี่จ่างยืนหลบมุมขำน้องชายกันสองคน
มโนราห์ก็ขำไปด้วยแล้ว ชอบที่ได้เห็นพี่จินคนขี้แกล้งกลัวหัวหด
พี่จินเป็นคนที่ร่าเริงที่สุดและขี้แกล้งมากที่สุดด้วย
สมแล้วที่คนแบบนี้ได้ลงเอยกับผู้หญิงที่นิสัยจริงจัง
มโนราห์จำได้ว่าตอนเด็กๆจะโดนพี่จินแกล้งประจำ ทั้งหลอกเป็นผี
จั๊กจี้เอวจนเธอหัวเราะท้องแข็ง แกล้งตักผักใส่จานเธอจนพูน
สารพัดที่คุณพี่ชายจะหาเรื่องมาให้ปวดหัว พี่จอมจะค่อนข้างดุ ตอนเด็ก
มโนราห์กลัวพี่จอมและไม่กล้าเล่นหัว ส่วนพี่จ่างเป็นเกมเมอร์มาตั้งแต่ยุคเก้าศูนย์
ชอบร้องเพลง เล่นกีตาร์ วาดรูป คูลสุดในบรรดาสามพี่น้อง มโนราห์เล่นกีตาร์ได้เพราะพี่จ่าง
เทคนิคการวาดรูปก็เป็นพี่จ่างที่สอนให้
สุดท้ายพี่จินก็ได้ไปเที่ยวกับพี่ชายอีกสองคน
เมื่อตอบคำถามครบถ้วน ไม่มีจุดให้สงสัยว่าจะแอบวอกแวกออกนอกลู่นอกทาง
ริมสระน้ำเหลือแค่สะใภ้ทั้งสามและมโนราห์
“เมื่อไหร่โมของเราจะมีแฟนสักทีนะ”
พี่ฟางพูดขึ้น พลางลูบศีรษะมโนราห์เหมือนเป็นน้องสาวจริงๆคนหนึ่ง
“พี่ก็อยากเห็นว่าแฟนของโมจะเป็นคนยังไง”
น้ำบอก “อย่าให้เป็นคนบ้าๆบอๆแบบจินก็แล้วกัน”
“พี่ว่าคนแบบจินตลกดี
ไม่รู้สึกเบื่อเลยแน่ๆ” พี่ขวัญแสดงความคิดเห็น
“น้ำอยากให้จินได้นิสัยน่าเคารพสักครึ่งนึงของพี่จอม
ครึ่งเดียว... ไม่สิ เสี้ยวเดียวก็ได้” น้ำพูดไปก็ขำไป ถึงจะพูดอย่างนั้น
แต่ก็ชอบพี่จินที่เป็นพี่จินอยู่ดี
“ถ้ามีคนมาจีบ
บอกพี่เลยนะ โม” พี่ฟางพูดเสียงแข็ง อย่างมั่นใจ “พี่จะดูให้เอง”
“โอ๊ย
ไม่มีหรอกพี่ฟาง” มโนราห์หัวเราะ “โมได้แต่นั่งชอบผู้ชายหน้าจอไปวันๆ”
ความจริงก็คือ
มโนราห์คิดว่าคงไม่สามารถเจอผู้ชายไทยที่ดีได้เหมือนพี่ชายทั้งสามของเธอ
แล้วจะให้เธอไปตามหาที่ประเทศอื่น คงจะเหนื่อยเกินไป
เธออยู่แบบนี้ไม่เสียหายที่ตรงไหน มีแม่ ป้า พี่ชาย พี่สะใภ้ หลานชาย
อีกหน่อยก็คงมีหลานเพิ่มมากขึ้น เธออยู่ได้ ไม่เหงาแน่
ถ้าหลานๆรู้สึกว่าเธอเป็นภาระ เธอจะเตรียมตัวเก็บเงินไว้ให้เป็นมรดก
พวกหลานไม่ต้องทำอะไรมาก แค่พาเธอไปโรงพยาบาลตอนป่วย
หรือเธออาจจะเก็บไว้ไปอยู่บ้านพักคนชราที่โอเคหน่อย หาเพื่อนวัยเดียวกัน
จะได้ไม่เหงา มโนราห์คิดไปถึงขั้นนั้นแล้ว แม้อายุเพิ่งจะยี่สิบห้าเอง
ประมาณสามทุ่มกว่า
พวกเธอแยกย้ายกันกลับขึ้นห้องพัก มโนราห์อยู่ห้องเดียวกับแม่และป้า แม่บอกว่าคืนนี้ป้าให้หลานชายมานอนด้วย
พี่จอมกับพี่ขวัญจะได้มีเวลาส่วนตัวร่วมกัน
มโนราห์จึงเล่นเกมโทรศัพท์กับหลานจนถึงสี่ทุ่ม จนป้าไล่ให้หลานชายไปนอนสักที
เธอจึงเลิกเล่น ปิดไฟ หลานนอนเตียงเดียวกับป้า และเธอนอนกับแม่
ทุกคนเริ่มหลับกันหมด เหลือแค่เธอคนเดียว มโนราห์นอนดึกจนชินแล้ว
เวลาสี่ทุ่มสำหรับเธอเหมือนเพิ่งหัวค่ำ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู เธอสงสัยว่าคุณไวล์ดสการ์อยู่จังหวัดใด
เหมือนเขาจะไม่อยากบอกนัก เธอคิดว่าไม่ซักถามเพิ่มเติมจะดีกว่า
ไม่รู้ทำไม
แต่เธอชอบคุยกับเขา เขาไม่มีท่าทีคุกคาม ไม่มีคำพูดประหลาด เขาสุภาพ แต่มีความเป็นกันเอง
เขาคุยกับเธอเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เธออยากมีเพื่อนชาวต่างชาติมาตลอด
เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ต่างๆ สมัยเรียนปีสุดท้าย
มีนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากเยอรมันมาคนหนึ่ง
เธอกับแก้วเคยคุยด้วยและพาไปเที่ยวรอบๆมหาวิทยาลัย แต่พอเรียนจบก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก
น่าเสียดาย เธอจำได้ว่าเพื่อนเยอรมันคนนั้นซื้อชานมไข่มุกกินทุกวัน
โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถหาซื้อได้ที่เยอรมัน
เพราะคนเยอรมันเชื่อกันว่ามันมีสารก่อมะเร็ง
มโนราห์ไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริง
แต่เธอกับแก้วหัวเราะกันทุกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ และมักจะตั้งข้อสงสัยว่าตั้งแต่เขากลับประเทศไป
จะคิดถึงชานมไข่มุกมากที่สุดแน่ๆ
เธอกดเข้าไปดูแอคเคาท์
WildScar อีกครั้ง จะเรียกว่าส่องก็คงใช่
เขาไม่มีความเคลื่อนไหวบนหน้าทวิตแม้แต่น้อย สิ่งที่รีทวิตล่าสุดคือสัปดาห์ที่แล้ว
เป็นข่าวการเมืองภาษาสเวนกา หรือภาษาของคนสวีเดน ต้องเป็นคนจริงจังเบอร์ไหน
ถึงไม่เคยทวิตบ่นอะไรเลยสักอย่าง หรือว่าเขาจะอายุสี่สิบแล้วนะ
มโนราห์คาดเดาเอาเอง ดูอย่างพี่จอม พี่ชายคนโตของเธอสิ
รายนี้ก็อายุใกล้จะสี่สิบแล้ว มีเฟซบุ๊กไว้อย่างนั้น ไม่เคยโพสข้อความใดเลย
นานๆทีจะลงรูปครอบครัวสักครั้ง หรือว่าเขาจะอายุหกสิบแล้ว เป็นชายวัยเกษียณ
เพราะอย่างนี้ถึงดูสุภาพ ชอบข่าวการเมือง
ที่ชอบมูมินน่าจะเป็นเพราะเล่านิทานให้หลานๆฟังบ่อย
เกษียณแล้วจึงมีเงินมาเที่ยวต่างทวีป แถมนั่งเฟิร์สคลาสอีก น่าจะเป็นไปได้ หญิงสาวพลิกตัวนอนตะแคง
กดปิดหน้าจอโทรศัพท์และวางไว้บนโต๊ะ เธอหยุดคิดวุ่นวายและเข้านอน
มโนราห์ตื่นตอนเจ็ดโมงสิบห้านาที
แม่กับป้าตื่นสักพักหนึ่งแล้ว ทั้งคู่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
พร้อมจะลงไปกินอาหารเช้า
มโนราห์เดินเข้าห้องน้ำตอนที่ป้าเดินไปปลุกหลานชายจอมขี้เซา
เช้านี้อากาศดีเหมือนเดิม
ทุกคนเจอกันที่ห้องอาหาร ตักอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์มากินจนอิ่ม
แล้วพากันออกไปเดินเล่นบนถนนแถวนิมมาน
พวกเขาพาแม่กับป้าไปตระเวนไหว้พระจนถึงเที่ยง แดดเริ่มแรงมากขึ้น
จึงล่าถอยเข้ามาในร้านกาแฟที่หาเจอแถวนั้น เมื่อพักและพูดคุยเล่นกันจนหายเหนื่อย
ช่วงบ่ายจึงแบ่งเป็นสองทีม หนุ่มๆจะพาผู้สูงวัยนั่งรถไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์
ส่วนผู้หญิงทั้งสี่จะนั่งรถไปเที่ยวแถวท่าแพ พี่ฟางอยากซื้อกาแฟสตาร์บัคส์ที่ท่าแพ
พี่ขวัญและพี่น้ำอยากไปเดินดูร้านค้าแถวนั้น
มโนราห์อยากถ่ายรูปสวยเก๋ให้อาซ้อทั้งสามของเธอ
เมื่อตกลงกันได้แล้วพวกเขาจึงเดินแยกกัน
สตาร์บัคส์สาขาท่าแพเป็นอาคารสูงสามชั้น
พี่ฟางเห็นแล้วชอบใจน่าดู ทั้งสี่คนสั่งเครื่องดื่มคนละอย่าง มโนราห์ไม่ใช่คอกาแฟ
ถ้าไม่ง่วงและเพลียมากจริงๆ เธอจะไม่สั่งกาแฟ วันนี้เธอกินชอคโกแลตชิพ
เมนูสุดแสนธรรมดาของสตาร์บัคส์ ขณะที่พี่ฟางสั่งนู่นนี่นั่นเพิ่มเต็มไปหมด
พวกเธอเดินขึ้นไปนั่งบนชั้นสาม มุมนี้มองเห็นประตูท่าแพได้อย่างชัดเจน
แสงสาดเข้ามาผ่านหน้าต่าง ถ่ายรูปออกมาคงสวยดี มโนราห์หยิบโทรศัพท์
วางแก้วสตาร์บัคส์ทั้งสี่แก้วลงบนโต๊ะ และถ่ายรูปไว้ก่อน
จากนั้นจึงถ่ายรูปให้พี่สะใภ้ทีละคนในมุมต่างๆกัน พวกเธอนั่งล้อมวงที่โต๊ะ
เริ่มกินขนมที่สั่งมา
ช่างเป็นวันที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
..............................................
พี่น้องสการ์สการ์ดทั้งสามเดินข้ามถนน
หลังจากเดินเล่นที่ประตูท่าแพแล้ว อเล็กซานเดอร์บ่นว่าหิวน้ำ
จึงชวนน้องชายทั้งสองคนมาที่สตาร์บัคส์ซึ่งอยู่อีกฝั่งของถนน บิลกำลังอยากได้กาแฟเข้มๆ
เมื่อเช้าอเล็กซานเดอร์ปลุกเขาตั้งแต่ยังไม่หกโมงดี ไปดูสวนดอกไม้และหมอกยามเช้า
กินอาหาร เช็คเอาท์จากรีสอร์ท และพาเขานั่งรถลงจากแม่ริมตั้งแต่สิบโมง
ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงอำเภอเมือง เช็คอินท์อีกโรงแรม
แล้วลากพวกเขาออกมาเดินเล่นต่อ วอลเตอร์อาการดีขึ้นมาก
กลับมาสดใสและใจพร้อมท่องเที่ยว อยากเดินให้ทั่วเมืองถ้าเป็นไปได้
มีแต่บิลเท่านั้นที่ค่อนข้างโงนเงนและงอแง อุตส่าห์ได้มาเที่ยวพักผ่อน แต่ต้องตื่นเช้าตรู่ไม่ต่างจากตอนไปทำงานเลย
ใบหน้าของเขาจึงค่อนข้างไม่สบอารมณ์
“ผมเลี้ยงกาแฟพี่แล้วกัน
จะได้อารมณ์ดี” วอลเตอร์ฉีกยิ้มกว้าง แกล้งหยอกพี่ชาย
“เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้นอน”
อเล็กซานเดอร์บอก “นายก็นอนทุกคืนอยู่แล้ว ตื่นเช้าวันเดียว จะเป็นอะไรไป
พรุ่งนี้นายนอนยันเที่ยงไปเลย พี่จะไม่กวน”
“พูดจริงนะ?” บิลชี้หน้าพี่ชาย
“ไม่มีทาง” วอลเตอร์ส่ายหน้ารัว “พี่อเล็กซ์ตื่นก่อนหกโมงชัวร์
และต้องปลุกพวกเรามาอยู่เป็นเพื่อน”
“พี่รู้ไหมว่ามีแต่คนแก่ที่จะตื่นเช้าขนาดนั้นด้วยตัวเอง”
บิลถาม ขณะเดินผ่านประตูเข้าไปในร้าน ผู้ชายร่างสูงทั้งสามคนย่อมเป็นที่จับตามอง
แต่พวกเขาแต่งตัวแบบนักท่องเที่ยวธรรมดา วอลเตอร์สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น
อเล็กซานเดอร์ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงลายพิมพ์รูปช้างของไทย
เขาซื้อจากรีสอร์ทเมื่อวาน และบิลใส่เสื้อลายพิมพ์ใบไม้กับกางเกงขาสั้นสีดำสบายๆเช่นกัน
หน้าตาไม่ได้แต่งเติม จึงดูธรรมดา ไม่มีออร่านักแสดงเหมือนเวลาออกงานเดินพรมแดง
“อเมริกาโนหนึ่งแก้วครับ”
วอลเตอร์พูดแล้วชี้ที่เมนูให้พนักงานเห็น “ส่วนของผม คาราเมลแฟรปปูชิโน่
พี่อเล็กซ์จะเอาอะไร”
อเล็กซานเดอร์ที่กำลังเถียงกับบิลจึงหยุดพูดก่อนและหันไปสั่งเครื่องดื่ม
วอลเตอร์จ่ายเงิน เลี้ยงพี่ชายทั้งสองคน เมื่อได้เครื่องดื่มครบแล้ว
วอลเตอร์ชวนขึ้นไปนั่งข้างบน แทนที่จะออกไปเลย ตอนนี้แดดยังร้อน
พวกเขาควรหลบอยู่ข้างในก่อน อเล็กซานเดอร์กับบิลเห็นด้วยจึงเดินตามวอลเตอร์ขึ้นไปด้านบน
ร้านสตาร์บัคส์สาขานี้มีถึงสามชั้น พวกเขาเลือกเดินไปจนถึงชั้นบนสุด
คิดว่าคงเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองสวยไปอีกแบบ
บิลขึ้นบันไดมาเป็นคนสุดท้าย
แสงแดดยามบ่ายแก่ๆส่องผ่านหน้าต่างกว้าง ด้านบนมีคนไม่เยอะนัก พอจะมีที่นั่งเหลือ
สายตาของเขาตกกระทบที่โต๊ะตัวหนึ่ง มีผู้หญิงนั่งอยู่ถึงสี่คน
พวกเธอเสียงดังที่สุด กำลังหัวเราะขำขันอะไรสักอย่าง หนึ่งในนั้น บิลจำได้
เขาจำได้ทันทีที่เห็น เสื้อยืดสีเหลือง กางเกงยีน ผมสีดำมัดเป็นหางม้า
หน้าผากเกลี้ยงเกลา ยิ้มหรือหัวเราะที ดวงตาเล็กหยีหายไปหมดเลย
เธอยังหัวเราะค้างอยู่ตอนที่ดวงตาเลื่อนชำเลืองมองมาทางเขาอย่างเชื่องช้า
วินาทีนั้น เหมือนเธอกำลังยิ้มให้เขา พลันรอยยิ้มค่อยๆหายไป
ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างขึ้น เหมือนเธอจะรู้ว่าเขาคือใครและผู้ชายที่มาด้วยอีกสองคนคือใคร
แต่มีความไม่แน่ใจในแววตา ปนไปกับความประหลาดใจ และคล้ายจะช็อคนิดๆ
ผู้หญิงอีกสามคนที่นั่งด้วยกัน
สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ และมองตามสายตาของเธอ
“พวกพี่ไม่มานั่งหรือ?” วอลเตอร์เรียก
เมื่อหันไปเห็นว่าทั้งอเล็กซานเดอร์และบิลยังยืนที่เดิม ไม่ขยับ
อเล็กซานเดอร์ยิ้มกริ่มมองบิลสลับกับผู้หญิงอีกโต๊ะหนึ่ง
นานเป็นนาทีที่ต่างคนต่างมอง
จนคนที่อยู่ด้วยงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
อเล็กซานเดอร์คิดว่า งานนี้ เขาต้องช่วยน้องชาย
ไม่อย่างนั้นน้องคงยืนบื้ออย่างนี้ไปอีกพักใหญ่
ทางด้านฝ่ายหญิงก็เหมือนจะช็อคไปแล้ว พี่คนโตของสการ์สการ์ดเดินลิ่วไปที่โต๊ะก่อนใคร
“ผมจำคุณได้”
เขาเอ่ยทักผู้หญิงที่ใส่เสื้อยืดสีเหลือง “งานนิทรรศการศิลปะระหว่างประเทศ
สตลอกโฮล์ม”
“เอ่อ...” เธอกระพริบตารัว “ค่ะ”
“บังเอิญจังเลยนะครับ”
อเล็กซานเดอร์บอก เธอขยับตัวและลุกขึ้นยืน ริมฝีปากคลี่ยิ้ม
“ค่ะ” เธอมีท่าทางตื่นเต้น คำพูดทั้งหลายวิ่งวนในหัว
แต่ไม่อาจเอาออกมาได้
“ผมมาเที่ยวกับน้องชาย บิล
วอลเตอร์” อเล็กซานเดอร์หันไปเรียกน้องชายให้เดินมาหา
ผู้หญิงอีกสามคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเธอต่างยืนขึ้นบ้างตามมารยาท
“พี่สะใภ้ของฉันทั้งหมดเลยค่ะ
เรามาเที่ยวเหมือนกัน” เธอบอก แล้วหันไปพูดภาษาไทยกับพี่ๆ
น่าจะอธิบายให้ฟังว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง
“คุณคือพี่ชายของนักแสดงที่เล่นเป็นตัวตลกในหนังผีเรื่องนั้นใช่ไหมคะ?”
น้ำ เป็นพี่สะใภ้คนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษได้ เธอจึงไม่พลาดโอกาสที่จะยื่นบทสนทนา
“ครับ” อเล็กซานเดอร์พยักหน้า “ผมบังเอิญพาตัวตลกมาด้วย”
เขาดึงตัวบิลมาข้างๆ เหวี่ยงแขนโอบไหล่ไว้ไม่ให้หนีไปไหน
“ไม่มีใครกล้าดูหนังเลยค่ะ
มีแค่โมคนเดียวที่กล้าดู” น้ำบอก ยิ้มกว้าง ชี้นิ้วโป้งไปทางน้องสามี
“ผมเข้าใจครับ หนังน่ากลัวมาก”
อเล็กซานเดอร์หัวเราะ
“ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”
น้ำเอ่ยขออนุญาต หลังจากพี่สะใภ้อีกสองคนสะกิดและพูดภาษาไทยอย่างตื่นเต้น
“ได้ครับ มาเลย”
อเล็กซานเดอร์พูดอย่างใจดี
บิลไม่มีปัญหาเรื่องถ่ายรูปกับแฟนคลับ ไม่เคยมีปัญหามาก่อน
กระทั่งตอนนี้ เขาเก้กังไปหมด ไม่รู้จะยืนตำแหน่งใดในเฟรมภาพที่มีคนเยอะขนาดนี้
แล้วท่าไหนไม่รู้ อเล็กซานเดอร์เรียกโมเนต์มายืนตรงกลาง อยู่ถัดจากบิลพอดี ไอ้พี่ตัวร้าย
จอมวางแผน พวกเธอผลัดกันถ่ายรูปเดี่ยวเมื่อถ่ายรูปกลุ่มไปเรียบร้อยแล้ว
พี่สะใภ้ทั้งสามคนของเธอกล่าวขอบคุณ
“คุณมโนราห์ ผมออกเสียงชื่อคุณถูกไหม?”
อเล็กซานเดอร์ถามอย่างไม่มั่นใจ
“ถูกต้องค่ะ” เธอบอก
“คุณยังรับวาดรูปไหมครับ” เขาถามต่อ
และเธอพยักหน้า “ผมชอบงานคุณ ตั้งแต่เห็นที่นิทรรศการแล้ว
จะเป็นไปได้ไหมครับถ้าผมจ้างคุณวาดรูป”
“รูปแนวไหนคะ” เธอถาม น้ำเสียงเรียบ
แต่ดวงตาของเธอบอกหมดแล้วว่าทั้งแปลกใจ ไม่อยากเชื่อ และยังช็อคอยู่เหมือนเดิม
“รูปน้องชายผมครับ ผมอยากได้ลายเส้นและสีสันแบบงานของคุณ”
TALK
เขาคลาดกันที่ม่อนแจ่มวันเดียว แต่ก็เจอกันที่ท่าแพนะคะ เจอกัน แต่ยังไม่ได้พูดกันสักคำ แค่ชำเลืองมอง
ปรบมือให้ มือชงอันดับหนึ่งในบ้านสการ์สการ์ด หน่อย
ไม่ทักกันใช่ไหม ได้... พี่ทักเอง
ไม่รู้จะคุยไรกันใช่ไหม ได้.... พี่คุยเอง
ไม่รู้จะสานสัมพันธ์ยังไงใช่ไหม ได้.... พี่สานเอง
น้องวอลเตอร์ยืนงงประกอบฉาก พร้อมกับบรรดาพี่สะใภ้ทั้งสาม 555
มาถึงตรงนี้แล้ว อาจมีคนสงสัย นี่เอาตัวเองมาเป็นนางเอกเลยรึเปล่า
จุดที่น้องมโนมีเหมือนฉัน คือ 2 เรื่องค่ะ
1. ครอบครัว (แต่ฉันยังไม่พี่สะใภ้ไม่ครบ 3 คน และพี่ชายจริงๆของฉันไม่น่ารักแบบนี้)
2. ความชอบ เราชอบพี่บิลเหมือนกันไงคะ 5555+
นอกนั้น ก็ไม่เหมือนแล้วค่ะ รูปร่างหน้าตาเอย ร้องเพลงเอย เล่นกีตาร์ อูคูเลเล่ หรือวาดรูป ไม่เหมือนฉันเลยจ้า
นิสัยบางส่วนอาจเหมือนบ้างค่ะ แต่ก็ไม่ทั้งหมด
ความคิดเห็น