ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Notorious [Tom Riddle & OC]

    ลำดับตอนที่ #8 : An enigma

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 62



    Notorious [Tom Riddle & OC]

    Chapter 8 : An enigma







                เพราะเธออาจเป็นคนเดียวที่เปลี่ยนใจเขาได้



                ปากกาขนนกที่กำลังขีดเขียนหยุดชะงักกลางคัน เมื่อความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องแวบผ่านในสมอง เด็กสาวผมดำหลับตาและส่ายศีรษะเบาๆ กลับมาจดจ่อกับการจดบันทึกคำบรรยายของศาสตราจารย์บินส์ วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เป็นชั่วโมงที่เด็กนักเรียนพากันหลับอย่างตั้งใจ แต่จูปิเตอร์หลับหรือทำอย่างอื่นในห้องเรียนวิชานี้ไม่ได้อีกแล้ว เธอไม่มีเพื่อนอีกสองคนที่คอยผลัดกันจดอีกต่อไป เธอจึงต้องตั้งใจฟัง จด และทำความเข้าใจเองทั้งหมด ชีวิตอยู่ยากขึ้นเยอะ เมื่อไม่มีเพื่อนสนิท การจะหาเพื่อนสักคนในเวลาอย่างนี้เป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป หากเธอดึงคนอื่นเข้ามาอีก โดยที่ข้อตกลงกับทอม ริดเดิ้ลยังไม่สมบูรณ์เรียบร้อย เธออาจะทำให้คนๆนั้นมีอันตราย ดังนั้น เพื่อตัดปัญหา จูปิเตอร์ยอมทน และเธอทนได้ ให้คนอื่นเข้าใจว่าเธอยังไม่พร้อมจะผูกมิตรใหม่ หลังถูกเพื่อนหักหลัง จะสะดวกกว่า



                ตอนนี้ เบื้องหน้าของเธอ มีเป้าหมายเดียวคือ หลุดพ้นจากริดเดิ้ลไปให้ได้อย่างถาวร แม้จะต้องร่วมหัวจมท้ายขโมยของจากเรเวนคลอมาก็ตาม เธอไม่สนใจว่าเขาจะเอารัดเกล้านั่นไปทำอะไร เธอไม่ใช่คนดีมากพอจะเป็นวีรสตรี หยุดการกระทำเลวๆของพวกวายร้าย เธอแค่อยากรักษาคอตัวเองให้รอด และคอของพี่ชายคนโตด้วย ส่วนมาร์ส เขาเลือกทางเดินของตัวเองที่จะเข้าไปพัวพันกับคนพรรค์นั้น เธอช่วยอะไรเขาไม่ได้ และด้วยความสัตย์จริง หลังจากที่มาร์สปั่นหัวเธอเล่น เธอไม่อยากคุยกับเขาอีกเลย



                คำพูดของเฮเลน่า เรเวนคลอ คลุมเครือและเป็นปริศนา นอกจากประโยคประหลาดนั้น ยังมีกลอนบทหนึ่งที่ต้องถอดความด้วย จูปิเตอร์ค่อนข้างมั่นใจว่าหากถอดความบทนั้นได้ เธอจะรู้ว่าห้องลับของเรเวนคลออยู่จุดใดของปราสาท แค่ตอนนี้เธอยังคิดไม่ออกเท่านั้น เด็กสาวขยี้ตาที่เมื่อยล้า จัดประวัติศาสตร์เวทมนตร์อยู่คาบบ่ายวันจันทร์ เหมือนจะฆ่านักเรียนปีห้าอย่างเธอให้ตาย เมื่อออดหมดเวลาดัง เธอก้มลงมองกระดาษจดโน้ต มีบางจุดที่เธอเขียนขยุกขยุยอ่านไม่ออก จำเป็นต้องใช้คาถาช่วยเรียงตัวอักษรใหม่



                เรียงตัวอักษรใหม่ จริงด้วยสิ! กลอนปริศนาที่ได้รับจากเฮเลน่าก่อนนางจะลอยหายเข้ากำแพงปราสาท อาจต้องใช้วิธีนี้ในการถอดความ คิดได้ดังนั้น เธอลุกพรวดพราด กวาดของใส่กระเป๋า หมุนตัวขวับ และเกือบจะชนกับอาร์ทิมิส มักมิลลันเข้าอย่างจังแล้ว



                “ขอโทษ” เขารีบพูดก่อนทันที คว้าข้อศอกของเธอไว้ทัน ช่วยไม่ให้หงายหลังชนโต๊ะนักเรียน



                “ฉันต่างหาก ไม่ทันมอง ขอโทษที” จูปิเตอร์บอก เมื่อเห็นว่าอาร์ทิมิสไม่หลบ เธอจึงถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”



                อาร์ทิมิสอ้ำอึ้งพักหนึ่ง สูดลมหายใจแล้วพูด “ขอยืมสมุดจดได้ไหม?”



                จูปิเตอร์กระพริบตาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คิ้วพลันขยับมาชนกัน แต่เธอยิ้มนิดๆ “พรีเฟ็คบ้านเรเวนคลอแอบหลับในห้องเรียนหรือนี่?”



                อาร์ทิมิสยกมือขึ้นเกาหลังคออย่างขวยเขิน แก้มของเขากลายเป็นสีชมพู จูปิเตอร์คิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนน่ารัก เขาดีและคุยได้กับทุกคนในชั้นปี และเธอรู้ด้วยว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ มีข่าวหลุดรอดออกไปเมื่อปีก่อน อาจจะเป็นพวกเพื่อนผู้ชายในกลุ่มของเขาที่แกล้งหยอกเล่น พูดเสียงดังเกินไปบนทางเดิน คนที่บังเอิญได้ยินพูดกันปากต่อปาก กลายเป็นข่าวลือที่ดันมีมูลความจริง อาร์ทิมิสเป็นเด็กขี้อายหน่อยๆ เขาไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากขนาดนั้น เจอเธอทีไรก็ออกอาการเล็กน้อยให้จับได้ทุกที จูปิเตอร์ไม่เคยพูดออกความเห็นใดๆ เพื่อรักษาหน้าของเขา และคงความเป็นเพื่อนร่วมชั้นต่อไป



                “ฉันต้องลาดตระเวนปราสาทเมื่อคืนกับพรีเฟ็คของกริฟฟินดอร์ กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสอง” อาร์ทิมิสบอก



                “พอจะเข้าใจได้ทำไมเลือกหลับในคาบนี้” จูปิเตอร์พยักหน้า พวกเขาทั้งคู่เดินออกจากห้องเรียนพร้อมกัน และลงบันไดไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อกินอาหารเย็น เธอหยิบสมุดบันทึกวิชาประวัติศาสตร์ออกจากกระเป๋า และยื่นให้เขาพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรใจดี “ไว้มาคืนตอนสุดสัปดาห์ก็ได้นะ”



                “ขอบคุณมาก” อาร์ทิมิสยิ้มกว้าง รับสมุดเก็บใส่กระเป๋าของตน เขามีท่าทีลังเลครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจพูด “จูปิเตอร์ ฉันเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนะ ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ เรื่องโรซาลินด์...”



                “ฉันคิดว่าควรจะให้เวลาเธอ” จูปิเตอร์บอก ดวงตาสีเข้มมองตรงไปยังศีรษะด้านหลังของโรซาลินด์ที่เดินห่างออกไปมากกว่าสิบก้าว “ถ้าฉันเป็นเธอ ก็ต้องรู้สึกผิดมาก ทำใจยาก ทำตัวไม่ถูก เข้าหน้าไม่ติด คิดว่าทุกอย่างกลับมาเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว ฉันเองก็ยังรู้สึกแย่” เธอไม่ได้บอกออกไปทั้งหมดว่าเธอรู้สึกยังไง หลังจากลงไปเที่ยวในทะเลสาบโดยไม่เต็มใจ ทุกคืน เมื่อหลับตา เธอยังเห็นภาพของน้ำ เห็นใบหน้าของโรซาลินด์และเพเนโลพีขณะลากเธอลงไป ผิวหนังของเธอพลันเย็นเฉียบเหมือนเลือดหยุดไหลเวียน เธอต้องงอตัวเหมือนกุ้ง มือกำผ้าห่ม มองเข้าไปในเปลวไฟที่เตาผิง เพื่อเตือนตัวเองว่าเธอไม่ได้อยู่ใต้ทะเลสาบ



                “ฉันเข้าใจ” อาร์ทิมิสพูดอย่างปลอบโยนมากกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของเธอจริงๆ “ฉันเป็นเพื่อนของเธอได้นะ จูปิเตอร์ ถ้าเธออนุญาต”



                จูปิเตอร์พ่นลมทางจมูกแล้วหลุดขำ “เราก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้วนี่ อาร์ทิมิส”



                เมื่อเห็นเด็กสาวหัวเราะ เขาก็หัวเราะแก้เคอะเขิน “จริงด้วยสิ”



                ดวงตาของทอม ริดเดิ้ลมองตามเด็กหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เพิ่งเดินไปยังโต๊ะยาวบ้านเรเวนคลอ จากที่กำลังพูดเรื่องสำคัญกับแอแบรกซัส เขาหยุดพูดไปกลางคัน เพื่อนในกลุ่มรับรู้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาได้ทันที เพราะเห็นแววตาพลันไม่เป็นมิตร เย็นชา และไม่พอใจอย่างรุนแรง จนน่ากลัว มือของเด็กหนุ่มถือถั่ววอลนัทค้างไว้ และตอนนี้เปลือกถั่วแหลกคามือไปแล้ว แอแบรกซัสได้แต่มองถั่วเม็ดนั้นอย่างเสียดายที่มันต้องกลายเป็นผุยผง แทนที่จะมาอยู่ในท้องของเขามากกว่า ฟินิกซ์หยิบถั่วอีกเม็ดยื่นให้เจ้านายเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกคนในกลุ่มของเขาหยุดกินอาหาร พลางหันมองหาต้นเหตุ โอไรออนเลิกคิ้วสูง แสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา เขาอยากให้ริดเดิ้ลโกรธยัยนั่นมากกว่านี้อีก โกรธเยอะๆยิ่งดี เขาไม่ชอบบทบาทที่ต้องเล่นในห้องพยาบาลนั้นเลย แกล้งวางไม้กายสิทธิ์ล่อให้หล่อนคว้าไปง่ายๆ เขาคิดว่าถ้าหล่อนหยิบไม้ได้ จะวิ่งหนีไป อย่างที่ริดเดิ้ลคาดการณ์และต้องการให้เป็น แต่ยัยนั่นดันสาปให้เขานอนแข็งทื่อยันเช้า นี่มันหยามศักดิ์ศรีของสุภาพบุรุษตระกูลแบล็กชัดๆ เขาไม่กล้าเล่าให้ใครหน้าไหนฟังเลยจริงๆ  



                “ทำไมไม่เดินไปตรงนั้นเลยเล่า มองให้ตาย เขาก็ไม่รู้ตัว” ฟินิกซ์พูดจี้จุดได้อย่างน่าถีบ



                อีวาน น็อต และจานัส เอเวอรี่มองหน้ากัน แล้วกลอกตาเช่นเคย เรื่องอย่างนี้พวกเขาจะไม่ยุ่ง ไม่กล้าสอด มีแค่เลสแตรงก์ แบล็ก และมัลฟอยที่สามารถสะกิดได้เจ็บๆอย่างนั้น แอตลาส โรซิเออร์ไม่คิดจะพูดอะไรอยู่แล้ว เขายังเคืองที่ต้องปล่อยเมอร์คิวรีให้ลอยหน้าลอยตาในตำแหน่งกัปตันทีมควิดดิชของสลิธีรินต่อไป ถ้าเขางอนริดเดิ้ลได้ล่ะก็ เขาคงจะงอนนั่นแหละ ทางด้านมาร์ส เป็นผู้ติดตามที่ไม่กล้ามีปากเสียง ได้แต่นั่งร้อนๆหนาวๆแทนน้องสาวฝาแฝด จะเดินหัวเราะคุยเล่นมากับใครก็ได้ทั้งนั้น ทำไมต้องเป็นอาร์ทิมิส มักมิลลัน คนที่ริดเดิ้ลไม่ถูกชะตา



                “ไอ้มักมิลลัน ยังตามติดชายกระโปรงของจูปิเตอร์ไม่เลิกอีกเรอะ” โอไรออนพูดอย่างสมเพชเวทนา



                “เพราะมันอยากถอดกระโปรงเธอไงเล่า” แอแบรกซัสพูดอย่างคึกคะนอง



                “นายคิดว่า พอมันได้ถอดกระโปรงนั่นแล้ว จะเลิกติด หรือติดหนักกว่าเก่า?” โอไรออนถามเสียงกลั้วหัวเราะ



                “ฉันว่านายต้องไปลองเอง เพื่อน จะได้รู้ว่าใต้นั้นมีอะไรเด็ดน่าติดแค่ไหน” แอแบรกซัสหัวเราะหึๆ “เห็นด้วยไหมพะย่ะค่ะ ยัวร์ไฮเนส” เด็กหนุ่มผมทองหันมาหาบุคคลที่เขาเทิดทูนแต่ชอบกระตุกต่อมโมโห



                ทอม ริดเดิ้ลยิ้มมุมปาก แกะวอลนัทที่ฟินิกซ์ส่งให้อย่างเบามือใจเย็น “ถ้านังนั่นหารัดเกล้าเรเวนคลอไม่สำเร็จ พวกแกได้เวียนกันลองแน่” คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจมาจากเด็กหนุ่มทั้งกลุ่ม ดวงตาของโอไรออนเป็นประกายอย่างกระเหี้ยนกระหือรือมากกว่าเพื่อน ขณะที่มาร์สมีเหงื่อไหลย้อยจากหน้าผาก



                ทอมไม่ได้แสดงออกอย่างที่เขากำลังรู้สึก เขาวางท่าเป็นใจเย็น พูดจาอย่างนั้นเหมือนไม่สนใจ ทั้งที่เขากำลังโกรธ กองไฟมหึมาลุกท่วมในใจ นั่นมันผู้หญิงของเขา เขาจับจองไว้ก่อน ไอ้พรีเฟ็คโง่งมนั่นไม่มีสิทธิ์คุยกับเธอ มองเธอ หัวเราะกับเธอ ตีสนิทเธอ เป็นเพื่อนกับเธอ มันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเดินข้างเธอ เดินตามหลัง เดินนำหน้า นั่งกินอาหารเย็นด้วยกัน ไม่มีสิทธิ์หายใจอยู่ใกล้เธอด้วย! จูปิเตอร์ควรจะอยู่ตรงนี้ นั่งกับพื้น อยู่ใกล้เท้าทั้งสองข้างของเขา อ้อนวอนให้เขาเมตตา เป็นตุ๊กตาที่เขาจะสั่งให้นั่ง ยืน เดิน นอน หรือทำอะไรก็ได้ตามที่เขาประสงค์






                หลังมื้อเย็นจบลง เขาไม่ได้กลับห้องนั่งเล่นรวมบ้านสลิธีรินทันที แต่ออกคำสั่งให้พวกนั้นกลับไปก่อน ส่วนตัวเองเดินไปที่ห้องสมุด มีหนังสือบางเล่มในเขตหวงห้ามที่เขาอยากอ่าน ต้องขอบคุณศาสตราจารย์ซลักฮอร์นที่เซ็นใบอนุญาตให้เขาเลือกหนังสือในเขตหวงห้ามได้ตามใจชอบ ไม่มีนักเรียนคนใดจะได้รับอภิสิทธิ์มากเท่านี้ แต่ต่อให้ไม่มีลายเซ็นอนุญาต เขาก็สามารถออกคำสั่งกับมาดามผู้ดูแลห้องสมุดได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว เขาแค่ขี้เกียจยุ่งกับยัยแก่หนังเหี่ยวใกล้ตายคาหนังสือนั่น เขาได้หนังสือที่ต้องการหลังจากบอกชื่อหนังสือกับบรรณารักษ์ และหาที่อ่านในมุมสงบ ข้างหน้าต่างบริเวณที่ไม่มีใครมารบกวน เด็กนักเรียนคนอื่นนั่งกันเป็นกลุ่ม ทำการบ้าน เขียนเรียงความ และปรึกษาหารือด้วยเสียงกระซิบ ทอมกำลังเปิดหนังสือไปอ่านบทที่ห้าซึ่งเป็นหัวข้อที่เขาสนใจ ตอนที่ได้ยินเสียงก๊อกๆที่หน้าต่าง นกฮูกตาโตขนสีน้ำตาลใช้จงอยปากเคาะกระจก เขาจำได้ว่ามันชื่อบราวนี่ เป็นนกฮูกของจูปิเตอร์ เด็กหนุ่มร่างสูงผอมลุกจากเก้าอี้และเอื้อมมือปลดกลอน ผลักหน้าต่างเปิดให้นกฮูกยื่นขาเข้ามา ทอมแกะกระดาษสีน้ำตาลอ่อนที่ขาของมันและเปิดอ่าน



                พบฉันที่หน้าประตูเรเวนคลอ เที่ยงคืน มาคนเดียว – จูปิเตอร์ เบิร์ก        



                ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มอย่างพอใจ นิ้วเรียวม้วนกระดาษเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุม บราวนี่เห็นว่าตนทำหน้าที่จบก็ไม่อ้อยอิ่งอยู่ต่อ มันโผล่บินกลับไปยังโรงนกฮูก



                ทายาทสลิธีรินใช้เวลาช่วงหัวค่ำในห้องสมุด ยาวเรื่อยจนดึกดื่น หมดเวลาที่โรงเรียนอนุญาตให้อยู่นอกหอนอน แต่เขาไม่เคยสนใจกฎพวกนี้ ทอมยอมเดินออกจากห้องสมุด ไม่ต้องรอให้บรรณารักษ์ไล่ เขาชอบฮอกวอตส์ในเวลากลางคืน โดยเฉพาะคืนที่มีจันทร์เพียงเสี้ยวเดียว ไม่สว่างจนเกินไป ทั้งปราสาทหลับใหล มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังตื่นอยู่ เหมือนเขาเป็นเจ้าของที่นี่ และถ้าจะพูดกันตามจริง เขาเป็นทายาทของหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ทายาทคนสุดท้าย เขาหาข้อมูลหมดแล้ว ทั้งตระกูลกริฟฟินดอร์หรือเรเวนคลอ ล้วนสูญหายไปตามกาลเวลา เขาไม่แน่ใจว่าตระกูลฮัฟเฟิลพัฟยังพอมีทายาทหลงเหลือหรือไม่ แต่อีกไม่นานก็คงได้รู้ ที่แน่ๆก็คือ ฮอกวอตส์เป็นของเขาโดยชอบธรรม



                ทอมหยุดที่ทางเลี้ยว เพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแถวตู้เก็บไม้กวาด เขาเห็นเด็กปีสามร่างยักษ์คนหนึ่งด้อมๆมองๆแอบเดินเข้าไปข้างใน เจ้ารูเบอัส แฮกริดคงจะแอบเลี้ยงสัตว์ประหลาดไว้อีกแน่ สักพักหมอนั่นเดินออกมา ท่าทางโล่งใจที่ไม่มีใครเห็นแล้วเดินกึ่งวิ่งไปทางบันไดวน ทอมมองตามหลังเด็กครึ่งยักษ์อย่างเหยียดหยาม คิดเล่นๆว่าจะแกล้งเอาสัตว์ในห้องไปแอบไว้ดีไหม? หรือจับไปถ่วงน้ำให้มันใจสลาย แต่คงไม่ใช่คืนนี้ เขามีเรื่องอื่นต้องจัดการ



                เขาเตร็ดเตร่จนใกล้เวลาเที่ยงคืน จึงขึ้นบันไดหอคอย และพบเด็กสาวในชุดสีน้ำเงินเกือบดำยืนรอเขาอยู่ จูปิเตอร์กระซิบร่ายคาถาลูมอส แสงสว่างจึงอาบไล้ให้พอมองเห็นหน้ากัน



                “มีอะไร” ทอมถาม น้ำเสียงกระด้างกว่าที่เขาตั้งใจ เมื่อเห็นหน้าเธอ ก็พาลเห็นหน้าไอ้มักมิลลันด้วย



                “ฉันคุยกับเฮเลน่า เรเวนคลอเมื่อวันเสาร์ เธอให้กลอนมาบทหนึ่ง ฉันคิดว่าเป็นคำใบ้บอกที่ซ่อนของห้องลับ”



                “แล้วยังไง” เขาถามเสียงสะบัด อยู่ๆก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เสียอย่างนั้น



                จูปิเตอร์นิ่งไป ลูกนัยน์ตาจ้องเขาราวจับผิด “นายหงุดหงิดใครก็ช่าง แต่อย่ามาลงกับฉัน”



                หงุดหงิดเธอนั่นแหละ เสียงของเขาตะโกนในใจ แต่วางมาดและออกคำสั่ง “รีบๆบอกมาได้แล้ว”



                จูปิเตอร์พ่นลมทางจมูกเหมือนสัตว์ที่กำลังหงุดหงิดเช่นกัน เธอยกไม้กายสิทธิ์ กระดกปลายไม้บนอากาศ เกิดเป็นตัวอักษรสีทองเขียนเรียงรายทั้งหมดสี่บรรทัด



    See you in next ten nights.

    Right after taking steps you need,

    you’re back from the fight.

    At the Ravenclaw, we shall meet.



                “นายจะให้ฉันเฉลย หรือว่าจะลองถอดความเองก่อน” ท่าทางของเด็กสาวมีความท้าทาย ปนลองเชิง



                “พันปีก่อน บ้านเมืองไม่สงบสุข มีสงครามแก่งแย่งชิงบัลลังก์ตลอดเวลา ไม่ต่างจากทุกวันนี้เท่าไร” เขาพูดเสียงทุ้ม ใจเย็น เหมือนเสียงน้ำไหล “เจอกันในอีกสิบคืน หลังจากหลายก้าวที่คุณต้องไป จากการต่อสู้ ที่เรเวนคลอเราจะพบกัน ตลกนะ นี่ไม่ใช่ข้อความที่หญิงสาวเขียนให้ชายหนุ่ม”



                “ไม่ใช่หรือ?” จูปิเตอร์เอียงศีรษะ



                “ถ้อยคำห้วนเกินไป” ทอมบอก “พวกผู้หญิงมักจะบรรยายความรู้สึกอาลัยยืดยาวไม่ใช่หรือ?”



                “ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะทำ” จูปิเตอร์พูดเสียงแข็ง



                “ผ่านมาพันปีแล้ว จะรู้ได้อย่างไร ช่างเถอะ” น้ำเสียงของเขามีแววขำขัน ไม่คิดว่าจะต้องมาถกเถียงกับเธอด้วยเรื่องบทกลอนห้วนๆบทหนึ่ง เขาหยิบไม้กายสิทธิ์ทำจากไม้ยิวออกมาจากเสื้อคลุม โบกหนึ่งครั้ง ถ้อยคำบางส่วนหายไป “ข้อความสี่บรรทัดนี้เป็นสคิปโค้ด น่าสนใจทีเดียว สมัยนั้นมีสคิปโค้ดแล้วหรือ ถ้าเป็นรหัสของซีซาร์ รหัสอักษรรูน หรือเฮโรกราฟฟิกยังน่าเชื่อถือกว่า นี่ไม่ใช่ข้อความจากพันปีก่อนหรอก แต่เฮเลน่าคิดขึ้นเพื่อบอกใบ้ จะได้ถ้อยคำที่แท้จริง ต้องนับไปสี่คำ แล้วอ่านคำที่ห้า”



    See you in next ten nights.

    Right after taking steps you need,

    you’re back from the fight.

    At the Ravenclaw, we shall meet.



    เจอกันในอีกสิบคืน หลังจากหลายก้าวที่คุณต้องไป จากการต่อสู้ ที่เรเวนคลอเราจะพบกัน



                “สิบก้าวจากเรเวนคลอ ฉันตอบถูกไหม?” ทอมถามอย่างภูมิใจในตัวเอง



                “ใช่” จูปิเตอร์พยักหน้า “ฉันมาถึงก่อนนาย ฉันเดินไปสิบก้าวจากตรงนี้ทางด้านซ้าย ไม่พบอะไร ไปทางขวา ก็ยังไม่พบ จึงลองเดินไปข้างหน้า ถึงผนังฝั่งนั้น ครบสิบก้าวพอดี เหลือหนึ่งก้าวห่างจากผนังเล็กน้อย ใกล้มากพอที่จะเห็นลวดลายเก่าที่ไม่เคยมีใครสังเกต” เด็กสาวเดินนำไปทีละก้าว ทอมเดินตาม สายตาจ้องมองผนังที่ใกล้เข้ามาไม่ให้คลาด ทั้งคู่หยุดยืนหน้าผนังที่ผ่านการบูรณะมาตลอดพันปี



                “สเปซิอาลิส เรเวลิโอ” จูปิเตอร์ร่ายคาถา



                ผนังกะเทาะออก สีน้ำเงินที่ทาเปลือกนอกไว้จางหาย อิฐสีแดงเปลี่ยนเป็นสีส้มซีด ราวกับพวกเขากำลังย้อนเวลากลับไปเป็นพันปีจริงๆ ลายเส้นวาดด้วยสีขาวโดดเด่น เป็นรูปคล้ายดอกไม้ แต่ไม่ใช้เส้นโค้ง เป็นเส้นตรงเหลี่ยมๆทั้งหมด ทุกเส้นตัดทำให้เกิดช่องเชื่อมถึงกัน ทุกช่องมีคำสลักไว้เป็นประกายสีทอง พวกเขาเห็นแล้วถึงกับจนปัญญางงงวยว่าจะจัดการอย่างไร ต้องถอดความด้วยวิธีไหน






                “เรเวนคลอ” ทอม ริดเดิ้ลพูดลอดไรฟัน “ช่างสมกับเป็นเรเวนคลอ”



                “มีทั้งหมดยี่สิบสี่ช่อง ล้อมรอบคำตรงกลาง แสดงว่าคำกลางนี้ต้องเป็นจุดเชื่อม” จูปิเตอร์บอก ชี้มือไปที่คำว่า เป็น กึ่งกลางของรูปภาพและคำทั้งหมด “ที่ต้องไขคือ หนึ่ง มีทั้งหมดกี่ประโยค สอง เป็นความเรียงยาวต่อกัน หรือตัดแบ่งเป็นส่วนๆ สาม วิธีการเรียงคำ เริ่มจากทิศใดไปทิศใด...”



                “สี่” ทอมพูดแทรกขึ้น หันมามองเธออย่างมั่นใจ “มีทั้งหมดสี่ประโยค เธอบอกว่ามียี่สิบสี่ช่องรายล้อมคำตรงกลาง หากแบ่งเป็นสี่ ในหนึ่งประโยคจะมีคำจากหกช่อง...”



                “ถ้าอย่างนั้น” จูปิเตอร์เงยหน้ามอง ลองใช้ไม้กายสิทธิ์จิ้มไปที่คำและลากออกมา “คำว่าเป็นอาจต้องใช้เริ่มประโยคทั้งสี่ แล้วดึงคำจากช่องต่อไปมาเรียงกัน โดยปกติ เวลาเขียนหนังสือต้องเริ่มจากฝั่งซ้าย แต่นี่เป็นปริศนาของเรเวนคลอ จะต้องไม่ธรรมดาสามัญ ควรเริ่มจากขวา” เธอใช้ไม้กายสิทธิ์ลากคำจากช่องทางด้านขวาออกมาเรียงจนเป็นประโยคที่อ่านรู้เรื่อง



    ทอมลอบมองใบหน้าของเธอ ทั้งที่ยืนห่างอย่างนี้และค่อนข้างมืด เขาเห็นความตื่นเต้นของเธอชัดเจน รู้สึกได้แม้กระทั่งหัวใจ ชีพจร และเส้นเลือดของอีกฝ่าย เธอช่างน่ามอง น่าหลงใหล โดยเธอไม่รู้ตัวเพียงนิด เส้นผมสีดำถูกเจ้าตัวจับทัดหูทั้งสอง จมูกโด่งงามเห็นเป็นสันสวยจากด้านข้าง แก้มเนียนนุ่มขาวนวลท่ามกลางแสงลูมอสจากไม้กายสิทธิ์ เมื่อห้าปีก่อน เธอเหมือนนางฟ้าแฟรี่ตัวน้อยที่เขาอยากเก็บใส่ขวดไว้ดูเล่น ตอนนี้เธอเป็นสาวสะพรั่ง บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนดอกเดซี่ที่เขาเคยเก็บ ความปรารถนาที่สั่งสมไว้นานหลายปีแทบจะระเบิดออกมา เขาอยากเป็นเจ้าของ อยากให้เธอลืมสิ้นทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย ให้โลกทั้งใบของเธอมีแค่เขาคนเดียว ดวงตาที่สุกสกาวและน่าฉงนเหมือนท้องฟ้าพร่างดาราจะมองเพียงเขา มือของเธอจะประสานในมือของเขาเท่านั้น ในทุกคืน เธอจะร่ำร้องหาเขา ปรารถนาเพียงเขา   



                “จากนั้นจึงไปซ้าย” จูปิเตอร์ขยับไปทางซ้าย โบกไม้กายสิทธิ์สลับคำ การเคลื่อนไหวของเธอเรียกสติเขากลับ



                “บนหรือล่างก่อน” ทอมมองกลุ่มคำในช่องบนและล่างสลับกัน เขาเอนเอียงไปทางช่องบนก่อน แต่เธอคิดอีกแบบ



                “ต้องเป็นล่างก่อน เรเวนคลอเชื่อในการเรียนรู้และพัฒนาของสติปัญญา จากศูนย์สู่ยอด” เธอบอกอย่างมั่นใจ ลากไม้กายสิทธิ์พาคำจากแต่ละช่องออกมาเรียงจนหมด ได้ความว่า



    เป็นชนจักไขว่คว้า              เสรี

    เป็นศิษย์เด่นครูมี                ปกป้อง

    เป็นพาลใฝ่ความดี              หายาก

    เป็นปราชญ์ชนแซ่ซร้อง     กู่ก้อง สรรเสริญ



    ห่างจากพวกเขาไปอีกสิบก้าว ปรากฏประตูไม้บานหนึ่ง








    TALK 

    ถ้ามีหอก ธนูพุ่งออกมา เพราะไปเหยียบกลไกที่พื้น ตอนนี้คงกลายเป็น อินเดียน่า โจนส์ แล้ว 555+

    ฉันจะไม่... ไม่... ไม่... ไม่พยายามแต่งโคลงสี่สุภาพอีกต่อไป ทำไมมันยากเบอร์นี้ ที่เห็นเขียนออกมาได้นั้น มีจุดวางเสียงเอกผิดด้วยค่ะ แต่หลังจากแก้หลายรอบ เปลี่ยนคำตรงกลางรูปกลบทตั้งหลายครั้ง ฉันยอมแพ้แล้ว เอาแค่นี้ก็พอนะ  







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×