ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Notorious [Tom Riddle & OC]

    ลำดับตอนที่ #7 : A dead flower

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 62




    Notorious [Tom Riddle & OC]

    Chapter 7 : A dead flower





                เดือนตุลาคมมาถึง พร้อมลมช่วงเปลี่ยนฤดู ปราสาทฮอกวอตส์ยังคงตั้งตระหง่านท้าพายุฝนกระหน่ำ การแข่งขันควิดดิชถูกเลื่อนออกไปอีกสัปดาห์หนึ่ง เนื่องจากฝนตกลงมาเป็นลูกเห็บก้อนใหญ่เท่าหัวแม่มือ บางคืน จูปิเตอร์ได้ยินเสียงลูกเห็บกระทบหน้าต่างกับหลังคา สั่นกราว ส่งเสียงดัง ภายในปราสาทหนาวยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง เอลฟ์ประจำบ้านทำหน้าที่จุดเตาผิงให้ลูกโชนไปทั้งคืน เพื่อสร้างความอบอุ่นเพียงพอให้พวกนักเรียน จูปิเตอร์นึกถึงมาร์สกับเมอร์คิวรีที่ต้องนอนอยู่ใต้ปราสาท ยิ่งในช่วงฤดูหนาวที่ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง ห้องนั่งเล่นรวมบ้านสลิธีรินคงได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยมาก แต่ก็หนาวเยือกแข็งเช่นกัน



                สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่ทั้งโรงเรียนพากันโจษจันพูดถึงไม่หยุดปาก คือเรื่องที่เพเนโลพี เฮสติงส์ลอบทำร้ายเพื่อนสนิท ใช้คาถาบังคับข่มขู่โรซาลินด์ เลิฟกู๊ดให้ร่วมือด้วย เพเนโลพีถูกไล่ออกจากโรงเรียน มีข่าวลือไปทั่วว่าเธอใช้คำสาปสะกดใจจัดการกับโรซาลินด์ และลากจูปิเตอร์ เบิร์กลงไปทิ้งไว้ในทะเลสาบ ทอม ริดเดิ้ลเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยจูปิเตอร์ขึ้นมาจากน้ำ ข่าวลือส่วนใหญ่นั้นถูกต้อง ยกเว้นอยู่เรื่องหนึ่ง เด็กสาวหลายกลุ่มเชื่อปักใจแล้วจริงๆว่าริดเดิ้ลผู้งามสง่ากับจูปิเตอร์เป็นคู่รักกัน พวกเขาคุยกันว่าริดเดิ้ลเป็นห่วงเธอมาก ถึงขั้นขอให้เพื่อนผลัดเวรกันไปเฝ้าที่ห้องพยาบาล กลัวว่าเพเนโลพีจะมาทำร้ายอีก และริดเดิ้ลยังให้ดอกไม้กับเด็กสาวในเช้าวันที่เธอออกจากห้องพยาบาลด้วย มีดอกไม้จริง แต่จูปิเตอร์ไม่ได้ถือออกมาด้วย เธอวางมันทิ้งไว้ที่โต๊ะข้างเตียงอย่างนั้น มาดามคันนิงแฮมคงจะเก็บทิ้งไปแล้ว ที่แปลกก็คือ ทำไมข่าวพวกนี้จึงเล็ดลอดออกไปเร็วราวกับไฟลามทุ่ง เธอคิดอย่างอื่นไม่ได้อีก นอกจากเรื่องนี้จะเป็นความตั้งใจของทอม ริดเดิ้ลล้วนๆ



                จูปิเตอร์เสียเพื่อนไปหนึ่งคน เพเนโลพีออกจากปราสาทฮอกวอตส์ไปแล้ว โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครเอ่ยคำลา เด็กสาวเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว ส่งไม้กายสิทธิ์ที่ถูกริบให้กับอาจารย์เมร์รี่ธอต และลากหีบใบโตของเธอออกไปทันที จูปิเตอร์พยายามจะเข้าไปหาและพูดด้วย แต่เพเนโลพีเดินผ่านไปราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากนั้นไม่มีใครได้ยินข่าวคราวของเพเนโลพีอีกเลย โรซาลินด์นั้นดูซีดเซียวและเหม่อลอยหนักกว่าเก่า จูปิเตอร์เข้าไปนั่งพูดคุยด้วย แต่เป็นแบบถามคำตอบคำ โรซาลินด์เลือกที่จะอยู่คนเดียว จูปิเตอร์ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ ดังนั้น เธอไม่ได้เสียเพื่อนแค่คนเดียว แต่เสียพร้อมกันถึงสองคน ในค่ำคืนที่เยือกเย็นด้วยสายฝน บนหอคอยเรเวนคลอที่เงียบงัน จูปิเตอร์นอนร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียวบนเตียง โดยไม่มีใครสนใจจะได้ยินเสียงของเธอ



                   เช้าวันเสาร์ที่มีหมอกลงจัด นักเรียนบ้านเรเวนคลอยังนอนหลับใต้โปงผ้าห่ม แต่จูปิเตอร์ตื่นแล้ว ลืมตามองเพดานและยอดเตียงสี่เสา ผ้าม่านสีน้ำเงินไม่ได้ปิดรอบ เธอไม่ชอบนอนในพื้นที่ปิดล้อม จึงเปิดม่านไว้ตลอด เด็กสาวพลิกตัวไปทางด้านขวา เห็นเตียงที่ว่างเปล่าของเพเนโลพีแล้วยังรู้สึกใจหาย เธอใช้ศอกดันตัวขึ้นนั่ง ลุกจากที่นอนแล้วจัดการธุระส่วนตัวในยามเช้า เธอออกจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่และเดินออกนอกห้องอย่างเงียบกริบ ไม่ส่งเสียงรบกวนเพื่อนร่วมห้องคนอื่น อาหารเช้าวันเสาร์จะเริ่มตอนประมาณแปดโมง นี่เพิ่งจะหกโมงเท่านั้น เธอจึงเดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปยังประตูปราสาท ความเงียบสงบทำให้รู้สึกเหงาและวังเวง แต่เธอเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว



                ยอดหญ้ายังมีน้ำค้างเกาะแวววาว ละอองหมอกบางเบาอบอวลอยู่โดยรอบ บนฟ้าเมฆสีเทาเคลื่อนคล้อย อาทิตย์กำลังจะขึ้นในไม่กี่อึดใจ เธอเห็นนกโผบินเหนือต้นไม้ รองเท้าบูทสั้นของเธอเต็มไปด้วยหญ้าเกาะ จูปิเตอร์ยังเดินต่อไปตามลำพัง พลางคิดไปด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อดี เธอปล่อยความเศร้ากัดกินมามากกว่าสองอาทิตย์แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องยุติและเดินหน้าต่อ ความรู้สึกผิดพุ่งพล่านเข้าชนอก เป็นเพราะเธอ เพเนโลพีจึงต้องถูกไล่ออก เป็นเพราะเธอ โรซาลินด์จึงอยู่ในสภาพเซื่องซึมเหม่อลอย ไร้ความสุข จูปิเตอร์ไม่รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรกับโรซาลินด์ จึงไม่มาคุยกับเธออีกเลย เธอจะบอกใครได้ ใครจะเชื่อโดยไร้หลักฐานเอาผิด ใครๆก็ต่างคิดกันไปหมดแล้วว่าเธอคือคนรักของผู้ชายที่น่าขยะแขยงอย่างริดเดิ้ล แค่ใบหน้าของเขาแวบผ่านเข้ามาในสมอง ความโกรธปะทุเหมือนไฟสุมในทรวง



                แสงสีทองแรกพาดบนผืนฟ้า อาทิตย์ส่งความอบอุ่นลงมายังพื้นหญ้า หมอกรอบตัวค่อยๆจางหาย ทัศนียภาพชัดเจนขึ้น เท้าของเธอพามายังชายป่าต้องห้าม บริเวณที่ใกล้กับทะเลสาบ จูปิเตอร์ไม่อยากเดินเฉียดไปยังทะเลสาบแห่งนั้นอีกแล้ว เธอหมุนตัวกลับ เดินต่อไปยังทิศตะวันออก แล้วเท้าทั้งสองข้างต้องหยุดชะงัก



                บุคคลที่เธอไม่อยากเจอที่สุดบนโลกใบนี้ เดินตัดข้ามสนาม ผ่านหญ้าชื้นและสายหมอกขาวเบาบาง แสงอาทิตย์สีส้มทองอร่ามตาเป็นฉากหลัง เขาเหมือนหลุดมาจากภาพวาดยุควิคตอเรียน เสื้อเชิ้ตสีขาวติดกระดุมไม่หมด เหลือสองเม็ดบน ราวกับจะเปิดเผยผิวเนียนและไหปลาร้าให้กับทั้งโลกได้เห็น เธอเกลียดเขา เกลียดเหลือเกิน เกลียดจนไม่คิดว่าจะเกลียดใครได้มากเท่านี้ ทรวงอกของเด็กสาวสะท้อนแรงด้วยเพลิงอารมณ์ เธออยากจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาร่ายคาถาใส่เขา สาปเขาเป็นตัวอะไรก็ได้ที่จะหายไปตลอดกาล เขาชอบโผล่หน้ามาให้เห็นในเวลาที่เธออยากอยู่คนเดียว



                “อรุณสวัสดิ์ จูปิเตอร์” เขาทักเมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้น



                “นายจะหยุดไหม ถ้าฉันหาห้องลับของเรเวนคลอเจอ” เธอโพล่งถามออกไป



                เขาเอียงศีรษะ เลิกคิ้วสูง ดวงตาลึกมองเธออย่างแสร้งประหลาดใจ “หมายความว่ายังไง?”



                “นายจะปล่อยให้ฉันเป็นอิสระได้ไหม ถ้าฉันทำงานชิ้นนี้ให้นายสำเร็จ” จูปิเตอร์ถาม น้ำเสียงกระด้าง



                “ทุกวันนี้เธอไม่ได้มีอิสระ จะทำ จะไป ตามใจคิดหรอกหรือ?” เขาถามกลับ ถอนหายใจ พลางเดินไปทางด้านซ้าย ก้มลงเหนือพุ่มดอกเดซี่ และเด็ดขึ้นมาดอกหนึ่ง หมุนก้านเล่นในมือ



                จูปิเตอร์มองดอกไม้ในมือของเขา กลีบสีขาวบอบบางสวยงามบริสุทธิ์ แต่ไร้ซึ่งอิสระโดยสิ้นเชิง เพราะเขาเด็ดขึ้นมา พรากมันจากดินและหญ้า กลายเป็นของเขา อยู่ในความเมตตาของเขา



                “ฉันเบื่อที่จะถามแล้วว่านายต้องการอะไรจากฉัน” จูปิเตอร์กระพริบตาเชื่องช้าอย่างเหนื่อยหน่ายจริงๆ “เพราะฉะนั้น ฉันจะเลิกถามหาเหตุผล และต่อรองกับนายตรงๆ นายทำสำเร็จแล้ว นายทำให้ฉันไม่มีความสุข เพื่อนไม่คุยกับฉัน เพื่อนอีกคนก็ต้องออกจากโรงเรียนไป มาร์ส พี่ชายของฉันอยู่ในกำมือของนาย แล้วแต่นายจะเมตตา”



                “เธอบอกว่าต่อรอง เธอมีอะไรจะมาต่อรอง จูปิเตอร์” ทอมเผยยิ้มบางๆ แต่ไม่อาจปิดบังความร้ายกาจที่ฉายวาบในแววตาออกมาได้



                “รัดเกล้าของเรเวนคลอ กับห้องลับของเรเวนคลอ ฉันจะตามหาให้นาย” จูปิเตอร์บอก “โดยมีข้อแม้ ถ้าฉันทำสำเร็จ นายต้องเลิกยุ่งกับฉัน ปล่อยฉันไว้ตามลำพัง ไม่ต้องพูดคุย ไม่ต้องทักทาย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”



                “แล้วมาร์สล่ะ” ทอมเอ่ยถาม



                “เขาขายฉันให้นาย เขาทำตัวเอง ชะตากรรมของเขา ไม่เกี่ยวกับฉัน” เธอพูดอย่างเย็นชา รู้ว่ากำลังเห็นแก่ตัว แม้แต่พี่ชายฝาแฝดก็ไม่คิดช่วย เธอต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนจะไปช่วยเหลือใคร และอีกอย่าง เธอไม่ใช่คนดีมีศีลธรรมมากมายขนาดนั้น เธอเองก็มีด้านมืดของตัวเองเช่นกัน



                ทายาทสลิธีรินมองเธออย่างชอบใจ ความสนใจของเขาที่มีต่อตัวเธอเพิ่มมากขึ้น ไม่คิดว่าคำตอบจากนางฟ้าเรเวนคลอจะเป็นคำพูดเห็นแก่ตัวอย่างนั้น เขาแสยะยิ้ม โหนกแก้มที่เท่ากันทั้งสองข้างยกสูงขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยิน ทุกคำที่ออกจากปากของเธอตอนนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ตุ๊กตาของเขาจะต้องไม่โง่ ไม่ใช่แค่สวยน่ารักเหมือนนางฟ้าตัวน้อย แต่จะต้องน่าเล่นด้วย เขามองแก้มเนียนปลั่งของเธอ สงสัยนักว่าหากได้ลูบนิ้วสัมผัสแล้วจะรู้สึกอย่างไร ผมสั้นสีดำนั้นอีก เนียนนุ่มสลวย เขาอยากให้เธอไว้ผมยาว เขาชอบผู้หญิงผมยาว เรื่องนั้นรอได้ อีกไม่นานเส้นผมของเธอจะยาวขึ้น เขาจะไม่ให้เธอตัดผมอีก ให้ยาวถึงกลางหลังก็พอ แบบเดียวกับวันแรกที่เขาพบเธอเมื่อห้าปีก่อน



                “ตกลง” ทอมพยักหน้า นำสองมือไพล่หลัง เป็นท่ายืนที่เขาชอบทำประจำ ช่วยยืดหลังให้ตรง ดูสง่างามอย่างชนชั้นสูง ดอกเดซี่ยังคงถือไว้ในมือซ้าย “ถ้าเธอตามหารัดเกล้าของเรเวนคลอพบ ฉันจะปล่อยให้เธอมีอิสระ”



                อิสระแค่จนกว่าจะเรียนจบเท่านั้น เด็กหนุ่มต่อเองในใจ



                “ดี” เธอพยักหน้าเช่นกัน แสดงออกชัดว่าไม่อยากคุยต่อแล้ว และกำลังจะเดินเลี่ยงไป



                “รอก่อน” ทอมเอื้อมมือเรียก แต่ไม่ได้แตะต้องตัวเธอ แม้เขาจะอยากทำก็ตาม “ฉันมีอีกเรื่องจะขอร้อง”



                แววตาของเธอมีแววไม่เชื่อวูบหนึ่ง คำว่าขอร้องเหมือนเป็นคำจากต่างพิภพเมื่อเขาเป็นคนพูด เธอนึกถึงโอไรออน เด็กหนุ่มคนนั้นเคยบอกไว้เช่นกันว่าทอมใช้คำว่าขอร้อง ไม่ได้ออกคำสั่งเมื่อต้องการอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่คิดว่าเธอจะมาได้ยินด้วย ชวนให้กระด้างหูเสียจริง



                “อะไร?” เธอถามอย่างเรียบเฉย



                “ฤดูร้อนปีหน้า ฉันตั้งใจจะตามหาครอบครัวฝ่ายแม่ให้เจอ ยังไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง และไม่แน่ใจด้วยว่าพวกเขาที่เหลืออยู่เป็นอย่างไร ฉันไม่อยากไปคนเดียว”



                เธอหูฝาดหรือเปล่า? หรือดวงตาฝ้าฟางไปแล้ว น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความไม่มั่นคงทางอารมณ์ เกือบจะเป็นหวาดหวั่นต่อสิ่งที่ยังไม่รู้ เขากำลังเสแสร้งเล่นละครตีหน้าเศร้า หรือเป็นความจริงที่ซุกซ่อนภายในใจของเขา เธอบอกไม่ถูก แต่การขอร้องเช่นนี้ ออกจะนอกเหนือจากข้อตกลง หากเธอตามหารัดเกล้าพบก่อนถึงฤดูร้อน เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปกับเขา อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าเขามีผู้ติดตามเยอะแยะที่พร้อมจะไปกับเขาหรือ มาร์สคงแทบจะกราบกรานไปกับพื้น เพื่อให้ได้ใช้เวลาฤดูร้อนกับริดเดิ้ลผู้สูงส่ง



                “นายก็ขอร้องให้ผู้ติดตามสักคนไปด้วยสิ” จูปิเตอร์พูดอย่างเย็นชา “ฉันจะตามหารัดเกล้าเรเวนคลอให้พบก่อนสิ้นปี เพื่อจะได้ไม่มีพันธะผูกพันกับนาย เมื่อถึงฤดูร้อน ฉันคงไม่อยากเจอหน้านายอีกแล้ว”



                เขาไม่ส่งเสียงหัวเราะ ไม่แสดงอารมณ์ขุ่นเคืองใดๆ ดวงตาของเขาหลุบต่ำลง “พวกนั้นไม่เหมือนเธอ พวกเขาจะไม่เข้าใจ ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าจริงๆแล้วฉันคิดยังไงเรื่องครอบครัว ฉันจึงต้องการคนนอกอย่างเธอ”



                จูปิเตอร์หยุดคิดทบทวน การตามหารัดเกล้าเรเวนคลอ ได้สิ่งตอบแทนคืออิสรภาพของเธอ แต่ถ้าเธอสามารถใช้เรื่องที่เขาขอร้องต่อรองอีกเรื่องเล่า? เด็กสาวมองเขาอย่างพินิจพิจารณา “ฉันจะไปด้วย ถ้านายสัญญากับฉันข้อหนึ่ง” เธอหยุดพูด รอให้เขาตัดสินใจ ทอมพยักหน้า “เมอร์คิวรี สัปดาห์หน้ามีการแข่งควิดดิชนัดแรก ผู้ติดตามคนสนิทของนายอยู่ในทีมตำแหน่งบีตเตอร์ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะชื่อ แอตลาส โรซิเออร์ ฉันเห็นเขาเล่นแทบทุกเกม เขาคนนี้เป็นมือวางอันดับหนึ่งในการกำจัดผู้เล่น และไม่สนใจด้วยว่าผู้เล่นคนนั้นจะอยู่ทีมเดียวกับตัวเองหรือเปล่า ฉันไม่ต้องการให้เกิดอันตรายใดๆต่อเมอร์คิวรี ตลอดการแข่งขัน รวมทั้งก่อนแข่ง หรือหลังการแข่ง ตลอดปีสุดท้ายที่พี่ชายฉันเรียนที่นี่ เขาจะต้องรอดปลอดภัยทุกประการ ไม่มีแม้รอยข่วน”



                   “ฉันไม่เคยคิดจะทำอะไรเมอร์คิวรี เขาเป็นเชสเซอร์มือหนึ่งของสลิธีรินนะ” ทอมบอก แต่ไม่ใช่ความจริงนัก เขาคิดที่จะให้แอตลาส โรซิเออร์จัดการเมอร์คิวรีได้ตามใจอยาก เพราะเขาเองก็ไม่ไว้ใจลูกชายคนโตบ้านเบิร์ก แม้ว่าในคดีลอบทำร้ายจูปิเตอร์ที่ผ่านมา เมอร์คิวรีจะมีส่วนช่วยให้แผนการของเขาง่ายขึ้น แต่เขายังไม่วางใจเสียทีเดียว



                จูปิเตอร์มองเขานิ่ง คิ้วเลิกขึ้นสูง สีหน้าเฉยชา เรียกเสียงหัวเราะหึๆจากเขาได้ ทอมพูดขึ้น “ตกลง ฉันจะไม่ทำอะไรเมอร์คิวรี ไม่ให้ใครแตะต้องเขา เขาจะรอดปลอดภัยทุกประการตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ฮอกวอตส์”



                ออกจากฮอกวอตส์ไปเมื่อไหร่ ก็ไม่แน่



                “ตกลงตามนี้นะ” จูปิเตอร์ถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ



                “ตามนี้” ทอมพยักหน้า



                จูปิเตอร์ก้าวเท้า หมายจะเดินออกจากแถวนั้น แต่เด็กหนุ่มขวางทาง มือไพล่หลังคลายออก นิ้วเรียวยาวที่จับดอกเดซี่อย่างทะนุถนอมยื่นมาข้างหน้า รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก ใบหน้าของเขาอ่อนโยนลง จูปิเตอร์มองอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่เขาขยับเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอควรจะถอยหลัง ควรจะวิ่งหนี แต่หัวใจกลับเต้นตึกตัก ร่างหยุดนิ่งกับที่ เธอเพิ่งรู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลของเขามองดูนานๆแล้วจะเห็นสีเขียวแซม เขาจับปอยผมของเธอ นำก้านดอกเดซี่พันรอบและผูกไว้ กลิ่นกายของเขาที่คล้ายกับฝนและต้นหญ้า แทรกซึมเข้ามาในสัมผัส โอบล้อมเธอไว้ด้วยบรรยากาศของเขา บางอย่างในท้องพากันปั่นป่วน หัวใจระส่ำระส่ายเกินควบคุม เกินหักห้ามใจ เขาก้าวถอยหลังออกไป ก้มศีรษะลงเล็กน้อย เหมือนสุภาพบุรุษจากยุคเก่าไม่มีผิด ก่อนจะหันหลัง และเดินจากเธอไปทีละก้าว



                หัวใจของเธอเต้นช้าลง จนเป็นจังหวะปกติ จูปิเตอร์ยกมือขึ้นใช้นิ้วแกะดึงดอกไม้ออกจากเส้นผม ทันใดจากที่มีดอกเดซี่เพียงแค่ดอกเดียว กลับกลายเป็นช่อดอกเดซี่ขนาดเล็กในมือของเธอ เวทมนตร์ช่วยเพิ่มจำนวนบวกกับเวทมนตร์ตกแต่งจากวิชาคาถาทำให้ดอกไม้ที่ตายไปแล้วดอกหนึ่ง กลายเป็นช่อที่สวยงามน่ารัก แต่อย่างไร มันก็คือดอกไม้ที่ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ดอกไม้ที่ถูกเขาเด็ดฉกฉวย หากเขาคิดจะใช้มุขนี้สร้างความประทับใจให้เธอ ไม่มีทางได้ผล เธอก้มลงมองดอกไม้ในมืออย่างเดียดฉันท์ แต่ทิ้งมันไม่ลง ไม่เหมือนกับดอกไม้ที่เขาส่งไปที่ห้องพยาบาล จูปิเตอร์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมช่อดอกเดซี่นี้จึงไม่เหมือนกับดอกไม้ในวันนั้น



                เธอถือกลับเข้าไปในปราสาทด้วย ตรงไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อรับประทานอาหารเช้า โรซาลินด์เพิ่งลุกจากโต๊ะเรเวนคลอหลังจากกินอาหารเช้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองเดินสวนกัน มีเพียงรอยยิ้มจืดชืดห่างหายจากโรซาลินด์ เหมือนแค่รู้จักกันเฉยๆเท่านั้น เวลาเกือบห้าปีที่เป็นเพื่อนกัน ไร้ความหมาย จูปิเตอร์เอี้ยวศีรษะมองตามแผ่นหลังของเพื่อนสาว ตั้งใจไว้ว่าเมื่อหลุดพ้นจากมือของทอม ริดเดิ้ลเมื่อไหร่ เธอจะรื้อฟื้นมิตรภาพกลับมาอีกครั้ง เด็กสาวนั่งลงที่โต๊ะ วางดอกไม้ไว้ข้างจานที่ว่างเปล่า เริ่มตักอาหาร และรินกาแฟให้ตนเอง ระหว่างที่กินอาหารอยู่ตามลำพัง เธอคิดไปด้วยว่าจะตามหาห้องนั้นได้อย่างไร คำตอบมีอย่างเดียว ต้องคุยกับเฮเลน่า เรเวนคลออีกครั้ง



                เมื่อท้องอิ่ม กำลังวังชาและสติปัญญาพร้อมจะให้เดินหน้าต่อ เธอออกจากห้องโถงใหญ่ ขึ้นบันไดไปที่ชั้นเจ็ด บนทางปูหินอ่อนที่โล่งว่าง เสาหินเรียงรายเป็นเส้นตรง เด็กสาวก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ รู้ว่าจะตามหาวิญญาณของเฮเลน่าได้ที่ไหน ริมหน้าต่างที่มีแสงสาดเข้าผ่านร่างสีเงินโปร่งใส วิญญาณลอยล่องเหนือพื้น เหม่อลอยไปยังท้องฟ้าแห่งความอบอุ่นที่ไม่อาจรับความรู้สึกได้อีก จูปิเตอร์ไม่เข้าใจวิญญาณเหล่านี้เท่าไรนัก หากเธอตาย เธอยินดีจะไปต่อมากกว่า ไม่อยากทนทุกข์อยู่ในชีวิตเดิม โลกเดิม กับผู้คนที่ล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ สุภาพสตรีสีเทาไม่เหมือนกับนิกหัวเกือบขาด วิญญาณตนนั้นแลดูมีชีวิตชีวา กระตือรือร้นมากกว่า แม้เฮเลน่าจะใจดีกับนักเรียนไม่ต่างกัน แต่นางช่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน



                “เลดี้คะ” จูปิเตอร์ส่งเสียงเรียก เฮเลน่าจึงเคลื่อนกายหมุนตัวมาหา



                “เธอนั่นเอง” เฮเลน่าส่งเสียงพูดแผ่วเบา



                “หนูต้องการความช่วยเหลือจากคุณค่ะ” จูปิเตอร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ที่คุณเคยบอกกับหนู อดีตเนิ่นนานนั้นไร้ค่า จงเปลี่ยนปัจจุบันกาล หนูยังไม่เข้าใจนัก แต่หนูไม่สามารถเปลี่ยนปัจจุบันได้ หากหนูไม่เข้าใจอดีต หนูคิดว่าคุณน่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว ขณะนี้ในปราสาท มีทายาทของหนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงเรียนฮอกวอตส์”



                “ฉันรู้” เฮเลน่าผงกศีรษะ “เขาเคยมาหาฉัน ครั้งแรกที่ฉันเห็นเขา ฉันจำเขาได้ทันที เขาเหมือนคนๆนั้นมากเสียจน... ฉันไม่อยากเชื่อ”



    จูปิเตอร์ไม่จำเป็นต้องถามว่าเขาเหมือนใคร คิดว่าพอจะรู้คำตอบ เฮเลน่ามีชีวิตอยู่ในช่วงที่ผู้ก่อตั้งทั้งสี่ยังสอนที่ฮอกวอตส์ และเป็นนักเรียนรุ่นแรกๆของโรงเรียน เฮเลน่าต้องรู้จักซัลลาซาร์ สลิธีรินอย่างแน่นอน จูปิเตอร์ไม่แน่ใจว่าควรพูดอย่างไรต่อดี จะบอกออกไปว่าเธอต้องการของชิ้นนั้นเพราะถูกข่มขู่ ตามราวีไม่เลิก เฮเลน่าจะยอมช่วยเธอหรือเปล่า? เด็กสาวเม้มริมฝีปาก เครียด และไม่รู้จะทำให้สำเร็จได้ยังไง



    “เขาเหมือน แต่ก็ไม่มีอะไรเหมือน” เฮเลน่าพูดต่อ “อาจพูดได้ว่า ไม่เหมือนแม้สักน้อย”



    “ท่านซัลลาซาร์ สลิธีรินเป็นคนอย่างไรหรือคะ” จูปิเตอร์ถามอย่างใคร่รู้ พาลสงสัยว่าจะมีนักเรียนสักกี่คนหนอ ได้สนทนาหัวข้อนี้กับเฮเลน่า เรเวนคลอ



    “เขาไม่ใช่อย่างที่ใครๆพูดกันในสมัยนี้” เฮเลน่าตอบ ไม่ขยายความต่อ



    “เขาเป็นคนดีใช่ไหมคะ?” จูปิเตอร์ถาม



    วิญญาณแห่งเรเวนคลอพยักหน้า “เขาเคยกังวลเรื่องทายาทของเขา กังวลว่าอีกพันปีต่อมา ความคิดของเขาจะสูญสลายไป ความตั้งใจเดิมที่มีจะไม่รับการสานต่อ และก็เป็นจริงดังนั้น” เมื่อได้ฟังแล้ว จูปิเตอร์คิดตามไปทีละเปลาะ ทีแรกเฮเลน่าบอกว่าซัลลาซาร์ สลิธีรินไม่เหมือนอย่างที่คนพูดกัน ต่อมากล่าวอีกว่าเขากังวลใจเรื่องความคิดของเขาไม่มีคนสานต่อ ถ้าเป็นอย่างที่ทุกคนเคยเข้าใจ สลิธีรินเกลียดลูกมักเกิ้ลที่มีเวทมนตร์ ไม่ต้องการให้อยู่ในโรงเรียนนี้ แต่ถ้าเขาเป็นคนดีอย่างที่เฮเลน่าว่า ความคิดของสลิธีรินคงจะผิดเพี้ยนถูกเสริมเติมแต่งไปตามเวลา สิ่งที่บ้านสลิธีรินเป็นในตอนนี้ ไม่ใช่เจตนาเดิมแท้จริงของผู้ก่อตั้ง



    “ในสายตาของคุณ ทอม ริดเดิ้ล เป็นผู้สานต่อของซัลลาซาร์ สลิธีรินหรือเปล่าคะ?” จูปิเตอร์ถาม



    “ไม่” เฮเลน่าตอบอย่างเศร้าสร้อย



    “ทำไมคุณถึงบอกให้หนูเปลี่ยนปัจจุบันคะ” เด็กสาวถามอย่างไม่เข้าใจ



    “เพราะเธออาจเป็นคนเดียวที่เปลี่ยนใจเขาได้”











    TALK

    จับผมเขา ให้ดอกไม้เขา ชวนเขาไปบ้านพ่อแม่ .................. ?????????????

    อะไรๆก็เหมือนจะดีหรอก แต่ไอ้ความคิดในหัวนี่สิ!

    ไว้ใจไม่ได้ค่ะ คุณผู้ชม  เอ๊ะ หรือจะมีคนเปลี่ยนเขาได้นะ?? //ให้คุกกี้ทำนายกัน 5555+


    พรุ่งนี้ ขออนุญาตไม่อัพนะคะ เป็นวัน Game of Thrones ค่ะ และมันเป็นวันจันทร์ Y^Y 

    ร้องไห้กับGoTมาสองตอนติดแล้ว คิดว่าพน.คงมีฉากกระชากใจอีก 

    ใน EP3 ฉันนี่แบบ... emotional crying ออกมาเลย เสียงกรีดร้องมา น้ำตามา เสียงสะอื้นมา อาการ Trauma หลังจบตอน มาเต็ม 

    พี่ที่ทำงานถามว่า "แลดูทรมานมากเลยนะ เมื่อไหร่จะจบอ่ะ"  55555555+


    ทำไมคำถามนั้นมันเหมาะกับการเขียนฟิค มากกว่าดูซีรีย์ล่ะคะ ? 

    การเขียนฟิค ไม่ต่างจากการดู GoT เท่าไหร่ค่ะ สนุกมากนะ แต่ก็เหนื่อยด้วยเหมือนกัน 





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×