คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : A long night
Notorious [Tom
Riddle & OC]
Chapter 6 : A long
night
ร่างเด็กสาวบนเตียงพยาบาลลืมตาโพลง
ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน จนเมอร์คิวรี เบิร์กต้องเข้าไปแตะบ่าให้อีกฝ่ายสงบลง
เธอสะดุ้งโหยง สะบัดมือของพี่ชายออกอย่างตกใจ เมอร์คิวรีพูดบางอย่าง
แต่เธอได้ยินเสียงของเขาเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล สิ่งสุดท้ายที่เด็กสาวจำได้คือความเย็นเฉียบของน้ำที่ทะลุผ่านริมฝีปากและจมูก
โอบล้อมและฉุดกระชากเธอลงไปยังเบื้องล่าง
มือและเท้าถูกมัดด้วยเชือกที่เสกจากเวทมนตร์ เธอคิดว่ากำลังจะต้องตาย
โดยมีคำถามเต็มหัวไปหมด ทำไม ทำไม ทำไม เธอยกมือทั้งสองกุมศีรษะปิดหน้าปิดตา
ความทรงจำก่อนจะหมดสติกลับเข้ามาทีละส่วน เธอยืนคุยกับทอม ริดเดิ้ล
เขาเดินจากไปแล้ว แต่เธอยังยืนใกล้ทะเลสาบตามลำพัง
คิดทบทวนคนเดียวในเรื่องที่เขาพูด หลังจากนั้น จูปิเตอร์หลับตาปี๋
เธอจำเสียงร่ายคาถาได้ รู้ว่าเป็นเสียงของเขา นาทีที่ล้มลงและเห็นสองคนนั้น
เธอร้องออกมา ถามว่าทำไม เมื่อพวกเธอร่ายคาถามัดมือมัดเท้า ลากร่างของเธอลงทะเลสาบ
เธอขอร้อง อ้อนวอน ด้วยความกลัว ถามว่าเธอทำอะไรผิดไป สุดท้าย เธอตะโกนขอให้ช่วย ทะเลสาบกลืนร่างลงไป
เหมือนปากของปีศาจร้าย
เมอร์คิวรียังคงพยายามสื่อสารกับเธอ
ถามว่าเธอจำอะไรได้บ้าง เห็นหน้าของคนที่ทำร้ายเธอไหม จะให้ตอบออกไปอย่างไร
ลำคอของเด็กสาวตีบตัน ก้อนสะอื้นลูกใหญ่จุกแน่น เธอสับสน ไม่เข้าใจ งงไปหมด
สองคนนั้นคือเพื่อนตั้งแต่ปีหนึ่ง เธอที่ทั้งขี้อายชี้กลัว
ยังจำได้ว่าดีใจมากเหลือเกินที่มีเด็กคนอื่นมาคุยด้วย นั่งเรียนข้างๆกัน
อ่านหนังสือ ทำการบ้าน เล่นปาหิมะในฤดูหนาว ให้ของขวัญในวันคริสมาสต์
เขียนจดหมายหากันช่วงฤดูร้อน เพื่อนที่เธอคิดว่ารู้จักดี เธออาจไม่รู้จักเลย
“หยุดถามเถอะ คุณประธานนักเรียน
เธอยังจับต้นชนปลายไม่ถูก”
ประโยคที่ทะลุเข้าโสตประสาทชัดเจนที่สุด
ดังมาจากด้านซ้ายของเตียง น้ำเสียงทุ้มรื่นหูราวกับเสียงดนตรี จูปิเตอร์เงยหน้าจากฝ่ามือทั้งสอง
หันไปมอง ร่างสูงผอมของเด็กหนุ่มผมสีดำยืนด้านข้าง เกือบชิดขอบเตียง
เขานำมือสองข้างไพล่หลัง วางท่าเหมือนคุณชายจากสังคมชั้นสูง ดูสุภาพเรียบร้อย
สีหน้ามีแววกังวล และถ้าเธอตาไม่ฝาดไปเพราะแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดเข้าหน้าต่าง
เธอเกือบจะคิดไปแล้วว่าแววตาที่เฉยเรียบเสมอนั้น แสดงความห่วงใย
เมอร์คิวรีเหลือบตาขึ้นมองทอม
ริดเดิ้ล เด็กสลิธีรินปีห้าผู้มีชื่อเสียง
น้องชายของเขาเรียกเด็กคนนี้ว่าเพื่อนสนิท แต่เท่าที่เขาสังเกตเห็น
มาร์สเหมือนผู้ติดตามที่เทิดทูนฝ่ายนั้นอยู่คนเดียว อย่างไรก็ตาม
ริดเดิ้ลผู้นี้ช่วยชีวิตน้องสาวของเขาไว้จากการจมน้ำตาย แม้จะน่าสงสัยว่าบังเอิญเกินไปหรือไม่ที่เขาไปเดินอยู่แถวนั้นตามลำพัง
และทำไมไม่เห็นว่าใครคือคนร้าย แต่เมอร์คิวรีก็ทำตามที่ริดเดิ้ลแนะนำ เงียบเสียง
หยุดพูด และเลิกพยายามบังคับให้น้องสาวนอนลง จากที่เห็นตอนนี้
จูปิเตอร์เหมือนจะร้องไห้ และมีสีหน้าสับสนมากทีเดียว
“คุณริดเดิ้ล ไม่เห็นคนอื่นเลยหรือ?”
อีกบุคคลที่อยู่ในห้องเอ่ยถาม
ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ยืนอยู่ห่างจากปลายเตียงมากพอสมควร
คางของเขาปกคลุมด้วยเคราสีน้ำตาล นัยน์ตาสีฟ้าเพ่งมองริดเดิ้ลอย่างรอคอยคำตอบ
“ไม่เห็นครับ อาจารย์” ทอมยืนกราน
“ผมเพิ่งจะสนทนากับคุณเบิร์ก กำลังเดินกลับไปที่ปราสาท เกือบจะถึงประตูแล้ว
ผมหันกลับไปมองแถวทะเลสาบ ไม่เห็นเธอ และไม่เห็นว่าเธอเดินมาเลย ผมรู้สึกกังวล
จึงเดินกลับไป ตอนนั้นเองได้ยินเสียงร้อง ผมรีบวิ่งไปที่นั่น
เห็นเธอกำลังจะจมน้ำครับ ผมช่วยเธอขึ้นมา แต่เธอหมดสติไปแล้ว
ผมช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ เธอสำลักน้ำออกจากปอด
แต่คงเหนื่อยมากจนสลบไปอีกครั้งตอนผมอุ้มเธอมาที่นี่”
“แต่ไม่มีใครเห็นตอนที่คุณเดินกลับมาที่ปราสาทครั้งแรก
ก่อนจะไปช่วยคุณเบิร์ก” ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์พูด ไม่มีแววใส่ความ
แต่คนฟังย่อมรู้สึกถึงได้ว่ากำลังถูกสงสัย
“ไม่มีใครเห็นครับ” ทอมตอบอย่างใจเย็น
ไม่แสดงความเดือดเนื้อร้อนใจ “บ่ายนี้อากาศไม่ดีเหมือนฝนจะตก ไม่มีใครออกมาข้างนอก
นอกจากทีมเรเวนคลอซ้อมควิดดิชอยู่ที่สนาม ก็มีแค่ผมกับคุณเบิร์กที่ออกมาเดินคุยกัน
ผมไม่มีพยานว่าผมไม่ได้ทำร้ายเธอ แต่ผมไม่ได้ทำจริงๆ
ผมจะทำร้ายเธอทำไมในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน”
เราเป็นเพื่อนกัน
“เราเป็นเพื่อนกันนะ
ต้องช่วยกันสิ” คำพูดของโรซาลินด์ดังก้องในความทรงจำของจูปิเตอร์ ปีก่อน
เธอป่วยเป็นไข้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน เข้าเรียนไม่ได้เกือบอาทิตย์
อาจารย์เมร์รี่ธอตสั่งให้เขียนเรียงความในวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดพอดี
โรซาลินด์กับเพเนโลพีแทบจะมากินนอนอยู่ห้องพยาบาล
นอกจากนำการบ้านและบทเรียนมาอธิบายแล้ว ยังช่วยตรวจเรียงความให้เธออีกด้วย
จูปิเตอร์กล่าวขอโทษที่ทำให้ยุ่งวุ่นวายไปหมด และโรซาลินด์พูดประโยคนั้น
เธอทั้งตื้นตันใจและมีความสุขที่ได้เพื่อนดีๆอย่างทั้งสองคน
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับมิตรภาพของพวกเธอ
“ไม่ใช่เขา” จูปิเตอร์กระซิบ
มองสบตากับอาจารย์ดัมเบิลดอร์ “ทอมไม่ได้ทำร้ายหนู”
เสียงกระซิบของเธอเรียกความสนใจจากอีกสามคน
ดัมเบิลดอร์ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “คุณเห็นคนที่ทำร้ายคุณไหม คุณเบิร์ก”
นั่นสิ เธอควรตอบว่าเห็นหรือไม่เห็น
จูปิเตอร์ใช้มือข้างขวานวดระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง ตัดสินใจส่ายหน้า
โกหกไปว่าไม่เห็น “หนูถูกคาถาสะกดนิ่งจากด้านหลัง ล้มหน้าคว่ำกับพื้น
ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนสองคน พวกนั้นไม่พูดเลยสักคำ มาถึงก็ใช้คาถามัดมือมัดเท้า
แล้วจับหนูลงทะเลสาบ อาจเป็นการกลั่นแกล้งเฉยๆก็ได้ค่ะ”
เธอไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แม้สำหรับเธอจะเป็นเรื่องใหญ่มากก็ตาม
“กลั่นแกล้งอะไรกัน
เธออาจมีอันตรายถึงชีวิต” ทอม ริดเดิ้ลพูดด้วยน้ำเสียงติดโมโห
“เธอไม่เห็นว่าตอนที่ฉันช่วยเธอขึ้นมา หน้าเธอซีดขาวน่ากลัวแค่ไหน”
เขาหันทั้งตัวไปหาดัมเบิลดอร์ ใบหน้าเครียดขึง “อาจารย์จะทำอย่างไรครับ
เธอไม่เห็นคนร้าย แล้วจะตามหากันอย่างไร ถ้าคนๆนั้น หรือสองคนนั้น
ลงมือทำร้ายคนอื่นอีก แล้วไม่มีใครไปช่วยทัน หรือถ้าพวกนั้นกลับมาทำร้ายเธอ”
เมอร์คิวรีมีความรู้สึกเหมือนหัวหลักหัวตอ
เขาควรจะเป็นคนพูดประโยคเหล่านั้น แสดงความห่วงใยต่อน้องสาว
และถามอาจารย์ว่าจะตามหาคนร้ายด้วยวิธีใด
“เราจะสืบหาคนทำแน่ คุณริดเดิ้ล”
เมอร์คิวรีพูดขึ้น “ในฐานะประธานนักเรียน ผมมีสิทธิ์เรียกประชุมพรีเฟ็คทั้งปีห้าและปีหก
เพื่อตามสืบเรื่องนี้ อีกทั้งอาจารย์ย่อมช่วยด้วยแน่นอน”
ดัมเบิลดอร์ยังไม่ทันได้พูดต่อ
มาดามคันนิงแฮม ผู้ดูแลห้องพยาบาลเดินลิ่วออกมาพร้อมกับขวดยาและแก้วใบโต
ขอให้พวกเขาออกไปปรึกษาหารือกันด้านนอก คนไข้อย่างจูปิเตอร์จำเป็นต้องพักผ่อน
และต้องนอนห้องพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งคืน ทำร่างกายให้อบอุ่น จะได้ไม่เป็นหวัด
จูปิเตอร์อยากจะขอบคุณมาดามสักสิบครั้ง
เธอกำลังอึดอัดเมื่อได้ยินพวกเขาคุยกันเรื่องตามหาคนร้าย
ทั้งที่เธอรู้เต็มอกว่าคือใคร เด็กสาวรับยาจากมาดามมาดื่มอย่างว่าง่าย
ยอมทิ้งตัวลงนอน ห่มผ้าจนถึงคาง หลับตาลง ไม่นานยาก็ออกฤทธิ์
พวกเขาเดินออกจากห้องกันหมดแล้ว ดวงตาของเธอสะลึมสะลือ
เธอจำเหตุการณ์หลังถูกช่วยขึ้นมาได้เลือนราง
เส้นผมสีดำของทอม ริดเดิ้ลเปียกชื้น
แนบไปกับหน้าผาก แววตาสีน้ำตาลกระวนกระวายและตื่นตระหนก
เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นอย่างนั้นมาก่อน มือของเขาเปียกน้ำ
แต่กลับอบอุ่นเมื่อประคองใบหน้าของเธอไว้ เขามองซ้ายมองขวา
พยายามจะหาว่ามีใครสักคนไหมที่พอจะช่วยเธอได้ สุดท้าย เขาอุ้มเธอขึ้น
ให้ศีรษะของเธอพิงอยู่กับอกและหน้าผากซุกหาไออุ่นจากซอกคอ เธอหนาว ตัวสั่น
ริมฝีปากสั่นระริก เขากระชับอ้อมแขนให้แนบแน่น กระซิบบอกว่า ปลอดภัยแล้ว
ไม่เป็นไร อีกนิดเดียวจะถึงปราสาทแล้ว วนไปอย่างนั้น
เธอเหนื่อยจากการพยายามถีบขา ตะกายแขน ต่อสู้กับแรงดึงของน้ำ
เธอจำได้ว่าเอนศีรษะเข้าหาเขา น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่น ก่อนจะหลับไปอีก
จูปิเตอร์ผลุบหน้าหายเข้าไปใต้ผ้าห่ม
แก้มสองข้างร้อนผ่าว ราวกับจะเป็นไข้
เธอตื่นอีกครั้งกลางดึก ไม่รู้ว่าเวลาเท่าใดแล้ว
เด็กสาวขยับตัวดันกายลุกขึ้นเพราะรู้สึกหิวน้ำ ทันใด พลันเห็นว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
ที่ข้างเตียงด้านซ้าย มีเด็กหนุ่มอีกคนนั่งอยู่
อาศัยแสงไฟที่เสกใส่ขวดแก้วในการอ่านหนังสือ แวบหนึ่ง เธอคิดว่าเป็นทอม ริดเดิ้ล
แต่เมื่อมองดูอีกครั้ง กลับเป็น โอไรออน แบล็ก
เด็กสลิธีรินอีกคนที่อยู่ในกลุ่มของเขา
“อยากได้อะไร?” โอไรออนถาม
“น้ำ” เธอพูด ลำคอแห้งเป็นผงทราย
โอไรออนสะบัดไม้กายสิทธิ์
ใช้คาถาเรียกของนำทำขวดหน้าและแก้วน้ำบินออกมาจากตู้ เขาช่วยรินน้ำใส่แก้วและยื่นให้เธอ
เด็กสาวเรเวนคลอดื่มน้ำดับกระหายก่อน แล้วจึงถาม
“ทำไมนายอยู่ที่นี่ เวลาดึกอย่างนี้”
เธอเอนหลังพิงพนักเตียง
“ฉันมาเฝ้า
ไม่ให้ใครแอบมาสะกดนิ่งเธออีก” โอไรออนตอบ
“ห้องพยาบาลปลอดภัยดี
มาดามคันนิงแฮมพักที่ห้องตรงนั้น” จูปิเตอร์ชี้มือไปทางอีกฟาก
มีประตูไม้บานหนึ่งที่ผนัง เป็นห้องพักส่วนตัวของมาดาม
“เธออาจคิดว่าปลอดภัย แต่เขาไม่วางใจ”
โอไรออนให้เหตุผล ปิดหนังสือวางไว้บนตัก
เมื่อเดาได้ว่าการสนทนานี้อาจยาวนานกว่าที่คาด
“นายทำตามที่เขาสั่งเสมอหรือ?”
จูปิเตอร์ถาม
“เขาไม่ไดสั่ง เขาขอร้องให้ช่วย”
โอไรออนเลิกคิ้วขึ้น “ฉันไม่ชอบทำตามคำสั่งของใครหน้าไหนทั้งนั้น
ฉันเป็นคุณชายตระกูลแบล็กนะ เผื่อเธอลืม คุณลูกพี่ลูกน้อง”
บางครั้งเธอเกือบลืมไปแล้วว่าครอบครัวเป็นญาติกับพวกแบล็ก
เบลวิน่า แม่ของเธอเป็นน้องสาวของเบลลาดอนน่า แม่ของโอไรออน จะว่าไป
พวกเขาเป็นญาติที่สนิทชิดเชื้อทางสายเลือดมากทีเดียว
แต่จูปิเตอร์ไม่ค่อยได้คุยกับเขานักที่โรงเรียน
และเขาก็เหมือนจะไม่อยากคุยกับเธอมาก่อน
“ไม่ยักรู้ว่าเขาขอร้องใครเป็นด้วย”
จูปิเตอร์บอก
โอไรออนยกมือขึ้นเกาต้นคออย่างหัวเสียนิดๆ
“เธอเชื่อเรื่องที่ว่าพวกเราเป็นผู้ติดตามในแก็งของเขา และเขาเป็นหัวหน้าตัวร้ายที่ชอบออกคำสั่ง
ทรมานลูกแก็ง พี่ชายฝาแฝดของเธอเป็นสมาชิกปลายแถวที่ถูกพวกเรากลั่นแกล้ง
ฉันนึกว่าทอมบอกความจริงกับเธอเรื่องการทดสอบแล้วเสียอีก
เขาออกคำสั่งกับมาร์สก็จริง บางครั้งเขาชอบทำตัวเป็นบอส แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะยอมให้เขาทำตัวบอสซี่ตลอดเวลา
ฉันคงทนหมอนั่นได้ไม่ถึงตอนนี้ ถ้าเขานิสัยแย่ขนาดนั้น”
“ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่”
จูปิเตอร์พูดตามความจริง เธองงไปหมด
“ไม่แปลก” โอไรออนบอก
โน้มใบหน้าลงมาเล็กน้อย “เขาปั่นหัวเธอ ทดสอบเธอ จับเธอเดินเป็นตัวเบี้ย เธอไม่สับสนก็คงแปลก
ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะสาปเขาแรงๆสักที”
จูปิเตอร์พ่นลมทางจมูก เหมือนขำขัน
เขาคงยอมให้เธอเอาคืนได้ง่ายๆหรอก ต่อให้เธอย่องไปข้างหลัง
เขาอาจจะรู้ตัวและโต้ตอบทัน “นายไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ ฉันดูแลตัวเองได้
ฉันมี...” ไม้กายสิทธิ์ จริงสิ เธอไม่เห็นไม้กายสิทธิ์ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา
พอเกิดเรื่อง ก็ไม่ทันได้นึกถึงเลย
“แม่มดที่ไม้กายสิทธิ์หาย
ดูแลตัวเองไม่ได้แน่ๆ” โอไรออนพูดดักทาง “แต่ไม่ต้องห่วง ฉันคิดว่าเมอร์คิวรี
คงเขียนจดหมายบอกพ่อแม่เธอแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้จูปิเตอร์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
โอไรออนสังเกตเห็นความกังวลของเธอ
เขารู้ลึกตื้นหนาบางภายในบ้านเบิร์กดีพอๆกับบ้านตัวเอง ทั้งได้ยินจากมาร์ส
และได้ยินจากพ่อแม่ของเขา จูปิเตอร์เป็นลูกสาวที่ได้รับความรักน้อยที่สุด
ทั้งที่เป็นคนสุดท้อง เพราะเธอมีแต่ความจืดจาง พูดน้อย
ไม่ช่างประจบประแจงเหมือนมาร์ส แม้เธอจะประสบความสำเร็จ ได้คะแนนดี ได้เป็นพรีเฟ็ค
คำชมที่เธอได้รับก็ยังน้อยนิด เฮอร์เบิร์ต เบิร์ก
ไม่ได้ฝากความหวังไว้กับลูกสาวที่สุดท้ายต้องแต่งงานเปลี่ยนนามสกุล
เขาให้ความสำคัญกับลูกชายที่จะสืบทอดตระกูลเบิร์กต่อไปมากกว่า
เบลวิน่าพยายามให้ความรักกับลูกสาวเท่าที่ทำได้
แต่เธอก็ภูมิใจในตัวลูกชายคนโตมากกว่าอยู่ดี
ลูกสาวที่มีตัวตนอย่างบางเบาในครอบครัว เหมือนถูกกดศีรษะให้กังวลไปหมดเสียทุกอย่าง
เมื่อทำอะไรผิดพลาด หรือต้องสร้างความยุ่งยากให้คนในครอบครัว
มองดูแล้ว
ก็น่าสงสาร โอไรออนคิดในใจ แต่ไม่ใช่ธุระของเขาที่จะมาช่วยเหลือ
สุภาพบุรุษไม่ยื่นมือไปยุ่งกับสิ่งของที่เป็นของผู้อื่น และจูปิเตอร์มีเจ้าของแล้ว
“ฉันไม่อยากให้นายมานั่งตรงนี้จนเช้า
ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาทำ” จูปิเตอร์บอกอย่างอึดอัดใจ
“ฉันไม่ต้องอยู่จนถึงเช้า
แค่มาเฝ้าแทนสองชั่วโมง เธอดันตื่นขึ้นมาตอนนี้เอง” โอไรออนบอก
พลางยกมือเสยเส้นผมที่ลงมาปรกดวงตา
จูปิเตอร์แอบกลอกตาในความมืด
ไล่อย่างไรก็ไม่ไป นอกเสียจากเธอจะไปเอง แต่ถ้าตอนเช้ามาดามไม่เห็นเธออยู่บนเตียง
อาจเป็นเรื่องใหญ่ได้ เด็กสาวได้แต่ทอดถอนใจ จะกลับไปหลับต่อ คงหลับไม่ลง
หากมีคนอื่นนั่งเฝ้าอย่างนี้ โอไรออนกลับไปอ่านหนังสือที่ค้างไว้
เธอขยับผ้าห่มคลุมตัวมาถึงไหล่ ยังคงนั่งพิงพนักเตียงตามเดิม
เนื่องจากนอนไม่หลับและหายจากอาการสะเทือนใจบ้างแล้ว
เธอมีเวลาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด มันประหลาดอย่างยิ่ง
พิลึกจนไม่น่าจะเป็นความจริง เพื่อนทั้งสองไม่มีวี่แววขุ่นเคืองเธอมาก่อน
จะทำเรื่องไหนไปเพื่ออะไร? จูปิเตอร์สูดลมหายใจเข้า
เธอต้องเรียบเรียงทีละนิดอย่างมีสติ
หนึ่ง
ทั้งคู่เป็นเพื่อนของจูปิเตอร์มาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางแตกหัก
อาจทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสา แต่ทุกครั้งจะขอโทษและปรับความเข้าใจจนไม่มีเรื่องติดค้าง
หรือจะมีสิ่งที่เธอไม่รู้ซ่อนอยู่?
สอง
เพเนโลพีอาจเป็นผู้หญิงขวานผ่าซาก แต่มีความอ่อนโยน และที่สำคัญคือมีเมตตา
โรซาลินด์นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เธอชอบใจลอยบ่อยๆ ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย
นอนหลับในวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ทุกรอบ เวลาว่างชอบหาโอกาสเข้าห้องสมุด
อ่านหนังสือเสมอ เด็กสาวสองคนนี้จะทำร้ายใครได้ลง
สาม
เป็นไปได้ไหมว่านี่คือแผนของทอม ริดเดิ้ลอีกแล้ว
มีคาถาที่สามารถควบคุมจิตใจและการกระทำของผู้คนได้
หากผู้ร่ายเวทมนตร์บทนั้นมีพลังและความตั้งใจมากพอ ผลของมนตร์จะคงทนอยู่นาน
แต่ใช่ว่าจะไม่เสื่อมไป หากเป็นฝีมือพวกเขาจริง
เขาก็ต้องหาทางเติมเวทมนตร์ใส่เพเนโลพีกับโรซาลินด์
จะต้องทำเรื่องยุ่งยากบ่อยๆได้หรือ? ถ้าเป็นแผนการของเขา เขาทำเพื่ออะไร?
ทำร้ายเธอ ขู่เธอ ให้เธอกลัว แค่คำพูดที่สั่งให้มาร์สบอก ยังไม่มากพอหรือไง ส่งคนมาเฝ้าอย่างนี้อีกด้วย
จะหมายความว่าอย่างไรกัน
ยิ่งคิด
ยิ่งตามไม่ทัน ยิ่งไม่เข้าใจ นามสกุลของเขาช่างเหมาะกับตัวเขา ริดเดิ้ล เป็นปริศนาที่ไขได้ยากยิ่งกว่าปริศนาทางเข้าห้องนั่งเล่นรวมเรเวนคลอทุกอันรวมกัน
ต่อจากนี้จะทำอย่างไร?
จะถามเขาไปตรงๆ เผชิญหน้ากันให้แตกหัก กล่าวหาเขาทันที ทำอย่างนั้นย่อมไม่ได้
เขาจะใช้ลูกไม้เดิม เธอมีหลักฐานหรือ? คำถามนี้จะต้องหลุดจากปากเขาแน่นอน
จูปิเตอร์ไม่มีหลักฐาน นอกจากจะหาทางทำลายคำสาปสะกดใจบนตัวเพื่อนทั้งสอง
และเค้นคำตอบจากพวกเธอว่าใครเป็นคนสาป เขาไม่มีทางลงมือด้วยตนเอง
เท่าที่จูปิเตอร์สังเกตเห็น เขาจะใช้คนอื่น สั่งให้มาร์สมาคุยกับเธอ
สั่งเพื่อนในแก็งของเขามาเฝ้าที่ห้องพยาบาล
เขาจะลงมือเองเมื่อต้องหว่านล้อมเธอเท่านั้น
พูดตามสัตย์จริง
เขาเกือบจะหว่านล้อมเธอให้ตามหารัดเกล้าเรเวนคลอสำเร็จแล้ว
จูปิเตอร์ทั้งสงสัยและสนใจ อีกทั้งได้ยินประโยคแปลกๆจากเฮเลน่า เรเวนคลอ
เธออยากตามสืบเสาะจนเห็นรัดเกล้ากับตาตัวเอง ริดเดิ้ลไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมรู้สิว่าไม้อ่อนใช้กับเธอได้ผล
แล้วจะสาปเพื่อนๆให้มาลากเธอลงทะเลสาบทำไม? เพื่อให้เขากลายเป็นวีรบุรุษ เพื่อให้เธอเชื่อใจ
แต่เขาคงโง่เต็มที ถ้าคิดว่าเธอจะคิดไม่ออก หรือว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่นั้น
คำสาปสะกดบังคับให้พวกเธอทำเรื่องนั้น ย่อมบังคับให้สารภาพความผิดออกมาได้เช่นกัน
เมื่อเพเนโลพีกับโรซาลินด์พูดออกมาว่าเป็นคนจับจูปิเตอร์ทิ้งทะเลสาบ
พวกเธออาจถูกลงโทษด้วยการไล่ออก
ทอม
ริดเดิ้ล ตั้งใจกำจัดเพื่อนของจูปิเตอร์ทิ้งไป เพื่อให้เธอเหลือตัวคนเดียว!
ถ้ามันเกิดขึ้นคืนนี้ล่ะ
ถ้าพวกเธอไปสารภาพกับอาจารย์ประจำบ้านเรเวนคลอ และป่านนี้เรื่องถึงอาจารย์ใหญ่แล้ว
เพราะอย่างนี้ เขาถึงต้องส่งโอไรออน แบล็กมาเฝ้าเธอ ให้ตายสิ
ทำไมไม่คิดได้ให้เร็วกว่านี้
เดี๋ยวก่อน
เสียงในใจห้ามเธอไว้ ตอนนี้ไม่มีไม้กายสิทธิ์ เธอพนันร้อยทั้งร้อย
ริดเดิ้ลต้องเป็นคนเก็บไม้กายสิทธิ์ของเธอไป ขืนเธอพรวดพราดลุกจากเตียง
แสดงออกไปว่าเธอรู้หมดแล้ว โอไรออนต้องใช้ไม้กายสิทธิ์จัดการเธอแน่
จะทำทีเป็นเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ ดันอยู่คนละฝั่งกับประตูทางออก
เธอแค่ต้องทำยังไงก็ได้ให้หลุดพ้นไปจากห้องนี้ วิ่งกลับไปให้ถึงหอเรเวนคลอ
ถ้าเพเนโลพีกับโรซาลินด์ยังอยู่บนเตียงก็ดีไป เธอจะรอจนเช้า
แล้วบอกเรื่องนี้กับอาจารย์ประจำบ้าน เอาล่ะ ตอนนี้จะทำอะไรได้บ้าง
เด็กสาวชำเลืองมองโอไรออน ดวงตาของเขาติดกับหนังสือ ไม่สนใจสิ่งรอบตัว
เธอเหลือบเห็นไม้กายสิทธิ์ของเขาวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง จะเอื้อมหยิบก็ไม่ยากเลย
แค่ต้องไวเท่านั้น
หัวใจของจูปิเตอร์เต้นแรง
ฟันขบกัดริมฝีปากล่าง และตัดสินใจเคลื่อนไหวทันด่วนตอนนั้น “แอ็กซีโอ!” เธอพลิกตัว
ยื่นมือรอขณะที่ไม้กายสิทธิ์ของโอไรออนเด้งเข้ามาหามือเธอ
อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาโต้ตอบว่องไว หนังสือหล่นลงไป เขาโถมตัวเข้าใส่
เธอกลิ้งตัวหลบลงไปจากเตียงอีกฝั่ง
“เพ็ตตริพิคัส
โททาลัส” จูปิเตอร์ร่ายคาถา ชี้ไม้กายสิทธิ์ตรงไปที่โอไรออน
ร่างของเขาแข็งทื่อและล้มลงใส่เตียงครึ่งตัว เธอไม่อยู่รอดูหลังจากนั้น แต่รีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ประตู
ผลักเปิด และพรวดพราดออกไปด้านนอกทันที เธอวิ่งไปตามทางเดิน ปีนขึ้นบันไดกล
ไปทางหอคอยเรเวนคลอ คิดอีกที เธอไม่สามารถรอได้จนถึงตอนเช้า
ต้องปลุกอาจารย์เมร์รี่ธอต แม้จะเป็นการรบกวนยามดึกมากขนาดนี้ก็ตาม จูปิเตอร์บุกตะลุยจนถึงหน้าห้องของอาจารย์ประจำบ้านและรัวกำปั้นเคาะลงบนประตูเนื้อไม้
เธอรออย่างอดทนเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากข้างใน
เสียงเคลื่อนไหว ของหล่น และในที่สุดอาจารย์เมร์รี่ธอตเปิดประตู
หญิงวัยห้าสิบแปดปีมองลูกศิษย์อย่างตกใจ เมื่อเห็นเหงื่อเม็ดเป้งบนหน้าผาก
และอาการกระหืดกระหอบ
“คุณเบิร์ก
ตายจริง คุณควรจะอยู่ที่ห้องพยาบาล ออกมาทำอะไรเวลานี้” อาจารย์ถามอย่างเป็นห่วง
“หนูรู้ว่าใครทำร้ายหนูค่ะ
หนูจำได้แล้ว แต่ว่า...”
“เรื่องนั้นเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อหัวค่ำแล้ว
คุณเบิร์ก พี่ชายของคุณ เมอร์คิวรี ตามหาตัวคนทำจนเจอ” อาจารย์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“กลับไปที่ห้องพยาบาลก่อนเถอะนะ ไม่ต้องกังวลอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
“ไม่ค่ะ
มันไม่เรียบร้อย” จูปิเตอร์ส่ายศีรษะอย่างขวัญผวา “ใครคะ พี่ชายของหนูจับใครได้?”
“จูปิเตอร์”
อาจารย์เมร์รี่ธอตมีท่าทางอึกอัก “นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะเลย คุณควร...”
“อาจารย์ต้องบอกค่ะ!” เธอยืนกราน
เมร์รี่ธอตผ่อนลมหายใจ แววตาแสดงความสงสารและห่วงใย “เพเนโลพี เฮสติงส์ ร่ายคำสาปสะกดใจใส่คุณโรซาลินด์ เลิฟกู๊ด บังคับให้เธอร่วมมือกันทำร้ายคุณ”
จูปิเตอร์สั่นหน้าเร็วๆอย่างประสาทเสีย
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เพนนี ทุกคนเข้าใจผิด”
“ฉันตรวจสอบไม้กายสิทธิ์ของคุณเฮสติงส์ด้วยตัวเอง
มีการใช้คำสาปสะกดใจจริง และไม้กายสิทธิ์ของคุณก็อยู่กับคุณเฮสติงส์ด้วย
เธอเป็นคนเอาไป”
จูปิเตอร์ยกมือกุมขมับ
นี่มันกลับตาลปัตรไปหมด
เธอถูกซ้อนแผนอย่างแยบคาย
พ่ายแพ้หมดรูป
TALK
สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด
ตอนพิมพ์คำว่า "เพนนี" อยู่ๆก็นึกถึงฟิคเพนนีไวส์ที่เขียนค้างไว้ขึ้นมา พอนึกได้แล้วก็เขิน ฟิคนั้นแบบ...
5555+ อย่าไปพูดถึงมันเลยเนอะ
ความคิดเห็น