ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Psyche ] โลก ฝัน จิต (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #6 : [ Riley ] : Never turn back.

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 60




    Psyche

    Chapter 6  : Never turn back.





    [  Riley ]




                    แดดแรง สีส้มจัดพาดผ่านท้องฟ้า ส่องกระทบหน้าต่างรถยนต์ที่กำลังแล่นไปบนถนน และเส้นผมสีบลอนด์ที่แนบอยู่กับกระจก ร่างกายของไรลีย์ต้องการพัก หลังจากขับรถมาหกชั่วโมง เบลคผลัดเวรเป็นคนขับในตอนกลางคืนแทน พวกเขาเดินทางโดยไม่พัก พ้นพรมแดนแคนาดามาได้สามชั่วโมงแล้ว มุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีลังเลใจ ไม่มีการหวนกลับ และแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ไรลีย์พอจะเข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้เขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่อยากพูดคุย เอาแต่คิดว่าจะมุ่งไปข้างหน้าให้รวดเร็วที่สุด เพื่อจะไม่มีใครตามมาอีก



                    เสียงจากวิทยุยังดังอย่างต่อเนื่อง เบลคพยายามหมุนหาคลื่นที่ไม่ได้ถูกควบคุม คลื่นที่พวกมนุษย์แอบใช้เพื่อส่งข่าว แต่สิ่งที่ไรลีย์ได้ยิน มีแต่เสียงซ่า หรือประกาศจากพวกทหารที่บอกให้ประชาชนทุกคนยอมมอบตัว เป็นหนึ่งเดียวกับยูโทเปีย และพบกับความสุขนิรันดร์ เบลคจะมองอย่างรังเกียจและกดเปลี่ยนช่องทันที ไรลีย์ไม่ได้พูดออกความเห็นใดๆ ทั้งที่สงสัยว่าเบลคมั่นใจกี่เปอร์เซ็นต์ว่ายังมีกลุ่มมนุษย์เหลืออยู่จริง ในฐานะที่เป็นสเกาต์ เธอได้ยินแต่ข่าวลือลอยเข้าหู ทั้งจากฝั่งของพวกเธอเอง และฝั่งของมนุษย์ด้วย แต่มันคุ้ม ถ้าจะลองเสี่ยงไปดูให้เห็นกับตา และดูเหมือนเบลคจะมีดวงเจอคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง เขามีรัศมีของความน่าเชื่อใจ พึ่งพาได้ และหัวคิดอันตรายนิดๆ กล้าได้กล้าเสี่ยง คนแบบนี้มักจะดึงดูดพวกมนุษย์ขี้กลัวที่หลบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆมาเข้าหา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานของไรลีย์



                    หญิงสาวปล่อยให้ร่างกายไรลีย์ได้พักผ่อน หลับให้เต็มอิ่ม พร้อมจะตื่นในอีกหกชั่วโมงถัดไป เพื่อผลัดเวรขับรถ เธอหลับตา ศีรษะพิงกระจก แสงยามกลางวันเริ่มคล้อยหายไปตามดวงอาทิตย์ที่โน้มลงเหนือยอดไม้ เธอชอบเวลาที่ร่างกายของไรลีย์กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลาย ลูกนัยน์ตาหยุดนิ่ง โลกทั้งหมดมืดสงบ หัวใจเต้นช้าลง คลื่นในสมองอยู่ระดับเดลต้า ไรลีย์เป็นพวกหลับลึก เธอจึงรู้สึกสงบเวลาที่ร่างกายหลับ เธอยังอยู่ ยังรับรู้ทุกอย่าง ได้ยินเสียงทุกสิ่ง ทั้งเสียงเครื่องยนต์ เสียงซ่าๆจากวิทยุ เสียงถอนหายใจของเบลค บางครั้งเธอสงสัย จะเป็นยังไง ถ้าได้หลับแบบที่มนุษย์หลับ



                    เธอไม่เคยหลับ ธรรมชาติของเธอเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เริ่มแรก ทุกวินาทีผ่านพ้นไปกับชีวิตที่ยืนยาว เหมือนจะเป็นนรกที่ไม่มีวันจบสิ้น บางครั้งเธออิจฉา มนุษย์มีความฝัน มนุษย์ได้หลับ จิตใจหยุดทำงาน ไร้ซึ่งความคิดใดๆ มีแต่สมองที่ยังทำงานอยู่ สั่งให้เลือดยังไหลเวียน ไม่เหมือนกับเธอ เธอไม่เคยแม้แต่จะสลบ หมดสติ เธอรับรู้ทุกอย่างในทุกวินาทีของชีวิต ตั้งแต่ยุคโบราณ มองความเป็นไปของสรรพสิ่ง เฝ้ารอคอยเวลาของตัวเอง เธอเห็นมาทั้งหมด อยู่ในทุกยุคสมัย ทำหน้าที่แบบเดิมทุกครั้งที่พวกเขาตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง สเกาต์ ตามหา ค้นพบ เพื่อกวาดล้าง และสุดท้ายจะนำไปสู่ผลลัพธ์แบบเดิม ยุคสมัยใหม่เกิดขึ้น แล้วพวกเขาก็จากไป แต่เท่าที่เธอรู้ ครั้งนี้จะต่างออกไป เธอไม่แน่ใจว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่



                    ทะเล อยู่ๆภาพทะเลฉายแวบเข้ามาในสมอง เป็นภาพสีจาง เหมือนรูปถ่ายเก่าที่เก็บไว้จนกลายเป็นสีน้ำตาล นัยน์ตากลอกไปซ้ายทีขวาที แล้วหยุดนิ่ง ภาพเริ่มชัดมากขึ้น เธอเห็นไรลีย์ ยิ้มกว้าง อยู่กับบรรดานักเรียนของเธอที่พากันแบกเครื่องดนตรีออกมานั่งริมทะเล และบรรเลงเพลง เรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น ร่างกายนี้เป็นเพียงร่างกลวงๆ เป็นแค่เปลือกหอย เธอเป็นเจ้าของเปลือกหอยนี้แล้ว สะเก็ดความทรงจำ ความฝัน ไม่ควรจะกลับเข้ามาได้อีก เธอครอบครองร่างนี้มาเกือบหกเดือน มันควรจะเข้าที่เข้าทาง อันที่จริง ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีภาพฝันรบกวนเวลาร่างกายหลับพักผ่อน เพราะไรลีย์ เฮย์ส คืออาสาสมัครผู้เต็มใจมอบร่างกายให้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่ได้มาจากการช่วงชิง



                    ผู้หญิงคนนี้ต้องการพักผ่อนจากโลกตลอดกาล เหนื่อยและเบื่อหน่ายกับโรคประจำตัวที่รักษาไม่หาย โดดเดี่ยวและเศร้าสร้อยกับการจากไปของคนสำคัญในชีวิต เธอไม่ใช่บุคคลที่อยากมีชีวิตอยู่ เมื่อโฆษณาตัวแรกประกาศออกทุกสื่อ ไรลีย์คือผู้หญิงคนแรกของเมืองไรย์ที่เดินเข้าหาทหาร ยินยอม เธออยากไปยูโทเปีย หรือสลายหายไปเลย นั่นเป็นคำพูดของไรลีย์ก่อนที่จะสลบไป



                    พวกเราไม่ได้ป่าเถื่อน



                เสียง เสียงเล็กๆบอบบางที่ปลิวว่อนเหมือนดอกแดนดิไลอ้อน กระทบกระเด้งกระดอนเข้าสู่โสตประสาทการรับรู้ของเธอ นั่นเป็นเสียงของไรลีย์ ไม่ผิดตัว ยืนหันหลังให้ทะเล ดวงตาสีน้ำเงินจ้องตรงมา ไรลีย์ยังคงดูอ่อนแอเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง แต่มีบางอย่างในนั้น ในแววตาที่บ่งบอกถึงความตั้งใจอันแรงกล้า จากความประหลาดใจ เริ่มแปรเปลี่ยน สั่นคลอน ส่งผลให้เธอก้าวถอยหลัง ไม่กล้าสบตาไรลีย์ตรงๆ



                    พวกเธอต่างหากที่ป่าเถื่อน



                คลื่นสมองของไรลีย์ไม่ได้อยู่ระดับเดลต้าอีกแล้ว เธอรู้สึกได้ว่ามันเร็วขึ้น เข้มขึ้น กลายเป็นคลื่นระดับเธต้า ภาพเริ่มชัดมากขึ้นทุกที ใบหน้าของไรลีย์ สีของทะเล เสียงคลื่น ลมปะทะหน้า และแม้แต่กลิ่นเค็มของน้ำทะเลอยู่ที่ปลายจมูก นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังกำหมัด ตั้งสมาธิให้แน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม แต่ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ภายในความฝันได้ ร่างบางของไรลีย์ในชุดสีฟ้า ย่างเท้าเดิน ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ เธอติดตรึงอยู่กับที่ ทรายใต้เท้าเหมือนกำลังดูดเธอเอาไว้ ขยับไม่ได้



                    ต้องตื่นเดี๋ยวนี้ เธอบอกตัวเอง ออกคำสั่งกับตัวเอง นี่คือร่างกายของเธอ เปลือกหอยของเธอ ผู้หญิงที่ทิ้งร่างนี้ไปแล้วไม่มีสิทธิ์จะกลับมา ไม่ว่าจะทิ้งไปด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ไม่มีสิทธิ์จะหวนกลับมาทวงคืนอะไรทั้งนั้น



                    “เฮ้ ไรลีย์” เสียงเรียกมาพร้อมกับแรงเขย่าบนหัวไหล่ ทำเอาหญิงสาวลืมตาโพลง ค้างแข็ง หอบหายใจ และหันไปมองทางเสียงเรียก ใบหน้าของเบลคดูเหมือนจะตกใจ มือของเขายังจับอยู่บนไหล่เธอ และเมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้ว เขาก็ชักมือกลับ “เป็นอะไรไหม?” ดวงตาสีดำยังจับจ้องอย่างไม่วางใจ



                    “ไม่เป็นไร ฉันแค่...”



                    “เธอร้อง” เบลคพูดแทรกทันที “เธอกำมือซะแน่น แล้วก็เริ่มชักดิ้นชักงอ แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร?”



                    “ฉันฝันร้าย” ไรลีย์รีบตอบ เพิ่งสังเกตว่ารถยนต์ของพวกเขาจอดสนิทอยู่กลางถนน ที่ไหนไม่รู้ ไรลีย์มองไม่เห็นอะไรข้างหน้าเกินหกเมตร นอกจากแสงไฟหน้ารถกับพื้นถนน “เราอยู่ไหนแล้ว?” เธอถาม เสียงแหบแห้ง



                    “แปซิฟิกไฮเวย์ ตอนใต้ของโอเรกอน กำลังจะผ่านวูลฟ์ครีกพาร์ค” เบลคตอบ ยังไม่เดินเครื่องยนต์เพื่อไปต่อ เขามองเธอด้วยสายตาที่ไรลีย์ก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไร เรื่องเดาความคิดหรือความรู้สึกลึกซึ้งของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัดนัก เธอรู้ว่าไรลีย์เป็นคนสวย น่าทะนุถนอม เบลคเป็นผู้ชาย พวกเขาเดินทางด้วยกันสองคน หนีรอดมาด้วยกันแค่นี้ เขาคงกำลังรู้สึกว่าเธอเป็นความรับผิดชอบของเขา แววตานั้นอาจจะแสดงความเป็นห่วง



                    “ได้อะไรจากวิทยุไหม?” ไรลีย์ถามต่อ



                    เบลคส่ายหน้า เม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดขึ้นอีก “เธอเพิ่งหลับไปแค่สามชั่วโมง นอนต่อเถอะ หรือถ้าหิว จะกินอะไรสักหน่อยก็ได้”



                    “โอเค” ไรลีย์พยักหน้า แค่เพราะอยากจะให้เขาเริ่มขับรถต่อและเลิกพูดเหมือนเธอเป็นเด็กเล็ก เบลคหันไปหาพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง บังคับเกียร์ รถแล่นฉิวไปต่อบนถนนอันเงียบเหงายามค่ำคืน ไรลีย์มองเลขกระพริบสีเขียวบอกเวลา เพิ่งจะสองทุ่มครึ่ง เธอมีเวลานอนอีกสามชั่วโมง ก่อนจะต้องตื่นมาเพื่อรับช่วงขับรถต่อ แต่หญิงสาวไม่อยากนอนแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองเห็นอะไรในความฝัน และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร



                    เพราะไฟถนนทุกดวงดับสนิท มีแต่แสงจากไฟหน้ารถ ถนนจึงมืดมาก มองสองข้างทางไม่เห็น เธอพอจะเห็นยอดต้นไม้พลิ้วอยู่ไกลๆ เห็นสีเหลืองเรืองแสงนิดๆที่ขีดเป็นเส้นตรงกลางถนนกับริมขอบ ข้อดีของความมืด คือเห็นดวงดาวนับร้อยแต่งแต้มเป็นจุดกระพริบเล็กจ้อยบนท้องฟ้าสีหมึก ยังคงสวย ตรึงตราใจ แม้จะผ่านมาเป็นพันหรือหมื่นปี ท้องฟ้ายังสวยงามเป็นนิรันดร์อยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ไรลีย์อ้าปากหาว ร่างกายยังต้องการที่จะนอนพัก แต่เธอฝืนตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้หลับ หญิงสาวเอี้ยวตัวไปหยิบห่อมันฝรั่งอบกรอบมาฉีก หยิบกินทีละชิ้น แล้วเอื้อมมือไปหมุนวิทยุเปลี่ยนช่อง มีแต่เสียงซ่าตอบกลับมาอย่างเงียบเหงา



                    “นายเป็นคนที่ไหน?” ไรลีย์ถามเพื่อทำลายความเงียบ และเพื่อให้ตัวเองไม่ง่วง



                    “ฉันเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย” เบลคตอบ “เธอล่ะ คนที่ไหน?”



                    ถ้าจะให้ตอบแบบไรลีย์ก็คงเป็น “อีสซัสแซ็กส์ อังกฤษ” เธอตอบไปอย่างนั้น พอมานั่งนึกดู เธอเป็นคนจากที่ไหนกันแน่หนอ? เธอไม่มีความทรงจำ ณ ตอนจุดกำเนิด ราวกับเธอทะลึ่งพรวดขึ้นจากพื้นดิน แล้วคิดเองได้ โดยไม่ต้องมีคนสอน ปฏิบัติตามคำสั่งของลีดเดอร์ ทำภารกิจเมื่อถึงคราวจำเป็น เธอไม่ใช่คนที่ไหนเลย “นายเคยทำอะไรก่อนหน้านี้?” เธอถามต่อ เคยเดาไว้บ้างว่าเบลคคงจะเป็นพวกนักกีฬา ท่าทางคล่องแคล่ว หุ่นล่ำ ผิวสีเข้ม น่าจะเป็นคนที่ชอบอยู่กลางแจ้ง



                    “ฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย” เบลคตอบ “กำลังเรียนบริหารธุรกิจ เพราะครอบครัวฉันมีธุรกิจเล็กๆเกี่ยวกับรถ ฉันชอบรถมาก บางทีก็แอบหนีพ่อกับแม่ไปขับรถซิ่งข้างถนน เคยถูกตำรวจจับได้ด้วย พ่อฉันหัวเสียใหญ่ แต่แม่ชินแล้ว ฉันสร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆประจำสมัยยังเรียนอยู่ พวกเขาเข้าใจ ช่วยเหลือฉัน” เขาหยุดพูดไป ไรลีย์หันไปมองใบหน้าด้านข้างของเขา เห็นริมฝีปากเม้มเข้าหากัน นัยน์ตาที่เข้มขึ้นอย่างเจ็บปวด ไรลีย์รู้ทันที เขาหาพ่อกับแม่ไม่เจอ ไม่รู้ชะตากรรม ไม่ได้ยินข่าวคราว ทั้งสองคนอาจตายไปแล้ว หรือถูกเปลี่ยน



                    “พ่อกับแม่ของฉันตายแล้วทั้งคู่” ไรลีย์บอก หวังว่าน้ำเสียงของตัวเองจะไม่เย็นชาจนเกินไป เธอเห็นเหตุการณ์ในความทรงจำของไรลีย์ เด็กผู้หญิงวัยสิบสี่ปีที่เสียพ่อกับแม่ไปในคราวเดียว ร้องไห้ปลอบตัวเองจนหลับในตอนกลางคืน เบลคหันมามองเธอ เธอก็มองเขา “ตอนอายุสิบสี่ รถของพวกเราคว่ำ ฉันเองก็เกือบไม่รอด”



                    “ฉันเสียใจด้วย” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงอย่างเสียใจจริงๆ



                    รถทั้งคันตกอยู่ในความเงียบ เขาหันกลับไปมองถนน ตอนนี้เขาคงเชื่ออย่างสนิทใจ ไร้ข้อกังขา ไม่มีความสงสัยว่าไรลีย์เป็นพวกนั้น เธอคิดว่าตัวเองทำได้ดีทีเดียว และไม่มีอะไรจะมาขัดขวางได้ เพียงแต่ต้องตามหากลุ่มมนุษย์นั้นให้เจอ ไรลีย์เอื้อมมือไปหมุนวิทยุอีกครั้ง มีแต่เสียงซ่าที่ทำให้เบลคถอนหายใจ ไรลีย์ชันเข่าขึ้นไว้บนเบาะนั่ง และมองออกไปนอกรถ ถนนโล่ง ว่าง ไม่มีอะไรกีดขวาง



                    ผู้หญิงคนหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากริมทาง ไรลีย์เห็นเธอวิ่งปราดเข้ามาที่หน้ารถ เบลคหักพวงมาลัยหลบอย่างกะทันหัน ทำเอารถปัดป่ายเสียการทรงตัว พุ่งไปชนขอบทางอีกฝั่ง กระแทกอย่างแรง โชคดีที่เธอกับเบลคคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ตลอดการเดินทาง ร่างของพวกเขาไม่พุ่งไปกระแทกกับแผงหน้ารถ และแอร์แบคก็ถูกปลดออกมาโดยอัตโนมัติ จะตายได้ก็เพราะแอร์แบคนี่ล่ะ ไรลีย์คิดในใจ มันปะทะตัวเธออย่างกะทันหันเกินไป และไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนอย่างในโฆษณา คงโชคดีแล้วถ้าจมูกไม่หัก



                    “ลงจากรถ และยกมือให้เห็นด้วย”



                    เสียงของผู้ชายอีกคนดังอยู่ที่ฝั่งคนขับ ตามด้วยเสียงเปิดประตูรถ ไรลีย์ทันเห็นมันยื่นมือเข้ามา คว้าตัวเบลคและลากลงไป เช่นเดียวกันกับเธอ มีผู้ชายเปิดประตูรถฝั่งของเธอ จับหัวไหล่ ดึงออกไปข้างนอก ไรลีย์ยังเบลออยู่นิดหน่อย แต่เธอลืมตามองเต็มตา เห็นแสงไฟจากกระบอกไฟฉาย มีทั้งหมดสามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง ถือปืนกระบอกสั้นแบบพกพากันทั้งสามคน ระหว่างที่ผู้ชายสองคนคุมเชิงพวกเขาไว้ ผู้หญิงวิ่งไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร กอบโกยเสบียงอาหารของเบลคกับไรลีย์ที่เก็บเอาไว้กินได้ทั้งอาทิตย์



                    แน่นอนว่าเบลคไม่มีวันยอมอยู่เฉย ไรลีย์ได้ยินเสียงดังพลั่ก ตามมาด้วยเสียงร้องโหวกเหวก แต่ทำให้ผู้ชายที่ถือปืนจ่อเธอ ขยับตัวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รวบตัวเธอไว้ แขนล็อคคอเธอแน่น และปากกระบอกปืนจ่ออยู่ที่ขมับ



                    “หยุด ไม่งั้นนังนี่เป็นศพแน่” ไรลีย์ได้ยินเสียงมันตะโกน เธอมองไปยังอีกฝั่ง เห็นเบลคยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ เขาหอบหายใจ มองตรงมาที่ไรลีย์ซึ่งดูเหมือนจะไร้ทางสู้ เธอมองเบลค มองผู้หญิงที่กำลังขนอาหารลงจากรถ คิดคำนวณอย่างรวดเร็วในหัวสมอง ถ้าเธอสู้ จะเสี่ยงเปิดเผยตัวตนหรือเปล่า? เธอสร้างตัวตนของไรลีย์ให้ใสซื่อและอ่อนแอ เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มีทักษะพิเศษ แต่จะปล่อยให้พวกมันขโมยไปตามใจชอบ ก็ไม่ใช่เรื่อง พวกมันอาจจะยิงพวกเขาทิ้งอยู่ดีหลังจากได้ของไปหมดแล้ว



                    ไรลีย์ตัดสินใจกระทืบเท้าผู้ชายที่ล็อคตัวเธอไว้อย่างแรง มันร้องด้วยความประหลาดใจและความเจ็บอย่างกะทันหัน เธอขยับตัว ปล่อยหมัดเสยขึ้นหน้า หูได้ยินเสียงจากฝั่งของเบลค เขาขยับตัวสู้เช่นกัน ไรลีย์แย่งปืนมาได้ และเธอไม่หยุดคิดรอบสอง หญิงสาวเหนี่ยวไก เสียงปืนดังลั่นแม้แต่สวรรค์ก็คงได้ยิน กระสุนพุ่งทะลุตัดขั้วหัวใจ เพราะไรลีย์ยังอยู่ประชิดตัวมันมาก เลือดจึงกระเซ็นถูกใบหน้าของเธอ ผู้หญิงกรีดร้อง วิ่งกระโจนเข้าใส่ ไรลีย์หันไป เหนี่ยวไกอีกครั้ง คราวนี้กระสุนปักเข้ากลางหน้าผาก ร่างล้มลง ตายสนิท ผู้ชายที่สู้กับเบลค เปลี่ยนเป้าหมาย คิดจะยิงไรลีย์ แต่เบลคไวกว่า เขากระโดด ปล่อยหมัด ตะลุมบอนกันอยู่พักหนึ่ง เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด เบลคถีบร่างไร้สติของอีกฝ่ายให้พ้นทาง และวิ่งอ้อมมาหาไรลีย์



                    “เป็นอะไรไหม?” เบลคถาม ก่อนจะมองร่างไร้วิญญาณสองร่างที่ตายด้วยน้ำมือของไรลีย์ หญิงสาวมือสั่น เธอเล่นละคร ไม่มีทางที่เธอจะมือสั่น หรือกลัว “เธอปลอดภัยแล้ว” เขาพูดปลอบ มองปืนในมือเธออย่างระมัดระวัง ขณะที่เธอแกล้งทำเป็นหายใจไม่ทัน ม่านตาเบิกกว้าง เบลคเข้าประชิดตัว มือขยับมาปลดปืนและเหน็บไว้ที่เอวของเขาแทน เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ใช้นิ้วโป้งลูบไปบนแก้มของไรลีย์ เพื่อเช็ดเลือดออก



                    “ไรลีย์” เขาเรียกชื่อเธอ “เราต้องไปต่อ” หญิงสาวยังทำเหมือนไม่ได้ยิน ริมฝีปากสั่นเทา “ไม่เป็นไรแล้ว ได้ยินไหม ไรลีย์ เธอต้องช่วยฉัน เราต้องเดินทางต่อ โอเคไหม?” เขาประคองใบหน้าเธอไว้ในมือทั้งสองข้าง เธอพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตายังเลื่อนลอย เธอพยายามคิดและพยายามแสดงความรู้สึกในมุมมองของไรลีย์ที่จะต้องกลัวอย่างมาก เพราะเพิ่งฆ่าคนที่เป็นแค่ขโมยกระจอก มาขโมยอาหารเพราะต้องการเอาตัวรอดเท่านั้นเอง เบลคพูดกับเธอช้าๆ บอกให้เธอช่วยขนเสบียงกลับขึ้นรถ ขณะที่เขาจะจัดการกับแอร์แบคและตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์



                    ไรลีย์ทำตามที่เขาบอก พวกเขาทำงานอย่างเร่งรีบในความเงียบ อากาศตอนกลางคืนเย็นสบาย แต่บนหน้าผากของพวกเขากลับเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราย เมื่อขนอาหารกลับขึ้นรถแล้ว เธอได้ยินเสียงเบลคพยายามสตาร์ทรถให้ติด เสียงเครื่องยนต์ติดขัด แล้วก็ดับไปอีก



                    “มันจะ... จะใช้ได้หรือเปล่า” ไรลีย์แกล้งทำเสียงขาดๆหายๆตอนที่ถามเขา



                    “ต้องใช้ได้” เขาพูดอย่างมั่นใจ เดินกลับไปเปิดกระโปรงรถขึ้นอีกครั้ง



                    “ฐานเรียกหน่วยสาม ฐานเรียกหน่วยสาม ได้ยินแล้วตอบด้วย” เสียงจากวิทยุสื่อสาร ทำให้ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ พวกเขาหันมาสบตากันทันที วิทยุสื่อสารจะต้องอยู่ไม่ไกล เบลคทิ้งงานในมือและเดินตามหาต้นตอของเสียง จนหยุดที่ร่างผู้หญิง เขาพลิกตัวศพขึ้น ขณะที่ไรลีย์เบือนหน้าหนีอย่างจงใจให้เบลคเห็น “ฐานเรียกหน่วยสาม เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ตอบด้วย” เบลคหยิบวิทยุสื่อสารออกมาถือไว้ เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับมัน



                    “จะเป็นพวกมันหรือเปล่า” ไรลีย์ถาม ทั้งที่เธอรู้ว่าไม่ใช่พวกเธอแน่นอน



                    “ไม่รู้สิ” เบลคส่ายหน้า “แต่ถ้าเป็นพวกมัน จะขโมยอาหารทำไม?” เขาตั้งข้อสังเกตอย่างชาญฉลาด



                    “ฐาน กับ หน่วยสาม” ไรลีย์ทวนคำ



                    “ฟังเหมือนพวกทหารเลย” เบลคพูดต่อมา เงยหน้าขึ้นมองไรลีย์



                    “ทหาร ก็มีแต่พวกมันเท่านั้น” ไรลีย์บอก แสดงท่าทางไม่วางใจ



                    “แต่การแต่งตัวของพวกนี้ ไม่เหมือนทหารนะ” เบลคบอก ก้มลงมองศพ หยิบไฟฉายที่ตกอยู่ข้างๆ ส่องไปทางอีกศพที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก “รองเท้าผ้าใบ กางเกงยีน เสื้อสเวตเตอร์กับเสื้อยืด ดูเหมือนคนธรรมดามากกว่า ไม่ใช่ทหารหรอก ยิ่งถ้าเป็นหน่วยลาดตระเวนของทหาร จะแต่งตัวแบบนี้หรือ?”



                    ไรลีย์ยักไหล่ “นายบอกว่ากลุ่มมนุษย์อยู่ที่แคลิฟอร์เนีย”



                    “ใช่ ฉันได้ยินมาแบบนั้น” เบลคลุกขึ้นยืน ยังถือวิทยุสื่อสารไว้ในมืออย่างชั่งใจ “แต่มันก็เป็นไปได้ที่จะมีกลุ่มอื่นอีก พวกเขาอาจจะกระจายตัว หาผู้รอดชีวิตคนอื่น แต่ว่าเราเพิ่งจะ...” เสียงของเขาขาดหายไป ถ้าสามคนนี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มมนุษย์จริง พวกเขาก็เพิ่งฆ่าคนที่อาจพาพวกเขาไปยังที่หมายได้



                    “มีทางไหนที่เราจะหาต้นตอของสัญญาณได้ไหม?” ไรลีย์ถาม



                    “พวกเขาอยู่ไม่ไกลหรอก” เบลคตอบอย่างค่อนข้างมั่นใจ “คลื่นสัญญาณที่ใช้ติดต่อกัน ไม่มีทางแรงจนใช้ได้ในรัศมีเกินยี่สิบกิโลเมตร เพราะถ้ามากกว่านั้นต้องมีเสาอากาศหรือเครื่องส่งกำลังสูง ถ้าไม่ใช่พวกมัน คงทำไม่ได้หรอก มันประเจิดประเจ้อเกินไป เสี่ยงกับการถูกดักฟัง ถึงจะเข้ารหัสไว้ แต่ก็เสี่ยงกับการถูกพบอยู่ดี ฉันคิดว่าเป็นแค่สัญญาณต่ำๆ ใช้ได้ไม่ไกล เผลอๆอาจจะอยู่ห่างออกไปแค่ห้าหรือสิบกิโลเมตรด้วยซ้ำ” 



                    “แล้วเราจะทำยังไง?” ไรลีย์ถามต่อ



                    “ตามหาพวกเขากันเถอะ แต่คงจะให้รู้ไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสามคนนี้” เบลคมองไปที่ศพอีกครั้ง แม้จะมืด แต่ไรลีย์ก็พอจะเดาสีหน้าของเขาออก



                    โกหก เบลคกำลังจะโกหกคำโต ไม่ต่างจากเธอเลย     

        












    Writer's Talk

    ใครกันแน่ที่ป่าเถื่อน? มนุษย์ หรือ พวกมัน ?

    ตอนนี้ เบลค กับ ไรลีย์ ถึงโอเรกอนกันแล้ว ความซวยโบยบินเป็นเงาตามตัวไปทุกที่

    คิดอย่างไรกันบ้างคะ  บอกกันสักนิด พูดคุยเล่นกันได้ตลอดค่ะ จะตอบความคิดเห็นของทุกคนเสมอ 




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×