ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Northern Lights [Bill Skarsgard]

    ลำดับตอนที่ #5 : Blush

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 67



     


     

    Northern Lights

    Chapter 5 : Blush


     


     

                มโนราห์กลับมาถึงไทยได้เกือบอาทิตย์แล้ว อาการเจ็ตแล็กหายเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวเริ่มทำงานของเธอได้ตามเดิม งานคอมมิชชั่นเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย คงเพราะรางวัลที่เธอได้รับมาหมาดๆช่วยการันตีฝีมือได้เป็นอย่างดี เธอก็ชอบอยู่หรอก ไม่ต้องเครียดเรื่องเงินไปอีกพักใหญ่ทีเดียว แต่งานที่เข้ามาเยอะเกินไป ทำให้หัวปั่น แทบไม่หลับไม่นอน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของเธอเช่นกัน อีกทั้งช่วงนี้ฝนตกบ่อย ตกติดต่อกันหลายวัน เมื่อต้องออกไปพบลูกค้า เธอขึ้นรถเมล์บ้าง มอเตอร์ไซค์บ้าง หลีกเลี่ยงฝนไม่ได้แม้แต่น้อย สุดท้ายเธอเป็นหวัด อาการหวัดกับมโนราห์เป็นของคู่กันมาตั้งแต่เกิด แม่เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่นางพยาบาลอุ้มเธอเข้ามาในห้องพักฟื้นครั้งแรก เธอทักทายแม่ด้วยการจามสามครั้ง เธอจามได้ก่อนพูดเสียอีก ทั้งพ่อและแม่มีอาการภูมิแพ้เหมือนกัน เธอจึงได้รับพันธุกรรมนี้มาด้วย


     


     

                แม่บอกว่าเธอเป็นเด็กเลี้ยงยาก ป่วยบ่อย ร้องไห้เก่งเป็นที่หนึ่ง แม่ต้องพาไปหาหมอแทบทุกอาทิตย์ หมอที่ตรวจให้ประจำปลอบใจแม่ว่า ต้องรอให้เธออายุสักสิบขวบไปแล้ว ภูมิคุ้มกันจึงจะดีขึ้น ตอนนั้นแม่ได้แต่คิด นี่ฉันต้องรอสิบปีเลยหรอ มโนราห์เห็นใจแม่มากทีเดียว การมีลูกช่างเป็นเรื่องยากลำบากเหลือเกิน การเลี้ยงลูกยิ่งยากเหมือนเข็นครกแบกสัมภาระขึ้นหิมาลัย นั่นเป็นเหตุผลที่มโนราห์ไม่อยากแต่งงาน และไม่อยากมีลูก ไม่ใช่ว่าเธอขวางโลกหรืออะไรนะ เธอแค่รู้สึกเข็ดขยาดกับความรักและการมีครอบครัว ดูจากครอบครัวของเธอเป็นตัวอย่างก็ได้ พ่อทิ้งเธอไป ทิ้งแม่ให้เลี้ยงเธอตามลำพัง ยังมีลุงที่ทิ้งป้าของเธอไปอีกคน ป้ามีลูกชายตั้งสามคนที่ยังเล็กๆกันอยู่ นี่ยังไม่พูดถึงอากงของเธอที่ทิ้งอาม่าไปเช่นกัน ผู้หญิงตระกูลนี้เหมือนจะมีชะตากรรมกำหนดไว้ว่าต้องถูกทิ้ง มโนราห์ก็เคยถูกผู้ชายบอกเลิกก่อนมาถึงสามหน เธอเคยมีแฟนมาแล้วสามคน สมัยมัธยมปลายคนหนึ่ง มหาวิยาลัยอีกคนหนึ่ง สมัยทำงานแรกๆอีกคนหนึ่ง ล้วนแต่เป็นบอกเลิกเพราะเขาเจอคนใหม่ก่อนทั้งสิ้น


     


     

                ถ้าไม่ใช่บรรดาพี่ชายของเธอ มโนราห์ไม่ค่อยไว้ใจผู้ชาย พี่ชายทั้งสามคนของเธอที่เป็นลูกของป้า ล้วนเป็นคนดีรักครอบครัว ซึ่งหาได้ยากเหลือเกินในสปีชีส์ผู้ชาย แต่ที่พวกเขาเป็นเช่นนี้ เพราะต่างเคยเห็นความลำบากที่ ยายของเขา แม่ของเขาและแม่ของเธอเผชิญ พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้หญิงแกร่งสามคน และมีน้องสาวอีกคนที่ต้องคอยดูแล จึงมีนิสัยให้เกียรติผู้หญิงและรักเดียวใจเดียว อาจมีพูดเล่นเรื่องผู้หญิงสวยๆบ้าง แต่อาซ้อทั้งสามของมโนราห์ไว้วางใจได้เต็มที่ ตอนนี้เหลือเพียงมโนราห์คนเดียวในครอบครัวที่ยังไม่แต่งงาน


     


     

                พี่ชายคนโตและคนกลางล้วนซื้อบ้านในละแวกเดียวกัน พวกเขาแยกกันอยู่คนละบ้านตั้งแต่แต่งงาน พี่ชายคนเล็กอยู่ไกลกว่าเพื่อน เพราะอาซ้อเล็กทำงานไกล จึงต้องซื้อบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงาน ก่อนแต่งงานพวกเขาทั้งหมดเคยเบียดอัดกันอยู่ในบ้านหลังเดียว สำหรับมโนราห์ที่เป็นคนขี้เหงาตามสไตล์ศิลปิน เธอชื่นชอบช่วงเวลาที่อยู่บ้านเดียวกันมากที่สุด บรรดาพี่ชายเล่นเกมเพลย์สเตชั่น มีเธอคอยเชียร์ เธอต้องเลือกข้างว่าจะเชียร์ใคร เมื่อได้ยินเสียงรถไอศกรีมผ่านหน้าบ้าน พวกเขาทั้งหมดหูผึ่ง ทิ้งเกมเพลย์แล้วรีบวิ่งพรวดไปขอเงินป้าหรือแม่ของเธอคนละห้าบาทสิบบาท นั่งกินไอศกรีมกันที่ชิงช้าริมรั้ว พอตกกลางคืน นั่งรวมตัวกันในห้อง สมัยที่อาม่ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาดูละครด้วยกัน ป้าจะหยุดปักผ้าเพื่อนั่งดูละคร มโนราห์ที่ยังเด็กไม่ได้รับอนุญาตให้นอนดึก เธอจะได้ดูละครแค่สามตอน แล้วต้องไปแปรงฟันเตรียมตัวเข้านอน อาม่าจะเล่านิทานให้เธอฟัง บางครั้งก็เป็นป้าเล่าเรื่องผี หรือบางทีก็พวกพี่ๆจะเข้ามาแกล้งเธอจนกว่าจะเหนื่อยและหลับไป


     


     

    เมื่อทุกคนเรียนจบด้วยกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา พี่ชายคนโตแต่งงานก่อน และมีลูกก่อนใครเพื่อน เขาจำเป็นต้องซื้อบ้านแยกออกไป ต่อมาพี่คนเล็กแต่งงาน ก็ต้องซื้อบ้านเช่นกัน มโนราห์กับแม่คุยกันไว้นานแล้วว่าอยากมีบ้านเป็นของตนเอง จึงช่วยกันซื้ออีกหลัง ไม่ใช่ซื้อด้วยเงินสดหรอกนะ ใครจะไปทำได้เล่า ต้องผ่อนผ่านธนาคารทั้งนั้น พี่ชายคนกลางแต่งงาน คนนี้เคยได้รับสิทธิ์บ้านหลังแรกจากรัฐบาลก่อน ผ่อนมาเรื่อยๆโดยไม่เคยไปอาศัยจริงจัง ในที่สุดก็แยกตัวไป ป้ายังปักหลักอยู่บ้านเก่าตามลำพัง แต่มีบรรดาลูกชาย ลูกสะใภ้ มาหาทุกวันไม่ขาด ป้าไม่เคยเหงาเลย


     


     

                แม่ของมโนราห์ทำงานเป็นครูในโรงเรียนอนุบาลเอกชน จะเกษียณในอีกเจ็ดปีข้างหน้า สิ่งที่เธอเครียดก็คือความมั่นคงของตัวเอง เนื่องจากเธอไม่มีงานประจำทำเหมือนคนอื่นๆ จะพูดว่าชีวิตห้อยต่องแต่งบนเส้นด้าย ก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริง มโนราห์ส่งเงินประกันสังคมเอง ซื้อประกันชีวิตไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินตัวเองเสียชีวิตก่อนแม่ เธอมีเรื่องต้องเครียดเยอะแยะมากมาย แม้สถานะทางการเงินและอาชีพจะดีขึ้นอย่างเห็นชัดหลังจากสร้างชื่อให้ตัวเอง ด้วยรางวัลที่สามในการประกวดผลงานของกระทรวงวัฒนธรรม แต่ชีวิตมีขึ้นมีลง แม่สอนไว้เสมอว่าไม่ให้ประมาท ดังนั้น หลังจากใช้เงินไปเยอะในการเที่ยวสวีเดนช่วงอาทิตย์ที่สอง มโนราห์ไปธนาคารทันทีเมื่อกลับถึงประเทศไทย นำเงินที่เหลือฝากเข้าบัญชีไว้ก่อน และวางแผนการใช้เงินอย่างละเอียด เงินรายได้ต้องแบ่งปันหลายส่วน ตอนนี้แม่ยังทำงานได้ มีเงินเดือน ค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน แม่ดูแล เธอมีหน้าที่ผ่อนบ้าน แต่ก็ต้องให้เงินแม่ด้วย เธอเห็นตัวอย่างมาจากพี่ชาย ถือว่าเป็นธรรมเนียมในครอบครัวที่ต้องให้เงินเดือนกับผู้อาวุโสของบ้าน จะมากจะน้อยก็ต้องเจียดให้  เงินอีกส่วนคือต้องเก็บไว้ในบัญชีเพื่อออม สำหรับกรณีไม่คาดฝัน และเผื่อเอาไว้สำหรับไปเที่ยวไล่ตามสถานที่ที่มโนราห์อยากไป เงินอีกส่วนไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน


     


     

                ชีวิตของเธอเรียบง่ายในแบบนี้ ไม่มีอะไรหวือหวานัก ส่วนที่หวือหวาที่สุดน่าจะเป็นช่องยูทูปและทวิตเตอร์ จำนวนคนติดตามเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดฝัน เมื่อเธอชนะรางวัล ได้ไปเที่ยวสวีเดน และที่เหลือเชื่อสุดๆของชีวิตคือการได้พบนักแสดงชาวสวีเดนคนหนึ่ง อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด มโนราห์รู้จักเขา เพราะชื่นชอบน้องชายของเขา ใครจะไปคิดไปฝันว่าจะได้พบ แถมเขายังบอกให้ถ่ายรูปเซลฟี่ด้วยกันอีก โอ้โห ถ้าเธอเป็นแฟนคลับของเขานะ เธอคงตายอยู่ตรงนั้นแหละ หามเธอไปโรงพยาบาลด้วย มโนราห์จดจำรายละเอียดในคืนนั้นได้เป็นภาพเบลอ เพราะเธอตื่นเต้นจนเบลอไปแล้ว ดีแค่ไหนที่ไม่เผลอกรี๊ดออกไป ไม่เหมือนเวลาเธอทำตัวติ่งกับเพื่อนสักนิด เวลาอยู่กับเพื่อนๆที่ติ่งหนังฝรั่งเหมือนกัน ต่างปากเก่งไปอย่างนั้น พูดจาคะนองปากเยอะแยะมากมายว่าถ้าเจอตัวจริง จะกระโดดกอดบ้างล่ะ จะขอให้เซ็นชื่อบนแขน จะตะโกนบอกรัก พอเจอนักแสดงตัวจริงเสียงจริง เธอได้แต่ยืนยิ้มบื้อๆ นึกย้อนไปแล้วก็ตลกดี


     


     

                มโนราห์ยังไม่ได้คิดว่าเดือนนี้จะทำคอนเทนต์อะไรไปลงยูทูปดี เธอนอนเหยียดบนเตียง มีวิกวาเปอรัปทาเต็มจมูก กระติกน้ำร้อนวางอยู่ใกล้ๆ และกดไถโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย อ่านคอมเมนต์ในวีดีโอเก่าเพื่อหาไอเดีย มีคนบอกว่าอยากเห็นห้องที่เธอใช้ทำงานวาดรูปด้วย อืม ก็น่าสนใจดี หรือว่าเดือนนี้เธอจะพาทุกคนลุยน้ำท่วมหน้าบ้านออกไปซื้อไข่ไก่ที่ตลาด นี่ก็น่าสนเหมือนกัน จากที่พาไปดูอะไรสวยๆงามๆมาเยอะแล้วที่สวีเดน กลับบ้านเราของจริงบ้างดีกว่า ให้เห็นกรุงเทพ ชีวิตดีๆที่ลงตัว ออกไปเจอน้ำท่วมขัง หญิงสาวกดเข้าทวิตเตอร์ พี่เจนกับพี่ไอซ์ลงรูปชิ้นงานใหม่ที่กำลังจะทำ เธอกดเข้าหน้าทวิตเตอร์ของตนเอง พลางสูดน้ำมูกอย่างแรงหนึ่งครั้ง เมื่อรู้สึกว่าน้ำมูกกำลังจะหยดออกมา เธอเลื่อนดูรูปและเหตุการณ์ในสวีเดน ทั้งหมดยังเหมือนฝันไปสำหรับเธอ เหมือนเป็นโลกคู่ขนานที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มโนราห์ยังฝันถึงทุ่งน้ำแข็งหิมะและแสงเหนือบนท้องฟ้าดาราพราวในบางคืน เธอคิดถึงที่นั่นมากเหลือเกิน


     


     

                นิ้วเธอชะงักหยุดตรงภาพที่เธอรีทวิตมาจากพี่เจน ในรูปเธอกำลังร้องไห้ ยกแขนปาดน้ำตา พี่เจนถ่ายรูปไว้และทวิต พร้อมข้อความว่า ดูสิ ใครบอกว่าจะไม่ร้อง คืนนั้นเธอทั้งขำตัวเองและร้องไห้อย่างดีใจไปพร้อมๆกัน การตามล่าหาแสงเหนือเป็นหนึ่งใน Dream destinations ของเธอ หญิงสาวมองข้อความที่มีคนมาเมนชั่นทิ้งไว้ จากแอคเคาท์ชื่อ WildScar เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เขาน่าจะตามมาจากยูทูป เพราะเธอเห็นเขาคอมเมนต์ครั้งแรกในคลิปที่เธอดราม่า ใช้แต่อิโมจิในการคอมเมนต์ ยกเว้นครั้งนี้จึงมีคำปรากฏขึ้นมาหนึ่งคำ


     


     

                Beautiful ตามด้วยรูปดาว  


     


     

                มโนราห์เป็นคนขี้ระแวงระดับหนึ่ง เนื่องจากเธอโตมาในครอบครัวมีปัญหาเรื่องพ่อ ทั้งยาย ป้าและแม่สอนไม่ให้ไว้ใจคน ส่วนไอ้พี่ชายสามคนก็ไม่ช่วยให้วางใจคนมากขึ้นเลย ทั้งหวง ทั้งห่วง และย้ำๆอยู่นั่นว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า การที่เธอก้าวผ่านมาเป็นยูทูปเบอร์ได้ ก็นับว่ามหัศจรรย์แล้ว แต่อาการระแวงยังไม่หมดไปง่ายดายอย่างนั้น เธอมักจะตรวจสอบทุกคนที่มาคอมเมนต์หรือกดติดตามเสมอ ถ้าเป็นพวกประหลาด แปลกๆ เป็นเอคชอบโชว์ หรือเป็นบอทที่ท่าทางจะมีปัญหาทางจิต เธอจะบล็อกทันทีโดยไม่คิดซ้ำสอง


     


     

                เธอยังไม่ได้ตรวจสอบ WildScar คนนี้ว่าเป็นใคร ใช้ชื่อประหลาด รูปดิสเพลย์เป็นสีพื้นเรียบๆสีขาว มีตัวอักษร S สีดำตรงกลาง เธอกดเข้าไปดู จำนวนคนติดตามน้อย ที่เขาติดตามอยู่ก็น้อยเช่นกัน และเขาไม่ได้ติดตามเธอแน่นอน ไม่ติดตามแต่แวะเวียนมาส่อง จะให้คิดอย่างไรเล่า? ความสัมพันธ์บนทวิตเตอร์มีหลากรูปแบบ อันนี้เธอเข้าใจ บางคนคุยเล่นกันแต่ไม่กดตามกันก็มี แต่มันแปลกไปหน่อย มโนราห์ขมวดคิ้ว พี่ชายคนเล็กของเธอที่นิสัยขี้เล่น เคยพูดไว้ เป็นยูทูปเบอร์อ่ะ ระวังพวกโรคจิตจะมาตามกลับบ้านนะเว้ย เธอเคยตอบไปว่า เฮ้ย ไม่หรอก โมไม่ได้สวยแบบเน็ตไอดอล เนื้อหาในยูทูปก็มีแต่จืดๆ มโนราห์เลื่อนดูหน้าทวิตเตอร์ของนายไวลด์สการ์ ไม่เคยทวิตข้อความเลย จำนวนรีทวิตก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่รีจากนักชกชาวสวีเดน กับข่าวสารเรื่องการเมืองในสวีเดน หรือจะเป็นสวีดิชกันนี่? เธอมุ่ยปาก คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ถ้าเป็นพวกเอคโชว์ของลับคงน่ากลัวกว่า เอ.... หรือเรียบๆแบบนี้จะยิ่งน่ากลัว


     


     

                มโนราห์ไม่ทันได้คิดต่อ แม่กลับจากงานมาถึงบ้านแล้ว และตะโกนขึ้นมาชวนให้ไปกินข้าวบ้านป้า หนึ่งในธรรมเนียมของพวกเขาคือแวะเวียนไปกินข้าวบ้านป้าหรือบ้านพี่ชายในละแวกทุกวันศุกร์ รอบนี้เวียนมาเป็นบ้านป้า


     


     

                แม่กับมโนราห์หยิบรองเท้าบูทมาสวม ออกจากบ้าน ล็อคประตูเรียบร้อยและเดินลุยน้ำท่วมกันไปตามถนนในหมู่บ้าน อยู่ที่นี่มายี่สิบกว่าปี ไม่เคยพัฒนา ฝนตกหนักทีไร น้ำระบายไม่ทัน รอระบายอยู่ร่ำไป ไม่เคยมีหน่วยงานใดมาช่วย หมู่บ้านก็เก่ามาก ประเภทขายแล้วทิ้งลูกบ้านเลย ไม่มาสนใจดูดำดูดี ข้อดีคือไม่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางเท่านั้นเอง มโนราห์จำได้ตอนสมัยอยู่มัธยมต้น ยังอยู่บ้านป้า ตอนนั้นฝนตกหนักมาก น่ากลัวมาก น้ำไหลเข้าบ้าน เธออยู่คนเดียว คนอื่นไปทำงานกันหมด ป้าก็ออกไปส่งงานปักผ้ายังไม่กลับมา เธอทั้งกลัวและร้องไห้ไปด้วย ไม่รู้จะทำยังไง วิดน้ำเท่าไหร่ น้ำก็ไม่ยุบ มียิ่งกว่านั้นอีกนะ ตอนเธออยู่ประถมต้น ไฟดับบ่อยอีกต่างหาก เอาเป็นว่าถ้าฝนตกฟ้าร้องหนักๆ ไฟดับทุกรอบ สำหรับเด็กมันก็สนุกอยู่หรอกที่ได้นั่งกลางแสงเทียน แต่เวลาเข้าห้องน้ำ ลำบากชะมัด


     


     

                พี่ชายคนโต คนกลาง สะใภ้ใหญ่ สะใภ้กลาง และหลานชายหนึ่งเดียวมาพร้อมหน้ากันแล้ว กำลังช่วยกันยกจานอาหารมาตั้งที่พื้นกระเบื้องกลางบ้าน มีแค่พี่ชายคนเล็กกับสะใภ้เล็กที่ยังไม่มา คงรถติดอยู่ตรงไหนสักแห่งบนถนนที่ซับซ้อนของกรุงเทพ


     


     

                พวกเขาคุยกันสัพเพเหระ เรื่องงาน เรื่องภาพยนตร์ที่ดูล่าสุด ยิงมุขตลกให้กัน ทั้งแม่และป้าหัวเราะอย่างมีความสุข หลานชายคนเดียวของบ้านอายุสิบขวบ กำลังคึกคะนองชอบเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือมาก เมื่อพี่ชายคนเล็กของมโนราห์มาถึง ก็ถูกลากไปคุยเรื่องเกมทันที และแล้วบทสนทนาก็วกเข้าเรื่องที่มโนราห์ได้ไปสวีเดน พี่ชายคนกลางแนะขึ้นมาว่าพวกเขาน่าจะไปเที่ยวกันบ้าง ไม่ใช่ไปสวีเดนหรอก แค่เชียงใหม่ก็พอ พวกเขาไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัวเลย นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะวันหยุดวันลาพักร้อน หรือเทศกาลใดๆ ไม่เคยไปเที่ยวแบบพร้อมหน้าสักครั้ง มโนราห์ก็มีโอกาสไปเที่ยวต่างจังหวัดน้อยสุดๆ ส่วนใหญ่เธอจะไปกับเพื่อนตอนยังเรียน ไม่เคยไปกับที่บ้าน


     


     

                หนึ่งชั่วโมงจากนั้น บรรดาลูกและสะใภ้รบเร้าแม่ของตนให้ไปเที่ยวด้วยกันเถอะ

     

    ……………………………………………………………………………

     

                   บิล สการ์สการ์ดเพิ่งกดวางสายเฟซไทม์ ตัดบทอเล็กซานเดอร์ผู้เป็นพี่อย่างเย็นชาปนๆรำคาญใจ มันเรื่องอะไรมาหาคู่เดทให้เขา ตั้งใจจะแนะนำผู้หญิงให้รู้จัก ตัวเองยังไม่มีแฟน หาให้ตัวเองก่อนเถอะ เขาพยายามสลัดความหงุดหงิดออกไป เพราะกำลังจะเข้าฉากถ่ายทำ เรื่องงานต้องมาก่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่าง เขาไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้ทีม เมื่อผู้กำกับตะโกนแอ็กชั่น เขากลายเป็นเดอะคิด ชายหนุ่มปริศนา หน้าตาเหมือนคนเศร้าตลอดเวลา แต่แฝงความลับน่าค้นหาและน่ากลัวเอาไว้ภายใน ระหว่างที่ถ่ายทำ อารมณ์รำคาญพี่ชายลดลงไปจนเกือบหายเกลี้ยง และเมื่อผู้กำกับสั่งคัต บอกว่าซีนนี้ผ่าน ให้เขารอถ่ายซีนต่อไปได้เลย บิลก็อารมณ์ดีเหมือนเดิม พลางย้อนคิด อเล็กซานเดอร์ทำอย่างนี้ อาจเพราะเป็นห่วงเขา แต่ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร


     


     

                บิลเลิกกับแฟนสาวคนก่อนไม่ดีนัก และเขาก็ไม่ได้มองใครอื่นมาเป็นปี พวกพี่ๆอาจคิดว่าเขายังเจ็บปวด ไม่ยอมมูฟออน ความจริงคือบิลเลิกเจ็บไปนานแล้ว เขาแค่อยากอยู่กับตัวเอง และพอใจกับชีวิตช่วงนี้ แต่เขาไม่ได้แสดงออกให้คนที่บ้านรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร บิลเป็นอย่างนี้เสมอ เขาไม่ค่อยแสดงออกนัก ตอนยังเด็ก เขาเคยเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่อยู่บ้าง เพราะตอนนั้นคิดว่าตนเองเป็นลูกคนสุดท้องแล้ว แต่สุดท้ายมีไอยาและวอลเตอร์ตามมา พ่อกับแม่เริ่มมีปัญหากัน พวกเขาเอาใจใส่ลูกทุกคนพร้อมกันไม่ได้มากขนาดนั้น บิลเข้าใจในข้อนี้ เขาไม่โทษใครทั้งสิ้น เขาจึงไม่ค่อยเรียกร้องหรือเอาแต่ใจกับคนที่บ้านอีก ทว่านิสัยพวกนี้คงตกค้างในตัวเยอะเหมือนกัน


     


     

                วันนี้ถ่ายทำจนดึก กว่าจะได้กลับโรงแรม เกือบห้าทุ่มแล้ว เขาเปิดปากหาวอย่างอ่อนเพลีย ตรงเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนใส่ชุดนอนอย่างเชื่องช้า และเดินโซเซมาที่เตียง ร่างสูงถึงร้อยเก้าสิบสองเซนติเมตรพาดตัวลงบนเตียงอย่างเกียจคร้าน เขาหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู ในห้องแชทพี่น้องเต็มไปด้วยคำขอโทษจากอเล็กซานเดอร์ บิลยังไม่เข้าไปตอบ ปล่อยให้คนบ้า บ้าไปก่อน เขากดเข้ายูทูป เธอกลับจากสวีเดนได้หนึ่งเดือน น่าจะมีวีดีโอใหม่อัพลง วันเหนื่อยๆอย่างนี้ ขอเห็นหน้าหน่อยได้ไหม


     


     

                เขาสมหวัง เธอเพิ่งอัพเมื่อห้าชั่วโมงก่อน วีดีโอแนะนำห้องทำงานภายในบ้าน เธอบอกคร่าวๆว่าที่บ้านมีแค่สองห้องนอน แต่เธอยึดครองหมดแล้ว แม่ไม่ชอบนอนบนชั้นสองเพราะไม่อยากขึ้นบันได จึงใช้ชีวิตอยู่ชั้นล่าง เธอครองบ้านชั้นสองคนเดียวและต้องดูแลความสะอาดด้วย เธอไม่ยอมพาไปสำรวจห้องนอน แม้วีดีโอส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้จะถ่ายทำในห้องนอนของเธอก็ตาม เธอมักจะให้เห็นผนังแค่ฝั่งที่มีเตียงนอน บิลเดาว่าเธอรักความเป็นส่วนตัวพอสมควร ห้องทำงานของเธอค่อนข้างรก กระดาษ สี จานสี พู่กันขนาดต่างๆ บนผนังเต็มไปด้วยรูปที่เธอวาดเอง และมีมุมหนึ่งของผนังที่เขาสังเกตเห็นว่า ติดพวกรูปถ่ายปริ๊นท์จากอินเตอร์เน็ต


     


     

                “ฮ่าฮ่า ตามสไตล์แฟนเกิร์ล ฉันมีภาพโปสการ์ดภาพยนตร์ที่ชอบติดไว้ นักแสดงที่ชอบก็มี นี่พี่เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบซ พี่ทอม ฮิดเดิลสตัน และขาดไม่ได้ก็คนนี้...”


     


     

                รูปภาพของบิล สการ์สการ์ดขนาดใหญ่กว่าใครเพื่อน ภาพนั้นเป็นตอนที่เขาไปโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง It และอเล็กซานเดอร์ไปด้วย แต่ภาพบนผนังไม่มีอเล็กซานเดอร์ มีแค่เขาคนเดียว


     


     

                “เอาล่ะ พอแล้ว ฉันเขิน ไปดูอย่างอื่นดีกว่า” โมเนต์หัวเราะขำขันอารมณ์ดี แก้มกลายเป็นสีชมพูจริงๆ ก่อนเธอจะแพนกล้องไปที่อื่น


     


     

                บิลแทบจะไม่รู้เรื่องแล้วว่าเธอพูดอะไรต่อ ริมฝีปากของเขาเผลอยิ้ม ไม่ใช่ยิ้มตามมารยาทเวลาทักทายกับคนในกองหรือตอนเลิกกอง แต่เป็นยิ้มจริงๆที่ออกมาจากความรู้สึกข้างใน เขาเม้มริมฝีปาก กลั้นยิ้ม เรียกสติกลับมาและดูวีดีโอต่อให้จบ ช่วงท้ายเธอบอกเรื่องหนึ่ง


     


     

                “มีข่าวที่น่าตื่นเต้นมาบอกด้วยค่ะ คริสมาสต์ปีนี้ ฉันกับทุกคนในครอบครัวจะไปเที่ยวเชียงใหม่” เธอยิ้มกว้างอย่างดีใจสุดขีด “พวกเราไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันแบบครบคนเลย คราวนี้จะเกิดขึ้นจริงแล้ว แม่ของฉันจะไปด้วย การลากแม่ออกจากถ้ำแห่งนี้น่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ พี่ชายฉันจองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นแม่หนีไม่พ้นแน่นอน แอบเสียดายนะคะ ฉันอยากลองนั่งรถไฟตู้นอนไป แต่คงยุ่งยาก ไม่สะดวกหลายอย่าง ก็เลยนั่งเครื่องบินแทน จะออกเดินทางเช้าวันที่ยี่สิบสี่เลย พวกเรายังเถียงกันอยู่ว่าจะไปตรงไหนของเชียงใหม่บ้าง ต้องสนุกและวุ่นวายมากแน่นอนค่ะ มากคนมากความเป็นเรื่องธรรมดา แต่ฉันรอไม่ไหวที่จะได้ทะเลาะกับพวกเขาแล้วล่ะ เจอกันเดือนหน้าค่ะ”


     


     

                บิลเลื่อนอ่านคอมเมนต์อย่างที่ทำประจำ ไอซ์จากทริปสวีเดนทิ้งข้อความไว้ว่า มีพี่ชายโสดๆสักคนไหมจ๊ะ เธอตอบคอมเมนต์เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนว่าพี่ชายแต่งงานหมดแล้ว เหลือเธอโสดคนเดียว รับเธอไปเลี้ยงไหม ซึ่งไอซ์ส่งอิโมจิหน้าอาเจียนกลับมา บิลสะดุดตาเข้ากับคอมเมนต์ล่าสุดเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว เป็นแอคเคาท์แปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นว่าคอมเมนต์ให้เธอมาก่อน เขียนเป็นภาษาไทย


     


     

                Music122 : เวลาเขิน น่ารักจังครับ


     


     

                   บิลกดแปลผ่านกูเกิล และเข้าใจความหมายของข้อความ โมเนต์ยังไม่ตอบ เธออาจจะยังไม่เห็น หมอนี่เป็นใคร มาจากไหน แล้วคำพูดอย่างนั้นมีเจตนาอะไร เขาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ กดเข้าไปดูแอคเคาท์แปลกหน้า หมอนี่ไม่เคยอัพวีดีโอเลย คล้ายกับบิลที่เปิดแอคเคาท์ไว้ดูวีดีโอเฉยๆ รูปดิสเพลย์เป็นผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม สวมแว่นตาดำ บิลเห็นแล้วพาลหงุดหงิดโดยไม่ทราบสาเหตุ เขากดออกจากยูทูป แล้วไปทวิตเตอร์ มีลางสังหรณ์ว่าหมอนี่น่าจะตามโมเนต์ไปที่ทวิตเตอร์ด้วยเช่นกัน และเขาคาดเดาไม่ผิด รูปที่โมเนต์ยกแขนเช็ดน้ำตา ฉากหลังด้านบนเป็นแสงเหนือ นายมิวสิคเมนชั่นทิ้งไว้ด้วย


     


     

                MusicTime : CUTE :)  


     


     

                   เจตนาชัดเจนแล้ว ไม่มีอย่างอื่น ผู้ชายเหมือนกัน ย่อมดูออก บิลกดย้อนกลับ ออกจากทวิตเตอร์ กดปิดหน้าจอ วางโทรศัพท์ไว้โต๊ะข้างเตียง สะบัดผ้าห่มคลี่ออกและคลุมตัว ไม่ต้องสนใจ ไม่สนใจ ไม่สน


     


     

                คิวท์บ้านแกสิ


     


     

                เขาแอบตามดูของเขามาเป็นปี กว่าจะตัดสินใจส่งอิโมจิสักตัว


     


     

                เธออุตส่าห์ได้ไปสวีเดน แต่เขาดันติดแหง็กอยู่อเมริกา


     


     

                เธอมีรูปเขาติดบนผนังห้องทำงาน (รวมกับรูปนักแสดงอื่นๆที่เธอชอบ และภาพยนตร์ที่เธอชอบ)


     


     

                   คิวท์อะไรกัน น่ารักบ้าบออะไร


     


     

                หนึ่งชั่วโมงต่อมา บิลผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เขาคว้าโทรศัพท์ เข้าห้องแชทพี่น้อง พิมพ์ข้อความแล้วกดส่ง “คริสมาสต์ปีนี้ ไปเที่ยวเชียงใหม่กันไหม?”


     


     


     


     


     


     


     


     


     

     

     

    TALK

    พวกเขาต่างกันมากอยู่นะคะ น้องมโนกับพี่บิลเนี่ย 

    สถานะทางสังคม สภาพแวดล้อมที่โตมา นิสัยบางอย่างอาจคล้ายกัน ซึ่งไอ้ส่วนที่คล้ายกัน อาจกลายเป็นปัญหาได้ด้วย เหอะๆ

    วางตัวละครมาฆ่าคนเขียนเองหรือเปล่าไม่รู้  ดูกันต่อไป 555+

    อ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้าง บอกกันหน่อยนะคะ >< 

    เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก เน้นให้มโน ให้เขินๆ น่ารักๆ เรียบง่าย 


     

    ขอบคุณทุกคนที่หลงตัวเข้ามานะคะ :)) 


     


     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×