คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [ Wren ] : No one can escape.
Psyche
Chapter 5 : No one can escape.
[ Wren ]
“โซลเยอร์สิบกว่าคน
แพ้ผู้หญิงคนเดียวหรือ?”
ใบหน้าไร้อารมณ์เหมือนจะตึงเครียดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
ขณะหันไปมองโซลเยอร์สองนายที่บาดเจ็บกันคนละนิดละหน่อย
พวกที่เหลือคงจะวิ่งตามผู้หญิงคนนั้นไป เขาได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน
เครื่องกำลังจะออกและพาเขากลับไปฐานที่แม็กซิโก แต่ทุกอย่างต้องหยุด
เพราะภารกิจยังไม่จบสิ้นดี มีคนเหลือรอด จากตอนแรกที่รายงานเข้ามาว่าหนึ่งคน
ตอนนี้กลายเป็นสอง และคนที่สองคือตัวปัญหาใหญ่ แม้แต่รูปถ่ายที่เขาได้มา จากโทรศัพท์มือถือของสเกาต์รายหนึ่งที่แอบหลบอยู่บนต้นไม้
ก็เป็นรูปที่ไม่ชัดเจน เขาไม่เห็นหน้าผู้หญิงด้วยซ้ำ เธอกำลังก้มหน้า
จังหวะหลบมุมกล้อง ถ้ารอดมาได้นานถึงขนาดนี้
โดยที่ไม่ปรากฏร่องรอยให้เห็นมาก่อนเลย แสดงว่าไม่ธรรมดา
เขาอยากได้
เธอคงจะว่องไวรวดเร็วเหมือนผี
ไหวพริบเป็นเลิศ ทักษะเหล่านั้นเหมาะกับตำแหน่งสเกาต์ หรือไม่ เขาอาจจะให้เป็นโซลเยอร์
จากการประเมินสถานการณ์คร่าวๆ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเธอมีทักษะการต่อสู้ด้วย
อาจจะไม่ดีมาก แต่ก็ฝึกปรือได้ ในเมื่อร่างกายพร้อม ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
แต่อันดับแรก ต้องทำให้เธอกลายเป็นพวกเขาเสียก่อน
“ไปทางไหน?”
เขาเอ่ยถาม
ทหารสองคนชี้มือไปทางเดียวกันคือถนนเส้นเล็กฝั่งตรงข้ามสำนักงานอาร์ซีเอ็มพี
นัยน์ตาสีดำหรี่ลงอย่างน่ากลัว ก่อนที่ร่างสูงจะขยับเดิน เร่งความเร็วของฝีเท้า
ปืนแบเร็ตต้าสีเงินประจำตัวถูกชักออกมาจากช่องเก็บปืนด้านในเสื้อตัวยาว
เขาคาดหวังว่าเธอจะไม่ยอมจำนนง่ายเกินไป ในเมื่อเขาตัดสินใจออกล่าด้วยตัวเอง เขาอยากจะสนุกกับของเล่นชิ้นใหม่นี้เสียหน่อย
พวกมนุษย์มักจะน่าเบื่อ เดาง่ายเกิน ขี้กลัว อยากมีลมหายใจอยู่ต่อ
จนไม่สนว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ที่ผ่านมามันจึงง่ายเกินไป จนไม่เหลือเรื่องสนุก
เร็น
กริฟฟิธคืออดีตทหารนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านสงครามและภารกิจมาอย่างโชกโชน
แม้จะอายุแค่สามสิบต้นๆ แต่ก็เป็นที่ยอมรับของพลทหารระดับสูง ผลงานดีเด่น
ปฏิบัติการที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา มีเปอร์เซ็นต์ล้มเหลวน้อยมาก
เร็นจึงเป็นตัวเลือกแรกที่ได้รับหน้าที่ระดับซีเลคเตอร์ หรือผู้เลือก
ผู้เฟ้นหา และตำแหน่งสูงกว่าพวกโซลเยอร์
ไม่ใช่ทหารระดับล่างที่จะแบกปืนไรเฟิลหรือปืนคาร์บินออกไล่ล่า
เข้าไปในสนามรบและเสี่ยงตาย เขามีกองทัพเป็นของตัวเองที่จะทำทุกอย่างตามที่เขาสั่ง
หน้าที่ของเขามีแค่เลือกมนุษย์เท่านั้น
ดูว่ามีแนวโน้มจะบงการได้ง่ายหรือยาก ควรจะจัดการอย่างไร ควรเก็บไว้ใช้งานหรือฆ่าให้ตาย
ก่อนหน้านี้
เร็นไม่ใช่พวกเลือดเย็น ถึงจะผ่านสงครามในตะวันออกกลาง
พบเห็นความรุนแรงในประเทศโลกที่สามมานักต่อนัก เขาไม่ได้มีปัญหาทางสภาพจิตใจ
สิ่งที่ดึงเขาไว้จากการตกต่ำลง คือ
ครอบครัวและผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาตั้งใจว่าจะแต่งงานด้วย ความทรงจำเกี่ยวกับเธอยังคงวนเวียนอยู่
เหมือนภาพสีเก่าจางที่รอวันเลือนหายไป มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรอีกแล้ว
นอกจากความหงุดหงิดเล็กๆในใจ รำคาญ
และหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังอยู่ในสมองของเร็น
หรือร่องรอยความเป็นมนุษย์จะค่อยๆหายไปเองตามกาลเวลา เขาแค่ต้องรอ และเมื่อวันนั้นมาถึง
เขาจะครอบครองร่างนี้โดยสมบูรณ์ และใช้ประสิทธิภาพของมันได้อย่างเต็มที่
บางครั้ง เขารู้สึกว่าเสียงของเร็นยังดังอยู่ในหัว ดังมาจากที่ไกลแสนไกล
คอยส่งคลื่นรบกวน
หอบพาความทรงจำอันอ่อนหวานเกี่ยวกับครอบครัวและผู้หญิงอันเป็นที่รักมาด้วย
ให้ความรู้สึกเหมือนเสี้ยนหนามเล็กที่ตำอยู่บนนิ้ว เล็กมากจนมองไม่เห็น
จะดึงออกก็ยาก ต้องใช้ความพยายามสูง หรือไม่ก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น เขาพยายามไม่สนใจ
เขาแข็งแกร่งกว่า จิตใจและวิญญาณของมนุษย์อันต่ำต้อยมีหรือจะสู้ได้
เขาก้าวเท้าเดินต่อ
เลือกที่จะเลี้ยวไปทางลานจอดรถใต้ดิน ไม่รู้ทำไมหรืออะไร แต่เขาคิดว่า
ถ้าจะซ่อนตัว เขาจะซ่อนในนั้น และหาทางไปต่อโดยผ่านทะลุตึกตรงหน้านี้ไป
ถ้าอยู่บนที่โล่ง จะถูกสังเกตเห็นง่ายกว่าการแอบในอาคาร
หรือในจุดที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเธอเก่งเรื่องหลบซ่อน
เขาจึงเดาว่าเธอน่าจะคิดไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ทหารสองคนเดินตามเขามาติดๆ
ถือปืนไรเฟิลในมือ พร้อมที่จะยกขึ้นยิงทุกเมื่อ เขารู้สึกรำคาญ
ไม่ชอบให้ใครเดินตามเวลาออกล่า เหมือนกับราชสีห์ มันไม่เคยล่าเป็นฝูง
“ไม่ต้องตามมา ไปจัดการผู้ชายอีกคนให้เรียบร้อย” เร็นหันไปบอก
“ถ้ามีอะไรก็ติดต่อด้วย”
“แต่ว่า...”
ทหารนายหนึ่งเหมือนจะไม่แน่ใจว่าปล่อยเขาไปคนเดียวหรือเปล่า
“ทำตามที่ฉันบอก”
เร็นยืนยัน
พวกเขายืนตัวตรง
ก้มศีรษะเล็กน้อย ส่งเสียงรับคำสั่ง และหันหลังออกวิ่งไปตามทางเดิม
เมื่อได้อยู่ตามลำพังอย่างที่ต้องการ เร็นเร่งเท้าให้เร็วขึ้น แต่ระวังที่จะไม่ส่งเสียงมากเกินไป
เขาคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงทั้งตาไวและหูดี จะจับตัวให้ได้ ต้องย่องเบากันหน่อย
สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจมาโดยตลอด
พวกมนุษย์จะหนีทำไม? ถ้าเป็นช่วงแรก ที่พวกเขาใช้การจู่โจมอย่างรุนแรงอุกอาจ
จะหนีก็ไม่แปลก แต่พอผ่านไปสักหกสัปดาห์ หลังจากยึดดาวเทียม อินเตอร์เน็ต
การสื่อสาร รัฐบาล สื่อทุกสำนัก ในทุกประเทศได้เป็นที่เรียบร้อย พวกเขาประกาศออกไปทุกที่
ทุกช่องทาง มั่นใจว่ายังไงพวกมนุษย์ก็ต้องได้รับสาร พวกเขาเสนอทางเลือกที่ดีกว่า
อนาคตที่สวยงามกว่า ปราศจากสงคราม ภาวะโลกร้อน มลพิษที่กำลังทำลายล้างโลกทีละน้อย
จะไม่มีอีกต่อไป จะเป็นยูโทเปียอันแสนสมบูรณ์แบบ
ฐานะของทุกคนจะขยับขึ้นมาอยู่ระดับเท่ากัน ทุกคนจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ
และอาจเป็นได้มากกว่าสิ่งที่คิดว่าจะเป็นได้
ไม่ใช่ความฝันในส่วนลึกของทุกคนหรอกหรือ?
ที่พวกเขาต้องการแลกคือของง่ายๆ แล้วมนุษย์จะพบกับความสงบสุขไปตลอดกาล หลับใหล ไม่ต้องดิ้นรน
ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องสัมผัสกับความแก่ เจ็บ หรือตาย พวกมันจะได้รับนิรันดร์กาล อย่างที่วาดหวัง
หลับฝันดี โดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาผจญกับความทุกข์ยากอีก แต่พวกมันโง่ดักดาน ต่อต้าน
ทำให้ต้องใช้วิธีที่พวกมันรู้จักดี คือความรุนแรง
ในเมื่อพูดกันด้วยภาษาคนไม่เข้าใจ ก็คุยกันด้วยปืน
เร็นได้ยินเสียงหัวใจเต้น
สั่นรัวด้วยความกลัว เขาหยุดเดินครู่หนึ่ง มองเข้าไปในความมืดของลานจอด
มีแต่แสงอาทิตย์จากด้านนอกที่สาดเข้ามา หลอดไฟทุกดวงไม่ติดแล้ว
รถยนต์มีเหลืออยู่ประมาณสิบกว่าคัน เธอแอบอยู่หลังรถพวกนั้นคันใดคันหนึ่ง
กำลังนั่งตัวงอด้วยความหวาดกลัว เธอมองเห็นเขาแน่ เขารู้สึกได้ว่าเธอเห็น
เพราะจังหวะการเต้นของหัวใจเธอมันดังและถี่เร็วกว่าเดิมเมื่อเขาขยับเท้าเดิน
เขาอยากรู้ว่าเธอจะทำยังไง? จะหลบอยู่อย่างนั้นจนกว่าเขาออกไป
หรือว่าจะลองเสี่ยงเปิดเผยตัว ด้วยการยิงปืนใส่เขา
หัวใจเล็กจ้อยนั่นเต้นเร็วจนเขากลัวว่าเธอจะระเบิดตายอยู่ตรงนั้นเสียก่อน
โดยที่พวกเขายังไม่มีโอกาสได้เผชิญหน้ากันตรงๆ
ร่างสูงขยับไปทางขวา
ตามเสียงเต้นของหัวใจ เขากำปืนในมือแน่น พร้อมใช้งาน รถยนต์สีเทาจอดอยู่ใกล้กำแพง
เขาระบุตำแหน่งของเธอได้ รู้ว่าเธออยู่หลังรถนั่น กำลังเหงื่อไหลย้อย
กลัวสุดใจจนแทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว เหมือนกวางที่กำลังเผชิญหน้ากับราชสีห์
และรู้ว่าความตายกำลังรออยู่ไม่ไกล แต่เขาหยุดเดิน ยืนนิ่ง เล่นเกมกับเธอเสียหน่อย
เขาทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ เข้ามาที่นี่ด้วยความบังเอิญ และกำลังจะกลับออกไป
เร็นหมุนตัว หันหลังให้รถยนต์ และก้าวเท้าเดินห่างออกไปช้าๆ
เสียงหัวใจของเธอค่อยๆสงบลง
เขากำลังจะก้าวออกไปพ้นจากลานจอดรถอยู่แล้ว
ตอนที่ได้ยินเสียงเธอขยับตัว แค่เสียงสวบสาบของเสื้อผ้า กับรองเท้าที่ครูดกับพื้น
ถ้าเป็นหูพวกโซลเยอร์หรือสเกาต์ ก็คงไม่ได้ยินหรอก แต่เพราะเขาคือ ซีเลคเตอร์
เขาเป็นนักล่าชั้นเลิศที่ประสาทสัมผัสดีกว่า เธอหมอบคลานต่ำ เคลื่อนที่ไว
แต่ไม่ไวกว่ากระสุนปืน
หันขวับเพียงครั้ง
เหนี่ยวไกทันที ตำแหน่งถูกต้องเหมือนจับวาง เสียงดังปัง ตามด้วยกระสุนลอยหวือ
ฝังลงไปที่ต้นแขนข้างซ้ายของเธอ หญิงสาวอยู่ในอาการช็อคชั่ววูบ ร่างเธอเอียงล้มลงไปกับพื้น
มือข้างขวายกขึ้นกุมบริเวณที่ถูกยิง และดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมองมาทางเขา
อย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ถูกยิง แต่ความต้องการที่จะเอาตัวรอด
ทำให้เธอขยับแทบจะทันที ตะเกียกตะกายลุกขึ้น หยิบปืนของตัวเองออกมา ยิงโต้กลับ
น่าเสียดาย ความสามารถในการยิงปืนระยะไกลของเธอไม่ดีเหมือนทักษะอื่น แต่ฝึกได้
และเขาเชื่อว่าเธอจะเก่งขึ้นแน่
ดูเหมือนเธอรู้ตัวว่าระยะที่เขาอยู่
ไกลเกินกว่าที่เธอจะยิงได้แม่น หญิงสาวจึงทำสิ่งที่เธอถนัด วิ่งหนี
เขาปล่อยให้เธอวิ่ง เดินไล่หลังเธออย่างสบายๆ แต่ท่าเดินตะคุ่มเหมือนปีศาจ
ที่พร้อมโฉบเข้าใส่ เขายกปืนขึ้นอีกครั้งก่อนที่เธอจะวิ่งไปถึงประตู
คราวนี้เล็งที่ขา
ร่างเล็กร่วงลงกับพื้น
เหมือนกิ่งไม้ที่ถูกกรรไกรตัด เลือดไหลออกจากบาดแผล
เขาได้ยินเสียงเธอร้องอย่างเจ็บปวด ขณะที่พยายามจะคลานไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล
เขาเดินเข้าไปใกล้เธอ ใช้ขาเขี่ยบริเวณลำตัว ให้ตัวเธอพลิกขึ้นมา
นอนหงายอยู่กับพื้น เขาเพิ่งได้เห็นเธอเต็มตาเป็นครั้งแรก ยังดูเด็กอยู่เลย
อายุไม่น่าจะถึงยี่สิบดี ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีเหมือนเปลือกเฮเซลนัท หน้าผากกว้าง
ชื้นไปด้วยเหงื่อ เธอกำลังหอบหายใจ สีหน้าหวาดหวั่น กลัวเกรง
ปากกระบอกปืนของเขาเลื่อนขึ้นในตำแหน่งที่เธอจะมองเห็นได้ชัดๆ
บอกให้รู้ว่าถ้าเธอคิดจะทำอะไร เขาพร้อมจะเหนี่ยวไก เขาเห็นเธอแอบเหลือบมองปืนที่ตกอยู่ใกล้ๆ
ไม่มีวันที่จะขยับไปหยิบได้ทันหรอก
เธอแพ้แล้ว
และเขาคิดว่าเธอก็รู้
“ฉันได้ยินว่าเธอเก่งนักใช่ไหม?”
นั่นเป็นการพูดเกินจริง เขาไม่ได้ยินอะไรมากไปกว่า
มีผู้รอดชีวิตอีกสองคนในแถบนอร์ธแวนคูเวอร์ เธอไม่ตอบ มองเขานิ่ง ตาแทบไม่กระพริบ
เพราะไม่ไว้วางใจ และกลัวเขาอย่างที่สุด “เธอไม่ควรขัดขืน เสียแรง เสียเลือด”
เขาโน้มตัวลง เอื้อมมืออีกข้างคว้าคอเสื้อของเธอและดึงให้ลุกขึ้นนั่ง
“รอดมาได้ยังไงนานขนาดนี้ เธอเป็นใคร?” เธอไม่ตอบ
นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวภายในไม่กี่วินาที สัญชาตญาณของนักสู้ผู้ดื้อดึงฉายแววออกมาได้อย่างน่าสนใจ
มือข้างขวาของเธอกำหมัดแน่น และเหวี่ยงขึ้นหมายจะต่อย
เขาปัดออกไปโดยใช้ด้ามปืนกระแทกอย่างแรง เธอร้องเสียงดัง ชักมือกลับไป
มองอย่างเคืองแค้น
เธอไม่ใช่กวางหรอก
ถ้าจะเปรียบเธอเหมือนสัตว์อะไรสักอย่าง กวางคงไม่อาจเทียบชั้น พวกมันอ่อนแอกว่า
ยอมแพ้ได้ง่ายกว่า อาจจะดิ้นทุรนทุรายอยู่ในปากและใต้เขี้ยวของราชสีห์
แต่มันแว้งกัดไม่ได้ มันไม่มีกรงเล็บ ไม่มีทักษะการต่อสู้ เธอเหมือนเสือ
พวกมันไม่ยอม พวกมันเป็นนักล่าเช่นกัน และพร้อมจะสู้กับเจ้าป่าทุกเมื่อ
ไม่ต้องมัวพูดอะไรกันอีกแล้ว
เรื่องที่อยากรู้ เอาไว้ถามทีหลังได้ มือขวาของเขายังถือปืน และตอนนี้กดจ่อลงบนหน้าผากของเธอ
หญิงสาวไม่หลับตาด้วยซ้ำ เธอมอง ทั้งที่ไม่มีอะไรจะสู้ได้ แต่สู้ยิบตาด้วยความกล้าของเธอเอง
เหมือนเธอไม่อยากให้ใครเห็นความกลัว ทั้งที่หัวใจเต้นเร็วเหมือนกลอง กลัวแทบตาย
และน้ำใสๆเริ่มรื้นอยู่ในดวงตา เร็นล้วงมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
ดีแล้วที่เขารอบคอบ พกสิ่งนี้มาด้วยทุกครั้งที่ออกภาคสนาม
เขาหยิบเข็มฉีดยาขนาดกะทัดรัดออกมา เร็นใช้นิ้วสะกิดเอาปอกสวมเข็มออกไป
เข็มสีเงินยาวอย่างน่าเกรงขาม เชื่อมต่อกับอยู่กับหลอดแก้วที่บรรจุควันสีดำ
“ฆ่าฉัน”
เธอพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก “ฆ่าฉันเลยสิ” เธอคงหมายถึง ฆ่าฉันดีกว่า อย่าฉีดเธอด้วยของแปลกปลอมที่เธอไม่รู้จัก
น้ำตาหยดลงไปบนแก้ม หยดใสแจ๋วเหมือนดวงตากลมคู่นั้น เร็นกระพริบตา
คิ้วขมวดเข้าหากัน เขาเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มองหยดน้ำตาไหลผ่านแก้มเนียน
ร่วงลงไป บอกให้ฆ่า แต่กลับร้องไห้ต่อหน้าศัตรู และก็เป็นน้ำตาที่ –
ไม่รู้ เขาไม่รู้ว่ามันเป็นน้ำตาแบบไหน
หรือจะควรจะส่งผลอย่างไรต่อคนที่ได้เห็น เขาไม่มีความรู้สึก ไม่มีความเห็นใจ
ไม่มีความสงสาร ถ้าเป็นเร็น กริฟฟิธคนเดิม เขาคงถอนปืนกลับไป หยุดการกระทำทุกอย่าง
พยุงเธอขึ้นยืนและพาหนี แต่เขาไม่ใช่เร็น กริฟฟิธคนนั้น
เข็มฉีดยาปักลงไปบนคอ
รวดเร็ว ฉับไว เขามองสสารในหลอดแก้วถ่ายเทเข้าไปในร่างกายของเธอ ร่างเล็กชักกระตุก
หงายหลังกลับไปนอนแผ่ ขาหด หงิกงอ แขนเปะปะไปทั่ว เขาไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
แต่จากที่เห็น คงจะเจ็บน่าดู
เร็นย่อตัวลงอยู่ใกล้ศีรษะของเธอที่ปัดป่ายไปซ้ายทีขวาที มองริมฝีปากของเธอที่ขบแน่น
ก่อนเธอจะกรีดร้องสุดเสียง เห็นเส้นเอ็นชัดเจนที่ลำคอ
“มันจะจบลงในไม่ช้า”
เขากระซิบบอก มืออยู่ห่างจากเส้นผมบนหน้าผากของเธอแค่คืบเดียว แต่เขาชักกลับไป
เพราะได้ยินเสียงระเบิดดังตูมมาจากทางสำนักงานตำรวจ ร่างสูงลุกขึ้นยืนทันที
เขาได้ยินเสียงดังอีกครั้ง เหมือนมีคนปาระเบิด ไม่น่าจะใช่พวกโซลเยอร์
พวกเขาไม่ใช้ระเบิดถ้าไม่ใช่ภารกิจจู่โจมคนจำนวนมาก
เร็นเดาได้ทันทีว่าเกิดเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมขึ้นแล้ว
นี่หมายความว่าเขาต้องจัดการทุกอย่างเองใช่ไหม?
ดวงตาสีดำของชายหนุ่มไร้อารมณ์หนักกว่าเดิม เขาหันไปมองหญิงสาว คงไม่มีอะไรน่าห่วง
เมื่อเธอเข้าที่เข้าทาง เธอจะเดินออกไปหาเขาด้วยตัวเองอยู่แล้ว
เร็นเดินออกมาทันเห็นทหารสองคนวิ่งไล่ตามผู้ชายคนหนึ่งไป
ดูท่าทางน่าจะเหลวเปล่า เขาไปล่าเองน่าจะดีที่สุด ขณะที่กำลังตัดสินใจจะเดินตามไป
ก็มีเหตุให้ต้องหยุด
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เสียงนั้นดังมาจากหญิงสาวผมบลอนด์ที่ทำหน้าที่สเกาต์
และเป็นคนส่งข่าวว่าพบมนุษย์อีกสองคน “ซีเลคเตอร์ใช่ไหมคะ?”
“มีอะไร?”
เร็นถาม เสียงห้วน
“ฉันอยากจะขอให้ปล่อยผู้ชายคนนั้นไปก่อน”
สเกาต์บอก “เขาพูดถึงกองกำลังมนุษย์ที่แคลิฟอร์เนีย เขากำลังจะเดินทางไปที่นั่น
และขอเข้าร่วมกลุ่ม ฉันจะขออนุญาตติดตามเขาไป เขาไม่รู้สักนิดว่าฉันเป็นใคร
เขาคิดว่าฉันเป็นผู้รอดชีวิตเหมือนเขา ฉันขอยืนยันว่าการตามเขา จะช่วยให้เราพบพวกนั้น”
“เธอชื่ออะไร?”
เร็นถามเอาไว้ เผื่อถ้าเธอทำพลาด จะได้ตามตัว และกำจัดถูกคน
“ไรลีย์
เฮย์สค่ะ” สเกาต์สาวตอบ
“ไปรายงานหัวหน้าหน่วยของเธอด้วย”
เร็นสั่ง และเธอพยักหน้ารับ
เขารอจนแน่ใจว่าสเกาต์เดินไปไกลพอแล้ว
จึงหันกลับไปมองที่ทางเข้าลานจอดรถอันมืดสนิทเหมือนถ้ำ เธอควรจะออกมาได้แล้ว
การเปลี่ยนแปลงไม่เคยใช้เวลานานมากกว่าสามนาที
นอกเสียจากมีอะไรผิดพลาดระหว่างกระบวนการ เร็นเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง
สาวเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม จนชายเสื้อสะบัด
เขาไม่สนใจที่จะระวังเรื่องเสียงรองเท้าอย่างครั้งแรกที่เดินเข้ามา
เขาเห็นเลือดกองเป็นย่อมใหญ่
แต่ที่น่าประหลาดกว่านั้นคือสิ่งที่ควรจะอยู่ในร่างของหญิงสาว มันนอนแอ้งแม้งใช้การไม่ได้
ไร้วี่แววของเธอ
Writer's talk
ถึงเวลาอธิบายศัพท์ สเกาต์ = scout ฉันได้ไอเดียมาจากลูกเสือค่ะ (และชอบคำว่า สเกาต์ มากเป็นพิเศษ เพราะนวนิยายเรื่อง To kill a mocking bird), ซีเลคเตอร์ = selector ส่วนโซลเยอร์ก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
ความคิดเห็น