ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Notorious [Tom Riddle & OC]

    ลำดับตอนที่ #4 : A chivalry is dead.

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 62



    Notorious [Tom Riddle & OC]

    Chapter 4 : A chivalry is dead.






                จูปิเตอร์ไม่ได้นอนหลับระหว่างที่รอเรียนวิชาดาราศาสตร์เวลาเที่ยงคืน ในคืนวันพฤหัสบดีที่ฟ้ากระจ่างไร้เมฆ เธอนั่งใกล้หน้าต่าง อ่านทบทวนรายชื่อสมุนไพรและเห็ดราเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน นับตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นมา บทสนทนาระหว่างเธอและมาร์สพากันวนเวียนกลับมาให้คิดเป็นประจำ คำทำนายปริศนาจากพันปีก่อน ความจริงที่เธอได้รู้ว่าทอม ริดเดิ้ลคือทายาทของสลิธีริน แผนการของเขาที่อยากจะสานต่องานของกรินเดลวัลด์หากคนผู้นั้นล้มเหลว และสิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับเธอ เด็กสาวรู้สึกขยะแขยงเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ คนที่มีปัญหาทางจิตใจอย่างรุนแรงเท่านั้นที่คิดจะกระทำการต่อผู้หญิงสักคนแบบที่เขาคิด เธอไม่สามารถมองทอม ริดเดิ้ลได้เหมือนเดิมอีก ก่อนหน้านี้เธอแค่สงสัย ไม่ไว้วางใจ แต่ตอนนี้ เธอกลัว รังเกียจ ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นอีกเลย อยากจะหนีไปให้ไกล พ้นจากเขา หรือให้เขาหายไปจากชีวิตเธอได้เสียเลย ยิ่งดี



                เธอปิดหนังสือดังฉับ วางทิ้งไว้บนโต๊ะ หยิบเสื้อคลุมกันหนาวสวมทับเสื้อยืดแขนยาว ตัดสินใจออกจากห้องนั่งเล่นรวมก่อนเวลา เพื่อเดินขึ้นบันไดต่อไปยังห้องเรียนวิชาดาราศาสตร์ เสียงลมหวีดหวิวผ่านเข้าหู เธอห่อตัวใต้เสื้อคลุม สัมผัสถึงอากาศชื้น เมื่อวันก่อนฝนตกอีกครั้ง อากาศจึงเย็นลงจนเกือบหนาว แสงไฟจากคบเพลิงตามทางเดินช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นได้บ้าง จูปิเตอร์คิดว่าตัวเองมาถึงก่อนใคร เธอจะได้มีเวลาชื่นชมดาราจักรบนท้องฟ้าในความเงียบสงบ ทว่า เมื่อก้าวพ้นบันไดมาถึงลานหอคอย ภายใต้ผืนฟ้าดาวพร่าง เธอจึงรู้ว่าไม่ใช่คนแรกที่มาถึง



                ทอม ริดเดิ้ลยืนริมขอบ มือสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง เขามองไกลออกไปยังท้องฟ้ายามราตรี เลยพื้นสนามหญ้าของฮอกวอตส์ ถึงชายป่าต้องห้าม ท่าทางของเขาไม่ต่างจากราชาผู้เป็นเจ้าของปราสาท ยืนตรวจตราทรัพย์สินด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อย้อนคิดว่าบรรพบุรุษของเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง การวางท่าของเขาจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง ถ้าเขาเกิดในยุคที่ยังมีกษัตริย์ปกครอง ดยุคเป็นเจ้าของผืนดิน เขาสามารถอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของฮอกวอตส์ตามชอบธรรม แต่ในสมัยนี้ โรงเรียน ผืนดิน ประเทศไม่ได้เป็นของผู้ใดเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว จูปิเตอร์ถอยเท้ากลับอย่างเงียบเชียบ ไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากสนทนา ไม่อยากแม้แต่จะมองเห็น ขนทุกเส้นบนแขนของเธอลุกชัน แค่เห็นแผ่นหลังของเขาอยู่ตรงนั้น



                “สายัณห์สวัสดิ์ จูปิเตอร์”



                เท้าของเด็กสาวค้างเติ่ง หนีไปไหนไม่ได้แล้ว เธอหันกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก และเห็นว่าเขาก็หันมาหาเช่นกัน จูปิเตอร์แอบหยิบไม้กายสิทธิ์ใต้เสื้อคลุม ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่น่าจะทำอะไรอุกอาจ แต่เธอไม่ไว้ใจไปแล้ว จับไม้กายสิทธิ์เตรียมพร้อมไว้ย่อมรู้สึกอุ่นใจ



                เธอไม่ได้ทักทายตอบ แต่เดินเลี่ยงไปใกล้กล้องดูดาว ปักหลักอยู่บริเวณนั้น ห่างจากเขามากกว่ายี่สิบก้าว ห้านาทีผ่านพ้นไปในความเงียบ จูปิเตอร์ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว แต่เธอไม่ต้องทนทรมานนานนัก นักเรียนคนอื่นปีนบันไดขึ้นมาสมทบ นำพาเสียงพูดคุยมาด้วย ศาสตราจารย์มาถึงเอ่ยทักทายชั้นเรียนอย่างเป็นกันเอง และบอกว่าวันนี้จะให้นักเรียนทำงานเป็นคู่ ช่วยกันระบุตำแหน่งดวงดาวลงในแผนที่ท้องฟ้า คู่ใดทำเสร็จเร็วและถูกต้องที่สุด อาจารย์จะให้คะแนนประจำบ้านเพิ่มถึงยี่สิบแต้ม จูปิเตอร์กระตือรือร้นขึ้นทันที เธอหันไปมองหาเพื่อนร่วมชั้นเรเวคลอที่ยังเหลืออยู่ โรซาลินด์กับเพเนโลพีจับคู่กันไปแล้ว เธอเห็นว่าอาร์ทิมิส มักมิลลันยังยืนอยู่คนเดียว จึงตั้งใจจะเดินเข้าไปหา



                “คู่กันเถอะ มักมิลลัน”



                จูปิเตอร์ช้าเกินไป นักเรียนชายอีกคนชวนอาร์ทิมิสไปก่อน



                “เหลือแค่เราแล้ว จูล” ทอม ริดเดิ้ลเดินเข้ามาใกล้ พร้อมโบกแผนที่ดวงดาวตรงหน้าเธอ “จะทำงานกันตรงไหนดี ตรงนั้นดีไหม” เขาชี้มือไปทางกล้องดูดาวที่เธอเพิ่งเดินจากมา และเดินนำไปโดยไม่รอคำตอบ



                ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย จูปิเตอร์อยากจะกรีดร้องให้ดังไปถึงดวงดาว เธอเดินเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ หยุดยืนอยู่อีกฝั่ง มีกล้องดูดาวขวางพวกเขาไว้จากกัน ทอมหยิบดินสอไม้ออกจากกระเป๋า เขียนชื่อของเขาไว้เหนือแผนที่และถือวิสาสะเขียนชื่อเธอไว้ด้วย ลายมือของเขาสวยน่ามอง นิ้วมือเรียวยาวของเขามีโครงสร้างกระดูกที่สวยงาม มองแล้วเพลินตาไปทุกสัดส่วน เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า เธอเห็นแสงสะท้อนภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยดวงดาว ผิวของเขาขาวซีดในความมืด ประหนึ่งจะเปล่งแสงได้แบบพระจันทร์ เส้นผมสีดำของเขาปลิวไสวน้อยๆไปด้านหลัง เผยหน้าผากกว้างและดวงตาของเขาอย่างเด่นชัด ใช่ ยอมรับตรงๆว่าเขาดูดี เป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา มากเสน่ห์ แต่ความงามภายนอก ช่างต่างกับความน่ารังเกียจในใจและความคิด



                “แข่งกันดีกว่าว่าใครจะหาจูปิเตอร์เจอก่อนกัน” ทอมถาม น้ำเสียงมีแววสนุกสนานเหมือนเด็ก



                เขาหมายถึงดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ดวงดาวที่อาจารย์มอบให้ เด็กหนุ่มหันกล้องไปหาตัว ก้มลงมองผ่านเลนส์กล้อง สำรวจแผ่นฟ้ายามค่ำคืน จากนั้นเงยหน้า ใช้ดินสอวาดวงกลมและเขียนชื่อดวงดาวลงไป



                “ขอตรวจดูอีกครั้งได้ไหม?” จูปิเตอร์ถามอย่างอดใจไม่ได้ เธอจะไว้ใจให้เขาเขียนคำตอบโดยไม่ตรวจดูได้อย่างไร บนกระดาษนั้นมีชื่อเธออยู่ด้วย



                “เชิญ” เขาผายมือ ขยับกล้องมาให้เธอ



                จูปิเตอร์ใช้กล้องดูดาวที่แหงนขึ้นฟ้า เท่าที่มองดูแล้ว คำตอบของเขาถูกต้อง เธอผละออกและพยักหน้า “อืม ดาวศุกร์จริงๆ”



                “เธอไว้ใจฉันได้” ทอมพูด ยิ้มเล็กน้อย พลางยื่นกระดาษกับดินสอมาให้ “ลองหาต่อสิ”



                ประโยคที่ว่า เธอไว้ใจฉันได้ ราวกับจะประชดประชัน เธออยากตะโกนใส่หน้าเขาว่าเธอรู้หมดแล้ว รู้ว่าเขาวางแผนอะไร คิดชั่วสกปรกต่อเธอขนาดไหน และเธอขยะแขยงแม้แต่จะหายใจที่เดียวกับเขา จูปิเตอร์สูดลมหายใจลึก เก็บงำถ้อยคำและอารมณ์คุกรุ่นซ่อนไว้ก่อน พูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมาร์สอาจจะมีอันตราย เธอหันเหความสนใจมาที่งานตรงหน้า ปรับโฟกัสของกล้องให้ไกลและชัดขึ้น เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ เธอเงยหน้า ใช้ดินสอของริดเดิ้ลวาดดวงดาวที่อยู่ไม่ห่างจากดาวศุกร์ และเขียนชื่อกำกับ



                “ขอตรวจดูบ้างได้ไหม?” เขากระซิบถาม เสียงทุ้มน่าฟังเหลือเกิน ยามขยับเข้าใกล้ เธอได้กลิ่นแบบเดิมจากตัวเขา กลิ่นของหญ้าเปียกชื้นหลังฝนตก กลิ่นธรรมชาติที่แสนสบาย หอมอ่อนละมุน เธอเอนตัวหนี ผลักกล้องดูดาวไปทางเขาราวกับเป็นของร้อน เธอสาบานเลยว่าเขายิ้มเหมือนรู้ทัน ก่อนจะใช้กล้องส่องดาวอย่างตั้งใจ



                “เรายังไม่ตกลงกันเลย ถ้าฉันหาจูปิเตอร์เจอก่อน เธอจะให้อะไร?” เขาพูด โดยยังไม่ละสายตาจากดวงดาว



                “ฉันไปตกลงตอนไหนว่าจะแข่งกับนาย” จูปิเตอร์พูดเสียงสะบัด



                เขาหัวเราะอย่างชอบใจ เสียงแผ่วเบา ละสายตาออกจากกล้องดูดาว เอื้อมมือหยิบกระดาษและดินสอไปจากมือของเธอ ระหว่างที่หยิบนั้น ผิวหนังของพวกเขาสัมผัสกันครู่หนึ่ง เธอดึงมือตัวเองออกไป เก็บไว้ข้างตัวอย่างรวดเร็ว มองเขาวาดรูปดวงดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงอื่นลงไปบนแผนที่ และเขียนคำว่าจูปิเตอร์ไว้ด้านข้าง ชื่อของเธอดูงดงามกว่าที่เคยเป็น เมื่อเขาเป็นผู้ลากดินสอเขียนแต่ละตัวอักษร



                พวกเขาทำงานเสร็จก่อนเป็นคู่แรก ทอมนำแผนที่ไปให้อาจารย์ตรวจดู การระบุดวงดาวของพวกเขาถูกต้องครบถ้วนตามโจทย์ที่กำหนด บ้านสลิธีรินและเรเวนคลอจึงได้คะแนนไปยี่สิบแต้ม เมื่อถึงเวลาตีหนึ่งครึ่ง การเรียนการสอนจบลง ทุกคู่ส่งแผนที่ดวงดาวให้อาจารย์และแยกย้ายกันลงไปด้านล่าง



                “ริดเดิ้ล เบิร์ก อยู่ช่วยฉันเก็บอุปกรณ์ก่อนได้ไหมจ๊ะ” ศาสตราจารย์สาวเอ่ยขอ พวกเขาปฏิเสธคำขอร้องไม่ได้ จูปิเตอร์ที่อยากจะรีบออกไปจากหอดูดาวพร้อมกับเพื่อนคนอื่น รู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ไม่ได้แสดงออก เธอกับทอม ริดเดิ้ลเก็บกล้องดูดาวอันเล็ก เข็มทิศ และหนังสือแผนที่ท้องฟ้าใส่ตู้และจัดชั้นวางต่างๆจนเรียบร้อย ได้รับรางวัลเป็นรอยยิ้มและคำขอบคุณจากอาจารย์ พร้อมคำกล่าวราตรีสวัสดิ์รั้งท้าย ก่อนที่อาจารย์จะเดินลงไป



                “ฉันจะไปส่งเธอที่ห้องนั่งเล่นรวมเรเวนคลอ” เขาพูดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป เมื่อเห็นสายตาของเธอมองอย่างสงสัย เขาเหยียดยิ้ม “ไม่กลัวที่จะต้องเดินไปคนเดียวในความมืดหรือ?”



                ความมืดน่ากลัวน้อยกว่าคนอย่างนาย



                “ฉันน่ากลัวน้อยกว่าความมืด จูปิเตอร์” ทอมพูด น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังร้องเพลง



                เด็กสาวหรี่ตาลง “ใครสอนนายเรื่องการพินิจใจ” น้ำเสียงของเธอแข็งกระด้าง ความคิดและจิตใจเป็นสิทธิ์ของเธอ ไม่ใช่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามได้



                “เมื่อครู่ไม่ใช่การพินิจใจ ฉันไม่จำเป็นต้องใช้การพินิจใจกับเธอสักนิด สีหน้าของเธอบอกออกมาหมดแล้ว แม้เธอจะแยบยล เก็บงำอารมณ์เก่ง ย่อมมีเวลาที่เธอเผลอ” เขาตอบ “ตกลงว่า ให้ฉันเดินไปเป็นเพื่อนนะ”



                เด็กสาวพ่นลมทางจมูกดังพรืดอย่างประชด “นายจะปกป้องฉันจากปีศาจในความมืด?”



                “ใช่” เขาพยักหน้า



                “หมายถึงปกป้องฉันจากตัวนายเองหรือ?” เธอยกมือขึ้นกอดอก



                “ฉันว่าเราเดินกันเถอะ” ทอมแนะนำ ผายมือไปทางบันได ให้เธอเดินนำไปก่อน สมเป็นสุภาพบุรุษเสียจริง แทนที่จะต่อปากต่อคำกันต่อ จูปิเตอร์อยากกลับให้ถึงบ้านเรเวนคลอเร็วที่สุดมากกว่า เธอจึงก้าวเท้ายาวๆเดินไปทางบันได และเดินกึ่งวิ่งไปตลอดทาง



                “เธอเคยได้ยินเรื่องห้องลับของเรเวนคลอบ้างหรือเปล่า?” เขาพูดอย่างชวนคุย



                “เคยได้ยินแต่ห้องแห่งความลับของสลิธีริน” จูปิเตอร์ตอบ



                “ว่ากันว่า เมื่อพันปีก่อน ฮอกวอตส์มีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติจากทางเหนือ เป็นหญิงสาวผมดำ สวยสง่า นั่งบนหลังยูนิคอร์นที่โตเต็มวัยมาถึงหน้าประตูรั้วฮอกวอตส์ นางเป็นแขกของกริฟฟินดอร์ แต่ได้รับความดูแลอย่างดีเยี่ยมจากเรเวนคลอ ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นน่าสนใจมาก ญาติของนางผู้นี้เป็นพ่อมด ได้นั่งบนบัลลังก์ เป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์ถึงห้าปีเต็ม แต่หลังจากนั้นไม่มีพ่อมดคนใดได้ยุ่งเกี่ยวกับบัลลังก์ของกษัตริย์มักเกิ้ลอีกเลย” น้ำเสียงทุ้มแผ่วหวานของเขา ช่างไพเราะนัก ท่ามกลางราตรีที่เงียบงัน แสงจันทร์และดาราส่องผ่านกระทบพื้นหินเก่าแก่ ราวกับเขาได้พาเธอกลับไปในช่วงเวลานั้นจริงๆ “ไม่มีบันทึกเล่มใดกล่าวถึงนางอย่างละเอียด แต่เชื่อกันว่า นางคือภรรยาของซัลลาซาร์ สลิธีริน ห้องพักที่นางเคยอาศัยอยู่บนหอเรเวนคลอ แต่กลับไม่มีใครหาห้องนั้นเจอ”



                เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “นายควรคุยเรื่องนี้กับศาสตราจารย์บินส์”



                “ไม่คิดบ้างหรือ ห้องลับที่เรเวนคลอซ่อนไว้น่าสนใจ อาจจะมีแต่เด็กเรเวนคลอเท่านั้นที่หาเจอ” เขาค่อยๆตะล่อมอย่างมีชั้นเชิง



                “ราตรีสวัสดิ์ ริดเดิ้ล” เธอหันมาพูดกับเขา เมื่อใกล้ถึงห้องนั่งเล่นรวมเต็มที อีกแค่หนึ่งเลี้ยวเท่านั้น “ขอบคุณที่ช่วยปกป้องฉันจากอันตรายในความมืด”  



                ทอมยังไม่ทันจะเอ่ยราตรีสวัสดิ์กลับ เด็กสาวก็หมุนตัวหันหลังและรีบเร่งฝีเท้าหายไปตามทางเลี้ยว เขามองเธอจนลับตา แล้วเดินไปอีกทาง มุ่งตรงกลับไปยังชั้นใต้ดิน ห้องนั่งเล่นรวมบ้านสลิธีรินที่มีแสงสีเขียวและวิวใต้ทะเลสาบแสนสงบรอคอยเขาอยู่ที่นั่น เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็มาถึง



    กลุ่มผู้ติดตามของเขายังคงรออยู่ บริเวณเก้าอี้นวมไกลจากเตาผิงออกมาเล็กน้อย เหนือภาพถ่ายของอลิซาเบธ เบิร์ก อดีตนักเรียนบ้านสลิธีรินและอดีตอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ เธอคนนี้เป็นย่าทวดของสามพี่น้องตระกูลเบิร์ก คลั่งไคล้เลือดบริสุทธิ์อย่างรุนแรง ทอมเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง ซึ่งทุกคนเหลือไว้ให้เขา โอไรออน แบล็ก เด็กหนุ่มผมสีดำยาวถึงบ่าถือแก้วบรรจุวิสกี้ไฟ มีแต่เมอร์ลินเท่านั้นที่รู้ว่าเขาแอบลักลอบเอาเข้ามาในโรงเรียนได้อย่างไร แอตลาส โรซิเออร์ เด็กหนุ่มตัวสูงกำยำนั่งอยู่กับพื้น ชื่นชมคอลเลกชั่นมีดสารพัดแบบ พร้อมกับทำความสะอาดด้ามจับไปด้วย ฟีนิกซ์ เลสแตรงก์นอนเอกเขนกบนเก้าอี้ทรงออตโตมานพร้อมกับหมอนใบโตหนุนศีรษะ เขาขว้างฟริสบี้เขี้ยวคมข้ามห้องไปและรอให้มันบินกลับมาหา ถัดไปนั้น แอแบรกซัส มัลฟอยเปิดปากหาว ขณะเขียนจดหมายยาวเหยียดถึงครอบครัว มาร์ส เบิร์ก เป็นคนเดียวที่กระตือรือร้นเมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้ว อีวาน น็อต และจานัส เอเวอรี่กำลังเขียนรายงานวิชาปรุงยา หรือจะพูดให้ถูกคือ พยายามทำความเข้าใจหัวข้อเรียงความที่มีความซับซ้อน



    ฟีนิกซ์เก็บฟริสบี้เขี้ยวคมเข้ากล่อง เอ่ยถามเป็นคนแรก “เธอกลัวไหม?”



    ทอมแสยะยิ้ม แสงมลังเมลืองสีครามผสมกับแสงสีเขียวจากเตาผิงในห้องตกกระทบใบหน้าของเขา สะท้อนความชั่วร้ายออกมาได้อย่างวิจิตร “กลัวหัวหด”



    “ดีใจด้วย มาร์ส นายไม่ใช่ไอ้บื้ออีกต่อไปแล้ว” โอไรออนหัวเราะ ยกแก้ววิสกี้ของเขาขึ้นสูง และดื่มให้อึกหนึ่ง



    “หลายปีที่ท่านเลี้ยงไว้ สร้างประโยชน์เสียที” แอตลาสเสริม



    “เธอจะตามหาห้องนั้นให้ท่านแน่ ผมรับรอง” มาร์สแทบจะลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นแทบเท้าทอม ริดเดิ้ลอยู่แล้ว “รัดเกล้าเรเวนคลอจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม”



    “แกนี่มันโง่ยิ่งกว่าโทรล์เสียอีก” ทอมตวัดสายตามองมาร์ส แค่การมอง ไม่จำเป็นต้องหยิบไม้กายสิทธิ์ มาร์สมีอาการหายใจไม่ออก ล้มลงนอนตัวงอกับพื้น หน้าดำหน้าแดง



    “เพิ่งจะชมไปแท้ๆ” โอไรออนส่ายหน้า คว่ำแก้ว ปล่อยให้วิสกี้ไฟไหลลงไปท่วมศีรษะของมาร์ส



    “เดี๋ยวมันก็ตายหรอก” แอแบรกซัสกล่าวเตือน ทอมที่กำลังกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย จำใจต้องถอนคำสาปออกไป



    “ฉันควรจะเล่าให้มันฟังไหมว่าท่านคิดอะไรอยู่บ้าง” โอไรออนขออนุญาต ทอมชำเลืองมองเด็กหนุ่มครู่หนึ่ง แล้วโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ โอไรออนก้มลงกระชากคอเสื้อของมาร์สขึ้นมา “คนเดียวที่รู้ว่ารัดเกล้าอยู่ไหนคือเฮเลน่า เรเวนคลอ คนเดียวที่รู้ว่าห้องลับของเรเวนคลออยู่ที่ไหนก็คือเฮเลน่า เรเวนคลอ แต่ยัยเฮเลน่าดันสับสน หวาดระแวงไม่เชื่อใจท่าน ถ้าท่านดึงดันจะเอาข้อมูลจากเฮเลน่าตอนนี้ หล่อนคงไม่ตอบ หล่อนหลบหน้าท่านด้วยซ้ำไป จึงต้องใช้คนอื่น แต่กว่าจะสำเร็จคงอีกสักพักใหญ่ และภารกิจนี้ ไม่ใช่เพื่อทดสอบแก มาร์ส แต่ทดสอบน้องสาวของแกต่างหากว่าควรจะเป็นมาตุ๊กตาตัวสวยของท่านคนเดียว หรือจะเป็นของพวกเราทั้งหมดดี เข้าใจความหมายใช่ไหม? แกอยากให้น้องสาวเป็นของเล่นของฉัน น็อต เอเวอรี่ เลสแตรงก์ คนอื่นๆ หรือเป็นของท่าน รับมือท่านแค่คนเดียวล่ะ”



    “ฉันว่าไม่ต่างหรอก” แอตลาสพูด ควงมีดในมือเล่นอย่างใจลอย “หลังจากท่านเบื่อ หรือหลังจากเราเบื่อแล้ว ยัยนั่นคงมีสภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่”  



    “ฉันถนอมสาวๆเสมอนะ ฉันเป็นสุภาพบุรุษตระกูลแบล็ก” โอไรออนยืนยัน ปล่อยตัวมาร์สให้ล้มลงไปกองกับพื้นตามเดิม “แต่คนอื่น ฉันไม่รู้” เขาหัวเราะชอบใจ ขณะชำเลืองไปทางทอม ริดเดิ้ล



    “แล้วจะเอายังไงกับเมอร์คิวรี?” แอตลาสถามเสียงเข้ม ลับมีดกับพื้นหิน “มันไม่โง่ และอีกไม่นานยัยจูปิเตอร์ต้องวิ่งไปบอกพี่ชาย ถึงหูเมอร์คิวรี ก็ถึงหูดัมเบิลดอร์”



    ทอมมองแอตลาส โรซิเออร์อย่างพิจารณา แล้วยิ้มน้อยๆ “แกอยากทำอะไรก็ทำสิ”



    แอตลาสเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ให้ฉันจัดการได้ตามใจ แน่หรือ?”



    “อย่าให้ถึงตายก็แล้วกัน” ทอมสั่งอย่างเยือกเย็น แล้วหันไปทางแอแบรกซัส “ฉันมีอีกงานให้ทำ มัลฟอย”



    “ว่ามาเลย ยัยร์ไฮเนส” เด็กหนุ่มผมสีทองก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม



    “ฉันเบื่อขี้หน้าเพื่อนๆของจูปิเตอร์ ช่วยจัดการให้เธอไม่มีเพื่อนทีนะ”  











    TALK

    เลวกันเข้าไป ร้ายกันเข้าไป 

    ตอนเขียน ฉากชอบทอมเขียนชื่อจูปิเตอร์ข้างๆรูปวาดดาวพฤหัสค่ะ 

    ชอบตรงไหนในตอนนี้บ้างค่ะ หรือกลัวทอมตอนไหน ?  555+





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×