คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : A devil serpent
Notorious [Tom
Riddle & OC]
Chapter 2 : A devil
serpent
ค.ศ. 1942
เสียงหวอเตือนภัยที่ดังขึ้นในตอนกลางคืน
ทำให้ทุกคนในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าสะดุ้งตื่น หวาดกลัว
และวิ่งออกจากห้องไปรวมตัวกัน เพื่อออกไปยังหลุมหลบภัย ทอม ริดเดิ้ลเบื่อสภาพนี้เหลือเกิน
สงครามของมักเกิ้ลทำให้ฤดูร้อนนี้เกินจะทานทน
แค่เขาต้องกลับมายังโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกครั้งที่ปิดเทอม มันแย่มากพออยู่แล้ว
เขาเกลียดที่จะต้องลงไปเบียดกับพวกมักเกิ้ลในหลุมหลบภัย กลิ่นเหงื่อ กลิ่นฝุ่นดิน
เสียงดังโครมครามตูมตามบนพื้นดิน เสียงของเครื่องบินทิ้งระเบิด
เขาควรจะได้ทบทวนตำราเรียน
ตรวจทานการบ้านอีกครั้งก่อนจะต้องนั่งรถไฟไปฮอกวอตส์ในวันพรุ่งนี้
ถ้าระเบิดลงที่ตึก การบ้านของเขาคงจะไหม้เป็นจุณ
พร้อมกับข้าวของทุกอย่างที่เขาเพิ่งซื้อมาจากตรอกไดแอกอนด้วยเงินทุนการศึกษาที่ฮอกวอตส์มอบให้
เขาเกลียดชีวิตตัวเองเหลือเกิน
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ชีวิตที่เขาเกลียด แต่เป็นโลกของมักเกิ้ลโสมม พ่อแม่ของเขา
ความยากจน เกลียดที่ตัวเองเป็นเด็กกำพร้าไร้ที่ไป
เขาพยายามขออาศัยที่ฮอกวอตส์ช่วงปิดเทอมแล้ว แต่อาจารย์ใหญ่ดิพพิตปฏิเสธทุกรอบ ทั้งที่เขาเป็นนักเรียนดีเด่น
ขยันเอาอกเอาใจพวกอาจารย์ปานนั้น ยังไม่สามารถขอร้องในเรื่องนี้ได้
ทอมนั่งชันเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของหลุมหลบภัยใต้ดิน
เสียงร้องไห้ของเด็กมักเกิ้ลมีให้ได้ยินเป็นระยะ หนวกหูน่ารำคาญที่สุด มิสซิสโคลถือขวดเหล้าเชอร์รี่ไว้ในมือไม่ยอมห่าง
สภาพการณ์อย่างนี้ยังมีอารมณ์ดื่ม
เขาคิดว่ายัยแก่นี่จะต้องตายเพราะดื่มสุรามากเกินไปเข้าสักวัน
ถ้าเขาแค่ใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียนได้ ทุกอย่างคงง่ายกว่านี้
เขาไม่จำเป็นต้องมาหลบในหลุมกับพวกโสโครกนี้แต่แรก
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าทรมาน
กว่าทุกอย่างจะสงบก็เช้าเข้าไปแล้ว พวกพี่เลี้ยงไล่ต้อนเด็กๆกลับขึ้นไปข้างบน
ต่างโล่งใจที่อาคารยังปลอดภัย พวกเขาไม่สูญเสียบ้านไป สำหรับทอม เขาคิดอีกอย่าง
ถ้าที่นี่ระเบิดไปเสียได้ก็ดี เขาอาจจะใช้ข้ออ้างนี้บอกกับอาจารย์ใหญ่
และได้รับอนุญาตให้อยู่ฮอกวอตส์ช่วงปิดเทอมเสียที บ้านหลายหลังในแถบนั้นถูกระเบิดถล่ม
ฝุ่นฟุ้งไปทั่ว ซากอิฐปูนกระจายเต็มถนน
ทอมเดินขึ้นบันไดกลับไปยังห้องนอนเล็กคับแคบของเขา
ไม่มีเหตุผลให้อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ต่อ เขารวบรวมม้วนกระดาษเก็บใส่หีบ
ตรวจของทุกอย่างอีกครั้งว่าครบถ้วนดี และออกจากบ้านเด็กกำพร้าโดยไม่เอ่ยลาใคร
มิสซิสโคลยืนที่หน้าต่าง
และเห็นเขาตอนเดินออกไป เธอโล่งใจที่เขาไปแล้ว เขากลับมาทีไร
บรรยากาศในบ้านจะเปลี่ยนแปลง เด็กร้องไห้โยเยกันมากขึ้น
พี่เลี้ยงเจองูแอบลอดเข้ามาในบ้านบ่อยกว่าปกติ เธอมั่นใจว่าสาเหตุมาจากเด็กคนนั้น
มิสซิสโคลเอื้อมมือขึ้นกำรอบสร้อยคอไม้กางเขนที่สวมอยู่ ปีศาจตนใดกันหนอส่งเด็กอย่างนั้นมาเกิด
เธอถอนหายใจ อย่างน้อยก็ต้องทนอีกแค่ไม่กี่ปี รอให้เรียนจบ
เธอก็มีเหตุผลที่จะเฉดหัวเด็กนั่นออกไป
และเธอคิดว่าริดเดิ้ลคงไม่อยากอยู่ที่นี่นานนักหรอก
เด็กที่ทำให้แม่ต้องตายตั้งแต่ตอนคลอด สร้างแต่ปัญหาและความหวาดกลัวให้เด็กคนอื่นในบ้าน
ตัวอัปมงคล
ทอม
ริดเดิ้ลไม่รู้สักนิดว่ามิสซิสโคลไล่ส่งเขาลับหลังและเขาไม่ได้สนใจไยดีที่จะรู้ด้วย
เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีเดินลากหีบของเขาไปตามพื้น มุ่งหน้าไปยังสถานีคิงครอส
เนื่องจากเกิดเหตุระเบิดเมื่อคืน แถวนี้จึงยังไม่มีรถสาธารณะวิ่ง เขาต้องเดินเป็นระยะทางไกลมากพอตัวจึงจะได้ขึ้นรถ
และลงที่สถานีคิงครอส
รถไฟจะออกเวลาสิบเอ็ดโมงตรง
ตอนนี้เพิ่งจะเก้าโมงครึ่งเท่านั้น เขามีเวลามากพอจะซื้ออะไรกิน แต่ทอมไม่ซื้อ
เขาตั้งใจจะซื้ออาหารจากรถเข็นบนรถไฟ เพื่อนร่วมชั้นในกลุ่มของเขาทำแบบนั้นประจำ
ทอมจึงกันเงินไว้สำหรับซื้อของกินเสมอ เพื่อไม่ให้น้อยหน้าใคร
เขาผ่านแผงกั้นเข้าไปยังชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ และนั่งบนม้านั่งของชานชาลา
ยังไม่มีใครมาเลย แม้แต่รถไฟก็ยังมาไม่ถึง รอบข้างเงียบราวกับป่าช้า เขาเปิดหีบ
ค้นหาหนังสือวิชาคาถามาตรฐานสำหรับปีห้าออกมาอ่านฆ่าเวลา ทั้งที่เขาอ่านจบไปแล้วหนึ่งรอบตั้งแต่วันที่ซื้อมาจากร้านตัวบรรจงและหยดหมึก
รถไฟมาจอดเทียบท่าที่ชานชาลาตอนสิบโมงตรง
เอลฟ์ประจำบ้านที่ทำหน้าที่ขนหีบลงจากรถไฟและเตรียมตัวทำงาน
ทอมมองพวกมันแวบเดียวแล้วไม่ใส่ใจอีก เขาก้มลงอ่านหนังสือต่อ
ความเงียบของชานชาลาถูกทำลายไปแล้วเรียบร้อย สักพักต่อมา
เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนเต็มชานชาลาไปหมด
เขาเก็บหนังสือลงหีบและลากไปให้เอลฟ์ประจำบ้านขนขึ้นรถไฟ เขายังไม่ทันจะก้าวขาขึ้น
ก็เห็นเด็กสาวคนนั้นมาถึงชานชาลาพอดี
จูปิเตอร์
เบิร์ก ในวัยสิบห้าปี ช่างผุดผาดผ่องใสไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ฤดูร้อนที่ผ่านมาเธอตัดผมให้สั้นลง ยาวถึงแค่ต้นคอ
เธอสวมเสื้อคลุมของโรงเรียนมีตราพรีเฟ็คกลัดไว้ที่หน้าอก
เขาไม่แปลกใจที่เธอได้เป็นพรีเฟ็คของบ้านเรเวนคลอ จากเด็กผู้หญิงท่าทางโง่บื้อ
เปลี่ยนแปลงไปมากในหลายปีที่ผ่านมา เขาประมาทเธอเกินไป คะแนนของเธอนำโด่งตีคู่มากับเขาทุกปี
เป็นที่รักของอาจารย์มากพอๆกับเขา
ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ผู้สอนวิชาแปลงร่างชื่นชมเธอ
ขณะที่ชังน้ำหน้าเขาอย่างกับอะไรดี มีทั้งเลือดบริสุทธิ์ ครอบครัวที่ดีมีชื่อเสียง
ดองกับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลแบล็ก แม้แต่พวกมัลฟอยและเลสแตรงก์ยังให้ความเกรงใจ เพื่อนร่วมชั้นชายต่างหมายปองเธอ
ยกให้เป็นเด็กสาวที่อยากออกเดทด้วยมากที่สุด
ไอ้ตัวผู้ทั้งหลายในกลุ่มของเขามองเธอจนเหลียวหลัง
ทั้งที่มีคุณสมบัติมากมายเหล่านั้น เธอยังอ่อนน้อมถ่อมตน
ดีกับทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ
เป็นนางฟ้าตัวจริงที่โบยบินลงมาจากสวรรค์
เห็นแล้ว อยากเด็ดปีกทิ้ง โยนเข้ากองไฟ ให้มอดไหม้ตายไปเลย
ดวงตาของทอมตวัดมองไปที่คนอื่นๆในครอบครัวของเด็กสาว เมอร์คิวรี
พี่ชายคนโตของตระกูลเบิร์กอยู่ชั้นปีเจ็ดและได้เป็นประธานนักเรียน มาร์สดูไม่มีความสุขนัก
ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว น้องสาวฝาแฝดได้เป็นพรีเฟ็ค แต่ตัวเองไม่ได้เป็น
ทอมรู้สึกสะใจพิลึก
มาร์สพูดไว้ตั้งแต่ปีหนึ่งว่าจะเจริญรอยตามเมอร์คิวรีและทำให้ดีกว่า
เป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนเอย เป็นพรีเฟ็คเอย เล่นควิดดิชเอย
ปรากฏว่าทำไม่ได้อย่างที่พูดแม้แต่เรื่องเดียว ทุกวันนี้ได้แต่เดินตามเขาต้อยๆ
อาศัยบารมีของกลุ่มผู้ติดตามทอม ริดเดิ้ลเท่านั้น
การเดินทางรอบนี้ไม่น่าเบื่อนัก
ประธานนักเรียนเรียกพรีเฟ็คหน้าใหม่ทั้งหมดไปรวมตัวที่ตู้หน้าขบวน
ทอมจึงได้พบจูปิเตอร์ในระยะใกล้ เธอยิ้มให้เขาบางๆตามมารยาทที่ทำเป็นปกติ
เมื่อห้าปีก่อน เธอเคยเอ่ยขอให้เขาเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้อะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก
พวกเขาอยู่กันคนละบ้าน เจอกันบ้างในวิชาเรียน แต่ไม่ได้พูดคุยกัน คงสถานะไว้ที่คนรู้จัก
และคู่แข่งทางวิชาการ พรีเฟ็คอีกคนจากเรเวนคลอคือ อาร์ทิมิส มักมิลลัน
เด็กหนุ่มผมทองจมูกโด่ง ตัวล่ำสัน
เขาได้ยินข่าวมาเยอะว่าหมอนี่พยายามจีบจูปิเตอร์ตั้งแต่ปีก่อน แต่ฝ่ายหญิงยังวางตัวนิ่งเฉยเป็นเพื่อนกันต่อไป
เขาอดอารมณ์ดีไม่ได้จริงๆเมื่อเห็นอาร์ทิมิสลอบมองจูปิเตอร์บ่อยครั้ง
หวังจะเห็นร่องรอยอย่างอื่นนอกจากคำว่าเพื่อน
นางฟ้าอย่างเธอไม่คู่ควรกับมนุษย์เดินดินอย่างแกหรอก
ไอ้หน้าโง่
พรีเฟ็คอีกคนของสลิธีรินนั่งอยู่ข้างเขา
สเตลล่า พาร์กินสัน ฉลาดพอๆกับโทร์ล น่ารำคาญเหมือนโนมในสวนหลังบ้าน
เสียงพูดเล็กแหลมดัดจริตเหมือนเสียงพิกซี่ เจ้าหล่อนชอบแสดงความเป็นเจ้าของในตัวทอม
ทั้งที่เขาไม่เคยแสดงท่าทีว่าสนใจ เขารู้จักผู้หญิงประเภทนี้ดี ถ้าเผลอตัว
ปล่อยให้ร่างกายทำตามความอยากตามสัญชาตญาณไปกับผู้หญิงแบบนี้ล่ะก็
เขาจะไม่มีวันสลัดหลุด นอกจากจะฆ่าหล่อนให้ตาย แค่ที่เป็นอยู่นี้
ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้เขาสักคน
หล่อนข่มขู่ไปทั่วว่าเขาต้องเป็นของหล่อนเท่านั้น เอาเถอะ มองอีกด้าน
เขาตัดความรำคาญเรื่องพวกผู้หญิงเพ้อฝันไปได้ แค่ต้องรับมือคนเดียว
ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ตราบใดที่หล่อนยังไม่ล้ำเส้นมากจนเกินไป
เมอร์คิวรี
ผู้เป็นประธานนักเรียนกำลังสรุปหน้าที่ให้แต่ละคนฟัง
ทอมละสายตาจากจูปิเตอร์เพื่อตั้งใจฟังเช่นเดียวกับคนอื่น เขาเกือบจะเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
เมื่อรู้ว่าบ่ายนี้ เขาต้องดูแลความสงบบนทางเดินในรถไฟคู่กับเธอ
“ขอเปลี่ยนคู่ไม่ได้หรือคะ?”
สเตลล่าถามอย่างเอาแต่ใจ “ทำไมไม่ให้พรีเฟ็คจากบ้านเดียวกันจับคู่กันล่ะคะ
แบบนี้น่าจะทำงานง่ายกว่า”
“เงียบเถอะ”
ทอมพูดเสียงเข้ม เย็นชา ทำเอาสเตลล่าที่จะอ้าปากพูดต่อ กลืนเสียงลงคอไปทันที
เหล่าพรีเฟ็คแยกย้ายกันไป
ท้องของทอมร้องโครกคราก แต่เขาต้องอดทนไปก่อนจนกว่าจะครบเวลาเดินตรวจตราและดูแลไม่ให้เด็กปีหนึ่งปีสองวิ่งเล่นวุ่นวาย
เขากับจูปิเตอร์เดินไปคนละทาง เธอดูทางท้ายขบวน เขาดูในส่วนใกล้หัวขบวน
ไม่พูดจาหรือทักทายกันสักคำ เธอไม่สนใจเขา เขาก็จะไม่สนใจเธอเช่นกัน สเตลล่า
พาร์กินสันเดินจากรถเข็นขายอาหารตรงมาทางเขา พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ
ในมือถือแซนด์วิชห่อไว้ในกระดาษ
“เที่ยงกว่าแล้ว
พักกินอาหารก่อนสิ” สเตลล่ายื่นแซนด์วิชให้
“ไม่เป็นไร”
เขาตอบอย่างไร้เยื่อใยแล้วหันหลังเดินหนี อยากทำหน้าที่พรีเฟ็คเงียบๆโดยไม่มีใครมายุ่ง
เว้นแต่เขาอยากจะเข้าไปยุ่งกับใครสักคนเสียเอง
จูปิเตอร์กำลังเดินมาพอดี
มีเด็กปีสามกลุ่มหนึ่งแอบนำระเบิดเหม็นขึ้นรถไฟมาด้วย
เธอเห็นเข้าจึงยึดของไว้และให้เด็กพวกนั้นกลับไปยังที่นั่งของตน
ทอมยืนพิงหน้าต่างคนละฝั่งกับตู้โดยสาร จงใจมองจ้องเธอจนกว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว
เธอไม่ใช่เด็กซื่อบื้อเหมือนแต่ก่อน ไม่กี่วินาที เธอก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขา
จูปิเตอร์ไม่แน่ใจว่าเธอชอบทอม
ริดเดิ้ลหรือเปล่า
เขาอาจเป็นเด็กหัวกะทิประจำบ้านสลิธีรินที่คะแนนตีคู่สูสีกับเธอมาตลอด
เธอไม่ได้ใส่ใจอยากจะแข่งขันด้วยแต่อย่างใด เขาอาจเป็นเด็กหนุ่มเนื้อหอม
มีเสน่ห์ล้นเหลือ เป็นที่รักของบรรดาอาจารย์ แต่มีบางอย่างในตัวเขา
เงามืดที่อธิบายไม่ได้โชยออกมารอบตัว เขาไม่เหมือนกับสมัยที่อายุสิบเอ็ดปี
วันแรกที่พบกัน เขาดูน่ากลัวน้อยกว่าตอนนี้
หรือเพราะตอนนั้นจูปิเตอร์แค่อยากได้เพื่อน เธอเคว้งคว้าง เป็นกังวล
และเขาบังเอิญอยู่ตรงนั้น เธอไม่รู้จะคุยกับใคร
จึงกล้าชวนเขาคุยทั้งที่หวาดหวั่นอยู่เช่นกัน
คำที่เคยเอ่ยขอเป็นเพื่อนยังคงค้างเติ่งในความทรงจำ ทั้งคู่ไม่เคยได้เป็นเพื่อนกัน
หมวกคัดสรรให้เขาอยู่สลิธีริน แต่เธออยู่เรเวนคลอ เธอแปลกแยกจากทุกคนในครอบครัว
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก พ่อบอกว่าดีแล้วที่เธอไม่กระเด็นไปอยู่ฮัฟเฟิลพัฟ
สาเหตุที่เธอไม่แน่ใจว่าควรปลื้มทอม
ริดเดิ้ลเช่นเดียวกับคนอื่นหรือไม่ หนึ่ง คือความน่ากลัวบางประการที่อธิบายไม่ได้
สอง ดูภายนอก เขาเหมือนจะมีเพื่อนเยอะแยะมากมาย
แต่จูปิเตอร์ไม่คิดว่าเขานับคนเหล่านั้นเป็นเพื่อน เธอเห็นจากมาร์สมากพอ
มาร์สทำตัวเป็นผู้ติดตาม ทอมทำตัวเป็นผู้นำกลุ่มสลิธีรินบอย
แค่ผู้นำกับผู้ตาม ไม่ใช่มิตรสหาย สาม ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ แม้จะไม่แสดงออกมาก
แต่เธอสังเกตเห็นว่าอาจารย์มองริดเดิ้ลอย่างสงสัยและระแวดระวัง
ต่างจากอาจารย์คนอื่น
ดัมเบิลดอร์เป็นอาจารย์ที่เธอมองว่าเก่งกาจและทรงปัญญามากที่สุดคนหนึ่ง
เขาน่าจะเห็นอะไรบางอย่างในตัวริดเดิ้ลแบบที่จูปิเตอร์เห็น สี่ สายตาที่เขามองเธอ
ยิ่งพวกเขาโตมากขึ้น แววตาของริดเดิ้ลเปลี่ยนไป เขามองเธอไม่เหมือนกับที่เขามองคนอื่น
เขาหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่น ดวงตาหยาดเยิ้มใสซื่อ น่าคบหา
ทำให้ผู้คนปลื้มและหลงชอบในตัวเขา แต่กับเธอ เขามองอีกแบบ
เขาไม่เคยใช้แววตาหลอกล่อเช่นนั้น ราวกับเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตน
ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย เจตนาแอบแฝงอันไม่ธรรมดา ฉายออกมาทั้งหมด
“สวัสดี
ริดเดิ้ล” เธอเอ่ยทักตามมารยาท เดินเข้ามาใกล้จนจะสวนกันอยู่แล้ว
ไม่เอ่ยทักก็คงจะดูปั้นปึ่งเกินไป
“ทอม”
เขาเปลี่ยนคำพูดของเธอเสียใหม่ “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ จูปิเตอร์”
“ถ้าอย่างนั้น...
สวัสดี ทอม” เธอพาซื่อ ยอมเรียกชื่ออย่างง่ายดาย จูปิเตอร์ไม่ชอบความยุ่งยาก
ไม่ชอบสร้างศัตรู และไม่อยากยุ่งกับริดเดิ้ลมากนัก ดังนั้น
หากเขาอยากให้เธอเรียกทอม เธอก็จะเรียก เรื่องจะได้จบโดยง่าย
“สวัสดี
จูล” เขาพูด ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ดวงตาเป็นประกาย
คำเรียกนั้นทำให้เธอชะงักฝีเท้า
มาร์สยังไม่เคยเรียกเธอว่าจูล เขาไม่ทำตัวสนิทสนมกับเธอถึงขั้นนั้นทั้งที่เป็นฝาแฝดกัน
มีแค่เมอร์คิวรีกับแม่ที่ชอบเรียกอย่างนั้น เพื่อนสนิทของเธออีกสองสามคน
การได้ยินเขาเรียกเธอด้วยชื่อเล่นที่สงวนไว้ให้คนสนิท เธอรู้สึกแปลกพิลึก
และเกือบจะไม่ชอบใจ แต่เด็กสาวรับมือกับทุกอย่างเช่นที่ผ่านมา เธอยิ้ม
ไม่ต่อปากต่อคำ อาจมองดูเหมือนคนโง่ซื่อบื้อในบางครั้ง แต่มันเป็นวิธีรับมือของเธอ
ทอมมองรอยยิ้มแบบไม่คิดอะไรของเด็กสาวแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
แบบนี้จะไปสนุกอะไรกัน เธอไม่เถียง ไม่ต่อความยาวสาวความยืด ยิ้มรับอย่างบริสุทธิ์
เขาไม่เชื่อแล้วว่าเธอซื่อบื้อโง่เง่าจริง
คนโง่ที่ไหนจะได้คะแนนท๊อปทุกวิชาคู่กับเขาทุกปี และเธออยู่บ้านเรเวนคลอ บ้านที่ได้ชื่อว่านับถือสติปัญญาเป็นเลิศ
อาการนิ่งเฉยเช่นนั้นราวกับสารท้ารบ บอกเป็นนัยว่าเธอไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
เขาจะทำอะไรก็ทำไป เรียกเธออย่างไรก็เรียก เธอไม่สนซะอย่าง เขาจะทำอะไรได้
ทอมกำมือเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว สักวันเถอะ
เธอจะกลายเป็นตุ๊กตานางฟ้าในมือให้เขาขยี้ขยำทำลายเล่นจนหนำใจ
อารมณ์ของเด็กหนุ่มไม่ได้ดีขึ้น
จนหมดกะเดินตรวจตราทางเดิน เขาเลื่อนประตูเปิดเข้าไปในตู้โดยสารที่เคยนั่งประจำ
พรรคพวกของเขารวมตัวกันอยู่ในนั้น แอแบรกซัส มัลฟอย
หนุ่มผมสีทองซีดจนเกือบเป็นสีเงินนั่งไขว่ห้างอยู่ริมหน้าต่าง
กำลังเล่นหมากรุกพ่อมดกับ ฟีนิกซ์ เลสแตรงก์ เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีร่างผอม ผิวสีแทน
และผมหยักศกสีดำยุ่งๆ เอเวอรี่กับน็อตกำลังดูเกมหมากรุกไปด้วยอย่างสนใจ มาร์ส
เบิร์กนั่งเงียบๆกำลังกินพายฟักทอง
แค่เห็นหน้ามาร์สที่คล้ายคลึงกับคนที่ทำให้เขาหงุดหงิด อารมณ์ของทอมพร้อมจะปะทุ
“ออกไปให้พ้น”
เขาพูดกัดฟัน ออกคำสั่งเสียงเย็นกับมาร์ส เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายเงยหน้ามองอย่างฉงน
แต่ไม่กล้าขัด ด้วยความหวาดกลัว มาร์สรีบผุดลุกขึ้นและออกจากตู้โดยสารไปทันทีโดยไม่ถามเหตุผล
“ใครบังอาจทำให้เคืองขุ่นฤาพะย่ะค่ะ”
ฟีนิกซ์ละสายตาจากเกมหมากรุกและเอ่ยถาม เอเวอรี่รู้หน้าที่ ลุกไปนั่งอีกฝั่งเบียดกับน็อตและแอแบรกซัส
เพื่อให้ทอมนั่งข้างฟีนิกซ์ได้อย่างสบาย
“มาร์สทำอะไรโง่ๆอีกล่ะคราวนี้”
เอเวอรี่ถาม
“ไม่ใช่มัน”
ทอมตอบสั้นๆ
แอแบรกซัสเลิกคิ้ว
“มาถึงก็ไล่มาร์สไป แต่ไม่ใช่มาร์สที่ทำให้ขุ่นใจ...”
“หรือจะเป็นคนที่หน้าคล้ายมาร์ส?”
ฟีนิกซ์ช่วยต่อให้จบประโยคอย่างรู้ใจ
“โอไรออน
หายหัวไปไหน” ทอมเปลี่ยนเรื่อง
“คนอย่างแบล็กจะมีอะไรซับซ้อนเล่า”
ฟีนิกซ์หัวเราะหึๆ “นอกจากไปหลีสาว”
“ตกลงมีเรื่องอะไรหรือพะย่ะค่ะ
ยัวร์ไฮเนส” แอแบรกซัสถาม
หากคนนอกได้ยินคำเอ่ยเรียกเช่นนั้นย่อมคิดว่าประชดประชันแกล้งกัน หารู้ไม่
เด็กหนุ่มยกย่องเพื่อนหรือหัวหน้ากลุ่มคนนี้อย่างจริงจัง แม้จะมีกระแสล้อเล่นประปราย
มีเพียงมัลฟอย เลสแตรงก์ และแบล็กเท่านั้นที่กล้าเล่น และจะใช้คำประเภทนี้เวลาเจ้านายของตนหงุดหงิดเพียงเล็กน้อยในระดับที่แหย่ได้
หากเป็นเวลาโกรธ พวกเขาจะเงียบกันหมด ไม่กระโตกกระตากสะกิดให้งูขู่ฟ่อพ่นพิษ
“ไม่มีอะไร”
ทอมตอบ เครื่องหน้าไม่แสดงอารมณ์ให้เห็นชัด
เขาเอื้อมมือหยิบกบช็อกโกแลตบนโต๊ะมาแกะออก กินประทังความหิว
เขาไม่ได้กินแม้แต่อาหารเช้า
ฟีนิกซ์กับแอแบรกซัสแอบลอบสบตากัน
เอเวอรี่กับน็อตนั่งเฉยเหมือนรูปปั้น ไม่เข้าไปยุ่ง
“ตกลงว่าครอบครัวเบิร์กคุยกับพ่อแม่นายหรือยัง
ฟีนิกซ์” แอแบรกซัสหันไปคุยกับฟีนิกซ์แทน
“หือ?
คุยเรื่องอะไร?” ฟีนิกซ์ตีหน้าฉงนสงสัยได้แนบเนียนจนน่าหมั่นไส้
“เรื่องนายกับลูกสาวคนสุดท้องของเขาไง”
แอแบรกซัสหัวเราะในลำคออย่างมีเลศนัย “ครอบครัวเลือดบริสุทธิ์ผัดกันหมั้นหมายแต่งงานไปตามตระกูลต่างๆ
ฉันว่านายโชคดี เพื่อน จูปิเตอร์เป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในชั้นปีเรา อีกอย่าง
นายเห็นรูปร่างของเธอไหม ฉันว่าสเตลล่าที่สวยสะเด็ดขนาดนั้นยังสู้ไม่ได้...”
เสียงเลื่อนประตูเปิด
และปิดฉับอย่างรุนแรงรวดเร็วจนกระจกสะเทือน ไม่มีแม้เงาของทอม ริดเดิ้ล
กบช็อคโกแลตหัวขาดเหลือครึ่งตัววางไว้บนโต๊ะ เป็นลางสังหรณ์ไม่ดี
แอแบรกซัสกลืนน้ำลายลงคอ
น็อตส่ายศีรษะเอือมระอาให้เพื่อนอีกสองคน
“ถ้าพวกนายถูกสาป ไม่ต้องตามฉันไปช่วยนะ”
“หรือถูกผลักตกทะเลสาบ
ฉันก็ช่วยไม่ได้” เอเวอรี่เสริม “รู้ๆกันอยู่ เขากระสันอยากได้ยัยนั่น”
TALK
พยายามหาข้อมูลเพื่อนร่วมชั้นในยุค 1942 แบบ พลิกแผ่นดิน ได้มาแต่นามสกุล ดังนั้นต้องตั้งชื่อให้ใหม่หมดเลยค่ะ เห็นว่าตระกูลแบล็กกับมัลฟอยชอบตั้งชื่อเป็นดวงดาว ฉันก็เอาง่ายเข้าว่า หาเว็บเดียวพอ เอาเฉพาะชื่อที่เป็นดวงดาวมาแล้วกัน ง่ายดี อ่านแล้วเข้ากับนามสกุลมากที่สุดก็ใส่ให้คนนั้น ง่ายๆอย่างนี้แหละ
ส่วนเรื่องชีวิตที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า นี่คิดมาตลอดเลยค่ะ จริงๆแล้ว แอบสงสาร เป็นช่วงมีสงคราม ระเบิดลงลอนดอนตูมตาม ทางการต้องส่งตัวเด็กๆออกไปอยู่ชนบท แต่ทอมจะไปไหนได้เล่า เขาก็ต้องอยู่ลอนดอน ใกล้สถานีคิงครอสไว้ แถมใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียนไม่ได้อีก ต้องอึดอัด คับข้องใจมากแน่นอน
ความคิดเห็น