ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Notorious [Tom Riddle & OC]

    ลำดับตอนที่ #14 : A summer trip

    • อัปเดตล่าสุด 20 พ.ค. 62




    Notorious [Tom Riddle & OC]

    Chapter 14 : A summer trip







                ปลายเดือนมิถุนายน 1943



                   ปีการศึกษาสิ้นสุดลงในฤดูร้อน เป็นอีกครั้งที่ฮอกวอตส์เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าปวดหัวมากมาย นักเรียนถูกไล่ออกไปสองคน ผู้ปกครองหลายท่านแสดงความไม่พอใจต่อเหตุทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้น อาจารย์ใหญ่ดิพพิตรับนกฮูกจากผู้ปกครองที่เป็นห่วงบุตรหลานแทบไม่ได้หยุดพัก แต่ไม่นาน กระแสข่าวฉาวจืดจางลง ประกอบกับการโจมตีครั้งใหญ่จากปราสาทนูร์เมนการ์ด โลกเวทมนต์ตกอยู่ในความหวาดหวั่น ระส่ำระสาย เรื่องราวในฮอกวอตส์จึงกลายเป็นเรื่องรองที่ผู้คนจะให้ความสนใจ ผ่านมาถึงช่วงสอบปลายปี เด็กนักเรียนก็ต่างลืมเลือนกันหมดแล้วว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง



                การสอบว.พ.ร.ส.ของนักเรียนชั้นปีห้าผ่านไปด้วยดี นักเรียนหลายคนเครียดจนสิวขึ้นหัวฟู ขอบใต้ตาดำคล้ำ สีหน้าไม่สดใส มีเพียงทอม ริดเดิ้ลเท่านั้นที่ยังคงความสง่าและใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของเขาไว้จนกระทั่งการสอบสิ้นสุดลง งานเลี้ยงวันปิดเทอมผ่านไปอย่างเงียบเชียบ มีหลายครอบครัวสูญเสียญาติมิตรในสงครามทั้งโลกผู้วิเศษและโลกของมักเกิ้ล อาจารย์ใหญ่จึงเริ่มงานด้วยการกล่าวไว้อาลัย ประกาศผลถ้วยบ้านดีเด่นอย่างสั้นๆ นักเรียนรับประทานอาหารกันในความเงียบ หลายคนรู้สึกหดหู่ที่ต้องกลับบ้านไปผจญกับโลกด้านนอก การคมนาคมที่ไม่สะดวกสบายเหมือนเดิม ไม่ว่าจะไปตรงส่วนใดของประเทศ ข่าวสงครามตามติด ทหารอังกฤษเดินกันให้ทั่ว เด็กนักเรียนที่มีพ่อแม่เป็นมักเกิ้ล และพ่อไปเป็นทหารในสงคราม เศร้าหมองกว่าใครเพื่อน รวมไปถึงครอบครัวพ่อมดทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองของกรินเดลวัลด์



                เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ผ่านมาหลายปีแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววของความสุข



                ทอมคิดมาตั้งแต่ต้นว่าประโยคของกรินเดลวัลด์เป็นเรื่องหลอกลวง ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น แต่ทำลงไปเพื่อฐานอำนาจของตัวเอง หากไร้ความทะเยอทะยานอย่างมากล้น ใครกันจะก้าวไปถึงจุดที่กรินเดลวัลด์อยู่ตอนนี้ได้ รวบรวมครอบครัวพ่อมดครึ่งหนึ่งของยุโรปกลายเป็นลูกน้องให้ใช้สอย ลุกขึ้นพูดในสถานที่ชุมนุม ใช้ประโยคอันเลื่องชื่อหว่านล้อมพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ให้ร่วมมือ แต่เป้าหมายไม่ต่างจากทรราชในประวัติศาสตร์ หรือท่านผู้นำแห่งเยอรมันในขณะนี้ สำหรับทอม การรอดูฉากต่อไปในสงครามโลกเวทมนตร์ มันช่างสนุกจริงๆ ถ้ากระทรวงหรือใครก็ตาม โค่นกรินเดลวัลด์ได้ ผู้จงรักภักดีเหล่านั้นจะแตกซ่าน เหมือนฝูงมดหนีน้ำฝน แล้วใครกันเล่าจะได้อาศัยจังหวะนี้ช้อนมดพวกนั้นขึ้นมาจากพื้น แต่ถ้าไม่มีใครสามารถล้างอำนาจของกรินเดลวัลด์ได้ ทอมก็วางแผนยึดมาให้ได้อยู่ดี อาจยากหน่อย แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย เขามีแอตลาส โรซิเออร์ ซึ่งมีญาติเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของกรินเดลวัลด์ โรซิเออร์จะต้องสร้างประโยชน์ให้เขาได้สักวัน



                รถไฟหัวรถจักรสีแดงเคลื่อนออกจากชานชาลาของหมู่บ้านฮอกส์มี้ด ตรงกลับไปยังลอนดอน ฤดูร้อนที่มีบรรยากาศสดใสเขียวขจี ดอกไม้หลากสีนานาพรรณรายล้อมสองข้างทาง ช่างแตกต่างกับอารมณ์ความรู้สึกของนักเรียนที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านไปพบกับความเป็นจริงอันไม่น่าอภิรมย์ของลอนดอนในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ตู้ที่นั่งของกลุ่มริดเดิ้ลไม่เชื่องซึมน่าเบื่อ ทอมเสกขยายพื้นที่ให้พวกเขานั่งกันได้อย่างสบายเหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่นรวม ฟีนิกซ์ เลสแตรงก์กำลังไล่บี้แอแบรกซัส มัลฟอยบนเกมกระดานหมากรุกพ่อมด จานัส เอเวอรี่เล่นไพ่สแนประเบิดปังกับโอไรออน แบล็ก นานๆทีจะมีเสียงระเบิดที่น่าตื่นเต้นดังให้ได้ยิน อีวาน น็อตกำลังหลับ เอนศีรษะพิงกระจกหน้าต่าง มีหนังสือพิมพ์เปิดกางทิ้งไว้บนตัก ทอมนั่งริมหน้าต่างเช่นกัน เขามองออกไปข้างนอก จนกระทั่งโรซิเออร์ชวนคุย



                “ปีนี้ เมอร์คิวรีเรียนจบแล้ว นายจะช่วยให้ฉันได้เป็นกัปตันทีมควิดดิชปีหน้าได้ไหม?” แอตลาสไม่มีกล่าวอ้อมค้อม เด็กหนุ่มพุ่งตรงเข้าประเด็น



                “แกทำได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องขอให้ฉันช่วย” ทอมบอก



                “แต่ความหวังของฉันที่จะจัดการเมอร์คิวรียังไม่หมดไปหรอกนะ” แอตลาสบอก “มันหักหน้าฉันไว้เยอะ เวลาฝึกซ้อมหรือประชุมทีมควิดดิช ถ้านายไม่สั่งให้ยั้งมือ มันคงถูกหิ้วไปห้องพยาบาล วันละสามรอบ”



                “ฉันสัญญากับจูปิเตอร์ไว้ว่าจะไม่แตะต้องเมอร์คิวรีตลอดเวลาที่มันอยู่ในฮอกวอตส์ ตอนนี้มันเรียนจบ ออกจากฮอกวอตส์มาเรียบร้อยแล้วหรือไม่ใช่?” ทอมพูดอย่างเจ้าเล่ห์ แค่ปรายสายตามอง โรซิเออร์ก็เข้าใจความนัย พร้อมส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ



                “ท่านปราดเปรื่องเสมอ มายลอร์ด” โรซิเออร์ก้มศีรษะลงเล็กน้อย



                “ยัวร์ไฮเนส!” แอแบรกซัสตะโกนดังลั่น แสดงออกชัดว่าต้องการเรียกร้องความสนใจ “กระหม่อมชนะรุกฆาตเลสแตรงก์ได้แล้วพะย่ะค่ะ”



                “ใช้เวทมนตร์สับเปลี่ยนหมาก ไม่ใช่การชนะอย่างใสสะอาด มัลฟอย” เลสแตรงก์โวยวาย หยิบหมากตัวควีนของเขาปาใส่เพื่อนชายอย่างเหลือจะทน แต่แอแบรกซัสกระโดดหลบ แทรกตัวมานั่งคั่นกลางระหว่างแอตลาสและทอม แอตลาสกลอกตาขึ้นข้างบนอย่างรำคาญ แล้วยอมลุกไปนั่งกับฟีนิกซ์แทน



                “เล่นกับฉันแล้วกัน ฟีนิกซ์ อย่าไปสนใจไอ้ปัญญาอ่อนนั่นเลย” แอตลาสบอก พลางหยิบหมากมาวางเรียงใหม่



                “ยัวร์ไฮเนส” แอแบรกซัสลากเสียงยาว ออดอ้อน ประจบประแจงด้วยท่าทางขี้เล่น “กระหม่อมชนะแล้ว ต้องตอบคำถามของกระหม่อมพะย่ะค่ะ จะพาจูปิเตอร์ไปที่ไหน ไปทำอะไร ใช้เวลาอยู่ด้วยกันกี่วัน แล้วจะจัดการขั้นเด็ดขาดเลยไหม อันที่จริงบ้านของกระหม่อมเป็นคฤหาสน์ มีห้องลับหูลับตาคนเยอะ มุมมืดๆก็...”



                “เงียบปาก มัลฟอย” ทอมว่าเข้าให้ พร้อมกับสายตาเย็นชาน่ากลัว แอแบรกซัสหงอไปทันที



                โอไรออนหัวเราะหึๆ แล้วพูด “ปล่อยให้มันบ้าพูดมากไปเถอะ มายลอร์ด ไม่มีมาร์สแล้ว มันไม่มีที่ระบายอารมณ์”



                “น่าจะหาผู้หญิงให้มัลฟอยสักคน โอไรออน” จานัสเสนอแนะ “เพราะมันไม่มีปัญญาจะหาเอง ก็เลยฟุ้งซ่านอย่างนี้ไปวันๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะหลังพูดจบ



                ทอมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นั่ง ใช้ไม้กายสิทธิ์โบกเรียกกระเป๋าของเขาที่อยู่ในชั้นวางด้านบน แอแบรกซัสสังเกตเห็นดังนั้น ก็รีบถามทันที โดยไม่สนใจคำหยอกล้อของเพื่อนคนอื่น “จะไปไหน อีกนานกว่าจะถึงลอนดอนนะ”



                “ฉันจะลงที่แลงแคสเชอร์” ทอมตอบ ไม่คิดขยายความเพิ่ม



                “ไปกับจูปิเตอร์หรอ?” ฟีนิกซ์เงยหน้าจากกระดานหมากรุก ทอมแค่พยักหน้าตอบ “เดินทางโดยสวัสดิภาพ มายลอร์ด” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะลงต่ำ “หากขาดเหลือสิ่งใด หรือประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติม ส่งนกฮูกมาคำเดียวก็พอ”



                “ดูไว้เป็นตัวอย่างนะ แอแบรกซัส” โอไรออนพูดใส่เด็กหนุ่มอีกคน “นั่นคือสิ่งที่มือขวาจะทำ เข้าใจไหม”



                “เออ รู้แล้วน่า” แอแบรกซัสแยกเขี้ยวใส่เพื่อน แล้วหันไปหาทอมอีกครั้ง “จะไม่บอกกันจริงๆหรือ ทำให้อยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ แล้วจะจากไปง่ายๆเลยเชียว?”



                ทอมปรายสายตามองเด็กหนุ่มผมทองร่างผอม กำลังทำปากยื่นเหมือนงอนเสียเต็มประดา เขาส่งเสียงหึออกมาเบาๆจากลำคอ แอแบรกซัส มัลฟอยเชี่ยวชาญคาถาสะกดใจที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด แน่นอนว่าเป็นรองแค่ทอมเท่านั้น งานใดที่ต้องใช้ลูกเล่นทางด้านจิตใจ สามารถเชื่อมือของมัลฟอยได้ นั่นคือข้อดี แต่ข้อเสียก็มีอย่างนี้เอง จุกจิก ขี้อ้อน ทั้งที่ไม่ได้หน้าตาน่าเอ็นดู ออกจะน่าถีบด้วยซ้ำ ทอมตัดสินใจไม่ขยายความเพิ่ม ไม่ตอบคำถาม และเลื่อนประตูเปิดเดินออกไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มจากตระกูลมัลฟอยอยากรู้ใจแทบขาด



                จูปิเตอร์ เบิร์กยืนรออยู่ใกล้ทางลง ขณะที่รถไฟเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชานชาลาแลงแคสเชอร์ และชะลอตัวลง ทอมยกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นเด็กสาวเตรียมตัวพร้อมที่จะไปด้วย คำสัญญาที่พวกเขาตกลงกันไว้คือ ฤดูร้อนนี้ เธอจะเป็นเพื่อนร่วมทางของเขาไปยังหมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตัน ตามหาคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ของเขา ช่วงเวลาสามเดือนก่อนจะปิดเทอม ทอมไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเท่าไหร่ เธอทุ่มเทกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบว.พ.ร.ส. และอาจเป็นเพราะความสงสารที่หาได้ยากยิ่งบังเกิดในใจ เขาจึงไม่ไปรบกวนเธอ แค่ตามมองจากระยะไกล เห็นเธอกลับไปใช้ชีวิตคนเดียว เรียนหนังสือตามลำพัง นั่งกินข้าวคนเดียว บางครั้งจึงมีเมอร์เทิล วอร์เรนมาถามเรื่องการบ้านเป็นครั้งคราว เธอยินดีตอบคำถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ดวงตายังคงหมองเศร้า ไม่สดใสดังเก่า



                วันนี้เช่นกัน เธอไม่ได้แสดงท่าทางว่าไม่อยากร่วมทาง เธอนิ่งเฉย เย็นชา ไร้อารมณ์ แก้มซีดไม่มีเลือดฝาด เหมือนเธออยู่ตรงนี้แค่เพื่อจะทำตามสัญญาให้ลุล่วงเท่านั้น



                รถไฟหยุดนิ่งเทียบชานชาลา เด็กหนุ่มและเด็กสาวลงที่นี่เพียงสองคน พวกเขาไม่หันกลับไปมองที่รถไฟเพื่อเจอดวงตาอยากรู้อยากเห็นหลายคู่ ทอมเดินหน้าทันที สะพายกระเป๋าบนไหล่ เขาไม่ได้นำหีบหนังสือเรียนกลับมาด้วย เพราะไม่คิดว่าจำเป็นอีกต่อไป เธอเองก็เช่นกัน จูปิเตอร์มีกระเป๋าแค่ใบเดียว แต่เขาเดาว่าเธอเสกคาถาขยายพื้นที่เพื่อใส่ของมาได้เยอะกว่าที่เห็นภายนอก เพื่อความคล่องตัว สะดวกในการเดินทาง ชานชาลาเงียบเชียบ มีคนรอรถไฟเพียงสี่ห้าคน นายสถานีนั่งอยู่ในออฟฟิศ สำหรับสถานีในหมู่บ้านชนบทห่างไกลของเขตเมืองแลงแคสเชอร์ ในช่วงที่บรรดาชายหนุ่มไปสงครามกันหมด ความเงียบวังเวงเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ทอมกับจูปิเตอร์เดินออกจากชานชาลา ไปตามทางเดินโรยกรวดหิน ขนาบข้างด้วยต้นไม้และพุ่มไม้สูง พวกเขาไม่พูดอะไรกันเลย จนกระทั่งทอมหยุดเดิน มองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีมักเกิ้ลอยู่แถวนั้น เด็กหนุ่มยื่นมือให้เด็กสาวจับ หายตัวไปพร้อมกัน



                สุสานของหมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตันเต็มไปด้วยเถาวัลย์และวัชพืชเลื้อยไปบนรูปปั้นหน้าหลุมศพ ทอมยังจับมือเธอไม่ยอมปล่อย แม้จะหายตัวเข้ามาสำเร็จแล้ว เขาพาเดินออกจากสุสาน ไปตามทางเข้าตัวหมู่บ้าน โบสถ์ตั้งอยู่ไม่ห่างจากกัน อาคารสีขาวหลังคาสีครีม กับสัญลักษณ์ไม้กางเขนติดเด่นไว้ด้านบน



                “เราจะไปไหนกัน?” จูปิเตอร์ตัดสินใจถามทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด และดึงมือออกจากมือของเขา



                “หาที่พักก่อน” ทอมตอบ



                “นายใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียนได้ยังไง นายเพิ่งอายุสิบหก ร่องรอยยังมีอยู่บนตัว” จูปิเตอร์ถาม ขณะเร่งฝีเท้าตามเขาไปติดๆ มุ่งหน้าเข้าสู่ทางเดินที่มีบ้านขนาดกะทัดรัดเรียงราย ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นต่างมองผู้มาเยือนอย่างสนใจ บทสนทนาเกี่ยวกับเวทมนตร์ต้องยุติลงชั่วคราว จูปิเตอร์สังเกตเห็นว่าคนในหมู่บ้านมองทอมอย่างสนใจมากเป็นพิเศษ สนใจเขามากกว่าเธอ บางคนมีแววตาสงสัย คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน จูปิเตอร์คิดว่าเขามาถูกที่แล้ว เขาอาจจะหน้าตาเหมือนพ่อหรือแม่ของเขามากเสียจนคนในหมู่บ้านจำได้แม่น แต่เกรงใจเกินกว่าจะเข้ามาถาม    



                พวกเขามาถึงโรงแรมขนาดเล็กประจำหมู่บ้าน สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง มีบรรยากาศแบบชนบท บริเวณล็อบบี้ทำเป็นร้านขายอาหารและเครื่องดื่มไปในตัว มีแขกสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ดื่มชายามบ่ายและกินมัฟฟิน ทอมเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ แจ้งไปว่าขอห้องพักจำนวนหนึ่งห้อง



                “ชื่ออะไร” เจ้าของโรงแรมถามเสียงห้วน เขาเป็นชายร่างเตี้ย อายุน่าจะไม่เกินหกสิบปี จมูกโตและหน้าแหลมเสี้ยว เส้นผมกลายเป็นสีเทา ดวงตาจ้องหน้าทอม ริดเดิ้ลอย่างอยากรู้อยากเห็น



                “เนแธร์ กับจูล เดอมอร์ต” ทอมตอบอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ



                เจ้าของโรงแรมหรี่ตาอย่างไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็เค้นถามอะไรไม่ได้อยู่ดี หลังจากจ่ายเงินสำหรับพักหนึ่งคืนและได้กุญแจห้องมาแล้ว พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ทอมไขกุญแจและเปิดประตูเข้าไปในห้อง ความกว้างไม่มากนัก ไม่มีเครื่องเรือนใดเป็นพิเศษ เตียงขนาดเล็กวางชิดผนังด้านหนึ่ง ด้านบนมีหลอดไฟส่องแสงสีเหลืองนวล กระจกและโต๊ะเครื่องแป้งวางอีกมุม หน้าต่างบนกว้างพอเหมาะ บนกระจกมีคราบฝุ่นติดเป็นปื้น จูปิเตอร์วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ และนั่งพักที่เก้าอี้ ผ่อนลมหายใจหนักๆออกมาหนึ่งครั้ง



                “เธอเห็นไหม คนในหมู่บ้าน กับเจ้าของโรงแรมคนนั้น” ทอมถามด้วยเสียงกระซิบ พลางทรุดตัวลงนั่งที่เตียง “พวกเขาจำฉันได้ ฉันคงหน้าตาเหมือนใครสักคนที่นี่ อาจเป็นพ่อมักเกิ้ลโสโครกนั่น มิสซิสโคลเคยบอกว่า แม่ของฉันหวังให้ฉันหน้าตาเหมือนพ่อ มิสซิสโคลเห็นด้วยเพราะแม่น่ะ ไม่ได้สะสวยน่าดึงดูดเลย ฉันสงสัยจริงๆ พวกเขาลงเอยมีฉันออกมาได้ยังไง ถ้าพ่อเป็นมักเกิ้ลที่สุดท้ายทิ้งแม่ให้อุ้มท้องฉันตามลำพัง เขาทิ้งแม่เพราะอะไร? เพราะรู้ว่าแม่เป็นแม่มด หรือว่าจริงๆแล้ว เขาไม่เคยมีความรักให้แม่เลยตั้งแต่แรก” น้ำเสียงของเขาแสดงความเกลียดชัง แต่จูปิเตอร์จับได้ถึงกระแสความปวดร้าวบางๆในนั้น น้อยมาก แต่ยังมีอยู่ ความเจ็บปวดรวดร้าว เป็นสัญญาณหนึ่งของการมีชีวิต และจิตใจ



                “นายจะบอกว่า บางทีแม่ของนายอาจใช้...”



                “ยาเสน่ห์” ทอมพูดกัดฟัน “มีความเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ? เขาทิ้งแม่อย่างไร้เยื่อใย ไม่สนใจว่าแม่กำลังจะมีฉัน แม้แต่ลูกชายก็ไม่อาจดึงให้เขาอยู่กับแม่ได้ เขาต้องรู้ความจริงบางอย่าง และโกรธมากเสียจนไม่...” เขาหยุดพูดไปกลางคัน จำได้ว่าเคยอ่านในหนังสือมาก่อน ยาเสน่ห์ไม่อาจสร้างความรักที่แท้จริง เป็นเพียงความหลงใหลชั่วคราว สามารถทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางกายอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่ใช่ที่จิตใจ และมีความเป็นไปได้ว่าผลพวงที่เกิดจากยาเสน่ห์ มนุษย์ที่เกิดมาจากผลของน้ำยา จะไม่มีวันรู้จักความรัก ไม่รักใคร และจะไม่มีใครรัก เป็นดั่งคำสาป เมื่อพ่อหรือแม่เป็นผู้ก่อ คนเป็นลูกรับผลแทน เด็กหนุ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย ในที่สุด เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ทำไมเขาจึงไร้ความรู้สึกสงสาร ไม่มีความรู้สึกผูกพัน ในความคิดของเขา ในใจของเขา มีแต่ความปรารถนาที่จะได้อำนาจมาทดแทนทุกอย่างที่เขาไม่อาจรู้สึกได้



                สัมผัสหนักแน่นจากมืออุ่นวางบนบ่าและบีบเบาๆ จูปิเตอร์เดินข้ามห้องมาพักหนึ่งแล้ว และบีบบ่าของเขาอย่างปลอบโยน ทอมเลื่อนมือขึ้น ประสานนิ้วของเขาไว้กับนิ้วทั้งห้าของเธอ ประหลาดพิกลนัก น้ำตาของจูปิเตอร์ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น น้ำเสียงของเธอ ท่าทางของเธอ คำพูดของเธอ การกระทำทุกอย่าง สร้างความประหลาดใจให้เขา ทั้งที่เขาร้ายกาจกับเธอถึงขนาดนั้น ความคิดของเขาที่มีต่อเธอไม่ใช่เรื่องดีสักอย่าง เธอไม่จำเป็นต้องมาปลอบใจเขา เธอควรเกลียด โกรธ อยากไปไกลๆจากเขาไม่ใช่หรือ?



                “เคยมีคนพูดไว้ ฉันไม่รู้ว่าใคร แค่เป็นคำพูดที่ส่งต่อๆกันมา เขาบอกว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ ทำได้แค่ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เป็น และเลือกหนทางของตัวเอง” เธอบอก “ฉันกับพี่ๆของฉันเกิดในครอบครัวที่ดี แต่ใช่ว่าทุกคนจะกลายเป็นคนดี มาร์สเลือกทางเดินของตน ฉันเลือกของฉัน นายก็เลือกของนาย จนตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจหรอกนะ ทำไมนายต้องทำร้ายฉันอย่างที่นายทำลงไป และฉันคิดว่าบางที ฉันอาจจะไม่อยากรู้แล้ว แต่จะให้ฉันโกรธ เกลียด อยากแก้แค้น อยากทำลายนาย ฉันคงทำไม่ได้ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตหมดไปกับความรู้สึกเป็นทุกข์แบบนั้น ฉันคิดมาดีแล้ว และเลือกที่จะให้อภัย เดินหน้าต่อไป ส่วนนายจะเลือกอย่างไรต่อ มันเป็นสิทธิ์ของนาย”



                   หากโต้ตอบความรุนแรง ด้วยความรุนแรง เรื่องไม่มีวันจบสิ้น เธอจะไม่ปล่อยให้เขาทำร้ายตัวตนที่แท้จริงของเธอได้ ส่วนเขาจะหยุดหรือไม่หยุด ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเธอ จูปิเตอร์ได้แต่หวังว่าคำพูดของเธอเมื่อครู่ทั้งหมด จะช่วยหลอมละลายจิตใจที่เป็นภูเขาน้ำแข็งนั้นได้บ้าง สิ่งที่เฮเลน่าเคยบอกว่าเธอน่าจะเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน คงจะเป็นทอม ริดเดิ้ลที่เฮเลน่าหวังให้ช่วยเปลี่ยน เพราะการเปลี่ยนคนๆหนึ่ง หรือช่วยเหลือคนๆหนึ่งได้สำเร็จ อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่า จูปิเตอร์ไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงมากมาย เธอเข้าใจสิ่งที่ริดเดิ้ลพูดถึงยาเสน่ห์ เธอเคยได้ยินมาเช่นกันว่าเด็กที่เกิดจากผลของยาเสน่ห์ จะมีความเป็นมนุษย์แตกต่างจากคนอื่น แต่ไม่ใช่ว่าความเป็นมนุษย์ของเขาจะน้อยกว่าใครนี่น่า เขาเองก็เจ็บปวดเป็นไม่ใช่หรือ?



                “ไม่โกรธฉันจริงๆหรอ” ทอมเอี้ยวศีรษะ หันมองเธอ มีแววเจ้าเล่ห์เต้นระริกในดวงตา นี่คงเป็นวิธีที่เขาใช้กลบเกลื่อนทุกอย่างในใจอย่างแนบเนียน



                “โกรธแล้วได้อะไร? มีแต่ฉันจะเป็นบ้าอยู่คนเดียว” เธอตอบ



                “ถ้าฉันทำร้ายเมอร์คิวรี หรือพ่อแม่ของเธอด้วยล่ะ จูปิเตอร์” ทอมถาม



                “คงโกรธ และถ้าฆ่านายได้ ฉันก็ทำ” เธอตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด



                “ไหนบอกว่าจะไม่โกรธ” เขาขมวดคิ้วใส่อย่างหยอกเย้า



                “ไม่โกรธในเรื่องที่ผ่านมาแล้ว อภัยในเรื่องที่เกิดไปแล้ว ต่างกับเรื่องที่ยังไม่เกิด” จูปิเตอร์ตอบอย่างชาญฉลาด “ฉันขอทำข้อตกลงกับนายใหม่ จะได้ไหม?” เธอเลื่อนมือออกจากบ่าของเขา ขยับไปยืนตรงหน้า ขณะที่เขายังนั่งสบายอยู่บนเตียง



                “หืม?” เขาส่งเสียง พร้อมยิ้มมุมปากอย่างสนใจ



                “คราวที่แล้ว ฉันแลกความปลอดภัยของเมอร์คิวรีในฮอกวอตส์ กับการยอมมาที่นี่กับนาย” เธอทวนความจำ “ฉันลืมไปว่าคำพูดนั้นมีช่องโหว่ นายสามารถใช้ช่องโหว่นี้ทำร้ายเมอร์คิวรีได้ทีหลัง ดังนั้น การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ เพื่อคนในตระกูลเบิร์กทั้งหมด พ่อ แม่ เมอร์คิวรี และมาร์ส”



                “จะเสนออะไรให้ฉัน” ทอมยกมือขึ้นกอดอก จ้องตาเธอ



                “ความภักดีของฉันต่อนาย”












    TALK

    มีใครอยากมอบความภักดีให้ทอมเพิ่มไหมคะ? แอบยกด้วยนิ้วชี้ก็ได้ค่ะ 5555+

    ตอนนี้กำลังพิสูจน์อักษรฟิคซัลลีไปด้วยค่ะ ได้ 10 ตอนแล้ว  ให้ตายสิ ฉันเขียนอะไรไปเยอะแยะมากมายขนาดนั้น แถมมีคำหาย คำผิด หลายที่ด้วยนะ ตอนอ่านในฟิคนั้นมีหงุดหงิดกันบ้างรึเปล่าคะ? แต่ตอนนี้ปวดตามากค่ะ


    พรุ่งนี้ ขออนุญาต งดอัพหนึ่งวันนะคะ 

    ขอพักตาหน่อย











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×