ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Psyche ] โลก ฝัน จิต (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #13 : [ Riley ] : Be gentle.

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 60


    Edited 5/NOV/2017


    Psyche

    Chapter 13 : Be gentle.




    [ Riley ] 



                    ไรลีย์คิดถูกแล้วที่เอาโทรศัพท์เครื่องนั้นไปซ่อนไว้ การเป็นสมาชิกใหม่ หมายความว่า ในกรณีที่มีของหายไปจากค่าย คนที่มาใหม่มักจะถูกเพ่งเล็งเป็นอันดับแรก เมื่อพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิด คนในค่ายก็ยังวุ่นวายกันอยู่ดี เพราะพวกเขามีกฎเหล็กว่า จะไม่ขโมยของของผู้ใด ไรลีย์ไม่ได้อยากเป็นขโมย เธออาจจะเป็นสเกาต์ที่ทำได้ทุกอย่าง แต่เธอเกลียดการขโมย ถ้าเรื่องนี้ไม่จำเป็น เธอไม่อยากทำ เพราะโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับคาร่า เด็กสาวบอกว่ารูปถ่ายของครอบครัวและเพื่อนๆอยู่ในนั้น โดยปกติจะปิดเครื่องไว้ตลอดเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ และจะเปิดแค่เฉพาะเวลาที่คิดถึงคนในครอบครัว ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ คาร่าไม่เคยเปิดดูเลย เพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้คิดถึงคนเหล่านั้น แต่ยังชาร์จแบตเตอรี่ไว้ทุกครั้งที่มีโอกาส



                    ไรลีย์แอบหยิบโทรศัพท์มาตอนที่เจ้าของไม่ทันสังเกต ช่วงที่คาร่าคุยกับเฮนรี่ เธอเหลือบเห็นมันแวบออกมาจากกระเป๋าของเด็กสาว จึงหยิบติดมือมา และไปหาที่เงียบๆ หลบมุมเพื่อจัดการให้โทรศัพท์เครื่องนั้นใช้การได้ ไรลีย์ไม่ได้มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีมากนัก แต่เธอก็พอจะทำเรื่องนี้ได้จนสำเร็จ เริ่มจากการเปิดเครื่อง เปิดสัญญาณรับอินเตอร์เน็ตไร้สาย ระบบเหล่านี้ยังคงอยู่ เพียงแต่มนุษย์ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ ต้องใส่รหัสหลายชั้น ไรลีย์เองก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะเข้าใช้งานได้ เธอติดต่อหาลีดเดอร์ของเธอทันที ส่งเป็นข้อความ ระบุตำแหน่งของกลุ่มมนุษย์ ชื่อกลุ่ม เป้าหมายที่พวกมันตั้งใจจะทำ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอปิดเครื่องและซ่อนโทรศัพท์เอาไว้ในร่องหิน โกยทรายและวัชพืชมากลบจนมิด หายังไงก็หาไม่เจอ ยกเว้นเธอเท่านั้น



                    คาร่าไม่ได้ร้องไห้หรือโวยวายตอนที่รู้ตัวว่าโทรศัพท์หายไป เธอแค่นำเรื่องไปแจ้ง ไพรเออร์  เพื่อให้ผู้หญิงวัยห้าสิบคนนั้นสั่งการลงมา เบลคกับไรลีย์ถูกค้นตัวเป็นพวกแรก เบลคไม่ต่อว่าอะไรพวกเขา เขาดูเหมือนจะเข้าใจดี แม้จะแสดงอาการหงุดหงิดบ้าง ทำนองว่าอย่างเขาจะเอาโทรศัพท์ไปทำอะไรได้ ใช่ว่าจะขายได้เงินเสียหน่อย สถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดก็คืออาหารกับยารักษาโรคพื้นฐาน โทรศัพท์ไม่ต่างจากก้อนหินหนึ่งก้อน เบลคกับไรลีย์จึงไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยอีก แต่พวกเขาก็ยังคอยสอดส่อง และตามหาว่าใครเอาโทรศัพท์ไป



                    ไรลีย์จึงระวังตัว ไม่กลับไปบริเวณที่เธอซ่อนมันไว้ หรือหยิบจับมันขึ้นมาอีก เธอไม่อยากเสี่ยงให้เกิดเรื่องราวน่าสงสัย ถ้ากลุ่มไซคีจะเริ่มเคลื่อนตัว ย้ายถิ่นเมื่อไหร่ เธอค่อยไปแอบเอามาอีกครั้ง เพื่อแจ้งข่าวไปแม็กซิโก แต่ไรลีย์คิดว่าพวกเขาคงไม่รีรอที่จะตะครุบมนุษย์กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ อีกไม่นานพวกเขาจะมาแน่ และหน้าที่ของไรลีย์ก็จะจบลง



                    นัยน์ตาสีน้ำเงินกระพริบช้าๆ ขณะแหงนหน้าขึ้นมองดูดวงดาว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เป็นอีกคืนที่ไร้เมฆฝน พายุฤดูร้อนนั้นจากไปแล้ว เธอมองเห็นทางช้างเผือกเหมือนไรฝุ่นขาวบางๆประดับประดาด้วยดาวเล็กจิ๋วส่องแสงระยิบระยับ ไรลีย์ขยับแขนไปด้านหลัง ใช้มือทั้งสองข้างวางเท้ากับพื้น เพื่อที่จะได้แหงนคอขึ้นด้านบนสะดวก เธออยู่ตามลำพัง ห่างไกลจากคนอื่นๆที่กำลังส่งเสียงเฮฮาอยู่กลางลาน คืนนี้เป็นคืนสำคัญ หรืออย่างน้อย คนกลุ่มนี้ก็คิดแบบนั้น สำหรับเธอ ทุกคืนเป็นเหมือนกัน ต่างผ่านพ้นไปอย่างไม่มีสิ่งใดสลักสำคัญ



                    เธอจะทำให้พวกเขาตายกันหมด



                หญิงสาวผุดลุกนั่งหลังตรงทันที มือกำแน่น เสียงจากภายในตัวเธอดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งที่เสียงพูดนั้นเป็นแค่เสียงกระซิบกระซาบ แต่มันสะท้อนสะท้านกระเด้งกระดอนอยู่ในสมอง สั่นสะเทือนไปทุกอณูผิวหนัง ไรลีย์เกลียดความรู้สึกนี้ เกลียดการถูกแทรกแซง เธออยากให้จะจบเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่อจะได้รายงานให้ซีเลคเตอร์รู้ว่าร่างนี้มีปัญหา ใช้การไม่ได้แล้ว เธอต้องการร่างใหม่ที่ว่านอนสอนง่ายมากกว่านี้ อีกอย่าง เธอเกลียดความอ่อนแอของไรลีย์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกาย ไรลีย์ เฮย์สมีโรคประจำตัว โลหิตจาง ภูมิแพ้ ปอดกับระบบทางเดินหายใจไม่ค่อยดี ร่างกายบอบบาง เหมือนไม่เคยออกกำลังกาย แขนขาปวกเปียก วิ่งแค่ไม่เท่าไหร่ก็คงทิ้งตัวลงไปนอนแผ่ สาเหตุที่ร่างนี้ยังอยู่และทนมาได้ถึงตอนนี้ เพราะพลังชีวิตของเธอล้วนๆ สภาพจิตใจของไรลีย์ตัวจริงนั้น ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เธอมีสภาวะซึมเศร้า เบื่อหน่ายกับชีวิต และไม่พอใจอะไรเลย ไม่น่าแปลกที่เธอเป็นอาสาสมัคร เดินเข้าไปหาซีเลคเตอร์เอง



                    เพราะฉะนั้น หุบปากได้แล้ว! เธอคิดอย่างรำคาญ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติ สักพักเสียงหายไป นับวันมันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เธอปล่อยให้ร่างกายนอนหลับ เธอจะกลับไปที่ชายทะเลแห่งนั้น เห็นไรลีย์กับพวกเด็กๆที่เคยเรียนดนตรี นั่งเล่นและร้องเพลงกัน บางครั้งถือกีตาร์ บางครั้งก็เป็นไวโอลิน แตกต่างกันไป ภาพฝันจะวุ่นวาย ซับซ้อน แต่มันลงเอยอย่างเดียวกัน ไรลีย์เดินมาหาเธอจากทางด้านหลัง เดินใกล้เข้ามาทุกครั้งที่ฝันถึง จนครั้งล่าสุด ระหว่างเดินทางมาที่นี่ ไรลีย์จับตัวเธอได้ และกดเธอลงไปในน้ำทะเลที่เย็นเฉียบ เป็นเหตุให้เธอกรีดร้อง ดิ้นทุรนทุราย ไรลีย์ไม่รู้ว่า ถ้าเบลคปลุกเธอไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้น เธอจึงพยายามที่จะไม่นอนอีกเลย ไม่ใช่นอนยาวติดต่อกันหลายชั่วโมง แต่จะใช้วิธี นอนงีบหลับเพียงครึ่งชั่วโมง และบังคับให้ตัวเองตื่น ช่วงที่หลับแรกๆยังไม่มีภาพฝันมากวนใจ เหมือนกับว่าไรลีย์ตัวจริงที่ซ่อนอยู่ ไม่สามารถออกมาได้ จนกกว่าจะอยู่ในสภาวะหลับลึก และคลื่นสมองกลายเป็นเธต้า



                    “อ้าว มานั่งทำอะไรคนเดียวมืดๆล่ะ”



                    เสียงของ ตาแก่ นั่นไรลีย์จำได้ เขาเป็นชายแก่วัยเกือบหกสิบที่ยังกระชุ่มกระชวย ร่าเริงแจ่มใส ที่สำคัญคือช่างคุย พูดเก่ง สร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้คนอื่นได้ตลอด ไรลีย์หันไปมอง วันนี้เขาสวมเสื้อลายต้นมะพร้าว เหมือนจะไปเดินเล่นชายหาด ตาแก่ชูขวดเหล้าสองขวดขึ้นสูงในมือ



                    “ให้เกียรติดื่มเป็นเพื่อนคนแก่ได้ไหม”



                    ไรลีย์ยังไม่ทันตอบ คนถามก็ถือวิสาสะนั่งลงด้านข้าง วางขวดเหล้าลงตรงหน้าหญิงสาว เธอรู้ว่าพวกนี้เป็นเหล้าที่หมักกันเอง ประสิทธิภาพแรงกว่าเหล้าทั่วไปอีก คนหมักก็ไม่ใช่คนอื่นไกล คนที่ชวนเธอดื่มนี่เอง เฮนรี่ส่งเสียงหายใจยาวออกมาอย่างผ่อนคลาย แหงนหน้าขึ้นมองดาวบนฟ้า แล้วยิ้มกว้าง ในบรรดามนุษย์ชราที่ไรลีย์เคยพบมา เธอคงต้องบอกว่า เฮนรี่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นนัก เขายังดูแข็งแรง ไม่เจ้าเล่ห์ ดูเป็นคนง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง แต่ก็ไม่ใช่คนหยาบคาย ทำให้เธอสงสัยว่าเขามีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นใคร มาจากไหน มีครอบครัวหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ทำงานอะไร แต่ไรลีย์เป็นพวกไม่ชอบถามคนอื่นซอกแซก ไม่ใช่คนช่างคุย เธอจึงเอาแต่เงียบ



                    “คนอื่นกำลังฉลองเพื่อเพิ่มความฮึกเหิมให้วันพรุ่งนี้ เธอก็ควรไปนะ” เฮนรี่บอก



                    จะใช้คำว่า ฉลอง คงไม่ถูก เหมือนกับการเลี้ยงส่ง เลี้ยงอำลา ให้แก่หน่วยสอดแนมและจู่โจมที่จะเดินทางพรุ่งนี้มากกว่า พวกเขาไม่มีวันรู้ว่าจะได้กลับมาหรือไม่ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ลึกลงไป ก็รู้กันทุกคนว่า กำลังจะมีกลุ่มหนึ่งออกไปเสี่ยงตายอย่างโง่งม โดยมีความหวังลมๆแล้งๆว่าจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้



                    “ฉันไม่ชอบเสียงดัง” ไรลีย์ตอบ



                    “อา ความสงบสุข” เฮนรี่ส่งเสียงขึ้นทันที “เธอคงชอบดูดาวล่ะสิ ทำให้ฉันนึกถึงหลานสาว ฮ่าฮ่า แต่ว่านะ ผู้หญิงแทบทุกคนที่อายุประมาณสิบห้าถึงยี่สิบ ก็ทำให้ฉันนึกถึงหลานสาวหมดนั่นแหละ อย่างไอ้เด็กพริกขี้หนูนั่น ก็ห้าวๆลุยๆเหมือนหลานสาวฉัน เธอก็มีอารมณ์อยากอยู่คนเดียว ดูดาวอย่างเดียวดายแบบหลานฉัน” พูดจบ เฮนรี่ก็เหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นจิบ



                    “หลานสาวของคุณอยู่ไหนล่ะ?” ไรลีย์ถาม ซึ่งเป็นคำถามที่พอจะเดาคำตอบได้ไม่ยาก



                    “พระเจ้าเท่านั้นที่รู้” ตาแก่ยกขวดเหล้าขึ้นสูง ราวกับกำลังดื่มกับคนที่อยู่บนฟ้า เกิดความเงียบขึ้นอึดใจหนึ่ง ก่อนที่เขาจะโพล่งขึ้นมาอีก “แต่ฉันไม่ห่วงหรอกนะ หลานฉันเป็นคนที่เก่งมากๆ ฉันสอนทุกอย่างให้มัน ทุกอย่างที่ฉันรู้ มันน่าสงสาร พ่อแม่ตายหมด ตอนมันยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ ตายต่อหน้าต่อตามันเลย ฉันเป็นคนเดียวที่มันเหลืออยู่ ถ้าวันนั้นไม่เกิดเหตุบัดซบขึ้นกับฉันก่อน ฉันก็คงยังอยู่กับมันนั่นล่ะ”  


     

                    “เกิดอะไรขึ้นคะ?” ไรลีย์ถามอีก อยู่ๆก็สนใจชีวิตของเฮนรี่กับหลานสาวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ



                    “ฉันดวงซวยไปหน่อย กับอุบัติเหตุอีกเล็กน้อยน่ะ อย่าไปใส่ใจเลย” เฮนรี่โบกมือปัดๆ แต่ไรลีย์คิดว่าเขาไม่อยากเล่ามากกว่า คงจะเป็นความลับที่ไม่อยากบอกใคร “ลองดื่มสิ เหล้าหมักเองแบบนี้ สุดยอดของแท้นะ” เขาชี้มือมาทางขวดเหล้าที่ยกให้ไรลีย์  หญิงสาวจึงจำเป็นต้องยกขึ้นจิบสักนิด ตามมารยาท ไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ “นั่น ต้องอย่างนั้น อะไรจะดีกว่าการยังมีชีวิตอยู่และเป็นตัวของตัวเอง จริงไหม?”



                    “ถ้าคุณเจอพวกมัน คุณจะทำยังไงคะ?” ไรลีย์ถามอย่างอยากรู้



                    “ฉันเกลียดการฆ่าคนมากๆเลย” เฮนรี่ตอบ ส่ายหน้าไปมา “เป็นเหตุให้ฉันลาออกจากการเป็นทหาร ถ้าฉันเจอพวกมัน ฉันก็ไม่อยากฆ่าหรอก ฉันคิดว่ามันจะต้องมีวิธีอะไรสักอย่าง เช่น พบกันครึ่งทาง เจรจา แต่ปัญหาก็คือ พวกมันไม่อยากเจรจานี่สิ” เขาส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “เห็นพวกเรา ไม่ยิง ก็จับตัวไปเลย แย่นะ มันทำให้เราไม่มีทางเลือก ฉันก็คงต้องยิงพวกมันเหมือนกัน ถ้ามันจะฆ่าฉัน แล้วเธอล่ะ เธอจะทำยังไง?”



                    “ฉันจะทำทุกอย่างไม่ให้มันได้ตัวฉันไป” ไรลีย์ตอบ น้ำเสียงแน่วแน่ ทำทุกอย่าง ไม่ให้มนุษย์ชนะได้ นั่นคือคำตอบที่แท้จริงในใจของเธอ



                    “ใช่เลย” เฮนรี่พยักหน้า “อย่างที่บอกนั่นแหละ ไม่มีอะไรดีเท่ากับการได้เป็นตัวของตัวเองหรอก”



                    จากนั้นพวกเขาก็นั่งจิบเหล้าเงียบๆกันครู่หนึ่ง คาร่าก็เดินมาตาม บอกว่าไพรเออร์จะพูดสุนทรพจน์แล้ว ไรลีย์ไม่ได้ไปด้วย เธออยากนั่งอยู่เงียบๆมากกว่า คาร่ามองแปลกๆเหมือนไม่เห็นด้วยที่สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มจะไม่ไปฟังการพูดปลุกใจ แต่เฮนรี่จับไหล่เด็กสาวและกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินออกไป เธอได้ยินเสียงพูดคุยของสองคนนั้นค่อยๆเบาลง จนเงียบในที่สุด เหลือแค่เธอ ท้องฟ้า กับผาหินอันเวิ้งว้าง



                    แล้วเธอก็คิดถึงเบลคขึ้นมา เพื่อนร่วมทางจากนอร์ธแวนคูเวอร์ของเธอที่ทั้งเลือดร้อน ใจสู้ ใจนักเลง ดูเหมือนจะหยาบกระด้าง แต่จริงๆแล้ว เขา - - ไรลีย์ก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นยังไง เธอไม่แน่ใจอะไรเลย เบลคเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง ในใจเขาหวังอะไร หรือคิดอะไรเกินเลยกับร่างของไรลีย์หรือไม่ เธอไม่รู้ แต่จากที่เห็น เขาเป็นห่วงเธอจากใจจริง แม้บางครั้งจะน่ารำคาญก็ตาม โดยเฉพาะเวลาที่เขาสั่งให้เธอไปนอนหลับ บางทีเขาอาจจะทำดีกับเธอ เพราะไรลีย์เป็นคนสวยก็ได้ ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆ ใบหน้าเก๋ไก๋ ผมสีบลอนด์นุ่มสลวย รูปร่างเล็กบางแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ ผิวขาวจัด แถมยังดูใสซื่อน่าทะนุถนอมอีก ไม่แปลกที่พวกผู้ชายจะทำดีกับเธอ



                    แต่เบลคก็ดีกับคาร่า ดีกับทุกคนที่นี่ด้วย เขาเข้ากับทุกคนได้ง่ายและรวดเร็วกว่าเธอ ไรลีย์จึงดูเป็นคนขี้อายในสายตาของคนอื่น เพราะเอาแต่เงียบ และหลบอยู่หลังเบลค



                    พรุ่งนี้เขาจะเดินทาง เบลค คาร่า กับหน่วยจู่โจมจะแยกตัวออกจากกลุ่ม ตรงไปวอชิงตันดีซี ไรลีย์มีลางสังหรณ์ว่าถ้าเขาไป เธออาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว แต่เธอก็ชินกับความเป็นไปเช่นนี้ ตลอดชีวิตของเธอ พบเจอและพลัดพรากกับใครต่อใครมามาก ไรลีย์พยายามไม่สร้างความสัมพันธ์ใดๆ พวกเธอไม่ทำแบบนั้น เพราะทันทีที่งานเสร็จ ดวงจิตจะย้ายลงไปอยู่ในหลอดแก้ว หลับใหลในห้องเย็น ตื่นมาอีกทีก็เมื่อมีงานหรือเป้าหมายใหม่ เธอไม่จำเป็นต้องผูกพันกับใคร โดยเฉพาะมนุษย์ที่อายุขัยสั้นกว่า เปราะบาง ตายได้ง่ายเหลือเกิน มนุษย์อย่างเบลค ไม่นาน เธอจะลืมเลือนเขาไป อย่างที่เคยลืมใครหลายคน หลายสิ่ง



                    เขาเป็นห่วงเธอ แต่เธอจะทำให้เขาตาย



                “หุบปาก” ไรลีย์เผลอโพล่งออกมา กำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปบนฝ่ามือ



                    “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”



                    ไรลีย์หันขวับไปมอง ร่างของเบลคหยุดอยู่ห่างจากเธอไม่กี่ก้าว สีหน้าแสดงความประหลาดใจและสงสัย หญิงสาวลุกขึ้นยืนทันที ทำตัวไม่ถูก จะแก้ตัวอย่างไร เธอนั่งอยู่คนเดียวแท้ๆ แต่กลับพูดออกมาเหมือนกำลังคุยกับคนอื่น วินาทีต่อมา เบลคก็ยิ้มเพื่อทำลายบรรยากาศพิลึก เดินตรงเข้ามาหาเธออีกก้าว



                    “เฮนรี่บอกว่าเธออยู่ที่นี่” เบลคพูด พลางยกมือขึ้นกอดอก “พรุ่งนี้ฉันออกเดินทางแต่เช้ามืด คงไม่ได้เจอเธอ ก็เลยจะมาบอกลาซะหน่อย”



                    เกิดความเงียบขึ้นอีก มีแต่สายลมหวีดหวิวยามดึกพัดผ่าน หอบเอากลิ่นดินและต้นไม้โชยมา หอมยิ่งกว่าสุราสำนักไหน ทั้งหมักเองแบบเถื่อนๆ หรือมีเครื่องหมายการค้ากำกับ ไรลีย์ชอบกลิ่นของธรรมชาติ ทำให้เธอรู้สึกสบาย และไม่เคยเข้าใจเลยว่า มนุษย์จะพี้ยาหรือดื่มเหล้าให้เมาทำไม เพราะแค่เดินเหยียบย่างเข้าไปในผืนป่า ก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน ขณะนี้ เธอกำลังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ที่ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าฝุ่นธุลี เหล้าหนึ่งหยด หรือใบไม้หนึ่งกำมือ เป็นแค่มนุษย์หน้าโง่คนหนึ่ง ที่เสี่ยงช่วยชีวิตเด็กสาวทั้งที่ควรปล่อยให้ตาย เลือดร้อนจนน่าหาน้ำมาสาดให้หายหัวร้อน มนุษย์ซื่อบื้อที่จนบัดนี้ก็ยังมองตัวตนของเธอไม่ออก จะฆ่าทิ้งเสียตรงนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ระบบนิเวศแปรปรวน หรือสร้างความเสียหายใดๆให้จักรวาล หรือแค่ปล่อยให้เขาเดินทาง ออกไปเสี่ยง ถูกยิงตายในวอชิงตันดีซี ชะตาก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไรลีย์ไม่เคยสนว่าใครจะต้องตาย



                    แต่คราวนี้ เหมือนเธอจะ สน



                “ฉันไม่อยากให้นายไป” คำพูดก็เหมือนน้ำลาย ถุยออกไปแล้ว กลืนกลับเข้าไปไม่ได้



                    “ไรลีย์...”



                    “เบลค นายจะตาย” เธอเลือกจู่โจมเหมือนเอามีดเข้าแทง



                    “ฉันไม่ตายหรอกน่า” เบลคพูด เสียงกระแทกเล็กน้อย แสดงถึงความสองจิตสองใจของเจ้าตัว ด้านหนึ่ง เขาพยายามที่จะมั่นใจในตัวเอง อยากทำอะไรสักอย่างที่มีประโยชน์ อยากจะสู้ อยากจะโต้กลับ เพื่อดึงโลกใบเก่าของเขากลับคืนมา แต่อีกด้านหนึ่งนั้น ไรลีย์เข้าใจดี และรู้ว่าเขาก็รู้ เขาอาจจะไม่ได้กลับมาแบบมีชีวิต



                    “มันเปล่าประโยชน์” ไรลีย์บอก



                    “ไม่มีอะไรที่เปล่าประโยชน์หรอก ไรลีย์” เบลคบอกอย่างมั่นใจ “ถ้าไม่สู้ เราจะไม่มีวันได้อิสระกลับคืนมา ต้องมีคนลุกขึ้นยืน สู้กับพวกมันบ้างสิ...” เขาหยุดพูดไปกลางคัน นัยน์ตาสีดำเลื่อนขึ้นมองท้องฟ้าด้านหลังของไรลีย์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกกว้าง ตาโตเท่าไข่ห่านอย่างตกใจสุดขีด



                    “อะไร?” เธอยังพูดไม่ทันจบคำ เขาก็คว้าแขนเธอ ดึงให้ออกวิ่ง ไรลีย์หันไปมองทางทิศเดียวกับที่เขามองเมื่อสักครู่ แล้วเธอก็เข้าใจทันที บนท้องฟ้าไม่ได้มีแต่ดวงดาวอีกต่อไป มันถูกทาทาบด้วยวัตถุอื่นที่แอบแฝงตัวมากับความมืดมิดยามค่ำคืน เงียบเชียบ เหมือนมัจจุราชกางปีกทาบเงาบนกำแพง สิ่งที่ไรลีย์ต้องการมาถึงแล้ว งานของเธอกำลังจะจบลง เธอจะได้ไปจากที่นี่ ไม่ต้องเสแสร้งเล่นละครตบตาเบลคและพวกมนุษย์อีก แต่ทุกคนที่มอบที่พัก อาหาร การต้อนรับอย่างดี และมิตรภาพ กำลังจะตายกันหมด  













    Writer's talk

    เลข 13 กับ ไรลีย์ กับ สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น   โบ เบลค  ทุกๆคน 

    ขอให้อ่านตอนหน้าอย่างสนุกค่ะ :))






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×