คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [ Wren ] : Be kind.
07:58 29/03/17 1st Rewrite (รีไรท์ไปแค่ 50%)
19:53 29/03/17 1st Rewrite (100%)
18:25 28/04/2017 Editing
Edited again 5/NOV/2017
Psyche
Chapter 12 : Be kind
[ Wren ]
“จากการตรวจน้ำไขสันหลัง และผลสแกนสมอง
ไม่พบสิ่งผิดปกติในสมองของมิสเจนกินส์ค่ะ สมองของเธออยู่ในสภาพดี
ทั้งส่วนเนื้อขาวและเนื้อเทา ระบบประสาท และฮอร์โมนอยู่ในระดับปกติ เลือดของเธอก็เช่นกัน
กรุ๊ปเลือดเอ ความเข้มระดับพอดี ปริมาณเม็ดเลือดแดงและขาวอยู่ในสภาวะสมบูรณ์
ร่างกายของเธอแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว เธอเหมาะอย่างยิ่งที่จะรับสปิริท
ได้แทบจะทุกประเภทค่ะ”
แพทย์หญิงซู อากิระรายงานผลการตรวจ พร้อมกับยื่นแฟ้มบางๆที่บรรจุรายละเอียดทั้งหมดมาตรงหน้าด้วย
เร็นยื่นมือออกไปรับ เปิดดูผ่านๆ ความดัน ระดับน้ำตาลในเลือด ค่าบีเอ็มไอ
ผลเอ็กซเรย์ปอด ทุกช่องเขียนว่าปกติ ไม่มีอะไรน่าสงสัยหรือผิดสังเกต แล้วทำไม
เป็นเพราะเหตุใดเธอจึงปฏิเสธสปิริทได้ ช่างไร้เหตุผล เร็นไม่ชอบที่ตัวเองหาคำตอบไม่ได้
เขายื่นแฟ้มประจำตัวคนไข้กลับไปให้แพทย์หญิง ปัญหาคือ
เร็นไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในลานจอดรถ นอกจากคอมมานเดอร์แจ็คสัน
และมิสเทรสที่เป็นหัวหน้าเขาโดยตรง เพราะยังไงสองคนนั้นก็ต้องรู้
การจะนำสปิริทออกมาใช้แต่ละดวง ไม่ใช่ว่านึกอยากจะใช้ ก็ใช้ได้เลยที่ไหน
เขาจึงไม่สามารถปรึกษาหารือกับแพทย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
มันควรเป็นความลับสุดยอดที่รู้แค่เฉพาะวงในเท่านั้น
เร็นไม่อยากเสี่ยงทำพลาดอีก เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไร
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้ สีหน้าเหมือนกำลังคิดอย่างหนัก เหลืออย่างเดียวที่ยังไม่ได้ตรวจคือสภาพจิต
เขารู้ว่ามนุษย์ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ไม่เคยรู้ว่ามันจะส่งผลอะไรต่อการรับสปิริทหรือไม่
“เรียกตัวจิตแพทย์เข้ามา” เร็นออกคำสั่ง “ตรวจสภาพจิตของเธอ”
“แต่ว่าจากสแกนสมอง...” อากิระขัดขึ้น
“ผมรู้ มันสมบูรณ์แบบ ถ้าเธอมีปัญหาทางจิต
ก็คงแสดงออกทางรูปร่างของสมองส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว” เร็นบอกอย่างเข้าใจดี
“ผมแค่ต้องการตรวจให้ละเอียด”
เมื่อแพทย์หญิงอากิระไม่มีอะไรขัดข้องหรือถามเพิ่มเติม เธอออกไปปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมาใหม่
เร็นบังคับตัวเองไม่ให้ตรงดิ่งไปดูการตรวจวิเคราะห์จิตทันที
อันที่จริงเขาหลีกเลี่ยงที่จะเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นมาเกือบอาทิตย์
โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่อยากไปเจอ หลังจากปราบพยศเธอจนหงอ เขาไม่ได้ข่าวว่าเธอมีท่าทีขัดขืนการทำงานของแพทย์อีก
แต่ก็ใช่ว่าเร็นจะวางใจ เพราะไม่ต่างจากการจับเสือมาขังไว้ในกรง
มันอาจจะหงอยลงครู่หนึ่งเพราะถูกเฆี่ยนตี แต่สัญชาตญาณของมันยังเป็นสัตว์ป่า
พร้อมแว้งกัด พร้อมกลับมาผงาด และกระโจนเข้าฝังเขี้ยว เขาจึงให้ทหารเฝ้าอยู่เสมอ
ห้ามไม่ให้มีการพูดคุยใดๆกับเธอ ห้ามอุปกรณ์ทุกอย่างที่อาจกลายเป็นอาวุธได้
และมัดมือมัดเท้าเธอไว้ตลอดเวลา ห้ามเอาออก แม้กระทั่งตอนที่เธอต้องอาบน้ำ
เขาไม่ปล่อยให้เธอมีเวลาส่วนตัวโดยไร้คนคุม
ขณะที่เรื่องของโบลิเวีย เจนกินส์ก็ยังไม่เรียบร้อย
ลีดเดอร์แถบอเมริกาเหนือ ซึ่งประจำอยู่ที่ฐานใหญ่แม็กซิโก รายงานมาว่า
สเกาต์ที่เร็นเคยพบในนอร์ธแวนคูเวอร์หาทางติดต่อกลับเข้ามาได้แล้ว
เร็นจึงไม่อยากประวิงเวลาเรื่องนี้อีก หลังจากปล่อยพรีเดเตอร์เข้าร่างนั้นไป
ต้องให้เวลามันปรับตัวและฝึกซ้อม ถึงจะพร้อมลงสนามจริงได้ มันไม่ได้เข้าไปอยู่ในร่างมนุษย์มาพักใหญ่แล้ว
ทักษะอาจมีสนิมเกาะอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สะดุดใจคือชื่อกลุ่มของพวกมนุษย์ ไซคี เขาเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน
นานมากแล้ว และด้วยความอยากรู้ เขาตั้งใจหาคำตอบทันที
ระบบอินเตอร์เน็ตที่ใช้อยู่ทุกวันนี้
มีเพื่อการติดต่อสื่อสารทางการทหารเพียงอย่างเดียว เว็บไซต์ทุกแห่งถูกบล็อก
เพื่อไม่ให้มนุษย์หาช่องทางติดต่อกันได้
เร็นจึงไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูล ต้องรอจนกว่าสงครามจบลง
และยูโทเปียอยู่ในสภาวะสมบูรณ์ อินเตอร์เน็ตจึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาจึงขับรถออกจากฐานย่อยตามลำพัง
ตรงไปยังหอสมุดแห่งชาติ
หอสมุดแห่งนี้เก็บหนังสือที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนาน
มูลค่าสูงจนไม่อาจประเมินได้ เขาคิดว่าอีกไม่นาน
พวกสปิริทนักอนุรักษ์จะต้องยื่นคำขอต่อจักรพรรดิมาตามเก็บหนังสือและงานศิลปะไว้
เร็นจอดรถที่หน้าอาคารสีเทา ซึ่งแสดงออกถึงความเคร่งขรึมและภูมิปัญญา
ถึงพวกมนุษย์จะทำตัวป่าเถื่อน แต่เขาชื่นชมว่า
พวกมันส่วนหนึ่งมีรสนิยมและปัญญาเป็นเลิศ ร่างสูงเดินผ่านประตูหน้าเข้าไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ที่นี่คงเต็มไปด้วยยาม เจ้าหน้าที่ บรรณารักษ์ กล้องวงจรปิด คอยสอดส่องหูตาเป็นสับปะรดอยู่ทุกที่
แต่ตอนนี้มันว่างเปล่า
ไร้สรรพเสียงใดๆนอกจากเสียงรองเท้ากระทบพื้นของเขาเพียงผู้เดียว
เร็นรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของที่นี่ หนังสือทุกเล่มเป็นของเขา
ซึ่งเขาจะหยิบเล่มไหนก็ได้ แม้ว่ามันจะอยู่ในเขตต้องห้ามก็ตาม
คอมพิวเตอร์ยังใช้ได้อยู่
ระบบค้นหาหนังสือมีทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์
แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องเลือกใช้แบบออฟไลน์ ประสิทธิภาพไม่ได้แตกต่างกัน
เขาคิดว่าพวกมันสร้างเอาไว้ เพื่อป้องกันเวลาที่ระบบอินเตอร์เน็ตล่มกะทันหัน
หรือถูกแฮ็กข้อมูล อย่างน้อยก็มีข้อมูลสำรองไว้ในส่วนออฟไลน์
แต่การจะเรียกใช้ระบบค้นหาหนังสือ ต้องใช้รหัสของพนักงานเพื่อเปิดขึ้นมาก่อน
เร็นหารหัสได้ไม่ยาก เขาเดินไปทางห้องของพนักงาน บริเวณล็อกเกอร์เก็บของ
เจอบัตรเจ้าหน้าที่ห้องสมุดที่ถูกทิ้งเอาไว้ แค่มีรหัสของเจ้าหน้าที่
ก็เข้าได้หมดทุกอย่างแล้ว
เขาค้นหาโดยใช้คำว่า ไซคี ไปตรงตัว
ผลลัพธ์ออกมายาวเป็นพันกว่ารายการ เกือบทั้งหมดเกี่ยวข้องกับหนังสือตำนานเทพ ไร้สาระ โลกใบนี้มีเทพที่ไหนกัน ถ้ามี
พวกเขาก็ต้องรู้แล้ว แต่ก็มีอีกกึ่งหนึ่งเกี่ยวข้องกับหนังสือจิตวิทยา
เร็นพิมพ์รหัสเลขหนังสือที่เขาสนใจเอาไว้บนโทรศัพท์ จากนั้นก็ปิดคอมพิวเตอร์
และเดินไปตามหาหนังสือที่เขาต้องการ
พวกมนุษย์นี่ช่างเพ้อฝันเรื่องเทพเจ้าอย่างจริงจังจนน่าขัน
เร็นคิดขณะเดินไปตามชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยตำนานเทพหลากหลายชาติพันธุ์
เขาเคยได้ยินได้ฟังมาผ่านๆ ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ
เพราะยังไงมันก็เป็นแค่นิทานเล่าต่อกันมา ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง
จินตนาการของมนุษย์พาไปทั้งนั้น เขาลองหยิบตำนานเทพปกรณัมกรีกออกมาเปิดดู
ภาพประกอบสวยงาม ตัวหนังสืออ่านง่าย จึงลองไปหาที่นั่ง และอ่านดูเสียหน่อย
เขาเปิดไปที่หน้าตำนานของไซคีกับคิวปิด โดยที่คิวปิดมีอีกชื่อเรียกว่า อิรอส
อ่านไปอ่านมา ไม่ต่างจากนิทานรักน้ำเน่า เขาปิดหนังสือดังฉับ
รู้สึกว่าตัวเองเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ แต่กระนั้น เร็นหยิบหนังสือติดมือไปด้วย
เขาเดินไปที่หมวดจิตวิทยาซึ่งอยู่อีกชั้น หยิบเล่มที่ต้องการออกมาเปิดดู ยังไม่พ้นบทแรกก็ได้คำตอบว่า
ไซคี มีความหมายว่า จิตใจ เป็นรากศัพท์ของคำว่า ไซโคโลจี หมายถึง จิตวิทยานั่นเอง
จุดไต้ตำตอที่เขามองข้ามไปแท้ๆ นอกจากนี้ ตามพจนานุกรมยังให้ความหมายอีกว่า
ความเชื่อในตัวบุคคลหรือกลุ่ม
เร็นยังสรุปไม่ได้ว่าพวกมันต้องการจะสื่ออะไรจากชื่อกลุ่มแบบนั้น
เขาก้มลงมองนาฬิกา ผลการทดสอบสภาพจิตใจของโบลิเวียน่าจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เขาอยากกลับไปฟังผล
เร็นถือหนังสือสองเล่มไปด้วยคือตำนานเทพกรีกกับจิตวิทยาเบื้องต้น
เขาใช้เวลาแค่สิบนาทีก็มาถึงฐาน ร่างสูงเร่งเท้าไปยังเขตพยาบาล
เมื่อถามจากพวกนางพยาบาลได้ความว่าโบลิเวียอยู่ที่ห้องทำงานของแพทย์อากิระ
เขาก็เดินไปทางนั้นทันที ทหารยืนเต็มหน้าห้อง รักษายามอย่างแข็งขัน
และเป็นคนเปิดประตูให้เขาเข้าไปด้านใน แพทย์หญิงอากิระยืนอยู่ข้างประตู
จิตแพทย์ชายนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวกลางห้อง โดยที่อีกฝั่งของโต๊ะ โบลิเวียนั่งอยู่
แขนกับขามีกุญแจมือใส่ให้ขยับไปไหนไม่ได้ เธอดูผอมลงจากภาพที่เขาจำได้
แต่บาดแผลทั้งหลายก็ดูเหมือนจะสมานดีแล้ว ไม่มีผ้าพันแผลโปะ ขอบใต้ตาของเธอคล้ำจัด
แก้มซูบตอบ
“เธอไม่ได้กินอาหารหรือไง” เร็นกระซิบถามกับแพทย์หญิง
ควบคุมเสียงไม่ให้ดังจนรบกวนจิตแพทย์
“เธอไม่ยอมกินค่ะ เราต้องให้อาหารทางสายยาง” อากิระตอบ
“ทำไมไม่แจ้งให้ผมรู้” เร็นถามเสียงเย็นเยียบ
“คุณไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้นี่คะ” อากิระตอบตามความจริง
เธอที่กำลังถูกกล่าวถึงหันมาทางนี้แล้ว
เร็นเผลอสบกับนัยน์ตากลมๆสีเหมือนเมล็ดถั่ว มองริมฝีปากของเธอเผยอออกจากกัน
เขารู้สึกถึงลมหายใจที่ถี่กระชั้นขึ้น กล้ามเนื้อที่เริ่มเกร็ง เธอกลัวเขา
แค่การปรากฏตัวก็ส่งอิทธิพล เธอดูไม่เหมือนผู้หญิงคนเดิมที่อาละวาดเป็นสัตว์ร้ายในวันนั้น
ราวกับเขาทำลายตัวตนนั้นของเธอไปแล้ว หรือมีบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่เขาไม่ได้มาสนใจดูดำดูดี
พวกทหารไม่เคยปรานีกับใคร แพทย์อย่างอากิระ ก็ไม่ใช่คนมือเบา โดยเฉพาะกับมนุษย์
จากคำบอกเล่าที่ว่าเธอไม่ยอมกินอาหาร จนต้องให้ทางสายยาง คงจะมีวีรกรรมมากกว่านี้แน่
เขาไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บบนผิวหนังก็จริง แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ลึกลงไป
“คุณบอกว่าคุณรู้ตัวเวลาที่ฝันอยู่” เร็นได้ยินจิตแพทย์พูดขึ้น
“ช่วยขยายความได้ไหม อย่างความฝันที่คุณเล่าว่า
คุณวางแผนหนีพวกเรา คุณทำได้สำเร็จ เพราะคุณคิดอยู่ตลอดเวลา แล้วการกระทำอื่นๆ
หรือเหตุการณ์แวดล้อมอย่างอื่นในความฝัน คุณควบคุมมันได้ไหม? เช่น คุณควบคุมให้พวกเราวิ่งไปทางขวา แทนที่จะวิ่งมาทางซ้ายเพื่อจับตัวคุณ”
เธอนิ่งเงียบ
“คุณก็น่าจะรู้นะว่า ถ้าคุณไม่ตอบ จะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่อยากให้แพทย์หญิงอากิระต้องให้ยาคุณ”
จิตแพทย์หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เร็นหันไปมองอากิระทันที “แค่ยาหลอนประสาทเองค่ะ
เธอไม่ตายหรอก คุณยังสั่งห้ามใช้ยาชากับเธอได้เลย
ตอนที่เราใช้เข็มใหญ่ขนาดนั้นเจาะถึงกระดูกสันหลังของเธอ” แพทย์หญิงบอกด้วยท่าทางสบายๆ
ยกมือขึ้นกอดอก เร็นจำได้ว่าเขาเป็นคนเลือกสปิริทใส่ในร่างของอากิระเอง
จากข้อมูลของสปิริทที่เขามีในมือ เธอมีผลงานโดดเด่นในยุคที่วัณโรคระบาด
ถ้าไม่ได้เธอช่วยคิดค้นวิธีรักษา มนุษย์คงตายกันเป็นเบือในสมัยนั้น
เธอดูจะเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ตามนิสัยของแพทย์
แต่อีกด้านหนึ่งก็แอบใจร้ายเด็ดเดี่ยวอยู่เหมือนกัน
“ฉันทำได้ ใครที่ไหนก็ทำได้” เธอยอมตอบ
“แล้วคุณเลือกที่จะฝัน หรือไม่ฝัน ได้หรือเปล่าครับ” จิตแพทย์ถามอีก หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก “คุณเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลย
หรือว่า มีคนสอนคุณ”
“พวกแกไม่มีความฝันล่ะสิ” เธอหรี่ตาลง “พวกแกไม่ใช่มนุษย์”
เร็นเห็นจิตแพทย์เม้มริมฝีปากเล็กน้อย
ก่อนจะบอกว่าเขาหมดคำถามแล้วสำหรับวันนี้ อากิระขยับไปเปิดประตู
สั่งให้ทหารเข้ามาเอาตัวหญิงสาวออกไปไว้ในห้องพักฟื้นตามเดิม
เร็นมองพวกทหารดึงตัวเธอขึ้นจากเก้าอี้อย่างไม่ปรานีปราศรัย
ไม่ได้กลัวว่าจะจับแขนเธอแรงเกินไป หรือว่าจะทำให้เธอเจ็บ
เธอเหลือบขึ้นมองเขาชั่วระยะเดินผ่าน เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร
ได้ยินแต่เสียงหัวใจเต้นจังหวะปกติ แต่ก้อนเนื้อนั้นบีบรัดเข้าหากันอย่างประหลาด
เขาแทบจะได้ยินเสียงกล้ามเนื้อหัวใจของเธอหดเกร็งเข้าหากัน แค่เพียงแวบเดียว
เธอก็เลื่อนสายตาผ่านเลยไป
“ผลเป็นยังไง?” เร็นหันไปถามจิตแพทย์
เขาสังเกตเห็นป้ายชื่อเล็กๆติดที่หน้าอก เขียนว่า ดร.แอนเดอร์สัน
“เธอเป็นพวกฝันรู้ตัวครับ” จิตแพทย์ตอบ
และรีบขยายความต่อ “แต่เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอเป็นนั้นพิเศษกว่าคนอื่น
อาจเพราะว่าเธอไม่เคยเล่าความฝันหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นให้ใครฟัง
เธอจึงคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนกัน อย่างที่พวกเรารู้กันดีอยู่แล้ว
พวกเราไม่มีความฝัน ไม่จำเป็นต้องนอนหลับ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่
ร่างกายของพวกเขาต้องมีช่วงหยุดพักผ่อน และการนอนคือการพักที่ดีที่สุด
แต่สมองของพวกเขาไม่ได้หยุดทำงาน จินตนาการ ความทรงจำ
ความปรารถนาที่อยู่ลึกในจิตใต้สำนึก ความกลัวและกังวล
ทุกอย่างจะแสดงผลออกมาในสมองระหว่างที่พวกเขาหลับ เกิดเป็นภาพ ที่เรียกว่า ความฝัน
ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่จะจำความฝันไม่ได้ หรือถ้าจำได้ ในขณะที่ฝัน
พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังฝันอยู่”
“เรื่องนี้ส่งผลกับสมองของเธอยังไง?” เร็นถามอีก
“ไม่ได้ส่งผลอะไรทางกายภาพครับ” ด็อกเตอร์แอนเดอร์สันบอก
เขายกนิ้วขึ้นเคาะขมับที่มีผมสีน้ำตาลทรายปกคลุม “โชคดีที่สมองของร่างที่คุณเลือกให้ผม
เคยอ่านงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้าง เคยมีการนำคนที่มีฝันรู้ตัว หรือลูซิดดรีมมาหาคลื่นสมองในระหว่างที่พวกเขาหลับ
คลื่นสมองของพวกเขาสูงถึงระดับเบต้า บางคนก็ถึงแกมม่า ซึ่งเป็นคลื่นสมองสูงสุด
พวกอัจฉริยะของโลกทั้งหลาย อย่างสตีฟ จ๊อปส์ ว่ากันว่า
ตอนที่เขาคิดค้นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ขึ้นมาได้
คลื่นสมองของเขาอยู่ที่ระดับแกมม่า ในกรณีของ...” จิตแพทย์ก้มลงมองแผ่นกระดาษบนคลิปบอร์ด
“โบลิเวีย เจนกินส์ เธอบอกว่า เธอควบคุมสถานการณ์ สถานที่
ทุกอย่างในความฝันได้ เลือกได้ด้วยซ้ำว่าเธอจะฝันหรือไม่ฝันในคืนนี้
ระหว่างที่เธอหลับ ผมคิดว่าคลื่นสมองของเธอไปได้สูงถึงระดับแกมม่า
แม้ว่าในช่วงเวลาปกติ จะเป็นแค่เดลต้าก็ตาม”
“จะมีปัญหาอะไรกับการรับสปิริทไหม?” เร็นถาม
ทั้งที่เขารู้อยู่แล้วว่ามีปัญหา เขาเห็นมันมาแล้ว ทั้งที่ตอนนั้น เธอก็ตื่นเต็มตา
ไม่ใช่กำลังหลับฝัน และมีคลื่นสมองระดับแกมม่า
เธอยังต่อต้านและขับสปิริทออกจากร่างกายเธอได้
“ข้อนี้ ผมได้แต่สันนิษฐานนะครับ” ด็อกเตอร์เลื่อนมือขึ้นขยับกรอบแว่นตารูปกลม
“โดยปกติแล้ว มนุษย์ที่พวกเราเข้าสิงสู่จะมีคลื่นสมองธรรมดา
อยู่แค่ระดับเดลต้า เธต้า มากสุดก็อัลฟ่าคือช่วงเวลาที่พวกเขากำลังหลับลึกมาก
พักผ่อนอย่างเต็มที่ หรือมีสมาธิสูงสุด ซึ่งในช่วงเวลานั้น
เราจะเริ่มรู้สึกครับว่า เราขยับไม่ได้ดังใจ ดังนั้น
ถ้าคนที่เคยมีคลื่นสมองไปจนถึงแกมม่า ผมคิดว่าสปิริทที่จะเข้าไป ต้องรับมือหนักแน่”
“ไม่มีวิธีแก้หรือ?” เร็นถามอีก
หัวคิ้วเริ่มขยับมาชนกัน
“ต้องให้พวกเขายอมรับเราโดยดีครับ มีแค่วิธีนั้น” ด็อกเตอร์ตอบ “หรือไม่
ก็ต้องทำตอนที่เธอเพิ่งหลับช่วงแรกๆ รู้สึกสบายใจ สบายตัว หรือตอนอิ่มมากแล้วเข้านอนทันที
ฮอร์โมนเจริญเติบโตไม่ทำงาน มีแต่อินซูลินหลั่งออกมา หลังจากเธอเคลิ้มหลับ
ก็ลงมือทันที เพราะในตอนนั้น คลื่นสมองจะอยู่แค่ระดับเดลต้า
และเธออยู่ในสภาวะกึ่งๆรู้สึกตัว จะต่อต้านอะไรไม่ได้มาก”
แอนเดอร์สันหยุดพูดไป มองหน้าเร็นอย่างสงสัย
สูดลมหายใจเข้า และตัดสินใจเอ่ยถามอย่างไม่กลัว “เธอเป็นบุคคลสำคัญมากเลยหรือครับ
ดูเหมือนคุณพยายามมากที่จะทำให้เธอรับพวกเราให้ได้”
เร็นไม่ตอบคำถาม เขาหมุนตัว หันหลังให้ทั้งแอนเดอร์สันและอากิระ
เดินฉับๆออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวกลับ
เขาต้องการแค่วิธีที่จะช่วยให้พรีเดเตอร์รับมือเธอง่ายขึ้น และเมื่อได้คำตอบ
ก็ถึงเวลาที่จะลงมือ เขาเริ่มจากเดินไปทางศูนย์อาหาร
สั่งสเต็กเนื้ออย่างดีให้พร้อมส่งที่ห้องพักฟื้นของโบลิเวียตอนมื้อค่ำ
และไปที่ห้องเก็บสปิริท เตรียมเข็มฉีดให้พร้อม เป็นอีกครั้งที่เขาสังเกตเห็นควันสีดำสะบัดลอยวนอยู่ในหลอดแก้ว
วันนี้ท่าทางลิงโลดราวกับรู้ว่ากำลังจะได้ออกไปอาละวาดอย่างเต็มที่
ห้องสุดท้ายที่เขาไป คือ ห้องของเธอ ก่อนที่จะเปิดประตู
หูที่ไวกว่าปกติ ได้ยินเสียงเธอลากเท้าไปกับพื้น โซ่หนักๆตามหลังเป็นเงาตามตัว
เสียงเธอผ่อนลมหายใจอย่างสิ้นหวัง รู้สึกถึงความหวาดกลัว เศร้าหมอง
ไม่ต่างจากเสือที่ถูกจับใส่กรง และโหยหาอิสรภาพ เธอจะได้มันแน่
แค่เธอยอมทำตัวเป็นเด็กดี เชื่อฟังกันสักครั้ง เธอจะได้อิสระ ดีกว่า อิสระ ใดๆที่เธอรู้จักมาตลอดชีวิต
เขาผลักประตูและเดินเข้าไป ใบหน้าซีดเซียวของเธอหันมามอง
ลูกแก้วใสในดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เธอก้าวถอยหลัง เสียงโซ่ครูดไปกับพื้น
เธอยังคงกลัวเขามากกว่าสิ่งอื่นใด นัยน์ตาเลื่อนมองลงมาที่มือของเขา เห็นเข็มฉีดยา
ขาเธอขยับไปด้านหลังอีกก้าว จนชนกับผนัง
ห้องนี้แคบ มีหน้าต่างกระจกบานเดียว
ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นใดนอกจากเตียงพยาบาล เสาน้ำเกลือถูกเอาออกไปแล้ว
เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ โซ่ที่ขาของเธอไม่ยาวพอที่จะเดินไปถึงหน้าต่างหรือประตู
ต่อให้เธอเอื้อมสุดแขน เล่นกายกรรมยังไง ก็ไปไม่ถึง
ไม่มีอุปกรณ์อะไรที่เธอจะใช้ได้ เขานึกถึงตอนที่เธอถูกฆาตกรนั่นจับไป
พวกทหารรื้อค้นที่นั่นอย่างเกลี้ยงเกลา รายงานเขาว่า
มันจับเธอขังไว้ในห้องสี่เหลี่ยม ล่ามเธอติดกับท่อน้ำ
แต่เธอถอดกุญแจมือออกจากข้อเท้าด้วยตะขอบรา ด้วยเหตุนี้
เร็นจึงไม่อนุญาตให้มือทั้งสองข้างของเธอเป็นอิสระ เขากำชับขัดเจน ไม่ว่าจะตอนนอน
อาบน้ำ หรือทำธุระส่วนตัวใดๆก็ตาม ต้องมีคนจัดการให้เธอ
โดยที่ข้อมือจะมีกุญแจคล้องไว้เสมอ ตอนนี้ก็เช่นกัน
แขนทั้งสองข้างของเธอตกลงมาอยู่ด้านหน้า มีกุญแจมือล็อคแน่นหนา
เนื่องจากไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้ในห้องนี้
เร็นจึงเก็บเข็มฉีดไว้ในเสื้อคลุม เขายืนเผชิญหน้ากับเธอ มีเตียงพยาบาลกั้น
เธอจ้องเขา ตาไม่กระพริบ เสียงก้อนเนื้อเท่ากำปั้นในทรวงอกของเธอ
ดังก้องกังวานอยู่ในหูของเขา ยิ่งในสภาพที่ห้องเงียบ ไม่มีเสียงอะไรรบกวน
มันยิ่งดังสะท้อนสะท้าน
“พวกแกเป็นตัวอะไร?” น้ำเสียงเหยียดหยัน ขยะแขยง
ทำลายความเงียบ
“แล้วเธอคิดว่าอะไรล่ะ?” เร็นถามกลับ
มองริมฝีปากที่เม้มเข้าหากัน เรื่อยไปจนถึงหน้าผากมน
“สัตว์ประหลาด” คำปรามาสไม่ดังไปจากเสียงปกติ
เร็นชินแล้วกับการที่มนุษย์จะบอกว่าพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาด แต่เมื่อออกจากปากเธอ
มันกลับทำให้รู้สึกแปลกๆ
“เราคือสิ่งที่ดีกว่า” เร็นพูด
จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ “อนาคตที่ดีกว่าของมนุษย์
จะไม่มีความรุนแรง ไม่มีชนชั้น ไม่มีฆาตกรรม ไม่...”
“โกหก” เสียงของเธอดังขึ้นอย่างท้าทาย “แกฆ่าพวกเรา”
“เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ย่อมมีการเสียสละ” เร็นบอก
พยายามที่จะใจเย็น เขาไม่ถนัดในการเกลี้ยกล่อม หรืออธิบายอะไรให้ใครฟัง “ไม่เห็นหรือว่ามนุษย์ต่ำทรามแค่ไหน ฉันช่วยเธอมาจากอะไร ลืมแล้วหรือ
ถ้าฉันไม่อยู่ตรงนั้น ร่างเธอกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว ยูโทเปียของพวกเรา
ไม่มีเรื่องแบบนั้น จะไม่มีสงคราม ไม่มีการแบ่งแยกประเทศ ทุกคนจะเท่าเทียมกัน
เธอจะได้พบกับสงบสุขนิรันดร์ ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องพยายามเอาชีวิตรอด
หรือนอนข้างถนนอีกแล้ว”
“แลกกับการที่ฉันต้องตาย และพวกแกเอาร่างฉันไป ใช่ไหมล่ะ?” เธอกำหมัดแน่น หายใจแรง แสดงออกชัดว่าไม่มีวันยอมง่ายๆ
“ฉันไม่ได้จะฆ่าเธอ” เร็นพูดช้าๆ
เน้นเสียงทุกคำ “เธอจะหลับไป
เหมือนเวลาที่เธอหลับฝันในตอนกลางคืน จิตใจเธอยังอยู่ ไม่ได้ตาย”
“แล้วมันต่างจาก ตายไปแล้ว ตรงไหน?” เธอสะบัดเสียง ดวงตาแข็งกร้าววาวโรจน์
เร็นเกือบจะถอดใจในการคิดหาคำพูดมาอธิบาย
พอดีกับที่ประตูด้านหลังเปิด ทหารเข็นรถเข้ามา
กลิ่นของเนื้อย่างหอมฉุยลอยเด่นแตะจมูก เขาสังเกตเห็นแววตาของเธออ่อนลง
หญิงสาวกลืนน้ำลาย ริมฝีปากเผยอออกจากกัน เธอไม่ได้กินอาหารดีๆมากี่มื้อแล้ว
เร็นไม่อยากนับ ทหารหยิบเก้าอี้พลาสติกจากชั้นวางใต้รถเข็นออกมากาง
ไขกุญแจที่ข้อเท้าของเธอ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปเงียบๆ ยังคงไม่มีใครขยับ
เธอพยายามที่จะไม่หันไปมองอาหาร แต่เขารู้ว่าเธอหิว
เขาได้ยินเสียงน้ำย่อยในกะเพราะของเธอกำลังเต้นระบำเตรียมตัวทำงาน
“กิน” เร็นออกคำสั่ง เธอจ้องเขา
นัยน์ตาแข็งอย่างดื้อดึง ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
ร่างสูงจึงเป็นฝ่ายเดินไปทางรถเข็นอาหารก่อน เนื้อชิ้นโตฉ่ำน้ำวางอยู่บนจาน
พร้อมกับถั่วลั่นเตา เห็ดและแครอทต้ม น้ำเปล่าหนึ่งแก้ว กับน้ำส้มอีกหนึ่ง
สิ่งที่วางข้างจานคือส้อมกับมีดพลาสติกที่เธอจะใช้มันทำร้ายใครไม่ได้นอกจากตัดชิ้นเนื้อ
เร็นขยับมือหยิบมีดกับส้อม เขาจรดปลายมีดลงบนชิ้นเนื้อ
จัดการตัดเป็นชิ้นเล็กพอดีคำไว้ให้เธอ
“เธอคิดว่า ระหว่างฉันกับพวกพยาบาล ใครจะมือหนักกว่ากัน” ประโยคนี้ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ มันเป็นคำพูดข่มขวัญ
ปลายจมูกของเธอเชิดรั้นขึ้นในอากาศ บ่งบอกความดื้อดึงไม่ยอมใคร
สีหน้าแสดงออกว่ากำลังคิดสองจิตสองใจ แต่แล้ว ร่างเล็กจ้อยนั่นก็ก้าวเท้าเดิน
มานั่งที่เก้าอี้ มือเอื้อมมาหยิบส้อม จิ้มชิ้นเนื้อคำแรกเข้าปาก
เธอผ่อนคลายลงทันที เขาได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจเนิบช้า ชีพจรเต้นระดับปกติ
เขามองเธอเคี้ยวอาหารคำแล้วคำเล่า เธอกินไว เคี้ยวสี่ห้าครั้งก็กลืนลงคอไปแล้ว
ท่าทางหิวจัด และเหมือนไม่ได้ลิ้มรสอาหารอย่างจริงจังมานาน เธอจัดการกับแครอท เห็ด
และถั่วลันเตาเป็นอย่างสุดท้าย แล้วดื่มน้ำเปล่าตามเข้าไปเกือบหมดแก้ว
“อาหารมื้อสุดท้ายหรือไง?” เธอถามขึ้น
น้ำเสียงประชดประชัน เงยหน้าขึ้นมอง “แกจะฉีดไอ้ของบ้าๆนั่นให้ฉันอีกแล้วใช่ไหม”
เขาเห็นนิ้วมือของเธอเลื่อนไปหาส้อมมากำไว้
ไม่จำเป็นต้องคาดเดาให้วุ่นวายว่าเธอจะทำอะไร
“เธอสู้ฉันไม่ได้” เร็นพูดขัดลำไว้ก่อน “อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า”
แววตาของเธอแค้นเคือง ท่าทางกระฟัดกระเฟียด
เหมือนเสือที่วนรอบต้นไม้ เพราะดันพลาดปล่อยให้เหยื่อปีนขึ้นไปข้างบนได้
แต่สักพักยาที่ผสมไว้ในเนื้อสเต็กเริ่มออกฤทธิ์ เธอปล่อยส้อมหล่นไปบนโต๊ะ ยกมือขึ้นขยี้
นวดกระบอกตา และลดลงจับขอบรถเข็นอาหารไว้แน่น เหมือนจะใช้ช่วยพยุงตัว
ศีรษะของเธอโงนเงนเมื่อเธอพยายามจะเงยหน้า ริมฝีปากขยับ
เขาได้ยินแต่เสียงเล็ดลอดออกมาเบาๆว่า แก เปลือกตาเธอจะขยับปิด แต่เจ้าตัวพยายามฝืนไว้ ร่างเล็กลุกขึ้นยืน แต่สั่นไหว
โอนเอน จนชนเก้าอี้ล้ม
เขาปล่อยให้เธอเดินเปะปะครู่หนึ่ง จนร่วงผล็อยเพราะทนความง่วงไม่ได้
เขาจึงขยับเดินเข้าไปรับไว้ ดวงตาของเธอยังกระพริบอยู่ตอนที่เขาอุ้มตัวเธอขึ้น
และวางลงบนเตียง ศีรษะของเธอส่ายไปมา เขาจับประคองให้มันหยุดนิ่ง
เฝ้ามองจนลูกนัยน์ตาปรือหายเข้าในเปลือกตา จึงปล่อยให้ศีรษะเอนพับไปด้านข้าง
ได้ยินเสียงจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ แม้แต่หัวใจก็เต้นช้าลง ตอนนี้เท่านั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างที่แอนเดอร์สันวิเคราะห์ไว้
เร็นหยิบเข็มออกมา ดึงปลอกปลายเข็มออก และจรดปลายแหลมทิ่มลงบนลำคอของเธอ เขามองควันสีดำที่หมุนตัวอย่างตื่นเต้นค่อยๆเคลื่อนผ่านเข้าไปในเส้นเลือดอย่างสงบราบเรียบ
เขาสำรวจใบหน้านั้นยามหลับ เธอดูอ่อนเยาว์กว่าเวลาตื่น ไร้พิษภัย ไร้เดียงสา
และดูว่านอนสอนง่ายขึ้นเยอะ
เร็นถอนเข็ม เธอหลับเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในนั้น
ส่วนใหญ่จะต้องมีอาการร่างกายกระตุก ดิ้นทุรนทุราย
แต่ในบางกรณีก็เงียบสงบแบบนี้ได้เช่นกัน เขาไม่มีวันรู้ผลลัพธ์จนกว่าเธอจะตื่น
พรีเดเตอร์ตัวนั้นร้ายกาจ เป็นสัตว์ป่าบ้าคลั่งจอมโหด และเป็นนักฆ่าที่เลือดเย็น
เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เร็นขยับไปลากเก้าอี้พลาสติกมาไว้ข้างเตียง เขานั่งลง รอคอย เฝ้าดู
ไม่ได้แตะต้องตัวเธออีก แต่ก็ไม่ยอมลุกไปไหน
ไม่ต่างจากอิรอสนั่งมองไซคียามหลับ
ความคิดเห็น