ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Northern Lights [Bill Skarsgard]

    ลำดับตอนที่ #11 : Before sunrise

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 62



    Northern Lights

    Chapter 11 : Before sunrise



                แค่ได้วาดรูปโดยมีเขาเป็นแบบ มากเกินจะฝันแล้ว มโนราห์คิดอย่างนั้น ทั้งหมดยิ่งกว่าความฝัน เหมือนถูกตีหัวสลบแล้วฟื้นอีกทีในโลกต่างมิติ ปีนี้เธออายุยี่สิบห้า เขาว่ากันว่าปีเบญจเพสนั้นไม่ดี แต่ของเธอกลับตาลปัตรไปหมด นอกจากได้รางวัลที่สามในการประกวดวาดภาพ ได้ไปเที่ยวไกลถึงสวีเดน เธอยังได้นั่งรถคันเดียวกับนักแสดงชาวสวีเดนถึงสามคน ถ้าไม่เรียกว่าโชคดีที่สุด ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว อากาศเย็นสบาย แต่เธอกลับรู้สึกร้อนๆด้วยความเขินของตัวเอง จะไม่ให้เขินได้หรือ นั่งห่างกันแค่นี้เท่านั้น ตอนวาดรูป ยังนั่งห่างมากกว่านี้เลย มโนราห์ไม่รู้จะเก็บอาการแฟนเกิร์ลต่อไปได้อีกนานแค่ไหน เธออยากจะลงไปกรี๊ด และวิ่งไปถึงยอดดอยอินทนนท์ด้วยตนเอง



                เมื่อวาน เธอสังเกตแค่เฉพาะใบหน้าของบิล สการ์สการ์ด โดยไม่ได้สนใจมองอย่างอื่นนัก ขณะนี้เธอไม่สามารถละสายตาจากข้อมือและนิ้วมือที่จับพวงมาลัยนั้นได้เลย คงเป็นแบบที่สวยงามสำหรับการวาดรูป ไรขนบนหลังมือและนิ้วดูช่างสมบูรณ์แบบเกินบรรยาย สวีดิชบอยควรเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ห้ามเข้าประเทศ



                บนรถค่อนข้างเงียบ อเล็กซานเดอร์กับวอลเตอร์กัดแซนด์วิช แล้วก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเอง ไม่รู้ว่าทำอะไรกันอยู่ บิลไม่ได้ชวนคุยเลย เขาจดจ่ออยู่กับการขับรถ มโนราห์นั่งตัวลีบอยู่คนเดียวอย่างอึดอัด เธอเหลือบมองแซนด์วิชที่เหลืออีกประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ในกระดาษห่อ เขาจะหยิบขึ้นไปกัดเป็นพักๆ แล้วก็ขับรถต่อ มโนราห์หวังให้เขาพูดอะไรบ้าง ชมตามมารยาทว่าแซนด์วิชอร่อยก็ได้ หรือเธอควรชวนเขาคุย แล้วจะคุยเรื่องอะไรล่ะ



                “วางแผนจะอยู่ที่ไทยกี่วันคะ?”



                “คุณจะกลับบ้านวันไหน?”



                ดันถามขึ้นพร้อมกันเสียอีก ยิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่เลย นัยน์ตาสีเขียวของเขามองลึกเข้ามาที่ดวงตาของเธอก่อนจะรีบหันกลับไปมองถนน ต่างอึกอัก ตกลงแล้วไม่มีใครตอบคำถามอีกฝ่าย



                “พวกเราจะอยู่เชียงใหม่อีกสองวัน แล้วจะลงใต้ครับ” อเล็กซานเดอร์เป็นคนตอบ



                “ลงใต้ก็ดีค่ะ ถ้าคุณมีโอกาส ลองไปเกาะหลีเป๊ะนะคะ ช่วงเดือนธันวาคม สวยที่สุดเลย” มโนราห์แนะนำ



                “เราจะไปที่นั่นครับ จองห้องพักบนเกาะไว้แล้วหนึ่งคืน” วอลเตอร์ตอบอย่างร่าเริง



                “เยี่ยมเลยค่ะ ฉันรับรองว่าพวกคุณต้องชอบ” มโนราห์ยิ้มกว้าง



                “คุณมโนราห์จะอยู่เชียงใหม่อีกกี่วันครับ” อเล็กซานเดอร์ถามแทนน้องชา



                “พรุ่งนี้ เราก็กลับบ้านกันแล้วค่ะ” เธอตอบ สาเหตุที่กลับเร็ว กลับก่อนจะหมดวันหยุดปีใหม่ เพราะตั๋วราคาถูกกว่า



                ไม่มีการพูดคุยหลังจากนั้น มโนราห์และบิลต่างไม่รู้ว่าขณะเดียวกัน ห้องแชทกลุ่มพี่น้อง (ไม่มีเบอร์ 4) กำลังเต็มไปด้วยบทสนทนาของพี่น้องบ้านสการ์สการ์ด อเล็กซานเดอร์กับวอลเตอร์รับหน้าที่รายงานสถานการณ์สดด้วยความใส่ใจล้วนๆ ไม่มีเจตนาอื่นเจอปน



                “ให้ตายสิ ทำไมพี่บิลไม่ชวนคุยล่ะ?” ไอยา น้องสาวผู้ใจร้อนที่สุดในบ้าน พิมพ์มาอย่างเกรี้ยวกราด



                “เมื่อก่อนไม่เห็นมีปัญหาเรื่องจีบผู้หญิงเลย” แซมบอก พร้อมส่งอิโมจิเครื่องหมายคำถามอันโตต่อท้าย



                “น่าจะไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงกับผู้หญิงเอเชียรึเปล่า? วิธีการจีบแบบเดิมๆ แค่ทำตัวหล่อแล้วพุ่งเข้าใส่ อาจไม่ได้ผล” กุสตาฟเสนอแนะ “หรือเพราะพวกนายนั่งอยู่ด้วย บิลถึงไม่ชวนเขาคุย”



                “ผมว่าน่าจะเป็นเพราะพี่อเล็กซ์กับวอลเตอร์อยู่บนรถด้วย” แซมเห็นด้วยกับข้อหลัง



                “พรุ่งนี้เขาจะกลับบ้าน พี่บิลต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ไม่อย่างนั้นที่ทุ่มทุ่นบินไปถึงนู่น ก็ไม่ได้เรื่องสิ” ไอยาบ่น



                “พี่ก็อยากพูดกับบิลอย่างนี้ แต่คิดว่าบิลคงตีมึนไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม” อเล็กซานเดอร์บอกอย่างจนปัญญา



                “ฉันจัดการเอง” ไอยาพิมพ์ตอบ “ถึงจุดแวะเมื่อไหร่ บอกฉันด้วย”



                จุดแวะแรกคือน้ำตกแม่ยะ บิลจอดรถในลานจอด ไม่ห่างจากรถเช่าสองคันที่ครอบครัวของโมเนต์เช่ามา ถนนหนทางที่ขับมานั้นค่อนข้างคดเคี้ยว มีเลี้ยวโค้งเป็นจำนวนมาก เขาเข้าใจว่าทำไมพวกเธอไม่ขับรถขึ้นมาเอง ทันทีที่ลงจากรถ เธอรีบเดินไปสมทบกับคนในครอบครัวทันที พี่ชายสามคนของเธอมองมาทางพวกเขาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ท่าทางหวงน้องสาวมาก และไม่ไว้ใจผู้ชายคนใดก็ตามที่เข้าใกล้น้อง บิลเคยมีอาการอย่างนั้นกับไอยาเช่นกัน เขาก็เคยหวงน้องสาว แต่พอโตขึ้น จนพ้นช่วงวัยรุ่น อาการหวงทั้งหมดเปลี่ยนเป็นความห่วงใย ไม่ยอมให้ใครมาทำให้น้องเสียใจ



                จากลานจอด ต้องเดินไปไกลหนึ่งกิโลเมตรกว่าจะถึงน้ำตก แม่กับป้าของโมเนต์เกือบจะถอดใจ แต่สุดท้ายก็เดินไปด้วยกันจนถึงด้านบน บิลสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอดอย่างสดชื่น ความชื้นในอากาศกับความเย็นพัดผ่านผิวหนัง เขาคลี่ยิ้มเมื่อเห็นหน้าผาหินสูงและธารน้ำไหลเชี่ยวร่วงลงมา โมเนต์ยืนอยู่หน้าเขา กำลังแหงนมองยอดผาด้วยใบหน้ากระจ่างสดใส ที่สวีเดนก็มีน้ำตกหลายแห่งงดงามเช่นนี้ และเขาเคยเห็นน้ำตกที่สวยงามกว่านี้มามากแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อโมเนต์เผลอหันมามองพร้อมรอยยิ้มกว้างอวดฟันกระต่ายกับดวงตาเล็กหยี น้ำตกแห่งนี้กลับดูสวยกว่าเดิม เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายวีดีโอเก็บไว้ และถ่ายรูปให้แม่ ป้า กับพี่สะใภ้ทั้งสาม



                “ผมถ่ายรูปรวมให้นะครับ” อเล็กซานเดอร์เสนอตัว บิลอยากให้เขาสามารถตีเนียนได้เหมือนพี่ชาย ช่างเข้าไปผูกมิตรได้อย่างเป็นธรรมชาติ



                “พี่บิล” วอลเตอร์สะกิดไหล่เรียก “ไอยาจะคุยด้วย” น้องชายบอกพร้อมยื่นโทรศัพท์มาให้ บิลมองอย่างแปลกใจแต่รับโทรศัพท์มายกขึ้นแนบหู เวลาที่สวีเดนคือหกโมงเช้า ไอยาจะมีธุระตั้งแต่เช้าตรู่อย่างนี้เลยหรือ



                “ว่าไง ไอยา” เขาเอ่ยทัก พูดภาษาสเวนการ์



                “ฉันรู้จากพี่อเล็กซ์หมดแล้ว” ไอยาพูดมาทันที “ตกลงที่ไปเที่ยวไทย เพราะสาวไทยที่เป็นจิตรกรคนนั้นใช่ไหม?”



                เขาถูกจู่โจมกะทันหันเกินไป นัยน์ตาพลันเลื่อนมองหญิงสาวที่ยืนหน้าน้ำตกอย่างระแวง ราวกับกลัวว่าเธอจะได้ยินประโยคที่ไอยาพูดในโทรศัพท์ วอลเตอร์กำลังขอให้เธอถ่ายรูปเขากับน้ำตกให้หน่อย พลางชี้มาทางบิลเป็นทำนองว่าพี่ชายกำลังใช้โทรศัพท์ของเขา บิลเบือนหน้าไปทางอื่นทันที



                “ช่างเถอะ พี่ไม่ตอบไม่เป็นไร เอาเป็นว่าฉันรู้แล้ว” ไอยาบอกเสียงเรียบ “พี่จะทำยังไงต่อ พี่อเล็กซ์บอกว่าเธอจะบินกลับบ้านพรุ่งนี้ เท่ากับว่าพี่มีเวลาแค่วันนี้เป็นวันสุดท้าย พี่ขอช่องทางติดต่อเธอหรือยัง พี่คงรู้ทวิตเตอร์ของเธอแล้ว เพราะพี่อเล็กซ์ก็รู้ ฉันเห็นพี่ใช้แอคเคาท์ไวล์ดสการ์ไปตอบเธอมาแล้ว แต่เธอรู้หรือเปล่าว่านั่นคือพี่?”



                “เธอไม่รู้” บิลตอบ แอบชำเลืองมองไปทางเธออีกครั้ง เธอกับพี่สะใภ้กำลังเดินลัดเลาะไปบนก้อนหิน พี่ชายคนเล็กสุดวักน้ำในลำธารเต็มมือและสาดใส่เธอ



                “ทำไมไม่บอกเธอล่ะ?” ไอยาถามจี้



                   เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาชอบตอนคุยกับเธอ โดยที่เธอไม่รู้ว่าเขาคือใคร ตัวตนของเธอยามคุยกับเขาในทวิตเตอร์ดูสนิทสนมและเป็นกันเองมากกว่า เธอมีท่าทางประหม่า เกร็งและหวั่นๆเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เหมือนเธอกำลังไม่สบายใจตลอดเวลา การคุยกับเธอกลายเป็นเรื่องยาก



                “พี่ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี่จะนำไปสู่อะไร” บิลตอบ ลดเสียงลง “เข้าใจไหม ไอยา พี่ไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมสำหรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่หรือยัง โอเค พี่ยอมรับว่าเธอน่ารัก พี่ตามเธอมาที่นี่ พี่ดูวีดีโอบนยูทูปของเธอมาเป็นปี พี่ได้คุยกับเธอทางข้อความลับในทวิตเตอร์ เพิ่งจะคุยเมื่อไม่นานนี้เอง พี่ชื่นชมเธอ แต่เราอยู่ห่างกันมาก และแตกต่างกันมาก ไอยา ถ้าทั้งหมดนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ ชีวิตของเธอทั้งหมดอยู่ที่ไทย ขณะที่พี่มีชีวิตห่างออกไปอีกครึ่งโลก ปัญหาเดิมๆเหมือนครั้งที่แล้วจะกลับมา พี่ไม่อยากเหนื่อยกับการทะเลาะ พี่ไม่อยากให้ผู้หญิงน่ารักร่าเริงอย่างเธอ กลายร่างเป็นผู้หญิงไร้เหตุผลที่น่าผิดหวัง เพราะพี่ไม่มีเวลาให้เธอเท่าที่เธออยากให้พี่มีเวลา”



                “พี่บิล” ไอยาพูดอย่างสงบ “พี่จะนำผู้หญิงทุกคนไปเทียบกับผู้หญิงคนก่อนไม่ได้ พี่เคยบอกฉันว่าถ้าฉันยังรู้สึกดีๆกับซีค ยังรักเขา เราจะหาทางปรับตัวเข้าหากันได้เอง จำได้ไหม? พี่ตามเธอไปถึงที่นั่น เพราะอยากเจอเธอ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ ฉันคิดว่าพี่จริงจังในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้น จะกลัวอะไรอีก เดินหน้าสิ พี่บอกว่าเธอกับพี่แตกต่างกัน แต่ฉันคิดว่าเพราะความแตกต่างนั่นแหละที่ดึงดูดให้พี่เข้าหาเธอ ทีนี้ ฉันรู้ว่าพี่เบื่อหน่ายกับความสัมพันธ์ครั้งก่อนๆที่ผ่านมาทั้งหมด แต่พี่ต้องถามตัวเองแล้ว ผู้หญิงคนนี้ ที่พี่อาจจะกำลังยืนมองเธออยู่ คุ้มค่ากับความเสี่ยงไหม ถ้าพี่คิดว่าสามารถปล่อยเธอไปได้ พี่ก็เลิกตามเธอสิ ปล่อยให้เธอกลับบ้านวันพรุ่งนี้ โดยไม่ต้องสนใจเธออีก คำถามก็คือ พี่ปล่อยไปเฉยๆได้หรือเปล่า?”



    .............................................................



                ขากลับลงจากดอยอินทนนท์ มโนราห์เหนื่อยและง่วง พวกเขาแวะน้ำตกอีกสองแห่งคือน้ำตกวชิรธารและน้ำตกสิริภูมิ ร้านกาแฟ ร้านกินข้าว แวะเรี่ยราดรายทางกว่าจะถึงยอดดอย เธอได้รูปและวีดีโอสวยๆมาเยอะมาก เพียงพอจะทำวีดีโอลงยูทูปได้แล้ว ทุกทีมโนราห์จะไม่เหนื่อยกับการเที่ยวขนาดนี้หรอก ถ้าเธอไม่ต้องเป็นล่ามแปลภาษาตลอดเวลา รู้สึกสมองล้ากว่าเดิมหลายเท่าตัว ด้วยเหตุนี้ ระหว่างนั่งรถลงจากดอย เธอจึงเอนศีรษะเข้าหาหน้าต่างและหลับไป อเล็กซานเดอร์เปลี่ยนไปเป็นคนขับรถ และพาวอลเตอร์ไปนั่งเบาะหน้าด้วย บิลจำเป็นต้องติดแหง็กกับเธออีกรอบที่เบาะหลัง เนื่องจากเธอเห็นแล้วว่าคงไม่มีโอกาสชวนคุย เพราะเขาเหมือนจะไม่อยากคุยกับเธอ มโนราห์ถือโอกาสนี้นอนหลับเสียเลย เธอไม่มีปัญหาที่ศีรษะโขกหน้าต่างบ่อยๆ เธอหลับขณะนั่งรถเป็นประจำอยู่แล้ว ฝึกปรือฝีมือการนอนจนชิน



                บิลมองคนข้างตัว เธอหลับได้หลับดี ไม่มีทีท่าจะตื่น แม้ขมับจะโขกกับกระจกเมื่อรถเคลื่อนผิดจังหวะหรือเบรกกะทันหัน เธอหายใจช้าอย่างผ่อนคลาย เปลือกตาปิดสนิท กระเป๋าผ้าลายมูมินวางบนตัก บิลละสายตาจากเธอ พยายามจะไม่สนใจเสียงเรียกร้องในหัวให้ดึงศีรษะเธอมาซบแขนของเขาแทน เขาไม่ทำอย่างนั้นเพราะกลัวเธอตื่นกลางคันแล้วตกใจ ทำไมครั้งนี้มันยากเย็นกว่าครั้งอื่นๆที่ผ่านมาทั้งหมด เขาไม่เคยระมัดระวังเท่านี้เลย ไม่ว่ากับผู้หญิงคนไหน ผู้หญิงในประเทศของเขามักแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าหาพวกเธอ แต่ทำไมกับโมเนต์ มันยากนัก เขาก็ไม่เข้าใจ



                บิลหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู เขาเข้าทวิตเตอร์อย่างเคย เห็นเธอทวิตรูปภาพวิวทิวทัศน์จากยอดดอยอินทนนท์ นายมิวสิคคนนั้นมาเมนชั่นไว้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน และเธอตอบเมนชั่นไว้ด้วย



                MusicTime : อยากตามไปเที่ยวด้วยเลยครับ



                Monet_Manora: บนดอยสวยมากค่ะ



                   ยังดีที่เธอไม่ตอบว่า ตามมาสิคะ หรือ ไว้มาเที่ยวด้วยกันนะ บิลไม่รู้ว่าถ้าเธอตอบอย่างนั้นกับนายมิวสิค เขาจะฉุนขนาดไหน ไอยาพูดถูก ความรู้สึกของเขาจริงจังมากพอตัว  



                พวกเขากลับมาถึงแถวนิมมานตอนหกโมงเย็น โมเนต์ยังไม่ตื่น ทั้งที่อเล็กซานเดอร์ขับมาถึงโรงแรมของเธอแล้ว บิลเอื้อมมือแตะไหล่ของเธอและสะกิดเบาๆ เธอส่งเสียงงึมงำเล็กน้อย เปลือกตาปรือ เธอยกมือขึ้นขยี้ตา เมื่อตื่นเต็มที่ก็สะดุ้งน้อยๆ เอ่ยขอโทษพวกเขาที่หลับเพลินจนไม่ได้ดูเลยว่าถึงแล้ว อเล็กซานเดอร์หัวเราะตอบว่าไม่ต้องเกรงใจ เขาดีใจเสียอีกที่ขับรถได้นิ่มมากจนเธอนอนหลับสบาย



                “ที่คุณอเล็กซานเดอร์บอกไว้เมื่อวานว่าอยากให้ฉันพาเดินตลาดคืนนี้ คือ...” เธอมีท่าทางเกรงใจ



                “ถ้าคุณเหนื่อยก็ไม่เป็นไรครับ พักผ่อนเถอะ” อเล็กซานเดอร์หันมาบอก



                “แต่ค่าจ้างวาดรูปมันรวมกับค่าจ้างช่วยต่อราคาสินค้าในตลาดนี่คะ” เธอแย้ง



                “ผมพูดเล่นครับ คุณโม” อเล็กซานเดอร์พูดอย่างอารมณ์ดี “แค่ให้พวกเราตามไปเที่ยวด้วยวันนี้ ก็พอแล้วครับ พวกเราได้ไปที่สวยๆตั้งหลายที่ ขอบคุณมากครับ”



                “ฉันก็ขอบคุณเช่นกันค่ะที่ให้นั่งรถมาด้วย มาส่งถึงโรงแรมอีกต่างหาก” เธอยิ้มอย่างเกรงใจจริงๆ “ฉันขอตัวไปก่อนนะคะ ขอให้พวกคุณมีความสุขกับการเที่ยวประเทศไทยค่ะ”



                ลาเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเหตุผลให้อ้อยอิ่งอยู่อีก มโนราห์ยังสองจิตสองใจว่าควรขอลายเซ็นดีไหม ไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอพวกเขาพร้อมหน้ากันอย่างนี้ตอนไหน เอาวะ หมดจากวันนี้ไป พวกเขาก็จำเธอไม่ได้แล้ว ทำตัวแฟนเกิร์ลไปเลย หญิงสาวหยิบปากกาเมจิกออกจากกระเป๋าผ้ามูมินและยื่นไปตรงหน้าบิล สการ์สการ์ด เธอหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ขณะโพล่งออกไปแทบไม่เป็นคำว่าช่วยเซ็นชื่อบนกระเป๋าให้หน่อย เกิดความเงียบขึ้นทั้งรถ มโนราห์ไม่รู้ว่าอเล็กซานเดอร์กับวอลเตอร์เอี้ยวตัวหันหน้ามามองฉากสำคัญ สองพี่น้องยิ้มกริ่ม เธอหลับตาแน่น ไม่กล้าลืมตา ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย บิลยังไม่หยิบปากกากับกระเป๋าผ้าจากมือเธอไปเสียที หรือว่าเขาจะรังเกียจเธอจริงๆ ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากเซ็นชื่อให้ หรือว่าเขารำคาญที่เธอนั่งบนรถด้วยตลอดวัน



                “มะ... ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษที่รบกวนนะคะ” เธอลืมตา แต่หลบสายตาอีกฝ่าย เก็บปากกาและรีบเปิดประตู ก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว อับอายจนอยากจะร้องไห้แล้ว



                บ้าเอ๊ย บิลสบถในใจ แล้วเปิดประตูรถ รีบเดินอ้อมด้านหลังไล่ตามเธอ “เดี๋ยวก่อน โม...” เกือบจะหลุดเรียกโมเนต์ แต่เขายั้งตัวเองไว้ทันเมื่อคว้ากระเป๋าผ้าของเธอได้ สายกระเป๋าเลื่อนหลุดจากไหล่ของหญิงสาวและค้างที่ข้อศอก เขาปล่อยมือเพราะกลัวว่าจะคว้าแรงเกินไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ



                บิลมองเธอครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจ พูดในสิ่งที่คิดและอยากทำ “ผมรู้ว่านี่อาจฟังดูบ้า” โคตรบ้า “แต่วันนี้ คุณจะอยู่เชียงใหม่เป็นวันสุดท้าย เพราะฉะนั้น ไปเดินเล่นกับผมได้ไหม ผมอยากคุยกับคุณโดยไม่มีคนอื่นๆ ผมรู้ว่าเราไม่ได้รู้จักกันมาก แต่...” ผมชอบมองคุณ ชอบที่จะได้คุยกับคุณ “ไปเดินเล่นกับผมได้ไหมครับ”



                โมเนต์กระพริบตาเนิบช้า เหมือนเธอกำลังครุ่นคิดและประมวลผล “เอ่อ...” เธออ้าปาก ส่งเสียงแผ่วเบา ท่าทางงุนงง คิดอะไรไม่ออก และทำตัวไม่ถูก ผ่านไปสองนาที เธอจึงขยับตัวอีกครั้ง ชี้นิ้วโป้งไพล่ไปด้านหลัง “ฉันต้องบอกแม่ก่อน”



                “ผมรอได้”



                   เขาทำตามนั้น ยืนรอ ขณะเธอเดินกลับไปหาคนในครอบครัว เธอคุยกับแม่ก่อน พวกพี่ชายเข้ามาคุยด้วย จากนั้นพี่สะใภ้ทั้งสามคนร่วมวงสนทนา ช่างเป็นครอบครัวที่วุ่นวายโดยแท้ พี่ชายคนโตมองข้ามไหล่ของเธอมาที่เขา หรี่ตามองอย่างไม่ไว้วางใจเต็มที่ ภรรยาที่ยืนข้างๆต้องสะกิดและพูดอะไรบางอย่าง แม่ของเธอก็มองเขาเช่นกัน บิลเป็นเป้าสายตาของคนทั้งครอบครัวไปแล้ว เขายืนนิ่ง พยายามทำหน้าตาให้ดูเป็นมิตรที่สุด โมเนต์กำลังพูด เขาไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร ต่อให้ได้ยิน เขาก็ไม่เข้าใจภาษาไทยอยู่ดี แม่กับพี่ชายกำลังกำชับบางอย่าง เธอพยักหน้ารับทุกคำเหมือนตุ๊กตา ในที่สุดพวกเขายอมปล่อยให้เธอเดินกลับมาหาบิล



    .............................................................



                “อยากไปไหนคะ” โมเนต์ถาม เมื่อพวกเขาเดินเคียงข้างกันไปบนฟุตบาทริมถนนใหญ่นิมมาน ยังไม่มีจุดหมายแน่นอน บิลให้อเล็กซานเดอร์กับวอลเตอร์กลับโรงแรมไปก่อนแล้ว ถ้าสองคนนั้นอยู่ด้วย คงมีสารพัดสถานที่มาแนะนำ  



                “คุณมีที่ไหนอยากไปไหม?” บิลถามเธอกลับ



                เธอฉีกยิ้ม “ตอนนี้ฉันหิวค่ะ ไปกินข้าวเย็นที่ Think Park กันก่อนดีไหมคะ ฉันอ่านรีวิวมา มีร้านแฮมเบอเกอร์ที่น่าสนใจ  หรือถ้าคุณอยากกินอาหารไทย ก็มีนะคะ”



                “เบอเกอร์ก็ได้ครับ” บิลพยักหน้า



                กลายเป็นว่าการคุยกับเธอไม่ได้ยากเย็นเลย เธอยิ้มเก่ง เหมือนอารมณ์ดีตลอดเวลา ชวนให้รู้สึกดีเมื่ออยู่ข้างๆ พวกเขาเดินถึง Think Park บนถนนนิมมาน บิลมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง อเล็กซานเดอร์พามาเดินเที่ยวเล่น บริเวณกว้างขวางนี้มีร้านค้าหลายแห่งสำหรับนักท่องเที่ยว คงโดนใจวัยรุ่นเพราะมีจุดให้ถ่ายรูปเช็คอิน ร้านขายของแฮนเมดน่ารักมากมาย รวมถึงร้านกาแฟที่มีให้เลือกหลากหลาย พวกเขาเข้าร้านแฮมเบอเกอร์และสั่งคนละอย่าง



                “คุณได้กินอาหารไทยบ้างหรือยังคะ” เธอถามเหมือนชวนคุย ระหว่างรออาหาร



                “อเล็กซานเดอร์พาไปกินส้มตำมาแล้วครับ ที่สวีเดนก็มีขายนะ แต่ไม่อร่อยและเครื่องไม่เยอะเท่าที่นี่” เขาบอก



                “เพื่อนฉันคนหนึ่งเคยไปเที่ยวอเมริกาก็บอกว่าส้มตำที่นู่นสู้ที่บ้านไม่ได้ค่ะ คงเป็นเพราะวัตถุดิบ” โมเนต์เล่า น้ำเสียงแจ่มใส



                “ทำไมคุณพูดภาษาอังกฤษเก่ง” บิลถาม เปลี่ยนเรื่อง เขาไม่ได้อยากรู้เรื่องคนอื่น เขาอยากรู้เรื่องเธอ



                “ฉันชอบค่ะ” เธอตอบ ยิ้มอีกแล้ว ช่างยิ้มเก่งจริงๆ “ตั้งแต่เด็กๆ ได้ยินแม่ฟังเพลงภาษาอังกฤษ แม่ฉันพอจะรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษค่ะ แต่พูดไม่ได้คล่อง พี่ชายของฉันชอบดูภาพยนตร์อเมริกัน ภาพยนตร์จีนก็ชอบนะคะ แต่ฉันเอนเอียงไปทางภาพยนตร์ตะวันตกมากกว่า ฉันได้คลุกคลีกับภาษามาตั้งแต่ตอนเด็กเลย พอโตขึ้นมาหน่อย ก็มีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากไฮสคูลมาที่โรงเรียน โชคดีที่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ฉันเลยเป็นเพื่อนกับเธอ ได้ฝึกภาษาเรื่อยๆ แล้วคุณล่ะคะ ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรกใช่ไหมคะ”



                “ผมได้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กครับ” เขาเล่าบ้าง อาหารมาเสิร์ฟแล้ว เธอหยิบซอสมะเขือเทศเติมลงไปในขนมปังแฮมเบอเกอร์ “คุณคงพอรู้ว่าเราเป็นครอบครัวนักแสดง พ่อของผมเดินทางบ่อย ตอนเด็กผมตามพ่อไปด้วยเวลาพ่อไปถ่ายภาพยนตร์ ผมยังพูดแต่สวีดิชก็จริง แต่พ่อจะพยายามให้ผมพูดภาษาอังกฤษให้มากที่สุด ไม่ใช่ภาษาที่ผมถนัดเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ยังพูดติดขัดอยู่บ้างครับ โดยเฉพาะเวลาพูดเรื่องที่เป็นการเป็นงาน อย่างตอนสัมภาษณ์”



                “ฉันก็ติดขัดเหมือนกันค่ะ” เธอบอก หลังจากกลืนอาหารคำแรกลงไปแล้ว



                “คุณทำอาหารเป็นไหมครับ” เขาถาม ชวนคุยไปเรื่อยๆ ไม่ปล่อยให้เงียบ เรื่องนี้เขาพอจะรู้อยู่แล้ว เธอทำอาหารเป็นบ้าง แต่ไม่เก่งเรื่องเข้าครัว มักจะถูกแม่บ่นประจำ เธอพูดไว้ในคลิปบนยูทูป แต่เขาอยากฟังเธอเล่าขณะกินแฮมเบอเกอร์ของเขาไปด้วย



                “ครัวกับฉันเป็นศัตรูกันค่ะ” โมเนต์ตอบ แล้วหัวเราะน้อยๆ “ในประเทศของฉัน ทุกคนมักคาดหวังว่าผู้หญิงจะต้องทำอาหารได้ ทำอาหารเก่ง เพื่อดูแลคนในครอบครัว แต่ฉันไม่ได้เรื่องเลย คุณทำอาหารเป็นไหมคะ?”



                “ผมทำอาหารได้” บิลพยักหน้าตอบ



                “สุดยอดเลยค่ะ” เธอกล่าวชม กัดแฮมเบอเกอร์อีกคำ เคี้ยวตุ้ยๆ แก้มป่องไปหนึ่งข้าง เมื่อกลืนอาหารแล้ว เธอจึงพูดต่อ “จริงๆแล้ว ฉันเป็นแฟนคลับของคุณนะคะ ฉันตามผลงานของคุณเพราะบทเพนนีไวส์ในเรื่องอิท จากนั้นก็ตามไปดูเฮมล็อกโกรฟในเน็ตฟลิกซ์ เรื่องที่เก่ากว่านั้น ฉันไม่ได้ดูค่ะ หาแบบถูกลิขสิทธิ์ไม่ได้เลย”



                “มีแบบผิดลิขสิทธิ์เต็มอินเตอร์เน็ตเลย ถ้าคุณอยากดู ไม่ใช่เรื่องยากนะ” เขาบอก พลางหัวเราะ



                “ไม่เอาค่ะ” เธอส่ายหน้าเร็วๆ หัวเราะไปด้วยแล้ว



                มโนราห์ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะง่ายดายปานนี้ เขาชวนเธอคุย เธอกำลังคุยกับเขาจริงๆ เขานั่งอยู่ตรงนี้ กินแฮมเบอเกอร์กับเธอ เมื่อกินอาหารและต่างคนต่างจ่ายเงินในส่วนของตัวเองแล้ว เขาออกไปเดินเล่นบนถนนกับเธอ ท่ามกลางแสงไฟยามหัวค่ำ แถบนิมมานเหมินทร์ราวกับไม่เคยหลับใหล บนถนนมีผู้คนเดินสวนไปมา รถยนต์ขับผ่าน แสงจากร้านค้าเติมเต็มสีสันของท้องถนน มโนราห์คิดว่าเธอคือแฟนคลับที่โชคดีที่สุดในโลก เธอไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว มิตรภาพที่เขาและพี่น้องของเขามีให้เธอ ยิ่งทำให้เธอชื่นชอบเขามากขึ้นกว่าเดิมอีก เธอไม่เสียใจที่พรุ่งนี้เธอจะต้องกลับกรุงเทพ พรุ่งนี้จะไม่ได้เจอเขาแล้ว เธอไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ มากเพียงพอให้เธอจดจำช่วงเวลาดีๆไปอีกนานแสนนาน พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ คุยสัพเพเหระ เธอได้รู้เรื่องของเขาที่ไม่คิดว่าจะได้รู้



                “ผมเลือกเรียนวิทยาศาสตร์ตอนไฮสคูล เพราะคิดว่าอย่างน้อย ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง ผมน่าจะเป็นหมอเหมือนแม่  ตอนนี้เรื่องวิทยาศาสตร์กลายเป็นงานอดิเรก ผมสงสัยเรื่องมนุษย์ตลอดเวลา อย่างเช่น คุณลองคิดดูสิ ถ้าเรื่องวิญญาณในความเชื่อเป็นเรื่องจริง วิญญาณพวกนี้มาจากไหน ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกปี แล้ววิญญาณพวกนี้เพิ่มมาจากไหนกัน”



                “คุณทำให้ฉันนึกถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับโคลนนิ่งเลยค่ะ” มโนราห์บอก เธอดูหนังพวกนั้นแล้วก็เคยสงสัยแบบเดียวกัน วิญญาณมีจริงไหม แล้วมาจากไหน เพิ่มจำนวนได้ยังไง แล้วร่างโคลนมีวิญญาณเหมือนต้นแบบหรือไม่ “คุณเคยดูเรื่อง Never let me go ไหมคะ?”



                “ผมเคยดู” บิลตอบ เขาสนใจหนังเรื่องนั้น เพราะเธอเคยบอกว่าเธอดูแล้วร้องไห้ เขาไม่ชอบหนังดราม่าชวนเสียน้ำตา แต่เขาไปตามหามาดูหลังจากอ่านเรื่องย่อแล้วคิดว่าน่าสนใจ  



                “หนังเรื่องนั้นทำฉันร้องไห้เป็นชั่วโมง แต่ดูแล้วฉันสงสัยเรื่องวิญญาณเหมือนกันค่ะ ฉันคิดว่าจริงๆแล้ว เราอาจจะไม่มีวิญญาณก็ได้ ทุกอย่างเป็นกลไกการทำงานของสมอง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าพิสูจน์ว่าไม่มีวิญญาณ คนเขียนบทและทำหนังผี น่าจะลำบากที่สุดนะคะ พวกเขาตกงานแน่” เธอพูดยิ้มๆ



                “ผมคงหางานลำบาก ถ้าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่าเรื่องผีสางและปีศาจไม่มีจริง” เขาเห็นด้วย



                “ดีค่ะ” เธอพูดเหมือนแหย่



                “นี่คุณอยากให้ผมตกงานหรือครับ เราเพิ่งรู้จักกันสองวัน คุณใจร้ายกับผมแล้วหรือ?” บิลหยุดเดิน ชี้มือที่ตัวเอง



                มโนราห์หัวเราะ “คุณจะได้รับบทในภาพยนตร์แนวอื่น ฉันอยากเห็นคุณเล่นรอมคอม หรือละครเพลงสักครั้ง”



                “ผมไม่มีทางได้บทในละครเพลง ผมร้องเพลงแย่มาก” บิลยอมรับแล้วยิ้มกว้าง



                พวกเขาเดินเล่นกันเป็นชั่วโมง เธอก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ เกือบสามทุ่มแล้ว เธอบอกทุกคนไว้ว่าจะกลับไม่เกินสามทุ่ม มโนราห์ทำตามคำพูดเสมอ เพื่อไม่ให้คนที่บ้านวิตกกังวล และสร้างความลำบากให้ตัวเองต้องไปนั่งอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบว่าทำไมกลับช้า เธอไม่อยากให้การเดินเล่นจบลงเพียงแค่นี้ อยากให้เวลาก่อนสามทุ่มยืดยาวไปตลอดคืน เช้าวันใหม่ไม่มีวันมาถึง เธอพ่นลมทางจมูก ชักจะโลภเกินไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องแยกกันไปอยู่ดี เธอหวังอะไรล่ะ หวังว่าจู่ๆเขาจะอยากเจอเธออีกหรือชอบเธอขึ้นมาหรือไง ฝันเกินตัวชะมัด ออกจากโลกมโนและกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงเถอะ เขาแค่อยากได้เพื่อนเดินเล่นฆ่าเวลาอันน่าเบื่อหน่าย เธอบังเอิญพูดภาษาอังกฤษได้ และเคยเจอพี่ชายของเขา เธอไม่มีท่าทางเหมือนแฟนคลับโรคจิต เขาจึงยอมคุยด้วย



                “ฉันต้องกลับแล้วค่ะ” มโนราห์เงยหน้าบอกเขา



                หญิงสาวพยายามไม่เข้าข้างตัวเอง แต่สีหน้าของเขาเหมือนจะเสียดาย



                “โอเค ผมจะเดินไปส่ง”



                บิลอยากให้ถนนนิมมานเหมินทร์นี้กลายเป็นวงกตยืดยาว ไม่มีวันหาทางออกเจอ เขานึกถึงเพลงในภาพยนตร์เรื่อง Never let me go เขาไม่อยากปล่อยเธอไป และไม่อยากให้เธอยอมปล่อยเขาไปด้วย ทุกอย่างนี่มันฟังดูบ้า ถ้าเขาพูดออกไปว่าตามดูคลิปวีดีโอของเธอมาเป็นปี มาเที่ยวเชียงใหม่ เพราะเธอทวิตบอกว่ากำลังจะมา เธอคงคิดว่าเขาเป็นพวกสตลอกเกอร์โรคจิต บิลไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสเจอเธออีกเมื่อไหร่ ตารางงานของเขาแน่นยาวเหยียดไปอีกครึ่งปี ไม่ได้หยุดพักร้อนในเร็ววันนี้ เขาจะอยู่ห่างจากเธอครึ่งโลกอีกครั้ง เวลาต่างกัน สิ่งแวดล้อมรอบตัวต่างกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสองวันนี้เหมือนหลับตื่นหนึ่ง แต่เขายังอยากคุยกับเธอ อยากมีโอกาสพบเธออีก



                พวกเขามาถึงโรงแรมที่เธอพักแล้ว โมเนต์หยุดเดินและหันมาหา เงยหน้าขึ้นยิ้ม “คุณจะไม่เซ็นชื่อบนกระเป๋าให้ฉันจริงๆหรือคะ” เธอถามอย่างมีความหวัง “ฉันไม่เอาไปขายต่อหรอกค่ะ บอกแล้วไง ฉันเป็นแฟนคลับจริงๆ จะไม่โพสรูปที่ไหนเลยก็ได้ ถ้าคุณไม่ต้องการให้ใครรู้ว่ามาเที่ยวประเทศไทยช่วงนี้ รูปที่พวกเราถ่ายในสตาร์บัคส์ ฉันก็ไม่ได้โพส พี่สะใภ้ของฉันก็ไม่โพสค่ะ เซ็นให้หน่อยเถอะนะคะ ทุกอย่างจะเก็บเงียบเป็นความลับค่ะ สัญญาเลย” เธอยื่นกระเป๋าลายมูมินมาข้างหน้าอีกครั้งพร้อมปากกาเมจิก



                “มูมิน” บิลกระซิบแผ่วเบา “เพราะผมพากย์เสียงมูมินใช่ไหม”



                “ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “ฉันยอมรับก็ได้ ฉันเป็นแฟนเกิร์ล” พอใจหรือยัง ทำไมเซ็นยากเย็นอะไรอย่างนี้



                “คุณหามูมินที่ผมพากย์มาดูแบบถูกลิขสิทธิ์ได้แล้วหรือครับ” เขาถาม ยิ้มมุมปาก



                “ไม่ได้ค่ะ หายากมาก มีคนบอกฉันว่ามีแค่บนอะเมซอน ต้องอยู่อเมริกาถึงจะ...” เธอหยุดพูดกะทันหัน มองเขาเหมือนไม่เคยเห็นเขาอยู่ตรงนี้มาก่อน



                “ถ้าอ่านมูมินกับเมืองกลางฤดูหนาวจบแล้ว ผมแนะนำว่าคุณควรย้อนกลับไปอ่านเล่มแรกของชุด คือมูมินกับน้ำท่วมใหญ่ ผมไม่ได้แนะนำให้อ่านเล่มแรกก่อน เพราะมันค่อนข้างเศร้า ผมให้คุณอ่านเล่มสองอย่างดาวหางในเมืองมูมิน คุณจะได้รู้จักตัวละครสำคัญ ส่วนมูมินกับเมืองกลางฤดูหนาว คือเรื่องที่ใช้ดัดแปลงเป็นการ์ตูนที่ผมพากย์เสียง”



                กลไกในสมองของมโนราห์แทบจะหลุดกระเด็นกระดอนออกมาหมดแล้ว ประโยคทั้งหมดที่เขาพูดล่าสุดกลายเป็นระเบิดที่โยนใส่สมองเธอ พลุไฟนับล้านถูกจุดอยู่ภายใน ความร้อนผ่าวไต่ขึ้นมาบนแก้ม เธอเบิกตาโตเท่าที่ดวงตาของเธอจะโตได้ นี่หมายความว่าอย่างไร ทำไมเขารู้ ทำไมเขาพูดเหมือนเขาเป็นคุณลุงคนนั้น เธอทำกระเป๋าหลุดจากมือ บิลคว้ากระเป๋าของเธอไว้ทัน มโนราห์ยกมือสองข้างปิดปาก เวลาช็อคจนทำอะไรไม่ถูก เธอจะปิดหน้าตัวเองไปครึ่งหน้า ไม่ใช่แค่แก้มที่ร้อนจนเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาของเธอร้อนไปด้วย น้ำเอ่อขึ้นมาที่ขอบตา



                เขามองเธออย่างเอ็นดู ดวงตาสีเขียวเหมือนแสงเหนือคู่นั้นนุ่มนวลจนเธอสั่นสะท้าน รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเขาช่างอ่อนโยน หัวใจของเธอพาลเต้นแรง น้ำตาหยดลงมาจนได้       














    TALK

    ตอนแรก สองจิตสองใจ เรื่องจะให้รู้ไหมว่าพี่บิลคือ WildScar 

    สองจิตสองใจด้วยว่าจะแบ่งบทนี้ออกเป็น 2 ตอนดีไหม 


    แต่ทีนี้ ถ้ายังไม่รู้ พี่บิลของเราน่าจะลำบาก 5555 ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด เดินหน้าจีบโต้งๆก็ไม่ได้ เดี๋ยวต้องบินกลับไปถ่ายทำภาพยนตร์ต่อแล้ว ไม่รู้จะติดต่อกันยังไง อยู่ๆจะไปขอแอปเปิ้ลไอดีไว้เฟซไทม์หาเขา ก็ใช่ที่ เพราะสำหรับทางน้องมโน คือเพิ่งรู้จักกัน 2 วัน ไม่ใช่รู้จักมาเป็นปีแล้วอย่างที่พี่บิลรู้จักน้อง  


    มีภาพในหัวไว้สองแบบค่ะ ตอนคิดพล็อต คือ 

    1. ให้รู้ ณ คืนสุดท้ายที่อยู่เชียงใหม่  

    2. ให้รู้ นู่นนนนเลย ตอนเป็นแฟนกันแล้วหรืออะไรก็ได้ 


    สุดท้ายก็มาลงเอยที่หมายเลข 1 ค่ะ  และจับลงตอนเดียวเนี่ยแหละ ไม่อยากให้พาร์ทเชียงใหม่ยืดเกินไป 





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×