ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Notorious [Tom Riddle & OC]

    ลำดับตอนที่ #11 : A crying girl

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 62



    Notorious [Tom Riddle & OC]

    Chapter 11 : A crying girl






                มกราคม 1943



                นักเรียนที่กลับบ้านฉลองช่วงคริสมาสต์ ยังไม่กลับมาฮอกวอตส์จนกว่าจะวันที่สี่ มกราคม หิมะตกลงมาเป็นเกล็ดละอองบางเบาตั้งแต่เช้า นักเรียนหญิงปีห้าบ้านเรเวนคลอกลับบ้านในช่วงนี้กันหมด จูปิเตอร์จึงเป็นเจ้าของห้องนอนเพียงคนเดียว เธอสามารถเปิดไฟไว้จนดึกดื่นเพื่ออ่านหนังสือ เปิดวิทยุคลื่นพ่อมดเพื่อฟังเพลงและฟังรายงานข่าวอาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ได้ตามใจ โดยไม่ต้องกลัวว่ามีใครในห้องนี้บ้างที่แอบคิดและสนับสนุนกรินเดลวัลด์ เรื่องการเมืองเป็นหัวข้อที่หลีกเลี่ยงกันในหมู่นักเรียน หรือพูดแค่ในวงเพื่อนสนิทที่มีความคิดเห็นตรงกันเท่านั้น



                เธอแต่งตัว เดินลงจากหอคอย เพื่อไปรับประทานอาหารเช้า อากาศค่อนข้างสดชื่นอย่างผิดหูผิดตา แม้หิมะจะยังโปรยปราย แต่มีแดดให้เห็น จูปิเตอร์เริ่มคิดถึงฤดูใบไม้ผลิ เธอชอบกลิ่นของฝนที่ตกปรอยๆผสมไปกับกลิ่นดอกไม้ กลิ่นของดินและต้นหญ้า เด็กสาวหยุดกลางทางเดิน มองออกนอกระเบียง ฤดูหนาวก็สวยงามเช่นกัน มองไปทางใดมีแต่หิมะขาวโพลน เหมือนภาพในหนังสือนิทาน แต่ไม่มีฤดูใดจะเทียบเท่าช่วงเวลาที่ดอกไม้บานสะพรั่งอีกแล้ว



    มีเด็กเรเวนคลอชั้นปีสามกลุ่มหนึ่งหัวเราะคิกคักอย่างพอใจ เมื่อเดินผ่านจูปิเตอร์ไป เธอบังเอิญได้ยินหัวข้อสนทนาอย่างไม่ตั้งใจ



    “ได้ยินเสียงยัยเมอร์เทิลไหม? ตลกเป็นบ้า” เด็กผู้หญิงที่เดินอยู่ตรงกลางพูดแล้วหัวเราะ



    “ถูกขังอยู่ในห้องน้ำอย่างนั้น สมควรแล้ว ปล่อยออกมาอีกทีตอนสิ้นเทอมละกันนะ โอลีฟ” เด็กหญิงอีกคนพูดอย่างใจร้าย แต่บรรดาเพื่อนทั้งกลุ่มกลับหัวเราะอย่างพอใจ



    จูปิเตอร์ไม่สามารถอดทนนิ่งฟังได้เฉยๆ ยิ่งเห็นว่าเป็นเด็กเรเวนคลอรังแกเด็กบ้านเดียวกัน เธอยิ่งยอมไม่ได้ พรีเฟ็คปีห้าเดินลิ่วเข้าไปกลางกลุ่ม ซักถามอย่างถึงพริกถึงขิง จนถึงขั้นขู่ว่าจะฟ้องอาจารย์เมร์รี่ธอต ถ้าไม่ยอมบอกว่าขังเด็กที่ชื่อเมอร์เทิลไว้ที่ใด โอลีฟ ฮอร์นบี้หน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้ม แต่ยังพยายามเชิดหน้าชูคอ กอดอก วางท่าเหมือนเด็กก๋ากั่นไม่กลัวกฏเกณฑ์ จนจูปิเตอร์ยิ้มบางๆอย่างร้ายกาจ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ทอม ริดเดิ้ลเคยมองเธอ ไม่คิดเลยว่าจะได้หยิบมาใช้ประโยชน์ โอลีฟกลืนน้ำลายลงคอ จนเพื่อนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินเสียง สุดท้ายเด็กหญิงยอมบอกว่าห้องน้ำที่ขังเพื่อนร่วมบ้านเอาไว้



    “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ คุณฮอร์นบี้ อย่างไรก็ตาม การกลั่นแกล้งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในฮอกวอตส์ และในฐานะพรีเฟ็ค ฉันมีสิทธิ์ตัดคะแนนบ้านตัวเอง ดังนั้น ตัดคะแนนบ้านเรเวนคลอยี่สิบแต้ม สุขสันต์วันปีใหม่” จูปิเตอร์พูดจบ แล้วสะบัดหน้า เดินไปอีกทาง เปลี่ยนเป้าหมายจากห้องโถงใหญ่ เป็นห้องน้ำที่เมอร์เทิลถูกขังไว้แทน เธอเกลียดการกลั่นแกล้งคนไร้ทางสู้ เพราะเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน เหตุการณ์ผ่านมาเกือบสี่เดือนแล้ว แต่ทุกอย่างยังฝังในใจ



    ห้องน้ำแห่งนั้นอยู่บนทางเดินชั้นสาม จูปิเตอร์ใช้คาถาอาโลโฮโมร่าเพื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงสะอื้นไห้หลังบานประตูห้องส้วมคับแคบ เธอเดาว่าเด็กหญิงปีสามผู้นี้คงจะนั่งร้องไห้อยู่บนคอห่าน ไม่สามารถใช้เวทมนตร์เปิดประตูออกมาได้ เพราะไม้กายสิทธิ์ถูกเด็กกลุ่มรังแกวางทิ้งไว้บนอ่างล้างมือ เธอเดินไปหยิบไม้ขึ้นมาและช่วยร่ายเวทให้ประตูเปิด เด็กหญิงร่างท้วมนิดๆนั่งอยู่ข้างใน ศีรษะเงยขึ้นอย่างตกใจปนไปกับความประหลาดใจที่มีคนมาเปิดประตูช่วยเธอออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้ เช็ดอย่างลวกๆ และใส่แว่นตาหนาขนาดใหญ่เข้าไป



    “เมอร์เทิล วอร์เรนใช่ไหมคะ?” จูปิเตอร์ถาม น้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรแล้วนะ ออกมาเถอะ”



    เด็กหญิงลุกขึ้นยืน “ขอบคุณค่ะ พี่จูปิเตอร์”



    “กินอาหารเช้าหรือยัง?” เธอถามต่อ เด็กหญิงส่ายหน้า “รอให้ตากับจมูกหายแดงก่อน แล้วออกไปกินอาหารเช้ากันนะ พี่ก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน”



    “จะ... จะดีหรือคะ” เมอร์เทิลถามอย่างเขินอาย และรู้สึกต่ำต้อย เด็กหญิงรู้จักจูปิเตอร์ ใครบ้างจะไม่รู้จักรุ่นพี่ปีห้าคนนี้ ทั้งสวย อ่อนหวาน น่ารัก เรียนเก่ง เป็นพรีเฟ็คอีกต่างหาก เมื่อต้นปีการศึกษา รุ่นพี่ถูกเพื่อนสนิทลอบทำร้ายจนตกทะเลสาบ และได้รับความช่วยเหลือจากทอม ริดเดิ้ล นักเรียนที่สาวๆรุ่นน้องต่างพากันชื่นชมลับหลังว่ารูปงามเหมือนเจ้าชายแห่งบ้านสลิธีริน จากนั้นก็มีข่าวลือออกมาตลอดว่าจูปิเตอร์กับทอมกลายเป็นคู่รักกัน เมอร์เทิลอยู่ในเหตุการณ์ที่ทอมเดินจากโต๊ะบ้านสลิธีรินมาถึงเรเวนคลอ เพื่อง้อจูปิเตอร์ด้วย เด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฝันหวานไปกับความรักวัยหนุ่มสาว และอยากให้พวกเขาคืนดีกันไวๆ



    “ทำไมจะไม่ดีล่ะคะ?” จูปิเตอร์ถาม



    “ไม่รู้สิคะ” เมอร์เทิลก้มหน้างุด เพราะฉันเป็นเด็กเซ่อซ่า น่าเกลียด ไม่มีอะไรคู่ควรที่จะยืนข้างๆพี่เลย



    “พี่รู้ว่าใครขังเธอไว้ในห้องน้ำ” จูปิเตอร์บอก “พี่หักคะแนนบ้านของเราไปแล้วเพราะเหตุกลั่นแกล้งกัน บอกพี่ได้ไหม ทำไมโอลีฟ ฮอร์นบี้ถึงต้องทำกับเธออย่างนี้”



    เมอร์เทิลเม้มริมฝีปาก “หนูเคยถามค่ะ เธอบอกว่า ฉันจะทำอะไร ทำไมต้องบอกเหตุผลด้วย เธอชอบล้อหนูเรื่องแว่นตา ปีที่แล้วหนูเป็นสิว จนปีนี้หายแล้ว เธอก็ยังล้อไม่เลิก เธอชอบล้อพ่อแม้ของหนูด้วยว่าเป็นพวกมักเกิ้ลโง่ๆ ตายไปในสงครามได้เสียก็ดี” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เมอร์เทิลกลั้นแรงสะอื้นไม่อยู่ เธอร้องไห้อีกรอบหนึ่ง



    “เธอทำอย่างไรหลังจากถูกล้อ” จูปิเตอร์ถามอีก พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมและยื่นให้



    “หนูหลบเข้ามาในนี้ค่ะ แล้วก็ร้องไห้” เมอร์เทิลตอบอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี พลางรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา 


     

    “พี่เข้าใจนะ เวลาที่ไม่รู้จะทำอะไรได้ พี่ก็ร้องไห้คนเดียวเหมือนกัน” จูปิเตอร์บอก เด็กปีสามเงยหน้ามองพี่ปีห้าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คนที่แสนสมบูรณ์แบบจะต้องหลบไปร้องไห้คนเดียวด้วยหรือ “แต่สักพัก พี่ก็คิดว่าการนั่งเศร้าและร้องไห้อย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ พี่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ได้ อ่อนแอได้ ในเวลาที่ไม่ไหวจริงๆ แต่ไม่ลืมที่จะลุกขึ้นสู้ด้วย คนที่รังแกเราหวังจะเห็นเรามีความทุกข์ ยิ่งเราทุกข์ เต้นตามความสะใจของเขาเท่าไหร่ เขายิ่งชอบมากเท่านั้น หากวางเฉยได้ ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราเข้มแข็ง และไม่ใช่ของเล่น เขาจะเลิกยุ่งกับเราไปเอง” ก็ไม่เสมอไปหรอก จูปิเตอร์ต่อเองในใจ นึกถึงหน้าทอม ริดเดิ้ลลอยขึ้นมาในหัว แต่อย่างน้อย น่าจะใช้ได้ผลกับเมอร์เทิล ถ้าเด็กโอลีฟเห็นว่าแกล้งแล้วไม่มีประโยชน์ เมอร์เทิลไม่ร้องไห้อย่างเดิม ไม่นานจะหยุดไปเอง



    “หนูไม่ได้เข้มแข็งเหมือนพี่” เมอร์เทิลยอมรับออกมาตรงๆ



    “ไม่เป็นไร” จูปิเตอร์วางมือบนไหล่ของเด็กหญิง “ไม่ต้องรีบก็ได้ แค่ครั้งหน้า ยัยโอลีฟมาแกล้งหรือล้อเลียนอีก ลองใช้คาถานี้เสกไปเลย” เธอพูดยิ้มๆ ก้มศีรษะลงกระซิบบอกคาถา และผลของมัน



    “ผมของโอลีฟจะยาวถึงเท้าจริงๆหรอคะ?” เมอร์เทิลเบิกตาโตอย่างตื่นเต้น



    “ถ้าไปห้องพยาบาลไม่ทัน อาจจะยาวไปถึงทางขึ้นหอเรเวนคลอเลยนะ”



    เมอร์เทิลหัวเราะออกมาจนได้ สีหน้าของเธอสดใสและผ่อนคลาย จมูกและดวงตาหายแดง ไม่เหลือน้ำตาบนแก้มอีกแล้ว จูปิเตอร์จึงชวนเธอออกไปกินอาหารเช้าเสียที ผู้หญิงสองคนที่อายุต่างกันสองปีใช้เวลาอาหารเช้าร่วมกันอย่างมีความสุข เมอร์เทิลไม่เคยดีใจมากเท่านี้มาก่อน จากเด็กที่คิดว่าตัวเองไม่มีใครอยากคบ เป็นคนที่อยู่วงนอก พยายามจะได้รับการยอมรับ แต่กลับถูกกลั่นแกล้ง เป็นที่ระบายอารมณ์ของเพื่อนร่วมชั้น ตอนนี้เธอได้นั่งคุยกับพรีเฟ็คปีห้าที่แสนใจดี ชวนคุยแต่เรื่องสนุก ทั้งการแข่งขันควิดดิชนัดทีผ่านมา หนังสือที่อ่าน วิชาที่เรียน เมอร์เทิลลงเรียนวิชาอักษรรูนโบราณ จึงได้รับคำแนะนำและเทคนิคในการจดจำอักษรพร้อมทั้งวิธีแปล



    “แน่ใจหรือว่าจะไม่สอนคำแปลผิดๆให้เด็กปีสาม”



    เสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง ติดแววหยอกเย้าเล็กน้อยดังเหนือศีรษะของเด็กเรเวนคลอทั้งสองคน พวกเธอหันหน้าไปมองผู้บุกรุกพร้อมกัน ทอม ริดเดิ้ลยืนตัวตรงอยู่ด้านหลัง เขาสวมชุดสีดำทับด้วยเสื้อคลุมลายสักหลาดสีน้ำตาลอ่อนตัดกับเข้ม เส้นผมสีดำเสยไปด้านบน เผยหน้าผากกว้าง เน้นให้เห็นโครงหน้าสมบูรณ์แบบของเขาชัดเจน เมอร์เทิลหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว กำไรของวันนี้ชักจะมากเกินกว่าที่นึกฝัน เธอเคยแต่มองรุ่นพี่ทอม ริดเดิ้ลอยู่ไกลแสนไกล วันนี้กลับอยู่ใกล้นิดเดียว ทว่าสายตาของเขาไม่ได้มองหรือสนใจเธอ ซึ่งเธอไม่บ่นว่าอะไรเลย เมอร์เทิลอยากให้จูปิเตอร์กับทอมคืนดีกัน ข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขาและยัยผู้หญิงหน้าดุอย่างสเตลล่า พาร์กินสันจะได้จบลง



    “โต๊ะสลิธีรินอยู่ทางนู้น” จูปิเตอร์เชิดปลายคางชี้ไปอีกฝั่งของห้องโถง



    “ฉันไม่ได้หลงทาง” ทอมพูดอย่างขำขัน ไม่สนใจประโยคประชดประชัน เขานั่งลงข้างบนเก้าอี้ โดยมีเมอร์เทิลกั้นกลางระหว่างเขากับจูปิเตอร์ นิ้วเรียวสวยของเขาเลื่อนมาหยิบผ้าเช็ดปากที่มีตัวอักษรรูนเขียนอธิบายไว้เป็นกลุ่มก้อน “จับกลุ่มคำตามความหมาย เป็นวิธีจำที่น่าสนใจ แต่จูปิเตอร์บอกไหม คุณวอร์เรน ว่าเธอเคยแปลผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย คำว่าปรารถนาใช้ตัวอักษรใดกันนะ?”



    อยู่ๆเมอร์เทิลก็คิดว่าเธอไม่ควรนั่งตรงนี้อีกต่อไป “เอ่อ... หนูนึกขึ้นได้ว่าการบ้านยังไม่เสร็จ ขอตัวก่อนนะคะ”



    เมอร์เทิลลุกออกไปแล้ว ทอมจึงสบโอกาสเคลื่อนกายเข้าใกล้ วางศอกไว้ด้านข้างจนเกือบจะสัมผัสกัน จูปิเตอร์รินโกโก้ร้อนเพิ่มใส่แก้ว ตักมาร์ชแมลโลว์และผงซินนามอนเติมลงไปด้วย ควบคุมการกระทำทุกอย่างให้เป็นปกติ รู้ได้ทางหางตาว่าริดเดิ้ลจ้องเธอตลอด เขาจ้องเธอจริงๆ ยกแขนข้างหนึ่งตั้งศอกเท้าศีรษะ ใบหน้าเอียงหันข้าง เพื่อจะมองเธอให้ชัด เด็กสาวจิบโกโก้อย่างใจเย็น แต่อึดอัด สุดท้าย เธอเป็นฝ่ายทนไม่ไหว วางแก้วกระแทกลงกับโต๊ะ และหันไปเผชิญหน้า ดวงตาของเขาเป็นประกาย มีสีเขียวแทรกอยู่ท่ามกลางสีน้ำตาล ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มต้อนรับการหันมาของเธอ เขาเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดปากที่ยังไม่ใช้และยกขึ้นเช็ดที่มุมปากของเด็กสาว เธอเกือบจะสะดุ้งและถอยหนีแล้ว อากัปกิริยาเหล่านี้ควรสงวนไว้สำหรับคนที่สนิทสนมมากๆเท่านั้น แม้แต่กับเพื่อน ยังไม่เคยมีใครเช็ดริมปากให้เธอมาก่อน



    “เมื่อวาน สามสิบเอ็ด ธันวาคม เป็นวันเกิดของฉัน” ทอม ริดเดิ้ลเริ่มต้นบทสนทนา “มีคนส่งของขวัญให้ฉันตั้งมากมาย ฉันแกะกล่องและอ่านการ์ดอวยพรทั้งหมดแล้ว ไม่เจอของเธอ”



    “แล้วทำไม?” เธอถามอย่างไม่สนใจ พอจะรู้และได้ยินข่าวเรื่องนี้แล้ว เด็กสาวบ้านเรเวนคลอปีสี่บางคนไม่ยอมกลับบ้าน เพื่อจะยื่นของขวัญให้ทอม ริดเดิ้ลแบบตัวต่อตัว 



    “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ” ทอมถามกลับ ทำปากมุ่ย



    “บันทึกลับจากห้องเรเวนคลอ ยังไม่ใช่ของขวัญที่ดีอีกหรือไง” เธอพูดเสียงสูง พลางสงสัยว่าทำไมต้องมานั่งถกเถียงกับคนอย่างเขาเรื่องของขวัญ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น? และบันทึกนั่นเธอไม่ได้ให้เขาเพื่อเป็นของขวัญ



    “อา” เขาส่งเสียงคล้ายเสียงหายใจ ฟังแล้วจั๊กจี้หูอย่างบอกไม่ถูก “ใช่ ฉันอยากคุยกับเธอเรื่องนี้ด้วย ในบันทึกมีคำทำนายของคนที่ชื่อโวลวา อีกพันปีนายแห่งศาสตร์มืดจะถือกำเนิด ทำนายไว้ในปีเก้าร้อยยี่สิบหก ฉันเกิดวันสุดท้ายของปีหนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบหกพอดี เธอคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือฉันคือคนที่ชะตากำหนดมาให้ยิ่งใหญ่?”



    จูปิเตอร์แทบอยากจะกลอกตาให้กับความหลงตัวเองของเขา “หนึ่ง โวลวาไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นกลุ่มแม่มดโบราณจากแถบสแกนดิเนเวีย ถูกกวาดล้างทำลายไปในยุคของกษัตริย์พ่อมดนอร์เวย์ นายควรจะหัดหาข้อมูลอย่างเจาะลึกเสียบ้าง สอง นายไม่ควรเชื่อถือเรื่องคำทำนายมากนัก ในประวัติศาสตร์มีคนต้องสูญเสีย หลงผิด กระทำการอุกอาจอันไม่สมควร เพราะคำทำนายมาไม่น้อย สาม ถ้านายอ่านบันทึกอย่างละเอียดถี่ถ้วน จะเข้าใจได้ว่าซัลลาซาร์ สลิธีรินกังวลมากแค่ไหนกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอีกพันปีต่อมา เขาไม่ต้องการพ่อมดศาสตร์มืดทำเรื่องชั่วร้ายเป็นลูกหลานของเขา สี่ ถ้าฉันอนุมานไม่ผิด ภรรยาของซัลลาซาร์คือเลือดต้องสาปพาวอดวาย ที่คำทำนายกล่าวถึง นางโทษตนเองที่อาจเป็นสาเหตุกำเนิดนายแห่งศาสตร์มืดอีกพันปี ห้า นายจำข้อความสุดท้ายในบันทึกได้ไหม? ความคาดหวังถึงทายาทของสลิธีริน...”



    “เธอจะพูดไปจนถึงข้อที่หนึ่งร้อยเลยหรือเปล่า ฉันจะเสกหมอนมาสักใบ แล้วนอนฟัง” เขาตั้งใจตัดบท ทอมจำข้อความสุดท้ายได้ เขาไม่มีวันลืม หลังจากอ่านทวนถึงห้ารอบ ทุกสิ่งที่เคยคิดพังครืน ความร้ายกาจและความทะเยอทะยานของซัลลาซาร์ สลิธีรินเป็นเพียงเรื่องปรุงแต่งของบรรดาทายาทอีกสาย ไม่ใช่ทายาทโดยตรง และทอมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาเป็นทายาทสายไหน ถ้าจะสืบย้อนไป คงต้องใช้เวลาอีกมากทีเดียว



    หวังให้เขาพบความสุข สงบ เต็มเปี่ยมด้วยความรัก เหมือนอย่างที่ซัลลาซาร์ค้นพบ



    เมื่ออ่านจนจบ เขาแทบอยากจะขยำกระดาษเก่ากรอบทิ้งลงในเตาไฟ ความสุขอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่ทอมจำความได้ เขาไม่เคยมีความสุข มิสซิสโคลเกลียดชังความประหลาดของเขา เด็กคนอื่นในบ้านกำพร้าคิดจะกลั่นแกล้งเพราะเขาตัวเล็กผอมบาง ความสงบ ชีวิตของเขาไม่เคยสงบสักวัน มีแต่พวกคนน่ารำคาญรายล้อม คิดอยากจะเข้าใกล้ แสวงหาประโยชน์ ไม่มีใครคิดจะจริงใจ เขาจึงไม่จำเป็นต้องใจดีกับใคร เต็มเปี่ยมด้วยความรัก แค่คิดก็อยากจะอาเจียน ความรักเป็นเพียงภาพมายาของมนุษย์ เพื่อเติมเต็มความว่างเปล่าและไร้ค่าของตัวเอง เขาไม่ต้องการความรักมาเติมเต็มอะไรทั้งนั้น แนวทางของสลิธีรินไม่ควรจะเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่เลย



    “นายคิดอย่างไรล่ะ?” จูปิเตอร์ถาม เป็นครั้งแรกที่เธอตั้งใจสบตาเขาด้วยความอยากรู้ และสำรวจสีหน้าของเขาอย่างตั้งใจ



    ทอม ริดเดิ้ลไม่ตอบ เขาหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาเสกคาถาเรียกของ รอเพียงครู่ ม้วนกระดาษก็ลอยหวือเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ตกลงตรงหน้าจูปิเตอร์พอดี เด็กหนุ่มลุกจากเก้าอี้ ก้าวเท้าจะเดินออกไป โดยไม่สนใจคำถามนั้นแม้แต่น้อย แต่จูปิเตอร์คว้าแขนของเขาไว้ได้ก่อน เธอลุกยืนตาม พอจะเข้าใจคำตอบที่เขาไม่ได้พูดออกมา เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าริดเดิ้ลจะไม่เห็นด้วยจากสิ่งที่ได้อ่าน ไม่ยอมรับ และทำเป็นว่าบันทึกเล่มนี้ไม่เคยมีอยู่



    “ฉันไม่อยากให้โลกเวทมนตร์วุ่นวายจากพ่อมดที่ใช้ศาสตร์มืดอีก แค่แกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ ก็ทำให้เกิดความสูญเสียไปมากพอแล้ว นายไม่จำเป็นต้องทำให้คำทำนายเกิดขึ้นจริง นายมีทางเลือก กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ทุกคนเลือกได้ทั้งนั้น ฉัน...”



    ทอมวางมือทาบลงบนมือของเธอที่ยังจับแขนของเขาไว้ จูปิเตอร์รู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ ก่อนเขาจะแกะมือเธอออก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายปรากฏบนริมฝีปาก “เธอพูดถูก ฉันกำหนดชีวิตตัวเองได้”



    เด็กหนุ่มหันหลังให้ ก้าวเท้ายาวๆจนถึงประตูและเดินออกไป ทิ้งให้เธอยืนอยู่ในความเงียบงัน จูปิเตอร์หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน คำพูดทิ้งท้ายของเขาตีความได้สองอย่าง หนึ่ง เขายอมรับเจตนารมณ์แท้จริงของสลิธีริน ยอมตีตนออกห่างจากความเลวร้าย และเดินหน้าต่อในทางที่ถูกควร ไม่ยอมให้คำทำนายมากำหนดชีวิต สอง เขาไม่ยอมรับในความคิดของสลิธีริน ไม่ยอมให้คำพูดของบรรพบุรุษมากำหนดชะตา ในความหมายสองอย่างนี้ เขาเลือกทางไหน จูปิเตอร์ยังไม่กล้าเดา เธอทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สายตายังมองไปที่ช่องประตู ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เสียดาย เสียใจ เขาน่าจะรอจนเธอพูดจบ แต่โอกาสนั้นได้ผ่านมา และผ่านไป 



    ถัดจากวันนั้นไปอีกหนึ่งเดือน ทั้งโรงเรียนพูดกันไม่หยุดปาก ห้องแห่งความลับได้เปิดออกแล้ว   







    TALK

    พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้อัพนะคะ 




     

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×