คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : [ Blake ] : Be brave
Psyche
Chapter 11 : Be brave
[ Blake ]
พื้นถนนเปียก
ชื้นแฉะ ฝนตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา เบลคแทบจะมองถนนไม่เห็นเพราะน้ำฝนบนกระจกหน้ารถ
แม้จะมีที่ปัดน้ำฝน แต่ประสิทธิภาพไม่มากพอที่จะรับมือกับพายุขนาดนี้ เขายังขับรถต่อไป
ไรลีย์หลับอยู่ที่เบาะหลัง เธอไม่ได้นอนมามากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง
และในที่สุดก็ยอมแพ้ความต้องการพื้นฐานของร่างกาย หลับแน่นิ่งไปสักพักใหญ่
เด็กสาวอีกคนนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับ ศีรษะพับฟุบอยู่กับหน้าต่าง
กอดเข่าสองข้างไว้แน่น เบลคได้ยินเสียงกรนเบาๆดังออกมาด้วย เขาขยับพวงมาลัย
พารถเลี้ยวไปตามทางโค้ง เดินทางต่อ พวกเขามาถึงแคลิฟอร์เนียแล้ว อยู่บนถนนเวสไซต์ไฮเวย์
รอบด้านไม่มีอะไรเลย สิ่งปลูกสร้างเดียวที่ขับผ่านมาคือโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า
จากนั้นก็เป็นที่โล่ง หญ้ารก ถนนสีเทา กับท้องฟ้าที่แปรปรวน
อีกสี่ชั่วโมง พวกเขาจะถึงโยเซมิตีพาร์ค ตามคำบอกเล่าของเด็กสาว กลุ่มไซคีอาศัยอยู่ที่นั่น
เบลคยังไม่เคยไปอุทยานแห่งชาติขึ้นชื่อแห่งนั้นมาก่อน
เขาเคยได้ยินว่าธรรมชาติสวยงามทั้งภูเขา ป่า ลำธาร สัตว์หลากหลายชนิด เหมาะกับการไปเดินผจญภัย
เขาเคยดูวิดีโอในเว็บไซต์ยูทูป มีคนตั้งกล้องไว้ที่นั่น เร่งความเร็วของภาพ
ให้เห็นตอนอาทิตย์ขึ้น ตกดิน ดวงดาวเต็มฟ้า สวยงามมากทีเดียว เขาคิดว่าจะไปเที่ยว
แต่ยังไม่มีโอกาสเสียที ใครจะนึกว่าเขาจะได้ไปเยือนในสภาพการณ์เช่นนี้
เพื่อนร่วมทางคนใหม่ชื่อว่าคาร่า
รามิเรซ อายุสิบห้าปีอย่างที่เบลคเดาไว้ตอนแรก ผิวสีน้ำตาล
ผมสีดำหยิกพองฟูอย่างที่ไม่น่าจะมัดได้ ค่อนข้างเตี้ยป้อม แก้มยุ้ยอย่างสุภาพดี เขายังไม่มีโอกาสถามไถ่ถึงภูมิหลังของเธอว่ามาจากไหนหรือเป็นใคร
รู้จักกลุ่มไซคีได้อย่างไร ท่าทางเธอจะเหนื่อย เมื่อเจอรถยนต์ที่พอจะขับต่อไปได้
เติมน้ำมันเรียบร้อย เธอบอกตำแหน่งที่พวกเขาต้องไป แล้วก็ขอตัวหลับก่อน เบลคจึงเป็นคนเดียวที่ยังตื่นเพื่อขับรถต่อ เขาเหนื่อยมากเหมือนกัน
แต่จะทำอย่างไรได้ ไรลีย์นอนน้อย ไม่ยอมหลับด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
เด็กสาวคนนี้ก็เหมือนจะสลบได้อยู่แล้ว เบลคจึงเต็มใจที่จะขับรถเอง
อากาศก็ช่างเป็นใจ น่านอน
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ
ลูกนัยน์ตาเพ่งมองไปบนถนนอย่างระมัดระวัง ถ้าไม่มีสมาธิ
แล้วทางข้างหน้าเกิดมีสิ่งกีดขวางที่ไม่ทันมองขึ้นมา
เขากลัวว่าจะดับอนาถกันทั้งคัน ถ้ามีเพลงฟังหน่อยคงดี แต่บนรถคันนี้ไม่มีซีดีเพลง
วิทยุถึงจะเปิดได้ แต่ไม่มีอะไรนอกจากโฆษณาเชิญชวนของพวกมันให้เข้ามอบตัว
เบลคจำใจฟังเสียงฝนกับเสียงฟ้าร้องกระหึ่ม
ใช้จินตนาการว่ามันเป็นเสียงกลองกับแบสทุ้มๆ และเสียงฝนเป็นเสียงจากคีย์บอร์ดและกีตาร์
เบลคกำลังขยับศีรษะเพื่อให้คอหายเมื่อย ตอนที่เขาได้ยินเสียงจากเบาะหลัง ไรลีย์เริ่มปัดซ้ายป่ายขวา
ส่งเสียงอึงอลจากลำคออย่างไม่สบายตัว แล้วกลายเป็นเสียงกรีดร้องที่ทำเอาคาร่าสะดุ้งตื่น
เขาเบรกรถทันที หันไปมองด้านหลังพร้อมกัน ไรลีย์ยังหลับตาแน่น
สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด นิ้วมืองอเข้าหากัน ขาสองข้างถีบกระจกหน้าต่างรถ
เวรแล้วไง
เบลคปลดเข็มขัดนิรภัย เปิดประตูรถออกไปเผชิญกับฝนเม็ดเท่าข้าวสาร
อ้อมไปเปิดประตูรถด้านหลัง เขาประคองตัวไรลีย์ให้ลุกขึ้นนั่ง
พยายามเขย่าตัวเพื่อปลุกให้ตื่น เธอกำมือขยำเสื้อเขา ริมฝีปากขบแน่น หายใจแรง
และหัวใจเต้นเร็วมากเหมือนคนที่กำลังเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวง ท่าทางจะไม่ตื่นง่ายๆแน่
เขาจำเป็นต้องลากเธอออกจากรถ ปล่อยให้ร่างโดนน้ำฝน ความเย็นที่กระทบใบหน้าเนียนใส
ส่งผลทันที ไรลีย์ลืมตาโพลง หอบหายใจ ปล่อยมือจากเสื้อของเบลค
ท่าทางโล่งใจที่ตื่นขึ้นมาได้ เขาเห็นเปลือกตาบางขยับปิดอีกครั้ง
แล้วก็เปิดขึ้นเพื่อมองหน้าเขา
“ขอบคุณ”
ไรลีย์บอกเสียงเบา
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
เบลคอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่มีอะไร”
ไรลีย์ส่ายหน้า “ฝันร้ายน่ะ” มันดูไม่เหมือนจะเป็นแค่ฝันร้ายธรรมดาเลยสำหรับเบลค
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอกรีดร้องระหว่างนอนหลับ หญิงสาวใช้มือจับขอบประตูรถ
ยันร่างลุกขึ้นยืน “ฉันไม่เป็นไร จริงๆ” เธอย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขามองอย่างไม่เชื่อ
“ฉันนอนพอแล้วล่ะ จะขับรถให้ นายพักเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน”
เบลคจับข้อมือ ดึงเธอไว้ “ฉันยอมให้เธอขับรถสภาพนี้ไม่ได้หรอก เธอนอนน้อย
ฝนก็ตกหนัก ถนนลื่น ไรลีย์ เธอต้องพักนะ ไม่ว่าเธอจะฝันร้ายหรือเปล่า
ร่างกายเธอต้องนอนหลับ”
“ฉันสบายดี”
ไรลีย์พูดกัดฟัน เป็นครั้งแรกที่เบลคเห็นว่าแววตาของเธอเข้มขึ้นจนน่ากลัว
ทุกทีไรลีย์จะดูอ่อนโยนและบอบบาง น้ำเสียงในการพูดของเธอไม่เคยสูงไปกว่าระดับปกติ
แต่ครั้งนี้ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้า
ทำให้เบลครู้สึกเหมือนตัวเองไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง และเธอรำคาญ
“เฮ้”
เสียงเรียกเล็กๆนั่นทำให้ทั้งคู่หันไปมองที่หน้าต่างฝั่งคนขับ
คาร่าขยับไปนั่งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอลดกระจกลง
โบกมือและชะโงกหน้าออกมา “ฉันขับเองก็ได้ ฉันขับรถเก่งอยู่นะ
อาจจะยังไม่ได้ใบขับขี่ แต่ตอนนี้ใครเขาสนใจกันล่ะ จริงไหม?” เด็กสาวยักไหล่น้อยๆ
เบลคเหนื่อย และไรลีย์ก็ยังพักผ่อนไม่พอ ชายหนุ่มมองสลับกันระหว่างคาร่ากับไรลีย์
พิจารณาว่าตัวเลือกไหนดีกว่า
“โอเค”
เบลคหันไปพูดกับคาร่า เด็กสาวยิ้มยิงฟันตอบ ผลุบศีรษะกลับเข้าไปในรถ
เบลคนั่งฝั่งข้างคนขับ และไรลีย์นั่งที่เบาะหลังตามเดิม ไม่มีใครพูดอะไรขณะที่คาร่าพารถเคลื่อนไปข้างหน้า สักพักความง่วงเริ่มเข้าโจมตีชายหนุ่มอย่างช้าๆ เปลือกตาหนักอึ้ง เสียงฝนเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล เบลคจมลง ดำดิ่งสู่นิทรารมย์อันแสนสบาย เขารู้สึกเหมือนเพิ่งฟุบหลับไปได้แค่ห้านาที ตอนที่รถจอดนิ่งสนิท ได้ยินเสียงกุกกัก และมีคนมาเขย่าไหล่ เมื่อลืมตาก็เห็นใบหน้าของคาร่าลอยเด่น
“ถึงแล้ว
แต่เราต้องเดินกันต่อ” เด็กสาวบอก
อากาศชื้น
เย็นจัด แต่น่าสบาย ฝนหยุดตกแล้ว เบลคอ้าปากหาว
ประสาทสัมผัสรับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมใหม่ พวกเขาต้องจอดรถทิ้งไว้ตรงสุดทางอย่างช่วยไม่ได้
เขาหยิบขวดน้ำใส่กระเป๋าเป้และยกขึ้นสะพายหลัง ไม่รู้ว่าต้องเดินไกลหรือเปล่า
แต่จากท่าทางเตรียมความพร้อม ยืนยืดเส้นยืดสายของเด็กสาว เขาสรุปได้เลยว่าต้องเดินไกลอย่างแน่นอน
ไรลีย์ลงจากรถแล้ว หันมองไปรอบๆ เขาสังเกตวงแหวนสีคล้ำใต้ตาของเธอ
ท่าทางเหนื่อยอ่อน แสดงว่าช่วงที่เขาหลับไป เธอไม่ได้นอนเพิ่มเลยสักนิด เห็นสภาพอย่างนั้นแล้ว
เขาอดห่วงเพื่อนร่วมทางคนนี้ไม่ได้
“ไกลแค่ไหน?”
ไรลีย์เอ่ยถาม ขณะที่พวกเขาเริ่มออกเดินทางโดยมีคาร่าเป็นคนนำ
“ประมาณสองไมล์ครึ่งได้มั้ง”
คาร่าตอบ “ไม่ใช่ทางราบ แต่ต้องขึ้นไปบนเขา เห็นผาหินนั่นไหม?”
เด็กสาวชี้มือขึ้นไปด้านบน พวกเขาจึงเงยหน้ามองตาม เห็นผาหินขนาดใหญ่ ยอดสูงสุดดูไกลลิบแฝงตัวอยู่กลางต้นไพน์
“ยอดน้ำตกโยเซมิตีอยู่ข้างบน เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของที่นี่แล้ว สูงตั้งสองร้อยกว่าเมตร
พวกเราอยู่ที่นั่นแหละ มันหาไม่เจอหรอก เราย้ายที่ไปเรื่อยๆ แต่ช่วงอาทิตย์นี้
ยังอยู่บนยอดน้ำตกนะ สบายใจได้ ฉันไม่พาพวกนายเหนื่อยฟรีแน่ๆ
ถ้าพวกเราไม่หยุดพักเลย คงใช้เวลาสักเกือบสองชั่วโมง แต่ถ้าเหนื่อย
เราค่อยหยุดตอนที่ไปถึงครึ่งทาง ตกลงไหม”
เบลคกับไรลีย์พยักหน้า
“พวกเธอมารวมตัวกันได้ยังไง?” ไรลีย์ถาม
“ฉันก็ไม่แน่ใจ”
คาร่าส่ายศีรษะ “พวกเขาเจอฉันในหมู่บ้านแถวมาเดรา ฉันกำลังหนีหัวซุกหัวซุน
ถูกยิงหนึ่งนัดที่ขา หลบอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง กำลังคิดว่าจะต้องอดตาย
หรือไม่ก็เลือดออกจนตาย เฮนรี่มาเจอฉัน เขาเป็นตาแก่คนหนึ่งน่ะ ฉันคิดว่าเขาเป็นพวกมัน
เกือบยิงเขาตาย แต่เขาทิ้งปืน และเข้ามาช่วยฉัน พาฉันมาเจอกลุ่มไซคี
พวกเรารวมตัวอยู่กันเงียบๆ ย้ายที่ไปเรื่อย แต่ก็มีความหวังว่าจะสู้กับพวกมันได้
มีพวกนักวิทยาศาสตร์อยู่ในกลุ่มเราด้วยสองสามคน
ทหารที่หนีจากพวกมันทันก่อนจะถูกครอบงำ...”
“ครอบงำ?”
เบลคทวนคำ ขณะเดินเข้าไปในทางเดินที่แพ้วถางไว้แล้ว เขาคิดว่าแถวนี้คงเป็นทางเดินสำหรับนักเดินป่าที่จะขึ้นไปชมน้ำตก
ถึงจะแพ้วทางไว้อย่างดี แต่ยิ่งไกลยิ่งสูง ก็คงจะเดินลำบากขึ้น
“พวกเรามีทฤษฎีกันว่า
อยู่ๆรัฐบาลคงไม่บ้าลุกขึ้นมาฆ่าคน คิดสร้างยูโทเปีย
คือถ้าเป็นประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น มันอาจไม่แปลก แต่นี่
เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งโลก
แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่พวกเราอธิบายไม่ได้เกิดขึ้น” คาร่าหยุดไปครู่หนึ่ง
หยุดเดินด้วย หันมามองพวกเขา “พวกเราเคยจับพวกมันได้ครั้งหนึ่ง
แต่มันยิงตัวตายก่อนที่เราจะได้ถามอะไร ตอนที่มันตาย มีอะไรไม่รู้ ดำๆ เหมือนควัน
ลอยออกมาด้วย ลอยอยู่ครู่เดียวเองก็ไหลไปกับเลือดที่ออกมาจากร่างคน
พวกนักวิทยาศาสตร์เก็บตัวอย่างไปแล้วล่ะ
แต่เราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาได้อะไรจากมันบ้าง”
“ฉันเคยเห็นแบบนั้นอยู่ครั้งหนึ่ง”
เบลคพูดขึ้น นึกถึงวันนั้นที่สถานีตำรวจในนอร์ธแวนคูเวอร์ เขาฆ่าไปหนึ่งคน
และเห็นสสารแปลกปลอมไหลออกมาพร้อมกับเลือด มันดูเหมือนยังไม่ตาย
ทำท่าจะเกาะปืนด้วยซ้ำ เขาไม่ได้อยู่ดูต่อว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องหนี
“นายเคยฆ่าพวกมันได้หรอ?”
คาร่าถาม ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
“ทำนองนั้น”
เบลคพยักหน้า ยังครุ่นคิดถึงแต่สสารสีดำที่เขาเห็น
“ยอดไปเลย”
คาร่ายิ้มกว้าง “พวกเราอยากได้นักสู้อยู่พอดี ตอนนี้มีแต่เด็ก ผู้หญิง คนแก่ซะเยอะ
พวกที่สู้ได้ ก็มักจะ... ก็อย่างที่นายเห็นในโอเรกอนนั่นแหละ”
น้ำเสียงของเด็กสาวหมองเศร้าลง
“แล้วเธอไปทำอะไรที่โอเรกอน”
เบลคถามอย่างอยากรู้ พวกเขาเริ่มเดินกันต่อแล้ว ไรลีย์นั้นเงียบอย่างผิดปกติ
แต่เบลคไม่ได้หันไปมองเธอ ความสนใจของเขาอยู่ที่คาร่ากับข้อมูลใหม่ๆ
“พวกเราไปเอาข้อมูลเข้ารหัสระบบวงจรปิดภายในวอชิงตันดีซี”
คาร่าตอบ พลางก้าวเท้าขึ้นเนิน เหยียบไปบนก้อนหินอย่างระมัดระวัง
“พวกมันมีฐานย่อยอยู่ที่นั่น ทั้งกองกำลังทหาร อาวุธ เพียบเลย
อาจจะมีสสารนั่นด้วยก็ได้ ที่ใช้ครอบงำพวกเรา
พวกนักวิทยาศาสตร์อยากได้สสารบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในร่างมนุษย์
ลองคิดดูสิ ถ้าเราจู่โจมพวกมันได้ จัดการกับฐานย่อยนี้ได้
และทำให้ทุกคนที่โดนพวกมันครอบงำกลับมาเป็นเหมือนเดิม เราจะก็จะก้าวไปอีกขั้นของปฏิบัติการเอาโลกกลับคืนมาเป็นของเรา”
“เธอไม่เด็กไปหน่อยหรือที่จะออกไปเสี่ยงแบบนั้น”
เบลคถาม
“ถึงฉันตาย
ฉันก็ไม่เสียใจหรอก” คาร่าบอกอย่างไม่ยี่หระ “ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว
ทุกคนในครอบครัวฉันถูกพวกมันฆ่าหมด ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเลือกคนยังไง
แต่พ่อแม่กับพี่สาวของฉันไม่ใช่แบบที่พวกมันต้องการ ฉันเห็นพวกเขาตายต่อหน้า
โดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ถ้ามีโอกาส แม้เพียงนิดเดียวที่จะเอาคืนพวกมัน
ฉันก็อยากลอง พวกเราทุกคนที่ไซคี ล้วนแต่สูญเสียคนที่ตัวเองรักไป
ทั้งที่ถูกพวกมันเอาตัวไป และฆ่าทิ้ง มันไม่ยุติธรรมเลย จริงไหม พวกมันมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินว่าเราควรอยู่หรือตาย
คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือไง”
เบลคคิดถึงครอบครัวของเขาขึ้นมา
ไม่รู้ชะตากรรมว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ห่างกันคนละซีกโลก ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก
ต่างวนเวียนอยู่ในความคิดของตน ระหว่างที่เดินต่อไป พื้นลื่นเพราะน้ำฝน อากาศยังเย็นชื้นสบาย
แต่หัวใจของเบลคหนักอึ้ง อาจไม่มีบ้านหรือครอบครัวให้เขากลับไปหาอีกแล้ว
จริงอย่างที่คาร่าพูดทุกอย่าง
พวกมันคิดว่าตัวเองเป็นใคร ไม่ว่ามันจะเป็นมนุษย์ต่างดาว เชื้อโรค
หรือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหนก็ตาม มันมีสิทธิ์อะไร เขานึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่วอล์มาร์ท
มีทั้งคนแก่ ผู้หญิง เด็ก คนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา
เบลคใช้เวลากับคนเหล่านั้นเกือบเดือน พวกเขาช่วยเหลือกัน ดูแลกัน แต่พวกมันโผล่มา
ผู้ชายที่สวมชุดสีดำทั้งตัวคนนั้น มีอำนาจสั่งการทหาร
และมันสั่งให้ฆ่าทั้งหมดอย่างเลือดเย็น เมื่อนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาทีไร
ไฟที่เบลคไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในตัว ก็เหมือนจะปะทุแรง แผดเผาอยู่ภายในทรวงอก
คับแค้น ไม่เข้าใจ ต่อต้าน และอยากจะทำอะไรก็ได้ เพื่อดึงทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมา
เอาโลกใบเก่าคืน เอาชีวิตของผู้คนคืนกลับ เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่จะปล่อยให้พวกมัน ตัวบ้าบอที่ไหนก็ไม่รู้มาอาศัยร่างของมนุษย์
และทำเรื่องชั่วๆต่อไปได้ยังไง
เบลคมองแผ่นหลังของคาร่า
เด็กสาวอายุแค่สิบห้าปี แต่กลับแบกรับอะไรไว้เยอะแยะไม่สมตัว
จิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างที่หาได้ยากยิ่ง เบลคเห็นด้วยกับเธอ และในนาทีนั้น
เขาตัดสินใจ เขาตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะเข้าร่วมกลุ่มไซคี
และไม่ว่าพวกเขาจะต้องการอะไร เพื่อบรรลุเป้าหมายในการกวาดล้างพวกมัน
เบลคเอาหัวเป็นประกันเลยว่า เขาจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
เป็นหนึ่งในกองทัพที่ร่วมปฏิบัติการ และเขาจะต้องรอดชีวิต
สิ่งที่เขาต่างจากคาร่าก็คือ เบลคตั้งใจที่จะรอดชีวิตออกไปให้ได้
เขาจะกลับบ้านที่ออสเตรเลีย ไม่ว่าครอบครัวยังอยู่มีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม
และเมื่อโลกเข้าที่เข้าทาง เขาจะใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย อย่างเป็นอิสระ
พวกเขาตัดสินใจเดินโดยไม่หยุดพักเมื่อถึงครึ่งทาง
แม้แต่ไรลีย์ก็ทรหดอดทนใช่เล่น ทั้งที่เหงื่อไหลไคลย้อยและเหมือนจะเดินก้าวต่อไปไม่ไหว
แรงผลักดันภายในส่งผลมาถึงร่างกาย เบลครับรู้ถึงกล้ามเนื้อที่ร้องอุทธรณ์
แต่เขาอยู่ห่างจากความปวดเมื่อยเหล่านั้นได้ สมองสั่งการให้เดินต่อไป
เช่นเดียวกับจิตใจที่แน่วแน่ไม่แพ้กัน
ทางเริ่มชันมากขึ้นอย่างน่ากลัว
พวกเขามาถึงผาและต้องขึ้นไปถึงบนยอด มีบันไดแคบๆน่าหวาดเสียว
ถ้าก้าวพลาดก็อาจลื่นตกลงไปคอหักตายอยู่ด้านล่าง
แม้พื้นที่จะไม่เหมาะให้ยืนอ้อยอิ่ง แต่เบลคอดที่จะแอบหยุดดูเป็นระยะไม่ได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน
เขาคงยกกล้องขึ้นถ่ายรูปภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามขนาดนี้เก็บไว้แล้ว
ใช้กล้องสามสิบองศาด้วย ไว้ลงโซเชียลอวดเพื่อนๆ และเอาไปลงในแผนที่กูเกิล
สวยงามจนแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ เขาไม่แปลกใจเลยที่โยเซมิตีพาร์คมีชื่อเสียง
มันเป็นเพชรเม็ดงามเม็ดหนึ่งของแผ่นดินอเมริกาทีเดียว ภาพภูเขาซ้อนสลับ
ไพน์ผอมบางสูงใหญ่ยืนต้นต้านลม จากความสูงระดับนี้มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา
หุบเขาโค้งเว้าลงไปข้างล่าง เห็นพื้นหญ้ากับแนวต้นไม้
“ไปกันต่อเถอะ
อีกนิดเดียว” เสียงของคาร่าเรียกสติ ให้เดินตามเธอต่อ
ด่านแรกที่พวกเขาเจอคือกลุ่มคนถือปืน
เบลคมองเห็นว่ามีแม้กระทั่งบนก้อนหินที่อยู่สูงเหนือศีรษะขึ้นไป
ปากกระบอกปืนไรเฟิลชี้ตรงลงมาที่พวกเขา คาร่ายกมือขึ้นเหนือหัว
พวกเขาที่เหลือจึงทำตาม
“ฉันเอง
คาร่า รามิเรซ หน่วยสาม กลับจากภารกิจที่โอเรกอน” คาร่าตะโกนเสียงดัง
“พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉันรับรองได้” เท่านั้นปืนไรเฟิลก็ถูกดึงหายไป
คาร่าผ่อนลมหายใจ “พวกเขาเป็นยามเฝ้าทางเข้า ไม่มีอะไรหรอก เดินต่อเถอะ”
คาร่าชี้แจง และพาเดินอ้อมไปขึ้นบันไดชันอีกครั้ง
เมื่อมาถึงด้านบนสุด
ลานหินโล่งเต็มไปด้วยเต็นท์หลากสีสัน ผู้คนจำนวนมากแบบที่เบลคไม่ได้เห็นมานานแล้ว
หัวใจของเขาพองโตขึ้นมา ในที่สุดก็ทำสำเร็จ เขามาถึงแล้ว เขาหาพบแล้ว
กลุ่มมนุษย์กลุ่มใหญ่ที่ยังรอดชีวิต
จากตอนแรกที่เคยแอบกลัวว่าจะเป็นการเดินทางอันสูญเปล่า
เขาดีใจที่ตัวเองเชื่อมั่นและไม่ยอมแพ้ นี่อาจเป็นภาพที่สวยยิ่งกว่าทิวทัศน์ของโยเซมิตีพาร์คเสียอีก
คาร่าเดินนำไปยังเต็นท์หลังหนึ่ง เขาเห็นชายแก่ผมหงอกในเสื้อลายดอกนั่งอยู่กลางวงโดยมีเด็กชายเด็กหญิงอายุประมาณหกเจ็ดขวบนั่งล้อม
กำลังฟังสิ่งที่ชายชราพูดอย่างออกรส
“โยว่
ตาแก่” คาร่าทักทายอย่างเป็นกันเองสุด ชายชราคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง
ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างขวาง ร้องเสียงดังอย่างดีใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไง
ไอ้พริกขี้หนู” ตาแก่ในชุดลายดอกไม้เหมือนใส่ริมหาดฮาวายเดินออกมาแปะมือกับเด็กสาว
ราวกับเป็นคนรุ่นเดียวกัน “นึกว่าเอ็งตายไปแล้วซะอีก”
“ปากไม่เป็นมงคลเหมือนเดิม”
คาร่าส่ายหัว
“แล้วคนอื่นๆล่ะ”
ตาแก่ถาม ทำให้คาร่าเม้มริมฝีปาก ใบหน้าหมองลง ส่ายหน้าอย่างเศร้าๆ
คนถามเหมือนจะรู้คำตอบได้ทันที จึงตบหลังเด็กสาวดังแอ้กสองสามที “เข้าใจๆ
แล้วนี่พาใครมา หน้าใหม่เรอะ” ตาแก่หันมาทางเบลคกับไรลีย์เป็นครั้งแรก ทำตาหยี
เหมือนมองเห็นไม่ชัด แล้วก็หยิบแว่นตาที่เหน็บไว้กับปกเสื้อขึ้นมาสวม
“ไปเก็บมาจากแถวไหนล่ะ ชื่ออะไรกันบ้าง”
“พวกเขาช่วยชีวิตฉันไว้”
คาร่าบอก แล้วก็แนะนำชื่อแทนพวกเขาเสร็จสรรพ
“เออ
ขอบใจที่ช่วยไอ้เด็กนี่ไว้” ชายชราบอก วางมือลงบนผมฟูๆของคาร่าอย่างเอ็นดู
“ฉันชื่อเฮนรี่ มาร์เรน เรียกเฮนรี่เฉยๆก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก”
พวกเขาจับมือกับชายชรา เบลคสัมผัสได้ว่ามือหยาบกร้านมากทีเดียว
เหมือนคนที่ผ่านวิบากกรรมยาเยอะ แต่ก็ยังคงมีท่าทางร่าเริงแจ่มใส “มานั่งกับฉันก่อนก็ได้
ไอ้พริกขี้หนูคงต้องไปรายงานตัวกับหัวหน้าหญ่าย”
เฮนรี่ลากเสียงยาวที่คำหลังสุดอย่างล้อเลียน
“ฝากด้วยแล้วกันนะ
ตาแก่ เดี๋ยวฉันกลับมา” คาร่าบอกทิ้งท้าย แล้วก็รีบวิ่งไปทางอื่น
เบลคกับไรลีย์จึงนั่งลงกับพวกเด็กๆ
เขาคิดว่าตัวเองเก้งก้างมากที่สุดเวลาอยู่กับเด็กแล้วนะ
แต่ไรลีย์ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเขา เธอประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อมีเด็กผู้หญิงจ้องหน้า เธอก็หลบสายตา พอมองดูแบบนี้ เธอน่ารักดีเหมือนกัน
ในบรรดาเรื่องแปลกของไรลีย์ เรื่องนี้ธรรมดาและน่าเอ็นดู
เฮนรี่บอกให้เด็กๆแยกย้ายกันไปเล่นที่อื่น ส่วนตัวเขาพาเบลคกับไรลีย์เดินดูให้รอบ
เฮนรี่บอกว่าพวกเขามีกันประมาณหนึ่งร้อยคนเห็นจะได้ และคงจะขยับขยายมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขามีการแบ่งหน้าที่ต่างกันออกไป อย่างหน้าที่ของเฮนรี่คือดูแลเด็กเล็ก
เล่านิทาน สอนอ่านเขียน พวกผู้หญิงจะทำกับข้าว มีผู้ชายที่เป็นช่าง
เป็นหน่วยลาดตระเวน และมีกลุ่มที่เป็นแบบคาร่า คืออาสาทำภารกิจออกไปเสี่ยงนอกค่าย
กลุ่มที่สูงอายุขึ้นมาหน่อย จะช่วยทำงานเล็กน้อยเท่าที่พอจะทำได้
มีนักวิทยาศาสตร์อยู่ด้วยห้าคน แพทย์สามคนที่มีงานล้นมือแทบทุกวัน พวกเขาต้องคอยดูแลเรื่องความสะอาดให้ดี
เพราะคนหนึ่งร้อยคนมาอาศัยอยู่รวมกัน เรื่องโรคเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องควบคุมดูแล
ไรลีย์ถามเรื่องอาหารขึ้นมาอย่างสงสัยว่าพวกเขาจัดการอย่างไร
เฮนรี่ตอบว่ามีหน่วยล่าสัตว์ และหาเสบียงอยู่จำนวนมากทีเดียว
พวกนี้ทำงานเหนื่อยทุกวัน เพื่อเก็บตุนเสบียง ส่วนเรื่องน้ำดื่มและน้ำใช้
พวกเขาเดินไปใช้ที่น้ำตก
เฮนรี่กำลังจะหาที่พักให้ทั้งสองคน
พอดีกับที่คาร่าวิ่งโร่เข้ามาหยุดหอบแฮ่กๆ “ไพรเออร์ หัวหน้าของฉันอยากเจอนาย เบลค
ฉันเล่าเรื่องนายให้เธอฟัง เธอก็เลยอยากรู้ว่านายยินดีจะเข้าหน่วยสอดแนมและจู่โจมไหม
พวกเขากำลังจะประชุมหารือเกี่ยวกับข้อมูลที่ฉันได้มาจากโอเรกอน นายจะว่าไง?”
ไรลีย์มองหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำเงินบอกเป็นนัยว่า อย่าหาเรื่องใส่ตัว แต่เบลคตัดสินใจไปก่อนหน้านี้แล้ว
ต่อให้ทางไซคีไม่เอ่ยชวน เขาก็จะหาทางเสนอหน้าเข้าไปอยู่ดี
“ฉันเอาด้วย”
และนั่นเป็นคำตอบสุดท้าย
ความคิดเห็น