คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chat
Northern Lights
Chapter 10 : Chat
มโนราห์กลับถึงโรงแรมด้วยสภาพเบลอ
เดินกลับมาถูกโดยไม่หลงทาง นับว่าเก่งแล้ว นอกจากเขินจนเจียนเป็นลม
ต้องเรียกรถพยาบาลมาหามไป ค่าจ้างที่เธอได้
ยิ่งกว่างานวาดภาพบุคคลที่เคยรับมาทั้งหมด ไม่รู้ว่าคุณอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ดถูกใจอะไรนักหนา
โอนเงินเข้าบัญชี
Paypal ของเธอ ตีเป็นเงินไทยแล้ว ตัวเลขแรกคือเลขสี่
ตามด้วยศูนย์อีกสี่ตัว นี่มันบ้าชัดๆ นี่มันเสียสติแล้ว
เธอเช็คยอดแล้วคิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาด จึงรีบวิ่งกลับเข้าไปใหม่อีกรอบ เพื่อขอให้คุณอเล็กซานเดอร์เช็คยอดเงินอีกที
แต่เขาบอกว่าไม่ใช่ความผิดพลาด เธอท้วงติงไปว่ารับจำนวนเงินเยอะขนาดนี้ไม่ได้จริงๆ
แล้วรู้ไหมว่าเขาตอบกลับมาอย่างไร
“คืนพรุ่งนี้มีถนนคนเดินแล้วใช่ไหมครับ
ผมรบกวนคุณช่วยเป็นไกด์พาเดินและถามราคาสินค้าให้ เพราะถ้าพวกเราไปกันเอง
พ่อค้าแม่ค้าเห็นหน้าตาตะวันตกอย่างนี้จะเพิ่มราคา ผมไม่ได้จะกล่าวหาว่าเป็นเหมือนกันหมดนะ
แต่ผมเคยเจอมาแล้วตอนเดินไปซื้อกล้วยปิ้งแถวหน้าโรงแรม”
“ก็ได้ค่ะ” มโนราห์ปฏิเสธไม่ได้
เล่นยัดเยียดเงินลงบัญชีเธอมาแล้วนี่ มัดมือชกกันเห็นๆ
อีกอย่างพ่อค้าแม่ค้าชอบขึ้นราคาจริง เมื่อมีลูกค้าเป็นฝรั่งเข้ามาทำท่าสนใจอยากซื้อของ
“พรุ่งนี้คุณมโนราห์กับครอบครัวจะไปเที่ยวที่ไหนกันครับ”
วอลเตอร์ถามอย่างเป็นมิตร เหมือนชวนคุยธรรมดา
“พวกเราจ้างรถท้องถิ่นไว้สองคัน
ให้พาขึ้นดอยอินทนนท์ค่ะ” มโนราห์ตอบ
“ใช่ที่มีน้ำตกตามทางเยอะๆไหมครับ”
วอลเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้า
“พี่บิล ไปกันเถอะ ขึ้นดอยกัน”
วอลเตอร์หันไปกระตุกแขนพี่ชาย
บิลมองน้องชายแล้วมองพี่ชายอย่างถามความเห็น
ก่อนจะตอบ “อืม ไปสิ” ลูกนัยน์ตาสีเขียวโตๆเลื่อนมามองที่มโนราห์ “พวกคุณจะออกเดินทางกี่โมง
ให้พวกเราขับตามไปด้วยได้ไหม?”
“หกโมงครึ่งค่ะ”
“นายตื่นไม่ไหวหรอก บิล”
อเล็กซานเดอร์ส่ายหน้าไปมา “วันนี้นายยังตื่นเกือบเที่ยง”
“ตื่นได้” บิลแย้งเสียงเข้ม
ถลึงตามองพี่ชายเล็กน้อย
“ถ้างั้นก็โอเค” อเล็กซานเดอร์ฉีกยิ้ม
“คุณจ้างรถแค่สองคัน นั่งไปพอหรือครับ”
“พอค่ะ” มโนราห์ยิ้มตอบ “แต่ละคัน นั่งเบาะหน้าข้างคนขับหนึ่งคน
นั่งเบาะหลังสี่คน ครอบครัวฉันมีแต่คนตัวเล็กๆ และมีหลานชายอายุแค่สิบขวบ
เขายังตัวเล็กอยู่เลย นั่งได้สบาย”
“รถของพวกเราเหลือที่นั่งอีกหนึ่งที่นะครับ”
อเล็กซานเดอร์บอก “คุณมากับเราได้ ไม่ต้องเกรงใจ
อันที่จริงพวกเราต่างหากที่ต้องเกรงใจ ขอตามไปเที่ยวด้วยอย่างนี้
คุณไม่รังเกียจใช่ไหมครับ คือพวกเราไม่ได้มีแผนเที่ยวจริงจังว่าจะไปไหนบ้าง
และแทบไม่รู้จักแถวนี้เลย”
ตอนนั้นฟังก์ชันในสมองตีกันรวนไปหมด
ชายหนุ่มบ้านสการ์สการ์ดสามคนยืนมองเธอด้วยสายตาเหมือนอ้อนวอน ถามจริงๆนะ
มีใครทนได้บ้าง มีใครปฏิเสธได้ลง พวกสวีดิชบอยนี่น่ากลัวชะมัด แต่มโนราห์ยืนยันว่าจะนั่งรถไปกับคนในครอบครัว
พวกเขาสามารถขับรถตามไปเที่ยวด้วยกันได้ เธอไม่มีปัญหาในจุดนี้ แค่เธอยืนคุยกับพวกเขาในล็อบบี
เธอก็หัวใจจะวายแล้ว ถ้านั่งรถคันเดียวกัน
พวกเขาอาจต้องส่งเธอไปโรงพยาบาลแทนไปเที่ยวดอยอินทนนท์
มโนราห์ไม่คิดว่าจะรับมือกับความขัดเขินได้ โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าบิล สการ์สการ์ด
เธอมีปัญหากับการมองหน้าเขาเยอะที่สุดแล้ว
เมื่อมโนราห์กลับถึงโรงแรม
เธอเล่าให้ทุกคนในครอบครัวที่โต๊ะอาหารเย็นฟังว่าการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
และพรุ่งนี้พวกเขาจะมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มอีกสามคน
ปฏิกิริยาของทุกคนในครอบครัวแตกต่างกันออกไป เริ่มจากพี่สะใภ้ทั้งสาม
พวกเธอล้วนตื่นเต้นที่จะได้เจอนักแสดงชาวสวีเดนอีกครั้ง
พี่ฟางบอกว่าแอบไปค้นชื่อทุกคนในกูเกิลมาแล้ว คุณอเล็กซานเดอร์แซ่บเว่อร์วัง
ชวนกำเดาไหล นี่ถ้าเจอก่อนจะแต่งงาน พี่ฟางจะจีบคุณอเล็กซานเดอร์แทน พี่จ่างผู้เป็นสามีหัวเราะแห้งๆอยู่ข้างตัว
ป้าตื่นเต้นไปด้วยอีกคน ป้าชอบเจอคนใหม่ๆตามประสาคนชอบผูกมิตร ยิ่งเป็นคนดัง
ป้ายิ่งอยากเจออยากรู้จัก แม่ของมโนราห์กับพี่ชายทั้งสาม
มีความคิดคล้ายๆกันคือระแวงไว้ก่อน แม่ซักถามมโนราห์อย่างละเอียดถึงสิ่งที่พวกเขาพูด
พี่จอมนั่งกอดอกครุ่นคิด พี่จ่างมีอคติกับอเล็กซานเดอร์ตั้งแต่ยังไม่เจอหน้า
เพราะพี่ฟางชื่นชมเสียเหลือเกิน พี่จินหรี่ตามองมโนราห์
และเปิดประเด็นที่น่าตบกะโหลกร้าวที่สุด
“อเล็กซานเดอร์อะไรนั่น กำลังจีบแกใช่ไหม
ไอ้โม”
“ไม่ใช่!” ไอ้บ้า จีบอะไรเล่า
“เอ๊า มันน่าคิดนะเว้ย แกลองคิดดู”
พี่จินชูนิ้วโป้งขึ้นมา “หนึ่ง แกเคยเจอเขาแล้วที่สวีเดน
เขาถ่ายรูปเซลฟี่โดยใช้กล้องมือถือของเขาเองด้วย ไม่ใช่แค่กล้องมือถือของแก”
พี่จินชูนิ้วชี้ต่อ “สอง อยู่ๆเขาก็มาเที่ยวไทย แล้วบังเอิญเจอแก
แกแน่ใจนะว่าเขาไม่รู้แอคเคาท์ทวิตเตอร์กับยูทูปของแก ถ้าเขามาเที่ยวที่นี่ เพราะเป็นสตลอกเกอร์
ตามแกมาล่ะ...”
“พอเลย” มโนราห์ปัดนิ้วพี่ชายออกไป “เพ้อเจ้อใหญ่ละ
นี่พี่รู้ไหมว่าจากสวีเดนมาไทย นั่งเครื่องบินกี่ชั่วโมง แล้ววันๆหนึ่ง
เขาเจอผู้หญิงที่สวยเช้งกว่าโมกี่เท่าและกี่คน”
“เขาอาจอยากลองของแปลก”
พี่จอมพูดนิ่มๆ แต่น่าต่อยหัวพอกัน
“หรือเหมารวมว่าผู้หญิงไทยใจง่าย”
พี่จ่างพูด ชำเลืองมองภรรยาเล็กน้อย พี่ฟางรู้ทันว่าหมายถึงใคร จึงยกมือข้างหนึ่งเท้าเอวเตรียมหาเรื่องสามีแล้ว
มืออีกข้างยกเตรียมฟาด “ขอโทษครับ ไม่พูดแล้วคร้าบ” พี่จ่างยกมือไหว้
แต่คุณภรรยาก็ถวายฝ่ามือลงไปอยู่ดี
“เยี่ยมค่ะ พี่ฟาง”
พี่น้ำยกนิ้วโป้งให้ แล้วหันไปถลึงตามองคุณจินผู้เป็นสามีอย่างโกรธๆ “ไม่ต้องพูดแล้ว
จิน คนระดับนั้นไม่เป็นสตลอกเกอร์โรคจิตตามโมมาจากทวิตเตอร์กับยูทูปหรอกน่า
แต่ถึงจะเป็นนะ... ฉันก็ยอมให้เขาสตลอกยัยโม
เขาดูดีกว่าไอ้เวรแฟนเก่าของยัยโมทุกคนรวมกันเลย”
“เราเลิกพูดเรื่องนี้แล้วกินข้าวกันเถอะ
โมขอร้อง” มโนราห์กล่าวอย่างอ้อนวอน
หลังอาหารเย็น
มโนราห์ออกไปนั่งริมสระว่ายน้ำคนเดียว เธอต้องการเวลาสงบอารมณ์และอยู่ห่างจากทุกคน
ช่างเป็นวันที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยเรื่องบ้าบอ พี่จินก็ช่างคิดได้
เธอบอกไปแล้วว่าที่พวกสการ์สการ์ดจะตามไปด้วย เพราะไม่รู้จะไปไหน
มาแบบไม่มีแผนการท่องเที่ยวชัดเจน
แถมประเทศไทยเองก็มีมิจฉาชีพเยอะแยะที่อยากล่อลวงนักท่องเที่ยวด้วย
ทำไมคนในครอบครัวเธอไม่รับฟังเฉยๆบ้าง ชอบแสดงความคิดเห็นแบบออกทะเล
หรือระแวงไปหมดอย่างแม่ของเธอ นิสัยขี้ระแวงที่เธอมี ก็เพราะทุกคนในบ้านนี่เอง
ตั้งแต่เด็กแล้วที่มโนราห์ไม่สามารถไปเที่ยวกับเพื่อนอย่างอิสระได้ตามใจชอบ
เรื่องทุกอย่างของเธอ ไม่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวเลย จะต้องมีพี่ชายคนใดคนหนึ่งสืบจนรู้
อย่างเรื่องที่เธอมีแฟน เธอไม่ได้อยากจะบอกใคร แต่ก็ดันมีคนข้างบ้านเดินไปเจอเธอที่ห้างสรรพสินค้าตอนเดทกับแฟน
หรือพี่ชายมาส่องในเฟซบุ๊ก เธอไม่เคยโพสประกาศ ไม่ลงรูปคู่ แต่พวกเขาก็จับได้อยู่ดี
ในสายตาพวกเขา เธอคงเหมือนหนังสือที่อ่านง่ายมากๆเลย
มีครอบครัวใหญ่ อาจจะอบอุ่น
มโนราห์ไม่เคยรู้สึกว่าขาดสิ่งใดไป แม้พ่อจะทิ้งไปแล้วก็ตาม เพราะมีพี่และป้าเอาใจใส่อย่างมาก
แต่บางทีก็มากเกินไป
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาเข้าหน้าข้อความลับของทวิตเตอร์
คุณไวล์ดสการ์ที่อายุสี่สิบหรือหกสิบแล้ว น่าจะพอเข้าใจและให้คำแนะนำดีๆได้
เธอรู้สึกอยากระบายให้ใครสักคนฟัง โดยไม่ใช่คนรู้จัก
“คุณเคยเบื่อหน่ายคนในครอบครัวไหมคะ?”
มโนราห์ถอนหายใจ ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น วางคางเกยหัวเข่า
เห็นจุดสามจุดเด้งขึ้นมาแล้ว
“เคย” เขาตอบ “มีบางครั้งที่ผมต้องการพื้นที่ส่วนตัว
อยากมีความลับ แต่พวกเขาก็ดันรู้จนได้”
“เหมือนกันเลยค่ะ!” เธอพิมพ์ทันที “ฉันรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วง
แต่บางที... มันเยอะไปหน่อย และบางครั้งพวกเขาก็ชอบล้อเลียนฉันด้วย มีคนในครอบครัวล้อคุณไหมคะ”
“มีสิ” เขาตอบไว “เป็นเรื่องปกติในหมู่พี่น้อง
ล้อเล่นเรื่องเล็กๆบ้าง ใหญ่บ้าง ผมเคยโกรธ ไม่คุยกับพี่ชายหลายวัน”
“ฉันไม่เคยแสดงออกว่ากำลังโกรธพวกเขาได้เลยค่ะ”
เธอส่งอิโมจิหน้าร้องไห้ “แม่จะนั่งบ่นฉันอีกยาว
ส่วนใหญ่ฉันจะเก็บความรู้สึกเอาไว้ทั้งหมด แปลกนะคะ พวกเขาขยันสอดรู้เรื่องฉันทุกอย่าง
แต่กลับไม่รู้ว่าฉันกำลังรู้สึกยังไง”
“ผมเคยเจอแบบคุณ” เขาพิมพ์ตอบ “ผมแก้ปัญหาด้วยการพูดออกไปตรงๆ
ผมรู้ว่าวัฒนธรรมเราอาจจะต่างกันเยอะ แต่ผมคิดว่าการบอกตรงๆว่าคุณกำลังรู้สึกยังไง
ให้พวกเขารับรู้บ้าง น่าจะช่วยได้นะ”
มโนราห์เงียบไปครู่หนึ่ง
ความทรงจำย่ำแย่สมัยวัยรุ่นแวบกลับเข้ามา
เธอเคยทะเลาะกับป้าเรื่องให้เพื่อนยืมของไปใช้ ป้าไม่อยากให้ยืม
เธอเกรงใจเพื่อนเกินกว่าจะปฏิเสธ สุดท้ายกลายเป็นว่าเธอทะเลาะกับป้า
ทั้งอึดอัดทั้งไม่สบายใจ ตอนนั้นเครียดเรื่องสอบอยู่ด้วย มโนราห์ร้องไห้แล้วบอกว่า
อย่ายุ่งได้ไหม โมทนไม่ไหวแล้วนะ ป้าของเธอตะโกนกลับมาเสียงดังกว่าเดิมอีก
ตั้งแต่นั้นเธอจึงเลือกที่จะไม่บอกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เขาพิมพ์กลับมาอีกครั้ง “คุณบอกผมก็ได้ว่าคุณกำลังรู้สึกอย่างไร ผมรับฟังให้เอง”
.....................................................
วอลเตอร์ชวนบิลอีกครั้งว่าจะออกไปผับด้วยกันไหม
และบิลปฏิเสธเป็นที่เรียบร้อย ถ้าพรุ่งนี้เขาต้องเป็นคนขับรถ เขาไม่ดื่มจะดีกว่า
แถมต้องตื่นเช้าอีก อเล็กซานเดอร์จึงไปข้างนอกกับวอลเตอร์แค่สองคน
ขณะที่บิลนอนเหยียดคว่ำหน้าบนเตียง ตอบข้อความของหญิงสาวคนหนึ่งในทวิตเตอร์
เธอไม่ได้เล่ารายละเอียดส่วนตัว ไม่ได้เปิดเผยมากนัก แต่เขาพอจะเข้าใจ
และได้เรียนรู้วัฒนธรรมครอบครัวเอเชียไปด้วยในตัว ต่างกันลิบลับทีเดียว
เธอเรียนจบตอนอายุยี่สิบสอง แต่คนที่บ้านก็ยังไม่ค่อยไปให้ไปไหนมาไหนตามใจชอบ
ขณะที่เขาบินไปอเมริกาตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด เพราะได้รับบทในซีรีส์ Hemlock Grove ตอนนั้นยังไม่มีใบขับขี่ อาศัยให้โทไบอัสกับโรบิน
เพื่อนสนิทช่วยขับรถให้ พวกเขาสามคนมีเงินไม่มากนัก แทบจะนอนกันบนรถด้วยซ้ำ
ชีวิตตอนนั้นลำบากลำบน เป็นครั้งแรกที่คนในครอบครัวไม่ยุ่งกับชีวิตเขาเลย
เพราะสเตลแลนสั่งไว้ ปล่อยให้บิลจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เขารู้สึกเห็นใจโมเนต์
การเติบโตในครอบครัวคนเอเชีย คงยากพอๆกับครอบครัวนักแสดงอย่างเขา
เพียงแต่เขาต้องรับความกดดันจากภายนอก ความคาดหวังของผู้คน
ขณะที่เธอรับความกดดันจากภายใน
เขาคุยกับเธอไปเรื่อยๆ
พิมพ์ข้อความโต้ตอบหากัน จนเธอรู้สึกดีกว่าเดิม
เธอกล่าวขอบคุณเขาที่รับฟังคนแปลกหน้าอย่างเธอ
“ฉันว่าคุณเป็นคุณลุงที่ใจดีมากๆคนหนึ่งเลยนะคะ”
เดี๋ยว!
ยิ้มหดหายไปจากใบหน้าของบิลเป็นปลิดทิ้ง ทำไมถึงคิดว่าเขาอายุรุ่นลุง? เดี๋ยวก่อน
อะไรทำให้คิดอย่างนั้น แต่บิลก็หัวเราะออกมา เขาพลิกตัวนอนหงาย
อ่านประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ นอกจากไม่โกรธ ยังรู้สึกเอ็นดูอีกต่างหาก
นี่เขาคงบ้าไปแล้ว ถ้าเธออยู่ตรงนี้ เขาคงอยากลูบหัว อยากม้วนเส้นผมสีดำยุ่งๆนั่นไว้ระหว่างนิ้ว
“ขอบคุณจริงๆค่ะ ถ้าคุณมีปัญหา
ไม่รู้จะคุยกับใคร บอกคนแปลกหน้าอย่างฉันก็ได้ การคุยกับคนแปลกหน้าที่อยู่ไกลมาก
อาจฟังดูแปลก แต่ก็ช่วยให้เราหัวโล่งขึ้นได้”
ช่างไม่รู้เลย เขาอยู่ใกล้แค่นี้เอง
บิลพิมพ์ข้อความตอบว่าขอบคุณ และเขาเห็นด้วยกับเธอที่การพูดคุยกับคนแปลกหน้าก็มีข้อดี
อย่างน้อยอาจได้เห็นมุมมองใหม่ที่ไม่ทันมอง เธอบอกว่าเธอต้องไปแล้ว
หลานชายชวนเล่นเกม เขาจึงบอกราตรีสวัสดิ์ล่วงหน้า
เธอตอบด้วยคำว่าราตรีสวัสดิ์เช่นกัน
คืนนี้บิลเข้านอนเร็ว เขาหลับตั้งแต่สี่ทุ่ม
รู้สึกตัวกลางดึกประมาณห้าทุ่มเพราะวอลเตอร์กลับเข้าห้องมาแล้ว บิลลืมตามอง
เห็นน้องชายทิ้งตัวลงบนเตียงและส่งเสียงกรนออกมาทันที
ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวนอนต่อ บิลตื่นอีกรอบเพราะนาฬิกาปลุกตอนตีห้าสี่สิบห้า
เขาลุกอย่างงัวเงีย ยังคงเกลียดการตื่นเช้า เขาเดินข้ามไปอีกเตียง
ตีข้อเท้าน้องชาย ปลุกให้ตื่น วอลเตอร์ส่งเสียงอู้อี้
เริ่มขยับตัวตอนที่บิลเดินเข้าห้องน้ำแล้ว
บิลสวมเสื้อยีนตัวใหญ่สีฟ้าและกางเกงขายาวสีดำ
เขาพับแขนเสื้อมาไว้ที่ข้อศอก วอลเตอร์ยังหน้าตาง่วงสุดขีดเมื่อตามพี่ชายไปเคาะประตูห้องอเล็กซานเดอร์
พี่ชายคนโตของเขาพร้อมแล้ว สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยหล่อเหลา แค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีน
แต่คุณพี่อเล็กซานเดอร์ก็สามารถดูมีเสน่ห์ได้
“ไม่ยุติธรรมเลย” วอลเตอร์บ่น “พี่หล่อเนี้ยบขนาดนี้ได้ไง
แล้วดูผมสิ”
“อายุเยอะแล้วจะมีประสบการณ์ไปเอง”
อเล็กซานเดอร์บอก พร้อมยักคิ้ว
วอลเตอร์กลอกตา
ส่วนบิลหัวเราะน้องชายอย่างอารมณ์ดี พวกเขาออกจากโรงแรม วันนี้บิลเป็นคนขับรถเอง
วอลเตอร์นั่งข้างๆ และอเล็กซานเดอร์ครอบครองเบาะหลัง
พวกเขาแวะไปโรงแรมที่โมเนต์พักก่อน ตรงตามเวลาที่นัดหมายไว้พอดี
เขาเห็นพี่สะใภ้ของเธอสวมเสื้อผ้าต่างสีกันกับกางเกงยีน
พี่ชายทั้งสามของเธอกำลังคุยกับคนขับรถ ผู้หญิงสูงวัยสองคนที่ยืนอยู่ใกล้กันคงจะเป็นแม่กับป้าของเธอ
เขาเห็นเธอแล้ว เพิ่งเดินออกจากประตู วันนี้สวมเสื้อยืดสีชมพู สกรีนลายหยดน้ำฝนขนาดเล็กไว้ทั่วตัว
กางเกงห้าส่วนสีดำ และรองเท้าผ้าใบสีขาว เธอหิ้วถุงผ้าสีเหลืองลายตัวการ์ตูนด้วย
เมื่อสังเกตดีๆ เขาจึงเห็นว่าเป็นลายการ์ตูนมูมิน
อเล็กซานเดอร์เก่งเรื่องผูกมิตรมากที่สุด
เขาเดินนำไปทักทายครอบครัวนั้นก่อนใคร
ไม่มีพี่ชายคนใดของโมเนต์ที่ตัวสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรเลย
ล้วนต้องเงยหน้ามองทั้งนั้น พวกเขาใช้เวลาแนะนำตัวกันเกือบสิบนาที
โมเนต์ทำหน้าที่เป็นล่ามให้ อเล็กซานเดอร์ทั้งสุภาพ น่ารัก เป็นกันเอง
สักพักบิลก็เห็นรอยยิ้มจากทุกคนในครอบครัวของเธอ ถ้าเขามาคนเดียว
คงทำไม่ได้อย่างนี้
“นี่เราต้องนั่งเบียดเบาะหลังกันสี่คนจริงๆหรอ
มันอึดอัดเหมือนกันนะ” พี่ขวัญเปิดประเด็นเมื่อเห็นสภาพรถรับจ้างทั้งสองคัน
ประโยคนี้โมเนต์ไม่ได้แปล หนุ่มๆบ้านสการ์สการ์ดจึงไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วพี่น้ำที่สามารถพูดและเข้าใจภาษาอังกฤษ
เป็นคนแปล แถมเพิ่มข้อความเข้าไปอีกว่าทางก็ไกล ต้องขึ้นเขา
กำลังคิดกันว่าจ้างรถเพิ่มอีกคันดีไหม
“ให้คุณแม่หรือคุณป้าไปนั่งกับพวกเราได้ครับ
ยังไงก็ไปที่เดียวกันอยู่แล้ว พวกเรายินดี” บิลเสนอ “จะให้หลานชายของคุณมาด้วยก็ได้
มีที่เหลือ พวกคุณจะได้นั่งสบาย” เขาพูดกับโมเนต์ ระหว่างที่เธอกำลังคิด
น้ำจัดการแปลเป็นภาษาไทยให้ทุกคนฟังแล้ว
“ไม่เอาๆ” ป้าโบกมือปฏิเสธไปมา “ให้ฉันไปนั่งด้วยก็พูดกับเขาไม่เข้าใจ”
“แม่ก็ไม่ไปนะ” แม่ส่ายหน้ารัว
บิลพอจะเข้าใจเพิ่มแล้วว่าทำไมโมเนต์รู้สึกเบื่อหน่ายครอบครัวตัวเองเป็นบางครั้ง
เธอต้องมีความอดทนสูงจริงๆในการรับมือกับความต้องการของคนจำนวนมากเท่านี้
คุยกันไปคุยกันมา เกี่ยงกันไปมา สรุปแล้วบิลก็ได้ตามที่ต้องการ เขาเสนอให้ป้าหรือแม่ของเธอมานั่งด้วย
แต่ในใจจริงแล้ว เขารู้ว่าทั้งสองคนจะปฏิเสธ และคนที่จะมาด้วยไม่พ้นโมเนต์แน่นอน แต่กว่าจะได้ออกเดินทาง
เธอยืนคุยอะไรกับแม่และพี่ชายคนโตก็ไม่รู้ โมเนต์พยักหน้าหงึกหงักซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนรับคำสั่ง
“ครอบครัวเอเชียนี่น่ากลัวจังครับ”
วอลเตอร์กระซิบกับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งฝ่ายหลังพยักหน้าเห็นด้วย
“งานหนักหน่อยนะ”
อเล็กซานเดอร์ตบบ่าบิลอย่างหนักหน่วง
บิลไม่ได้ตอบ
เพราะโมเนต์กำลังเดินมาทางพวกเขา เธอยิ้มอย่างไม่มั่นใจนัก แต่อย่างน้อยก็ยิ้ม “รบกวนด้วยนะคะ”
ไม่รบกวนสักนิด
“พวกคุณกินอาหารเช้ากันหรือยังคะ?”
เธอถาม
“ยังครับ” วอลเตอร์เป็นคนตอบ ระหว่างเดินกันไปที่รถ
เธอยิ้มกว้างกว่าเดิม
หยิบถุงกระดาษสามถุงออกจากกระเป๋าผ้า “ฉันซื้อแซนด์วิชกับนมของโรงแรมมาให้ค่ะ
คิดไว้แล้วว่าต้องยังไม่ได้กินอาหารเช้าแน่เลย ถ้าไม่รังเกียจ...”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค วอลเตอร์คว้าถุงกระดาษไปคนแรก
“ช่วยชีวิตผมไว้แท้ๆ ขอบคุณครับ”
วอลเตอร์ฉีกยิ้มกว้าง
“ขอบคุณครับ” อเล็กซานเดอร์กล่าวและหยิบไปอีกถุง
บิลมองถุงกระดาษใบสุดท้าย
เธอยิ้มแบบไม่เห็นฟัน พวงแก้มสองข้างขยายกลมยุ้ยเวลาที่เธอยิ้มแบบนี้ โมเนต์ยื่นถุงกระดาษออกมาด้านหน้า
“ขอบคุณ” เขาบอก และยิ้มให้เธอ
TALK
กาวกันอย่างต่อเนื่อง กาวแบบไม่พัก 555+
อาจจะไม่ได้เล่าช่วงขึ้นดอยอินทนนท์นะคะ แบบว่า...กล่าวถึงเล็กน้อยในตอนต่อไป เล่าแบบเร็วๆสไตล์ฉันอะค่ะ เพราะเท่าที่นึกภาพดูแล้ว ไม่ค่อยมีฉากที่รู้สึกอยากเล่าเท่าไหร่ มีจุดอื่นที่อยากเล่ามากกว่าค่ะ
แล้วพบกันตอนต่อไปนะคะ
พรุ่งนี้ไม่แน่ใจ (เพราะวันพุธต้องตื่นเช้ามากๆ)
วันพุธ ไม่อัพแน่ๆ (เป็นตจว.ด้วยเรื่องงาน 1 คืนค่ะ)
วันพฤหัสก็ยังไม่แน่ใจ (นั่งรถกลับจากตจว. น่าจะเหนื่อยแน่ๆเลย แง)
วันศุกร์ไปดู JOKER
ความคิดเห็น