คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : To be or Not to be.
Psyche
Chapter 10 : To
be or Not to be.
เขาคิดว่าเธอไม่กล้า เขาคิดผิด
แต่ก็ไม่เชิง
เธอยังคงเป็นโบ มาร์เรนคนเดิมที่มีปัญหากับการเหนี่ยวไกปืนและการตัดสินใจฆ่าคน
ดังนั้นแทนที่จะยิงเพื่อปลิดชีวิตของเขาเสียตรงนี้ เธอกลับทิ้งปืน
กางแขนออกทั้งสองข้าง ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับไปข้างหน้าเพื่อคว้าแขนหรือเสื้อของเธอไว้ได้
ร่างของหญิงสาวหงายหลังร่วงหล่นจากระเบียง
เขาไม่ได้ขยับเดินตรงไปเพื่อเห็นร่างนั้นกลืนหายในสายน้ำเชี่ยวกรากของน้ำตกไรเคนบาค
ร่างสูงในชุดสีดำทั้งตัวยืนนิ่งที่เดิม
ใบหน้ายาวพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอารมณ์ เขาโกรธจัด เขาไม่พอใจ หงุดหงิด อยากจะกระชากเธอกลับขึ้นมา
อยากจะใส่กุญแจมือและขังเธอไว้ ไม่ปล่อยออกไปเดินเพ่นพ่านที่ไหนอีกเลย
“ให้ลีดเดอร์หน่วยสเกาต์ออกแกะรอยค้นหาทุกซอกทุกมุม”
เร็นหันไปออกคำสั่งกับทหาร น้ำเสียงเฉียบขาด คมกริบ และเต็มไปด้วยอำนาจอย่างจงใจ
เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าต้องได้ตัวเธอกลับมา
“ซีเลคเตอร์ครับ
ด้วยความสูงขนาดนี้ ผมไม่คิดว่าเธอ...”
“ฉันต้องได้เห็นศพ”
คำหลังสุดเน้นหนัก พร้อมกับแววตาเข้มจัดที่ทำให้ทหารไม่กล้าจะเถียงต่อ
เร็นเดินอย่างรวดเร็วกลับเข้าด้านใน
หันหลังให้ระเบียงที่ยื่นออกไปหาน้ำตก มือสองข้างกำเข้าหากันแน่นอย่างโมโหจัด
เขาไม่เคยรู้สึกอยากยิงปืนหรือชกกำแพงระบายอารมณ์มากเท่านี้ หัวใจเต้นเร็วขึ้น
เลือดสูบฉีดเดือดพล่านอยู่ในร่างกาย ปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นจาก อารมณ์ ที่เขาคิดว่ามันหายไปเป็นพันเป็นหมื่นปีแล้ว
เขารู้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสัญญาณเก่าๆจากจิตใจของเร็น กริฟฟิธ
ที่หลับใหลไปชั่วนิรันดร์อย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมารบกวนได้ แต่เป็นเพราะเขาเอง
เพราะผู้หญิงคนนั้น ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จนถึงวันนี้ มีแต่หายนะ
มีแต่เรื่องไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เขาอุตส่าห์ไว้ชีวิตเธอ
เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ และนี่คือสิ่งที่เธอตอบแทนเขา เด็กไม่รักดี คนทรยศ
เธอไม่สมควรได้รับความเมตตาจากเขาอีกแล้ว
จากทุกอย่างที่เธอทำลงไป ความเสียหายที่เธอก่อ มันคือโทษตาย แต่เขาก็ขอร้องให้ไว้ชีวิตเธอไปก่อน
เขาคนนี้ที่ไม่เคยเอ่ยคำขอร้องหรืออุทธรณ์ต่อหน้าใคร เขาเคยแต่ต่อกร ยื่นข้อเสนอ ต้อนให้จนมุมและยอมรับความคิดของเขาในที่สุด
ไม่เคยสักครั้ง ที่เขาจะต้องก้มศีรษะ ไม่ว่าจะอยู่ร่างนี้
หรือร่างไหนๆในอดีตที่ผ่านมา เขาไม่ผิดพลาด
เขาคือซีเลคเตอร์ที่มีความแม่นยำและเก่งที่สุดคนหนึ่ง เธอทำลายชื่อเสียงของเขา
และก้าวมาถึงจุดที่ไม่อาจอภัยให้ได้แล้ว
เร็นหยุดเดิน
พยายามควบคุมจังหวะการหายใจให้สงบ เปลือกตาปิดลงอย่างช้าๆ
ในระหว่างที่กำลังมีสมาธินั่นเอง เขาได้ยินเสียง ตึก ตัก ตึก ตัก รัวเหมือนตีกลอง
ดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองหูฝาด หรือสับสนกับเสียงของคนอื่น
แต่ไม่ใช่ เธอมีเอกลักษณ์ที่เขาอธิบายไม่ถูก
ทั้งที่เสียงของมันไม่ต่างจากมนุษย์ที่เหลือ แต่เขารู้ว่าเป็นเธอ ไม่ว่ายังไงก็รู้
โบยังไม่ตาย นั่นคือข้อสรุปที่เขาได้ และเพราะเขารู้จักเธอดีว่าเป็นพวกดื้อรั้น
ไม่ยอมแพ้ เขาจึงไม่แปลกใจ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สเกาต์กับทหารที่เขาส่งออกไป จะจัดการเธอได้หรือเปล่า
เธอเกลียดการฆ่าก็จริง แต่เธอไม่ค่อยมีปัญหาถ้าจะฆ่าพวกเขา
เขาควรออกไปด้วยตัวเอง
อย่างน้อย เธอมักจะหยุดชะงักเมื่อเจอหน้า ไม่รู้เพราะกลัวหรืออะไร เร็นคิดว่าเขาคงมีอิทธิพลทางความคิดและความรู้สึกต่อเธออยู่บ้าง
ชายหนุ่มกำลังจะหันหลังกลับ ตอนที่ประตูห้องทางด้านซ้ายเลื่อนเปิด
พร้อมกับร่างของชายอีกคนเดินออกมายืนพิงผนัง ยกมือกอดอก ริมฝีปากระบายยิ้มเยาะเย้ย
เร็นจึงหยุดมอง และรอว่าอีกฝ่ายจะสรรหาคำใดมาพูด
“กำลังจะออกไปรับเธอใช่ไหม”
เร็นไม่โต้ตอบ
วิธีการรับมือกับอเลสเตอร์ ไวล์ดคือเงียบให้นานที่สุด
มนุษย์ที่เขาเลือกเป็นร่างสิงสู่นั้นหน้าตาดี เชื้อสายอังกฤษแท้
ผมสีน้ำตาลอ่อนหยิกเป็นลอน นัยน์ตาสีฟ้าคราม เสียอย่างเดียวคือผอมไปหน่อย
และมีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าชัดเจนเวลายิ้ม เร็นเกลียดตอนไวล์ยิ้ม เขาไม่ได้หาข้อมูลว่าสมัยยังเป็นมนุษย์ธรรมดา
ไวล์ดทำอาชีพอะไร ถึงได้มียิ้มที่ดูเหยียดหยัน เจ้าเล่ห์เพทุบาย
น่ารังเกียจอย่างที่สุด เร็นกำลังจะเดินผ่านไป ไม่คิดจะฟังเรื่องไร้สาระของคู่ปรับที่น่ารำคาญ
“คุณควรจะฆ่าเธอตั้งแต่ที่ยังมีโอกาส”
ไวล์ดแนะนำ “จำได้ไหม ผมเคยฝากให้คอมมานเดอร์แจ็คสันบอกคุณแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะนำเรื่องยุ่งยากมาให้”
สำเนียงอังกฤษนุ่มๆของเขา ทำให้เขาดูเป็นคนใจเย็น แต่เร็นรู้ว่าไวล์ดกำลังวางแผนบางอย่างในหัว
พวกเขารู้จักกันมานาน แค่มองหน้าและอ้าปากพูด ก็เห็นไปถึงลิ้นไก่ “มิสเทรสของพวกเราไม่ค่อยพอใจ
และอาจรายงานเรื่องนี้ต่อจักรพรรดิก็ได้
จะเกิดอะไรขึ้นกับซีเลคเตอร์ที่ทำงานพลาดระดับมโหฬารแบบคุณล่ะ?
ผมยังไม่อยากเสียคู่แข่งไปเร็วขนาดนี้ รักษาเนื้อรักษาตัวหน่อยนะ กริฟฟิธ”
คำพูดเหมือนจะแสดงความห่วงใย
แต่จริงๆแล้วมันเป็นการเย้ยหยันแบบตบหน้าฉาดใหญ่ เร็นมองใบหน้าของไวล์ดที่ระบายรอยยิ้มน้อยๆ
ลูกนัยน์ตาฉายแววอย่างคนที่เหนือกว่าและรู้อะไรมากกว่า น่าหมั่นไส้อย่างเหลือทน จังหวะการหายใจของเร็นเร็วขึ้น
ช่วงนี้เขาเจออะไรมาเยอะพอแล้ว ถ้าเป็นทุกที คำพูดคำจากวนประสาทของไวล์ด
ไม่เคยทำให้เขาต้องขุ่นข้องหมองใจ แต่คราวนี้ เมื่อเขารู้ตัวว่าผิดพลาดอย่างหนัก
ประกอบกับอารมณ์ขึ้นถึงเพดานขีดสุดด้วยเรื่องของโบอยู่แล้วก่อนหน้า
คำพูดเหล่านั้นจึงคมกริบ บาดลึกเข้าไปถึงข้างในได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงกระนั้น เขาเลือกที่จะเงียบ
ไม่โต้ตอบเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใจ คิดว่าสามารถยั่วยุเขาได้
“คุณนี่เย็นชา
ไร้หัวใจจริงๆ” ไวล์ดพูด เสียงกลั้วหัวเราะ “ผมพูดขนาดนี้ ยังทนหน้านิ่งได้อีก
แล้วทำไมคนที่เต็มไปด้วยเหตุผล ความเย็นชา เหมือนก้อนหินเดินได้แบบคุณ
ถึงยอมปล่อยผู้หญิงคนนั้นจากเก้าอี้ไฟฟ้า แค่เพราะเธอร้องไห้กันนะ น่าสงสัย
หรือว่า...”
เสียงปืนดัง
ตามด้วยรูโหว่บนกำแพง ห่างจากใบหูของไวล์ดเพียงแค่ห้านิ้ว ใบหน้ายิ้มๆติดกวนโมโหแปรเปลี่ยนแทบจะทันที
นัยน์ตาสีครามแบบน้ำทะเลกลายเป็นไร้อารมณ์ และเหมือนจะไม่พอใจนิดๆ
พวกเขาจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งราวกับเล่นสงครามประสาท
“ถ้ายังเห่าไม่เลิก
ที่กลายเป็นรูโหว่จะไม่ใช่แค่กำแพง” เร็นบอก
“เตรียมคำแก้ตัวดีๆไว้ให้จักรพรรดิด้วยแล้วกัน”
ไวล์ดยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ขยับออกจากกำแพง หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไป
นั่นไม่ใช่คำเตือน แต่เป็นคำขู่ และเร็นต้องยอมรับว่าในสถานการณ์นี้
เขากำลังเสียเปรียบทุกทาง หลายปีที่พวกเขาอยู่บนโลก ข้ามผ่านกาลเวลา วิวัฒนาการ
และความเปลี่ยนแปลงมากมาย สิ่งหนึ่งไม่เคยเปลี่ยน ความบาดหมางระหว่างเขากับไวล์
เริ่มตั้งแต่กำเนิดและได้รับภารกิจแรก พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน
ตั้งแต่ยุคโบราณที่มนุษย์เพิ่งรู้จักการใช้ไฟ การประดิษฐ์ และแบ่งเป็นเผ่าเล็กเผ่าน้อย
พวกเขาห้ำหั่นกัน ถือข้างมนุษย์คนละฝ่าย เวลาผ่านเรื่อยมาจนยุคบาบิโลเนีย
พวกเขาแข่งกันเข้าสิงสู่นักปกครองและทหารของอาณาจักรฮิตไทต์ เพื่อทำสงครามบุกยึดบ้านของพวกบาบิโลน
แม้จะมีเป้าหมายเหมือนกัน แต่ยังแข่งขันเหมือนไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน ดังนั้น
เขารู้จักไวล์ดเป็นอย่างดี รู้ว่ากำลังเล่นเกมอะไร ทุกครั้งเขารับมือได้
แต่ไม่แน่ใจในครั้งนี้
คนเดียวที่เร็นกลัวคือ
องค์จักรพรรดิ ไม่ใช่แค่ความกลัวธรรมดา แต่เป็นความยำเกรงลึกลงไปถึงแก่น
พวกเขาทุกคนต่างเคารพ และยังดำรงอยู่ได้ด้วยวิสัยทัศน์ของท่าน
ตำนานและเรื่องเล่ากล่าวขาน พูดกันมาปากต่อปาก
ท่านคือสปิริทดวงแรกที่ถือกำเนิดขึ้น ไม่มีใครทราบความเป็นไป
ไม่มีหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัด ว่ากันว่า ท่านอยู่มาตั้งแต่สิ้นยุคไดโนเสาร์
เกิดวิวัฒนาการขึ้นจากเศษซากชีวิตที่มอดไหม้ หลังจากมหาอุกบาตพุ่งชน
เพลิงบรรลัยกัลป์แผดเผาพื้นโลกเป็นเวลานาน ท่านคือผู้รอดชีวิตหนึ่งเดียว
ผ่านพ้นช่วงเวลาหฤโหดเมื่อโลกก้าวสู่ยุคน้ำแข็ง
เฝ้ามองสิ่งมีชีวิตอื่นเริ่มผุดขึ้นมา เวียนว่ายเป็นวัฏจักร เกิดและตาย
แต่ท่านดำรงอยู่
คำพูดขององค์จักรพรรดิ
ถือว่าเป็นคำขาด ต่อรองไม่ได้ หากเรื่องใดก็ตามถึงหูและมีคำสั่งตรงลงมา มันผู้นั้นไม่มีสิทธิ์ขัดขืน
ไม่ว่าจะโทษอยู่หรือตาย ต้องยอมรับไปตามนั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างพากันวกกลับเข้ามาหาข้อสรุปเดียว
เขาต้องฆ่าโบ มาร์เรน หากไม่ทำ จะกลายเป็นเขาเองที่ต้องสูญสลายเป็นฝุ่น
เขานึกถึงโบ ทักษะทั้งหลายของเธอ ไม่ว่าจะคิดถึงกี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกเสียดาย
ทำไมต้องหัวแข็งนัก ทำไมยอมอ่อนข้อไม่ได้ ทำไมต้องสู้จนหยดสุดท้าย
เขาให้โอกาสเธอได้หลับใหลไปอย่างสงบ เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลนิรันดร์
ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับชีวิต แต่เธอไม่ยอม จิตใจของเธอแข็งแกร่งดั่งหินผา
โค่นล้มไม่ได้ ขยับเคลื่อนสักนิดก็ไม่มี ตลอดช่วงชีวิตของเขา เร็นเคยเห็นแต่
อเล็กซานเดอร์มหาราชคนเดียวเท่านั้นที่สู้จนนาทีสุดท้าย สู้จนตาย
แต่ไม่ยอมเสียตัวตนไป ไม่ว่าสปิริทระดับไหนก็เข้าครอบครองไม่ได้ เป็นเหตุให้เขาต้องตายไปตั้งแต่ยังหนุ่ม
ถ้าเขายอมล่ะก็ เขาอาจได้ครอบครองทวีปเอเชียไปแล้ว เช่นเดียวกันกับในกรณีของโบ
ขอแค่จิตใจของเธอยอมสยบ เธอก็ไม่จำเป็นต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน
ทีมค้นหากลับมาตอนเช้าตรู่ของอีกวันพร้อมกับความล้มเหลว
เร็นรับข่าวจากลีดเดอร์หน่วยสเกาต์ด้วยความสงบ
แต่เมื่อพ้นจากรัศมีการได้ยินและรู้เห็นของคนอื่น เขาเขวี้ยงถ้วยชาไปกระทบกำแพงหล่นพื้นแตกกระจาย
และตามไปด้วยกาน้ำชาแทบจะติดๆกัน นี่หมายความว่าโบไม่ตาย และเธอหนีรอดไปได้ด้วย
ร่วงลงไปในน้ำตกไรเคนบาค
สายน้ำปีศาจไหลเชี่ยวที่กลืนสิ่งมีชีวิตได้ทุกอย่างที่พลัดตก แต่เธอก็ยังรอด
ไม่รู้ว่าเป็นแมวเก้าชีวิต หรือโชคดีเกินไป เมื่อเขาควบคุมความอยากฟาดขาเก้าอี้กับพื้นได้แล้ว
เร็นก็ออกไปสั่งการให้ค้นหาโดยใช้ดาวเทียม เขารู้ว่าเธอจะไปไหนและไปหาใคร
กระบวนการความคิดของเธอไม่ได้เดายากขนาดนั้น
กลุ่มไซคี
หรือควรจะเรียกว่า กาฝาก เสี้ยนหนาม กบฏ
พวกโง่เง่าที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังต่อกรกับอะไร เธอกลับไปหาพวกมันแน่ หรือพวกมันอาจแอบซุ่มรอรับเธออยู่
เมื่อสบโอกาสเหมาะก็ออกมาช่วยและเอาตัวเธอไป ไม่อย่างนั้น เธอจะหายไปไหน
ความสูงถึงสองร้อยห้าสิบเมตรที่เธอร่วงหล่น บวกกับกระแสน้ำแรงขนาดนั้น
ไม่น่าจะตะกายน้ำหรือลุกเดินเองได้ทันที เธอไม่ใช่พวกเหนือมนุษย์
การค้นหาของเร็นจึงเปลี่ยนเป้าหมาย
พวกมันน่าจะยังอยู่แถวนี้ ถ้าเขารวบตัวพวกมันได้ แม้จะเป็นกลุ่มเล็กๆ
แต่ก็พอจะสร้างความดีความชอบกู้หน้าคืนมาได้บ้าง
ไม่ปล่อยให้ไวล์ดได้หัวเราะเยาะนานจนชิน
เขาสั่งให้ทหารปล่อยโดรนบินสำรวจในรัศมีสิบไมล์
เตรียมเฮลิคอปเตอร์กับกองกำลังเอาไว้พร้อมเพรียง
ทันทีที่เห็นร่องรอยโผล่มาเมื่อไหร่ เขาจะยกทัพทันที ช่วงเช้าทั้งหมดของเร็น
จึงไม่ได้เดินออกไปไหนเลย เขานั่งอยู่ห้องบังคับการ
ดวงตาสีดำจ้องหน้าจอแสดงผลทั้งหมด และเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยมาถึงยามบ่าย
เขาก็เห็นพวกมันจนได้ พวกมันพยายามหลบซ่อนแล้ว ภูเขากิสเตลิฮอร์นที่อยู่บนเทือกเขาเบอร์นีส-แอลป์ เป็นที่ว่างโล่ง มีแต่ก้อนหิน ไม่ค่อยมีต้นไม้สูงใหญ่ช่วยบัง
เพราะภูมิอากาศแห้งและหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี พวกมันมีกันสิบห้าคนหรืออาจจะมากกว่า
ผู้ชายคนหนึ่งแบกโบไว้บนหลัง กำลังวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล เขาเห็นเพียงแค่นั้น
ก่อนที่พวกมันคนหนึ่งจะยิงปืนใส่โดรน ภาพขาดหาย
แต่แค่นั้นก็เกินพอ
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้ ออกคำสั่งให้ส่งต่อไปยังหน่วยทหารที่เตรียมไว้
เขาตั้งใจอยู่แล้วว่าจะไปด้วย จึงเดินออกไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ขณะที่ก้าวขึ้นเครื่อง ก็ดันมีแขกไม่ได้รับเชิญเดินฉับๆเสนอหน้า
สวมสูทสีแดงเหมือนไปงานเลี้ยงดินเนอร์ ผมหวีเสยขึ้นไป
ใส่เจลจนขนาดว่าใบพัดเฮลิคอปเตอร์แรงแค่ไหน ยังไม่ทำผมเสียทรง
ที่ตลกและประหลาดก็คือ เจ้าตัวถือตะกร้าปิกนิกบุผ้าลายดอกไม้มาด้วย
“มีธุระอะไรอีก?”
เร็นถาม เสียงติดรำคาญใจ
“ผมจะไปด้วย”
ไวล์ดตอบ ยักคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเฮลิคอปเตอร์ “โห นี่มันแมชชีนกัน
เล่นแบบนี้เลยหรอ?” ไม่พูดเปล่า แต่ยกปืนขึ้นลองน้ำหนัก วางท่าเล็งยิง ซึ่งมันเป็นปืนสงครามเต็มรูปแบบ
ใช้สำหรับยิงรัวไม่ยั้ง “พวกมันมีกี่คน สามสิบถึงไหม?” ไวล์ดถาม เร็นไม่ได้ตอบ
เขาก้าวขึ้นเครื่องและนั่งคนละฝั่ง แย่งปืนมาจากมืออีกฝ่าย
“ไสหัวลงไปซะ”
เขาไล่อย่างไม่รักษามารยาท
“ได้ยังไงเล่า”
ไวล์ดยิ้ม “ผมได้รับคำสั่งจากมิสเทรสให้ไปด้วย ถ้าไม่เชื่อ จะถามเธอเองก็ได้นะ”
เร็นขี้เกียจเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ
เขาบอกนักบินผ่านเครื่องมือสื่อสารวิทยุให้เคลื่อนพลได้ เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำลอยขึ้นจากพื้นในระดับใกล้เคียงกัน
เขากับไวล์ดไม่ได้พูดอะไรกันไปตลอดทาง และเมื่อมาถึงพิกัดที่เขาเห็นพวกมันวิ่งหนี
เฮลิคอปเตอร์ทุกลำแยกกัน เพื่อออกสำรวจ โดรนทุกตัวที่ส่งออกไป
ทหารบังคับให้มาที่บริเวณนี้ บินต่ำกว่า เพื่อหาร่องรอยน่าสงสัย
พวกมันคงหลบอยู่ตามซอกหินบริเวณไหนสักแห่ง
เร็นจำเป็นต้องสั่งให้ทหารโรยตัวลงข้างล่างก่อนส่วนหนึ่ง
ถ้าพบวี่แววของมนุษย์ก็ยิงได้ทันที ไม่ต้องรอคำอนุญาตจากเขาอีก
เขาตั้งใจแล้วว่าจะจัดการให้จบไป แม้จะเป็นโบ ก็ไม่ต้องไว้ชีวิตอีกแล้ว
“แน่ใจหรอว่าจะจับตายหมด”
เสียงนกเสียงกาดังอยู่ไม่ห่าง
เร็นพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ใช้ปืนกลยิงรัวทะลวงร่างของสูทแดงนี่เสียก่อน
ในนาทีต่อมา เขาได้ยินเสียงปืนนัดแรกดัง
ตามมาด้วยเสียงทหารจากวิทยุบอกว่าเจอพวกมันแล้ว
นักบินพาเฮลิคอปเตอร์บินวกอ้อมเขาไปตามสัญญาณตำแหน่งที่ได้รับ เขาหยิบปืนขึ้นตั้ง
เตรียมกระสุนให้พร้อม เขาเห็นพวกมันวิ่งโร่กันอยู่ข้างล่าง มีทหารทั้งกองไล่ตาม
เร็นเห็นเธอแล้ว ผมสีน้ำตาลยาวประบ่ายุ่งเหยิง วิ่งขากะเผลก
มีผู้ชายผมสีดำอีกคนคอยพยุงเธอด้วย เสียงหัวใจของเธอ เต้นอย่างกลัวตายสุดขีด
บีบรัด บีบคั้น พาลเอาคนที่ได้ยินรู้สึกอึดอัดแทบระเบิด เขาต้องทำ ต้องลงมือ
จะอ่อนข้อไม่ได้เด็ดขาด เร็นสูดลมหายใจ จากนั้นปืนกลก็ระรัวกระสุน
พวกมันวิ่งเตลิดไถลลงเขาเข้าไปในป่าสน
“คุณฆ่าเธอไม่ได้ใช่ไหม?”
ไวล์ดเอ่ยถาม เร็นเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกินขนมปังราดแยมสตรอเบอร์รี่ที่คงใส่มาในตะกร้าปิกนิกด้วยตอนแรก
“หุบปาก!” เร็นหันไปตะคอก
“มันเห็นๆกันอยู่”
ไวล์ดยักไหล่ โยนขนมปังที่กินไม่หมดกลับลงไปในตะกร้า “เธอวิ่งไม่ไหวด้วยซ้ำ
คุณอยู่ที่สูงกว่า คุณมีแมชชีนกัน คุณเป็นนักแม่นปืนที่สุดคนหนึ่งที่ผมรู้จัก มิสเทรสพูดถูกเรื่องคุณกับผู้หญิงคนนั้น
คุณสงสารเธอ พวกเราไม่มีความรู้สึกนะ กริฟฟิธ
เราอยู่เหนืออารมณ์และเหตุผลเข้าข้างตัวเองของมนุษย์
เราไม่มีความซับซ้อนอย่างน่าสมเพชอย่างพวกมัน”
“ฉันไม่ได้สงสารเธอ”
เร็นพูดกัดฟัน มือยังจับปืนแน่น กำจนข้อนิ้วแทบจะกลายเป็นสีขาว
“ถ้าอย่างนั้น
ฆ่าเธอสิ” ไวล์ดเอ่ยท้า เขาหยิบกล้องส่องทางไกลของทหารขึ้นมา สามารถปรับโฟกัส
และเลือกระบบการทำงานให้มองเห็นทะลุผ่านแมกไม้ลงไปได้ “อยู่นั่นไง” ไวล์ดพูดขึ้นมา
“กำลังจะถึงลำธาร เก่งนะ ผู้หญิงคนนี้ บาดเจ็บและเหนื่อยขนาดนั้น
ยังหลบรอดพ้นหูพ้นตาทหารได้อีก รายล้อมด้วยหุบเขา ก้อนหิน ต้นไม้
เฮลิคอปเตอร์คงลงไปไม่ได้ โซลเยอร์ของพวกเราอยู่คนละทาง
กำลังจัดการกับมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง ทางนี้มีแค่เธอกับผู้ชายคนเดียว จะว่ายังไง
กริฟฟิธ คุณจะเหนี่ยวไกจบเรื่องนี้เอง หรือจะให้ผมช่วยจัดการ
ผมไม่เกี่ยงที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อเพื่อนร่วมงานหรอก”
ไวล์ดพูดจบ
ก็บอกทิศทางกับนักบินผ่านวิทยุ ให้ขับเข้าไปใกล้บริเวณที่โบหลบอยู่มากกว่านี้
เร็นรู้ว่าเธออยู่ตรงจุดไหน เขาไม่ต้องพึ่งกล้องส่องทางไกลเพื่อระบุตัวเธอ
เสียงหัวใจเธอเด่นชัดออกมาจากทุกคน เขาเกลียดคำพูดของไวล์ด
เกลียดประโยคที่มันบอกว่าเขาสงสารเธอ เกลียดที่มันบอกว่ายินดีจะทำเรื่องนี้แทนเขา
เหมือนกับว่าเขาอ่อนหัดและอ่อนแอ เขาเกลียดความอ่อนแอ
เสียงหัวใจของเธอเต้นตุบๆช้าลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่ความกลัว กลายเป็นความกังวล
ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำมือนั้นกำลังบีบเข้าหากันมากกว่าเดิม
เธอเป็นห่วงคนอื่นๆที่ไม่ได้วิ่งไปทางเดียวกัน และที่เธอยังรีรอไม่ขยับเขยื้อน
เพราะหวังว่าจะติดต่อคนที่เหลือได้
นิ้วชี้ของเขาอยู่ที่ไกปืน
แค่กดลงไป ชีวิตเล็กจ้อยของเธอก็จบสิ้น เขาจะไม่ต้องทนเห็นเธออีก
และอยู่ต่อไปได้อย่างภาคภูมิตามเดิม เร็นกดไกปืน เสียงปังดังเพียงครั้งเดียว
ชั่วพริบตา หัวใจดวงนั้นเต้นแรงขึ้น กระสุนเฉียดผ่านเธอไป
เขาพลาดอย่างที่ไม่ว่าใครก็ต้องดูออกว่าจงใจ ไวล์ดถอนหายใจอยู่ด้านหลัง
ยกกล้องขึ้นส่อง ขณะเดียวกันนั้น เร็นล้วงมือเข้าไปในเสื้อช้าๆอย่างเตรียมพร้อม
ปฏิกิริยาของทั้งคู่ไวพอกัน พวกเขาลุกขึ้นยืน
ชี้ปากกระบอกปืนสั้นเข้าใส่หน้าอีกฝ่าย
“ผมผิดหวัง”
ไวล์ดบอก
“แกจะไม่ได้คาบข่าวไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง”
เร็นพูด เสียงทุ้มต่ำอย่างข่มขู่
“ใครกันแน่ที่จะไม่ได้กลับไป
คุณกริฟฟิธ” ริมฝีปากของไวล์ดแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
ความคิดเห็น