ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Notorious [Tom Riddle & OC]

    ลำดับตอนที่ #1 : An innocent angel

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 62



    Notorious [Tom Riddle & OC]

    Chapter 1 : An innocent angel



                จูปิเตอร์ เบิร์ก คือจุดด่างพร้อยในครอบครัว ในวัยห้าขวบ เธอควรจะแสดงออกถึงอำนาจทางเวทมนตร์บ้าง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ขณะที่พี่ชายฝาแฝดของเธอ มาร์ส เกือบทำให้เด็กมักเกิ้ลในหมู่บ้านตกเหวตาย เวทมนตร์ของเขาอันตรายพอๆกับชื่อที่เขาได้รับ หรืออย่างพี่ชายคนโต เมอร์คิวรี อายุมากกว่าเธอสองปี แต่สามารถใช้เวทมนตร์เรียกของเล่นต่างๆให้ลอยไปหาเขาได้สมใจนึก โดยที่เขายังไม่ได้เข้าโรงเรียนเพื่อเรียนคาถาอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ ทุกคนต่างกลัวว่าเด็กหญิงจะเป็น สควิบ หรือพ่อมดแม่มดที่ไม่มีอำนาจพิเศษ แต่จูปิเตอร์ไม่รู้เรื่องหรอก เธอยังเด็กและมีความสุขกับสิ่งรอบตัวเกินกว่าจะใส่ใจความดราม่าของคนในครอบครัว



                กระทั่งเธออายุเจ็ดขวบ คุณลุงแคเร็กเทคัส เบิร์ก มาเยี่ยมที่บ้าน และได้ฟังความกังวลของเฮอร์เบิร์ต ผู้เป็นน้องชาย เขาเองก็กลัวว่าหลานสาวจะเป็นสควิบ จึงคิดหาวิธีทดสอบพลังเวทมนตร์ของเด็กหญิง สองพี่น้องเบิร์กไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเบลวิน่า ผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงสักคำ ทั้งคู่ทำทีเป็นว่าจะพาจูปิเตอร์ไปเที่ยวเล่น เบลวิน่าไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อยว่าทำไมจึงไม่พาบรรดาลูกชายอีกสองคนของเธอไปด้วย เฮอร์เบิร์ตจูงมือลูกสาวออกจากบ้าน แคเร็กเทคัสหิ้วอุปกรณ์ปิกนิกและปูผ้าสำหรับนั่งไม่ห่างจากเหวเท่าไรนัก พร้อมทั้งบอกให้จูปิเตอร์ไปเดินเก็บดอกไม้มาเล่น ใกล้หน้าผามีดอกไม้สวยมากทีเดียว เด็กหญิงเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นหุบเหว เพราะมองจากที่ไกล อีกฝั่งหนึ่งเป็นทุ่งหญ้า สีสันเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ราวกับเป็นแผ่นดินยาวต่อกัน



                เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของเด็กหญิงดังลั่นทั่วทุ่ง เฮอร์เบิร์ตและแคเร็กเทคัสต่างลุกยืนและรีบวิ่งไปดู หากจูปิเตอร์เป็นสควิบจริง ให้ตกหน้าผาตายไปเสียยังดีกว่า ถ้ามีชีวิตต่อไป จะเป็นที่อับอายขายขี้หน้าของครอบครัว ใครจะอยากมาแต่งงานด้วยอีกเล่า ครอบครัวเบิร์กมีแต่จะจบสิ้นนั่นเอง แต่เด็กหญิงกลับไม่ตกลงไปตาย แม้เธอจะกลัวมากจนแทบขาดใจ ร่างของเธอกลับลอยสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น จนพ้นปากเหวนรก และกลับมาบนผืนหญ้าได้อีกครั้ง เฮอร์เบิร์ตน้ำตาร่วงด้วยความปิติยินดี เขารวบตัวลูกสาวมากอดไว้ หาใช่เพราะความเป็นห่วง แต่โล่งอกและดีใจ ลูกสาวผู้สืบสายเลือดบริสุทธิ์ของเขาไม่ใช่สควิบ พวกตระกูลแบล็กที่ยกเบลวิน่าให้แต่งงานกับเขา จะได้เกี่ยวดองเป็นญาติสนิทชิดเชื้อกันต่อไป ไม่บังเกิดเหตุหมางใจ



                จูปิเตอร์ทั้งหวาดกลัว งงงวย แต่ก็ดีใจด้วยที่พ่อกอดเธอเสียที พ่อไม่ได้กอดเธอนานแค่ไหนแล้วหนอ? เด็กหญิงไม่มั่นใจ แค่รู้สึกว่านานมากเลย พ่อจะกล่าวชมและลูบศีรษะของมาร์ส เมื่อเขาแสดงเวทมนตร์เด็ดๆ และกอดเมอร์คิวรีเมื่อเขาพูดจาฉะฉานแสดงสติปัญญาอันน่าทึ่ง หรือเพราะเธอเพิ่งรอดตายอย่างหวุดหวิด พ่อจึงกอดด้วยความรักใคร่ห่วงใย เป็นอย่างนี้เอง พ่อจะแสดงความรักเมื่อเธออยู่ในอันตรายสินะ



                  แต่จูปิเตอร์ไม่ชอบหาเรื่องให้ตัวเองเกิดอันตราย และการใช้เวทมนตร์โดยบังเอิญไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอ แม้เด็กหญิงจะเห็นพ่อ แม่ และพี่ชายทั้งสองใช้เวทมนตร์เป็นประจำ เธอกลับไม่ค่อยแสดงออกมามากนัก นอกจากนี้ เธอยังชอบแอบออกไปข้างนอก เพื่อเล่นกับเด็กๆมักเกิ้ลในละแวกบ้าน พวกเขาน่ารัก อัธยาศัยดี มีวิธีเล่นที่แปลกกว่าพวกพี่ๆของเธอ เช่น เล่นบทบาทสมมติเป็นครอบครัว ไม่ใช่เล่นเป็นพ่อมดศาสตร์มืดไล่ฆ่ากันในสวน เล่นทำอาหารและขายของ ไม่ใช่เอาสมุนไพรของแม่มาต้มยาหยอดให้ลูกอ๊อดในสระน้ำตายหมด เมื่อมาร์สรู้ว่าเธอชอบไปเล่นกับเด็กมักเกิ้ล เขาวิ่งไปฟ้องพ่อ จูปิเตอร์ถูกเรียกไปอบรมเรื่องความเหมาะสม มีทั้งเรื่องที่มักเกิ้ลต่ำต้อยไม่เหมือนผู้วิเศษ สายเลือดที่อยู่ในตัวของจูปิเตอร์สูงส่งกว่าจะไปเกลือกกลั้วกับพวกชั้นต่ำอย่างนั้น เด็กหญิงนั่งคอตกฟังพ่ออย่างเงียบเชียบ แม้จะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม เธอไม่ได้ออกไปเล่นกับเพื่อนเหล่านั้นอีกเลย



                ตอนเธออายุเก้าขวบ พี่เมอร์คิวรี่อายุสิบเอ็ดปีและได้ไปเรียนที่ฮอกวอตส์ พี่ชายส่งจดหมายมาตั้งแต่สัปดาห์แรก เพื่อบอกข่าวดีว่าได้อยู่บ้านสลิธีริน เธอร่วมยินดีกับพ่อแม่ไปด้วย พลางคิดว่าเมื่อถึงคราวของเธอ จะได้อยู่สลิธีรินเหมือนกับพี่ชายไหมนะ? มาร์สจะต้องอยากอยู่บ้านนั้นแน่ๆ ถ้ามาร์สอยู่สลิธีริน จูปิเตอร์ชักไม่แน่ใจว่าอยากอยู่ด้วย ถึงเธอกับมาร์สจะเป็นฝาแฝด แต่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เขาเป็นทุกอย่างที่พ่อกับแม่และทุกคนในตระกูลต้องการ เธอเหมือนคนผ่าเหล่าผ่ากอ เกิดมาจากตอไม้ของแม่มดแก่ในเรื่องตอไม้พูดได้หรือเปล่านี่?



                   เมอร์คิวรี่กลับมาบ้านช่วงฤดูร้อนพร้อมกับเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับฮอกวอตส์ อาจารย์ ควิดดิช วิชาที่เรียน ผีในปราสาท ห้องเรียน คะแนนในปีแรกที่เขาได้ เพื่อนร่วมชั้น และเพื่อนร่วมบ้านสลิธีรินที่ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น เขาตั้งใจว่าปีหน้าจะสมัครเข้าทีมควิดดิชประจำบ้านให้ได้เลยทีเดียว แค่นั่งฟัง จูปิเตอร์ก็รู้สึกสนุกแล้ว เธออยากเห็นห้องสมุดในโรงเรียน พี่ชายเล่าว่ากว้างขวางใหญ่โต มีหนังสือเป็นพันๆเล่ม อ่านตลอดเจ็ดปีก็คงอ่านไม่หมด ทะเลสาบแสนสวยที่มีปลาหมึกยักษ์ ชาวเงือก และสัตว์วิเศษอีกเยอะแยะ ป่าต้องห้ามอีกเล่า คงจะสวยและน่าพิศวงมากทีเดียว เธอไม่ได้อยากเข้าไปเดินเล่นหรอก แค่เดินเลียบชายป่าก็พอแล้ว จูปิเตอร์เฝ้ารอคอยนับวันนับคืนให้ถึงเวลาที่เธอจะได้ไปฮอกวอตส์เสียที



                ในที่สุด อีกสองปีต่อมา เธอและมาร์สได้รับจดหมาย แม่วุ่นวายใหญ่ จัดของเตรียมให้พวกเธอไปเรียน พ่อพาไปตรอกไดแอกอนเพื่อซื้อหนังสือ อุปกรณ์จำเป็น พ่อซื้อนกฮูกให้มาร์สกับจูปิเตอร์คนละตัว เขาบอกว่านกฮูกมีประโยชน์กว่าสัตว์เลี้ยงจำพวกอื่น มาร์สเลือกนกฮูกสีเทาตัวใหญ่ ส่วนจูปิเตอร์เลือกนกฮูกสีน้ำตาลตาโตมาตัวหนึ่งและตั้งชื่อให้มันว่า บราวนี่ ร้านสุดท้ายที่พวกเขาไปกันคือร้านขายไม้กายสิทธิ์ของโอลิแวนเดอร์ มาร์สได้ไม้กายสิทธิ์ที่ถูกใจเขาเป็นอย่างมาก ส่วนจูปิเตอร์เก็บกล่องไม้กายสิทธิ์ทำจากไม้มะฮอกกานีของเธออย่างถนอม ตื่นเต้น อดใจรอไม่ไหวที่จะได้เรียนวิชาคาถา และโบกไม้กายสิทธิ์แบบที่เคยเห็นจากผู้ใหญ่



                คืนวันที่สามสิบเอ็ด สิงหาคม เธอนอนไม่หลับเพราะใจจดจ่อเหลือเกิน ชีวิตของเธอหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร จะได้อยู่บ้านไหน จะพบเพื่อนแบบใด ล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจทั้งสิ้น



                เช้าวันที่หนึ่ง กันยายน มาร์สพูดไม่หยุดว่าเขาต้องได้อยู่บ้านสลิธีรินและทำให้ครอบครัวภาคภูมิใจ เมื่อเขาอยู่ปีห้า จะต้องได้เป็นพรีเฟ็ค และเมื่ออยู่ปีเจ็ด จะต้องได้เป็นประธานนักเรียนแน่นอน เมอร์คิวรีฟังแล้วหัวเราะ พลางยีผมน้องชาย มาร์สแยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นพี่และบอกว่าเขาโตแล้ว จะมาทำเหมือนเขาเป็นเด็กไม่ได้



                “จูล เธอล่ะ อยากอยู่บ้านไหน?” เมอร์คิวรีถามน้องสาว



                จูปิเตอร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “ทั้งบ้านเราอยู่สลิธีรินนี่น่า”



                “ก็ใช่นะ” เมอร์คิวรีพยักหน้า “แต่จริงๆแล้วเธออยากอยู่บ้านไหนล่ะ?”



                เด็กหญิงหันซ้ายหันขวา มองให้แน่ใจว่าพ่อกับแม่วุ่นวายกับอยู่กับมาร์ส “บ้านไหนก็ได้ ที่สบายๆ ไม่มีปัญหากับใคร  มีคนนิสัยดี” เมอร์คิวรีเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เธอสามารถพูดด้วยอย่างตรงไปตรงมา



                เมอร์คิวรีหัวเราะในลำคออย่างขำขัน “ไม่ใช่สลิธีรินแน่ๆล่ะ”



                “จะเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าหนูไม่ได้อยู่สลิธีริน” จูปิเตอร์กระซิบถาม



                “จูล ฟังพี่ให้ดีนะ” เมอร์คิวรีวางมือลงบนไหล่ของน้องสาว “ไม่ว่าเธอจะอยู่บ้านไหน เธอก็ยังคงเป็นเธอ นั่นต่างหากที่สำคัญ จริงไหม?” ผู้เป็นน้องพยักหน้า “อันที่จริง หมวกคัดสรรรับฟังเราด้วยว่าอยากอยู่บ้านไหน ถ้าเธอกลัวว่าพ่อแม่จะโกรธ ลองขอหมวกคัดสรรให้เธออยู่บ้านสลิธีรินสิ”



                “จะลองดูแล้วกัน” จูปิเตอร์พ่นลมหายใจทางจมูกอย่างหนักใจ



                การเดินทางไปยังสถานีรถไฟค่อนข้างทุลักทุเล ช่วงนี้บ้านเมืองอยู่ในระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวาน โลกของมักเกิ้ลกำลังจะเกิดสงครามไปทั่วภาคพื้นยุโรป เริ่มจากผู้นำมักเกิ้ลชาวเยอรมันคนหนึ่ง โลกผู้วิเศษก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ เป็นอาชญากรที่ทางกระทรวงกำลังตามตัว เขามีแนวคิดที่จะเปิดเผยความลับโลกผู้วิเศษ และลดฐานะของมักเกิ้ลให้เป็นประชาชนระดับสอง ภายใต้แนวคิด เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ครอบครัวเบิร์กวางตัวเป็นกลาง แต่จูปิเตอร์รู้ว่าพ่อของเธออยากเข้าร่วมกับกรินเดลวัลด์ใจจะขาด คนที่ห้ามไว้คือแม่ คอยดึงสติว่าพ่อยังมีลูกอีกสามคนที่ต้องดูแล จะเปิดเผยความคิดของตนเองมากไม่ได้ อยู่นิ่งเฉยไว้ดีกว่า



                   พวกเขาเอียงตัวผ่านแผงกั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่อ้อยอิ่งอยู่ในโลกมักเกิ้ลนานนัก ชานชาลาเต็มไปด้วยผู้คน ผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลาน เด็กเล็กเด็กโตถือข้าวของเดินกันขวักไขว่ ต่างไปทักทายกัน เสียงพูดคุยดังมาจากทุกที่ หลังจากขนสัมภาระขึ้นรถไฟเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวเบิร์กร่ำลากันอย่างเป็นทางการ มาร์สไม่ยอมให้แม่หรือพ่อกอดเขา แต่จูปิเตอร์กอดแม่เต็มรัก ให้แม่สัญญาว่าจะเขียนจดหมายหาเธอด้วย เสียงหวูดรถไฟบอกสัญญาณว่าถึงเวลาแล้ว จูปิเตอร์กอดพ่อเร็วๆหนึ่งครั้ง เขาตบหลังเธอเบาๆพอเป็นพิธี แล้วปล่อยให้ลูกทั้งสามคนขึ้นรถไฟไป



                “ไม่ต้องมานั่งกับฉันเลยนะ” มาร์สพูดใส่หน้าจูปิเตอร์



                “ทำไมล่ะ? เราน่าจะนั่งด้วยกันนะ” จูปิเตอร์พูดอย่างหวาดหวั่น เมอร์คิวรีแยกไปแล้ว เพราะมาร์สบอกกับพี่ชายว่าจะหาที่นั่งเอง เธอนึกว่ามาร์สจะนั่งกับเธอเสียอีก



                “ฉันไม่อยากติดอยู่กับเธอไปตลอดเจ็ดปีหรอก” มาร์สบอกด้วยเสียงหงุดหงิด แล้วเดินแยกออกไปทันที



                จูปิเตอร์เคว้งคว้างกลางทางเดิน รถไฟเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เด็กหญิงไม่มีทางเลือกนอกจากหาที่นั่งตามลำพัง แต่ทุกตู้ก็เหมือนจะเต็มหมดแล้ว เธอขี้อายเกินกว่าจะกล้าเข้าไปขอเบียดด้วยโดยที่ไม่รู้จักคนที่นั่งอยู่ก่อน จึงจำใจเดินไปจนถึงท้ายขบวน ตู้สุดท้ายพอดี มองเข้าไปเห็นเด็กผู้ชายผมสีดำนั่งอยู่คนเดียว เธอเคาะที่เนื้อไม้ก่อนสองครั้งอย่างมีมารยาทและเลื่อนประตูเปิด



                “ขอโทษค่ะ นั่งด้วยได้ไหม” เด็กหญิงถาม



                เด็กผู้ชายคนนั้นตัวผอมบาง น่าจะปีเดียวกับเธอ เขาเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีน้ำตาลไร้อารมณ์ แลดูน่ากลัวพิกลอย่างไรไม่รู้ จูปิเตอร์รู้สึกหนาววาบที่ไขสันหลัง ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย



                “เชิญ” เขาตอบเสียงเย็น



                จูปิเตอร์เดินเข้าไปด้านใน เลื่อนประตูปิดตามหลังและนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม “ปีหนึ่งเหมือนกันหรือเปล่าคะ?” หลังจากถามออกไป ดวงตาของเด็กชายหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเธอ แต่เธอไม่รู้สักนิดว่าเขากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร ทำไมดูน่ากลัวจัง



               “อืม” เขาส่งเสียงตอบ



                จูปิเตอร์ยิ้มกว้าง คิดว่าผูกมิตรไว้ก่อน ไม่เสียหาย “ฉันชื่อจูปิเตอร์ เบิร์ก แล้วนายชื่ออะไร”



                “ทอม ริดเดิ้ล”



                เด็กหญิงฉีกยิ้มมากกว่าเดิม “นายเป็นเลือดผสมใช่ไหม ฉันไม่เคยได้ยินชื่อริดเดิ้ลมาก่อน นี่ เราเป็นเพื่อนกันดีไหม?”



                ทอม ริดเดิ้ลกระพริบตา มองเด็กผู้หญิงตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เขาศึกษามาก่อนพอสมควร พอจะรู้จักคำว่าเลือดผสม และ เลือดบริสุทธิ์ แล้ว เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเลือดผสมหรือบริสุทธิ์ แต่ไม่ใช่กงการของเขาที่จะต้องประกาศตัวเอง เด็กคนนี้ดูเซ่อซ่าโง่เง่าไม่ต่างจากยัยเอมี่ เบนสัน จากบ้านเด็กกำพร้าที่เขาเคยหลอกให้เดินเข้าไปในถ้ำ แต่ก็ไม่เหมือนเอมี่เสียทีเดียว เขามองสำรวจเธออีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายสดใส ผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวเหมือนไข่มุก ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้ม มีแววสวยน่ารัก ริมฝีปากเต็มอิ่ม ท่าทางใสซื่อเสียเหลือเกิน ราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ เห็นแบบนี้แล้วหงุดหงิด ถึงเขาจะชอบของสวยๆงามๆไม่ต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่น แต่เห็นเด็กผู้หญิงแบบนี้ทีไร อยากจะแกล้งให้กลัวจนหัวโกร๋นแบบเดียวกับเอมี่ เบนสันจอมโง่นั่น



                เขาไม่ได้ตอบคำถามเธอเสียที จนเธอเริ่มกระวนกระวาย รอยยิ้มค่อยๆเลือนหาย



                “เธอเป็นเลือดผสมหรือไง?” เขาถามกลับ



                “เปล่า” จูปิเตอร์ส่ายหน้าช้าๆ “ครอบครัวฉันเลือดบริสุทธิ์”



                ทอมหรี่ตาลงอย่างสนใจ แม่มดเลือดบริสุทธิ์รุ่นเดียวกับเขาเพิ่งจะเอ่ยปากขอเป็นเพื่อน ทอมตั้งใจไว้ว่าจะไม่เป็นเพื่อนกับพวกกระจอก อันที่จริง เขาจะไม่เป็นเพื่อนกับใครทั้งนั้น เพราะทุกคนกระจอกทั้งหมดเมื่อเทียบกับเขา แต่เด็กคนนี้น่าสนใจไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเก็บไว้ใช้งานหรอก เห็นแววตาบริสุทธิ์ มีความสุข ชีวิตแสนดีอย่างนี้ แล้วอยากทำลายให้สิ้นซาก ทำไมไม่เป็นเขาที่นั่งอยู่ในที่ของเธอ มีครอบครัวเลือดบริสุทธิ์ เขาต่างหากที่คู่ควร เขาที่ทั้งฉลาด เก่งกาจ ทำอะไรหลายอย่างได้มากกว่าที่เด็กคนอื่นจะนึกฝัน



                สวยงามมากนักหรือ? มีความสุขมากใช่ไหม? น่ารักน่าทะนุถนอมเสียเหลือเกิน เขาจะทำลาย ขยี้ให้แหลกคามือ เพื่อความสะใจล้วนๆ จะเป็นยังไงถ้าใบหน้าที่อ่อนหวานนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง น้ำตาอาบแก้ม สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าปีศาจตนใดเข้าสิงเขา ความปรารถนาที่จะทำลายเด็กหญิงตรงหน้าช่างแรงกล้า เธอต้องเป็นของเขา เหมือนกับสิ่งของที่เขาเคยอยากได้ เป็นตุ๊กตาของเขา เป็นของเล่นในมือที่เขาจะทำอะไรก็ได้



                ความสวยงามบริสุทธิ์เช่นนี้ควรเป็นของเขา ควรถูกทำลายด้วยมือของเขา    



                “ได้สิ” เขาพูดขึ้นมา “เป็นเพื่อนกันก็ได้”



                   ดวงหน้ารูปไข่สดใสขึ้นทันตาเห็น ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มจนเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ แสงอาทิตย์สุดท้ายของฤดูร้อนส่องผ่านกระจกหน้าต่างกระทบผิวแก้มของเธอให้เปล่งปลั่งยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มกับภาพที่เห็น กลับกลายเป็นความอิจฉาริษยาและหมั่นไส้



                “นายคิดว่าจะได้อยู่บ้านไหน?” น้ำเสียงของเธอมีความกังวลเล็กน้อย



                “ไม่รู้” ทอมตอบ เขารู้ว่าฮอกวอตส์แบ่งเป็นสี่บ้าน แต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก พอจะได้ยินพวกเด็กๆคุยกันระหว่างที่เขาไปซื้อของที่ตรอกไดแอกอน



                “พ่อกับแม่อยากให้ฉันอยู่สลิธีริน เพราะว่าทั้งครอบครัวอยู่บ้านนี้กันหมด” เธอบอก



                “แต่เธอไม่อยากอยู่?” เขาพอจะจับท่าทางของเธอออก



                “ไม่ใช่นะ” จูปิเตอร์ส่ายศีรษะแรงๆ แต่มีความไม่แน่ใจและสับสนในแววตา “ไม่รู้สิ”



                ยัยนี่นอกจากโง่แล้ว ยังบื้อ ย้ำคิดย้ำทำ มีดีอย่างเดียวคือหน้าตาสวยจิ้มลิ้ม สมแล้วที่เขาจะอยากได้มาเป็นตุ๊กตา ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องพูดอีกเลยยิ่งดี ฟังแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ยกมือขึ้นเท้าคาง บ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่อยากคุยต่อแล้ว เธอคงจะสังเกตเห็นจึงสงบปากสงบคำ ไม่ชวนคุยอีก สักพักรถเข็นขายของก็ผ่านมาทางตู้ที่พวกเขานั่งอยู่ เด็กหญิงกระโดดจากที่นั่งเพื่อออกไปซื้อพายฟักทองสองชิ้น แบ่งให้เขาชิ้นหนึ่ง แต่ทอมไม่ได้กิน เขาไม่ชอบรับของจากใครฟรีๆ ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เขาชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเองตามลำพัง ไม่ต้องพึ่งใครทั้งนั้น มีแต่พวกมัน ต้องมาพึ่งเขา กราบกรานขอร้องเขา



                ระหว่างทาง เขายังคงมองนอกหน้าต่าง ชื่นชมความเขียวขจีของเนินเขา ทอมตั้งใจว่าจะหาคำตอบเรื่องครอบครัวของเขาให้ได้ พ่อกับแม่เป็นใครกัน เขาคิดว่าแม่น่าจะเป็นมักเกิ้ล พ่อคงจะเป็นพ่อมดที่มีพลังเวทมนตร์สูงส่ง เพราะแม่คงไม่ตายง่ายๆจากการคลอดลูก ถ้าแม่เป็นแม่มด เขาอาจจะได้คำตอบที่นั่น ที่โรงเรียนฮอกวอตส์ เขาจะตามหาชื่อริดเดิ้ลทุกที่ แต่ว่า... เขานึกถึงคำพูดของเด็กหญิงเลือดบริสุทธิ์ เธอไม่เคยได้ยินชื่อริดเดิ้ลมาก่อน ช่างเถอะ จะไปเอาอะไรจากเด็กโง่เซ่อซ่าสวยแต่รูปอย่างเธอ เขามั่นใจว่าพ่อต้องเป็นผู้วิเศษแน่นอน







     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×