ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Doctor Strange/OC Fic] The Strangest Case

    ลำดับตอนที่ #2 : An odd conversation

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 59




    The Strangest Case

    Chapter 2 : An odd conversation


                เคยคิดว่าตัวเองฝันไปไหม? หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองเกิดภาพหลอน เป็นบ้าไปแล้ว ควรพึ่งจิตแพทย์และโรงพยาบาลด่วน ก่อนจะเป็นอันตรายต่อคนอื่น ไม่หรอก คงไม่เคย แต่ถ้าเคย ก็ติดต่อจิตแพทย์ทันทีนะ ในกรณีของฉันมันต่างออกไปนิดหน่อย เพราะทั้งหมดดันเป็นเรื่องจริง ฉันอยู่ที่กรีนิช กับด็อกเตอร์สตีเฟ่น สเตรนจ์ ใช่ สเตรนจ์ (แปลก) โดยแท้ ถ้ามีคนบอกฉันเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าฉันจะลงเอยมาญาติดีกับเขาได้ ฉันต้องหาว่าคนๆนั้นเป็นบ้า เขาเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่ฉันจะญาติดีด้วย เอ่อ อันที่จริง ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่


                    เขาเล่าให้ฉันฟัง และให้เห็นหลายอย่าง ซึ่งจากที่เห็นแล้ว ฉันก็มึนหัว โลกหมุน ก็แบบว่ามันหมุนๆจริง เขาทำให้ตึกหมุน พวกเราตีลังกา ม้วนตัว สามตลบ แล้วฟิ้ววว ออกไปนอกอวกาศ ต่างมิติ อะไรไม่รู้ล่ะ ฉันนึกว่าเขาแอบให้ฉันหายใจเอาฝิ่นหรือกัญชาเข้าปอดไปซะอีก แต่ก็เปล่า ทั้งหมดที่เขาแสดงให้ดูอย่างหยิ่งผยองเป็นเรื่องจริง เขามีเวทมนตร์ เหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์ แต่ซับซ้อนกว่าหลายเท่า


                    “สอนฉันที”  แหม มันอดไม่ได้นี่ น่าสนใจจะตายไป อาจทำให้ชีวิตประจำวันของฉันง่ายขึ้น อย่างน้อยก็ประหยัดค่าแท็กซี่ได้ จริงไหม?


                    “คุณไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อเรียน แต่เพื่อทำงานให้ผม”  เขาพูดอย่างเย็นชา


                    “งั้นฉันก็ไม่อยู่ที่นี่ล่ะ บาย”  ฉันยักไหล่ พร้อมจากไปทุกเมื่อ


                    “น่าเศร้านะ ผมกำลังคิดว่าจะช่วยคู่หมั้นคุณ”  เขาเสนอข้อต่อรอง มองฉันอย่างท้าทาย


                    “ด็อกเตอร์ คุณนี่มัน...”  ฉันนึกคำด่าไม่ออกไปชั่วขณะ เชื่อว่าใครหลายคนคงเคยเป็น มีคำเยอะแยะวิ่งอยู่ทั่วร่าง แต่นึกไม่ออกว่าจะด่าอย่างไรให้เจ็บแสบทะลุทะลวง จึงเหลือแค่ว่า คุณนี่มัน...  “ฉันนึกว่าคุณมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นหมอเสียอีกนะคะ น่าผิดหวังจริง”  ฉันหวังว่านี่จะแสบๆคันๆมากพอ


                    “ผมมีอย่างเต็มเปี่ยม มิสอาร์เจนต์ แต่นั่นต้องขึ้นอยู่กับใจสู้ของคนไข้ด้วย ซึ่งเท่าที่ผมเห็น คู่หมั้นคุณไม่คิดจะสู้เท่าไหร่ มันต้องใช้ความพยายามมากว่าปกติทีเดียวที่จะช่วยเขา”  เขาอธิบายได้อย่างน่าตบให้หนวดบนหน้าเขามันกระตุก ฉันสาบานว่าจะแอบไปโกนหนวดเขาตอนหลับให้ดู


                    “คุณต้องการให้ฉันทำอะไรไม่ทราบ คุณที่ทั้งฉลาดล้ำเลิศ และตอนนี้ก็มีเวทมนตร์เข้าไปอีก จะอยากได้อะไรจากมนุษย์ธรรมดาเดินดินอย่างฉันล่ะ”  ฉันตั้งใจประชดประชันเต็มที่ตอนพูดว่าฉลาดล้ำ มิสเตอร์เพอร์เฟคเลิกคิ้วมองฉันเล็กน้อย


                    “น่าประทับใจที่คุณยอมรับว่าผมฉลาดล้ำเลิศ”  เขาหรี่ตาลง แสร้งมองฉันอย่างสนใจ  “สิ่งที่ผมต้องการคือสมองคุณ มิสอาเจนต์ ขณะที่ผมเป็นฝ่ายบู๊ บางทีผมก็ต้องการฝ่ายบุ๋นอีกสักคน คุณก็เป็นคนฉลาด อย่างที่ผมบอกไปแล้ว ความสามารถทางสมองของคุณควรได้ใช้ประโยชน์ต่อโลกใบนี้มากกว่าการเขียนนวนิยาย คุณไม่อยากช่วยปกป้องโลกบ้างหรือ ทำอะไรให้มีคุณค่ากับชีวิตที่ เอ่อ... ของคุณ”


                จะพูดว่า ชีวิตที่ไร้ค่า ใช่ไหม? ฉันเกลียดหมอนี่เป็นบ้าเลยเว้ย แต่ทั้งที่เกลียด ก็อดไม่ได้ที่จะมองว่าเรื่องของเขาน่าสนใจ ฉันไม่ได้เจออะไรน่าสนใจมานานแล้ว และเมื่อมีคนที่ใช้เวทมนตร์ได้ อยู่ในคฤหาสน์ที่เขาเรียกว่า แซงทั่ม หรือบริเวณประตูเชื่อมมิติ บอกเลยนะ มันน่าสนใจ หัวใจฉันเต้นแรงแทบออกมากองอยู่ข้างนอกแล้ว และอีกอย่าง เขาเพิ่งยอมรับว่าฉันฉลาด ฉันชอบคนที่รู้ว่าฉันฉลาด คือ ฉันก็ยังเกลียดเขาอยู่นะ โอเคไหม? มันน่าสับสน ฉันรู้


                    “ก็ได้”  ฉันพูดในที่สุด  “แต่คุณต้องสอนฉันว่าจะทำประตูนั่นยังไง ฉันเบื่อจ่ายค่าแท็กซี่ เข้าใจไหม?”


                “ไม่มีปัญหา ถ้าคุณมีปัญญามากพอที่จะเรียนนะ”


                โหย ชักจะไม่ไหวแล้วนะ มือฉันสั่นแล้วเนี่ย แล้วดูสีหน้าเขาสิ เหมือนเขาตั้งใจพูดแบบนั้นเพื่อยั่วโมโหกัน ไม่ได้จะจริงจัง หรือบอกว่าฉันโง่แต่อย่างใด แค่พูดเพื่อให้ฉันโมโหเล่น


                    “วันนี้เราจะมีแขก ในอีกหนึ่งชั่วโมง เตรียมพร้อมด้วยนะครับ”


                ฉันไม่รู้ว่าแขกของเขาจะเป็นใคร และไม่รู้จะต้องเตรียมอะไร ชาหรือ? เราอยู่ในอังกฤษนี่นะ เตรียมชาไว้แล้วกัน เดี๋ยวก่อน ฉันกลายเป็นแม่บ้านแล้วรึเปล่า? นี่คือจุดประสงค์หลักหรอ? ให้ฉันเป็นแม่บ้าน ดังนั้น ไม่เตรียมอะไรซะเลย จบข่าว ฉันไม่ใช่แม่บ้าน และจะไม่ยอมเป็นด้วย ฉันนั่งรออย่างสงบ มีหนังสือเล่มหนึ่งอยู่บนตัก เป็นหนังสือจากห้องสมุดของที่นี่ เกี่ยวกับเก้าอาณาจักร ฉันเลือกมาเพราะสนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่ที่โลกรู้จัก ธอร์และโลกิ ฉันอ่านไปเรื่อยๆ สนใจมัสเปลไฮม์มากเป็นพิเศษ มันเหมือนนรกเลย เต็มไปด้วยไฟบรรลัยกัลป์ แถมยังมียักษ์ด้วย เป็นการอ่านที่สนุกทีเดียว


                    แขกมาถึงแล้ว เธอได้เสียงฝีเท้าสองคนนอกประตู ด็อกเตอร์เป็นคนเปิดคนมา และพาอีกคนเข้ามาด้วย ฉันปิดหนังสือ วางไว้บนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเบิกกว้างขึ้น ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เจอคนน่าสนใจเร็วขนาดนี้


                    “ที่นี่น่าประทับใจมาก คุณด็อกเตอร์” แขกของเรากล่าว ก่อนจะหันมาทางฉัน


                    “ไอลีน อาร์เจนต์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันยื่นมือออกไป


                    “ข้าคือธอร์ บุตรแห่งโอดิน” แขกของเราแนะนำตัว และจับมือฉันเขย่า “ยินดีที่พบเช่นกัน และเจ้ากับด็อกเตอร์...”


                    “เรา เอ่อ เราเป็น...” นั่นสิเป็นอะไร? “เพื่อนร่วมงานค่ะ”


                    “รับชาไหมครับ” ด็อกเตอร์ถามอย่างสุภาพ ขณะเดินมานั่งที่เก้าอี้บุผ้าข้างๆฉัน ฉันนั่งลงตามเขา


                    “โดยปกติ ข้าดื่มอะไรที่แรงกว่าชา” ธอร์ตอบ ฉันลอบสังเกตเขาอย่างสนใจ เขาไม่เหมือนอย่างที่ฉันคิดไว้สักเท่าไหร่ คิดว่าจะน่าตะลึงกว่านี้เสียอีก


                    “เอาเลย มิสอาร์เจนต์ คุณคันไม้คันมือแล้วใช่ไหม ช่วยผมหน่อย เห็นอะไร” ด็อกเตอร์พูดอย่างเข้าใจฉันดี มือทั้งสองข้างของเขาประสานอยู่ด้านหน้า และเมื่อได้รับอนุญาต ฉันขอร่ายละนะ


                    “คุณอยู่บนโลกมาสักพักใหญ่แล้วใช่ไหมคะ ธอร์” ฉันเริ่ม ยังไม่ละสายตาจากการสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วฉันก็หยิบโทรศัพท์ออกมา เข้าอินเตอร์เน็ตตรวจสอบอะไรนิดหน่อย พลางพูดไปด้วย “คุณสวมสเวตเตอร์ธรรมดากับยีน ผิดหูผิดตาไปจากเดิมมาก ตอนนั้นที่เกิดเรื่องในลอนดอน ฉันนึกว่าคุณจะกลับไปแอสการ์ดเสียอีก หรือกลับไปแล้วค่ะ? โอ้ กลับไปแล้วสินะคะ สายตาคุณบอกฉันแบบนั้น คงมีปัญหาเกิดขึ้นใช่ไหม ทำให้คุณกลับมาโลก ฉันเดาว่าคุณคงอยู่กับเจน ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันเห็นรอยปักชื่อที่ปกเสื้อ ชื่อแฟนเก่าเธอ ทำไมฉันถึงรู้ว่าเธอชื่อเจนหรือคะ ฉันเพิ่งเข้าเฟซบุ๊กของเจ้าของเสื้อที่คุณใส่อยู่ และมีเฟซบุ๊กของคนชื่อดาร์ซี่ ซึ่งมีเฟซบุ๊กของเจน  อะไรหลายอย่างคงไม่ลงรอยเท่าไหร่ใช่ไหมระหว่างคุณกับเจน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ปล่อยให้คุณดูโทรมแบบนี้ ทะเลาะกันสินะคะ สเวตเตอร์คุณไม่ได้ซักมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว คาบซอสตรงชายเสื้อบอกฉันแบบนั้น กางเกงยีนคุณ เท่าที่ดู คุณคงไม่ได้กลับไปอพาร์ทเมนต์เจนเลย น่าจะสัปดาห์ได้ คุณอยู่ข้างนอกแทบจะตลอด ตามหาอะไรคะ? มีโคลนและเศษดินเปื้อนที่ชายกางเกงยีนหลายจุด แปลว่าคุณเดิน แทนที่จะบิน คุณหาร่องรอยอะไรบางอย่างอยู่ใช่ไหม?”


                    “ถ้าอย่างนั้นผมควรจะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของโลกหรือเปล่า” ด็อกเตอร์ถามขึ้น


                    “ไม่แน่ค่ะ ด็อกเตอร์ อาจสร้างปัญหาให้เราได้ ฉันคิดว่าคงไม่พ้นน้องชาย โลกิ” ฉันสรุป


                    “พวกเจ้าช่าง... น่าทึ่ง” ธอร์ชมอย่างเปิดเผย “โดยเฉพาะเจ้า อาร์เจนต์ ข้าอยากดื่มให้เจ้าสักแก้วจริงๆ”


                    “เชิญเลยค่ะ ด็อกเตอร์เพิ่งใช้เวทมนตร์เสกเครื่องดื่มให้คุณ” ฉันพยักเพยิดไปทางโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างธอร์ มีเหยือกเบียร์วางพร้อมแล้ว ธอร์หันไปและหยิบขึ้นมา “ขอโทษด้วยค่ะ ที่ไม่ได้เตรียมการต้อนรับที่ดีกว่านี้ ฉันไม่รู้ว่าแขกของเราจะเป็นธอร์แห่งแอสการ์ด”


                    “อย่ายุ่งยากเลย” ธอร์โบกมือไปมา


                    “ผมเชื่อว่าคุณกำลังมีปัญหา” ด็อกเตอร์เริ่มพูด “และผมก็เกรงว่านั่นอาจส่งผลต่อโลก ช่วยเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นได้ไหมครับ ธอร์”


                    “ได้สิ” ธอร์เพิ่งดื่มหมดเหยือก แต่แล้วเบียร์ก็เต็มเหยือกอีกรอบ ฉันมองดูอย่างทึ่งๆ ด็อกเตอร์นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ “ข้ากลับไปเพื่อกล่าวลาท่านพ่อ เพราะข้าตั้งใจที่จะอยู่ปกป้องโลก จึงสละบัลลังก์แห่งแอสการ์ด แต่หลังจากนั้นก็รู้ทีหลังว่า คนที่นั่งบัลลังก์ไม่ใช่ท่านพ่อของข้า แต่เป็นโลกิ เขาตบตาข้าสำเร็จอีกแล้ว” ฉันเลิกคิ้วขึ้น แหม ไม่แปลกใจหรอก “ข้าไม่รู้ว่าโอดินอยู่ที่ไหน และโลกิมีแผนอะไรกันแน่ ข้าตามหาโอดินโดยเริ่มจากโลกก่อน และกำลังคิดว่าจะไปต่อที่อื่น ถ้าโลกิอยู่บัลลังก์แอสการ์ดนานกว่านี้ อาจเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ข้าต้องรีบหาโอดินให้เจอเร็วที่สุด”


                   “น่าสนใจ ฉันชอบตามหาคนค่ะ” ฉันบอก “เอ่อ อาจจะยากนิดหน่อยถ้าเป็นกษัตริย์แห่งแอสการ์ด และต้องตามไปถึงเก้าอาณาจักร” ฉันเสริมขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ว่ากำลังพูดกษัตริย์โอดิน ไม่ใช่มิสเตอร์โอดิน ธรรมดาๆ


                    “ผมจะช่วยคุณ ธอร์” ด็อกเตอร์พูดขึ้นมา


                    “โอ้ จริงหรือ” ธอร์ร้องอย่างยินดี “จะเป็นเกียรติมาก ด็อกเตอร์” เขาลุกขึ้นยืน พวกเราจึงลุกตาม “ข้าได้ยินว่าดิแองเชี่ยนวันเพิ่งจากไป โลกกำลังขาดผู้ดูแลมิติและเวทมนตร์ เจ้าจะได้รับตำแหน่งนี้ไม่ช้าก็เร็ว แน่ใจหรือว่า พอจะปลีกเวลาช่วยข้าได้”


                    “ผมเห็นว่าเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบหลายอย่าง เพื่อการันตีว่าโลกจะสงบจากการกระทำใดๆของโลกิ ผมยินดีช่วยตามหากษัตริย์โอดิน และให้พระองค์คืนบัลลังก์ เพื่อความสงบสุขโดยเร็วจะดีที่สุด” ด็อกเตอร์บอก


                    “ขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองคนมาก” ธอร์บอก “แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่ดี เจ้ามีแผนไหม”


                    “นั่น ผมต้องขอเวลาคิดก่อน แล้วจะติดต่อหาอย่างเร็วที่สุด”


                    ฉันเป็นคนออกไปส่งแขก ระหว่างที่เดินก็ชวนคุยหลายเรื่อง ฉันสนใจเรื่องอเวนเจอร์สเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่ก็ต้องรู้สึกเสียดายเมื่อธอร์บอกว่า เขาพักงานจากการเป็นอเวนเจอร์สชั่วคราว เพื่อมาจัดการเรื่องภายในครอบครัว ฉันบอกให้เขาพยายามหาทางคืนดีกับเจน ผู้หญิงใจอ่อนง่ายจะตายไป แค่ดอกไม้ ดินเนอร์หรู เพลงเพราะ กับการทำตัวดีๆสักหน่อยของผู้ชาย หญิงที่ไหนก็ต้องยอมสยบ ธอร์หัวเราะกับคำแนะนำของฉัน และบอกว่าจะลองดู จากนั้นเขาก็จากไป ฉันมองดูเขาจนลับสายตา แล้วค่อยกลับเข้าด้านใน


                    “มีความเห็นไหม” ด็อกเตอร์ถามฉันทันที เมื่อเห็นฉันเดินขึ้นบันไดกลับมา


                    “นี่เป็นคำถามแบบต้องการความช่วยเหลือ หรือบททดสอบ” ฉันถามกลับ


                    “แค่ตอบน่า มิสอาร์เจนต์” เขากลอกตา


                    “ก็ได้ค่ะ” ฉันพยักหน้า “มีความเป็นไปได้น้อยมากที่โอดินจะอยู่บนโลก ถ้าฉันเป็นโลกิ ฉันจับโอดินไปปล่อยที่โยทันไฮม์ หรือมัสเปลไฮม์ดีกว่า โยทันไฮม์เต็มไปด้วยยักษ์น้ำแข็ง เท่าที่ฉันอ่าน พวกเขาไม่ถูกกันอย่างรุนแรง ส่วนมัสเปลไฮม์ก็เป็นสถานที่น่ากลัว อโคจรของเหล่าทวยเทพแอสการ์ด ไม่มีทางที่โลกิจะเก็บโอดินไว้ใกล้หูใกล้ตาธอร์อย่างบนโลกเราหรอก”


                    “อืม มันก็ไม่แน่หรอกนะ” ด็อกเตอร์บอก


                    “เรากำลังพูดถึงโลกิที่คร่าชีวิตเป็นผักปลานะคะ ด็อกเตอร์” ฉันแย้ง “ฉันว่าเขาไม่สนใจหรอกว่าโอดินจะตายหรือเปล่า ไม่แน่เขาอาจฆ่าโอดินไปแล้วก็ได้”


                    “เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบดู” ด็อกเตอร์บอก แล้วเขาก็ขอตัวไป คงไปทำการตรวจสอบอะไรของเขานั่นล่ะ


                    ฉันมีเวลาว่างในช่วงบ่าย ซึ่งใช้หมดไปกับการอ่านหนังสือ ฉันอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับแอสการ์ด จนคิดว่าน่าจะรู้เกือบหมดแล้ว เป็นการอ่านที่สนุกสนานมากทีเดียว ไม่ต่างอะไรกับการอ่านนิทาน เพียงแต่ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ซึ่งทำให้น่าตื่นเต้นกว่าเดิมหลายเท่า คฤหาสน์ตกอยู่ในความเงียบที่น่าสบาย ฝนเริ่มตกด้านนอก ลอนดอนก็อย่างนี้ล่ะ สภาพอากาศแปรปรวน ตอนเช้าอาจจะแดดออก ตอนบ่ายฝนตก ตอนเย็นอาจจะแดดออกอีกรอบ ฉันผ่อนลมหายใจ เริ่มปวดตากับการอ่านหนังสือ จึงวางมันไว้บนโต๊ะ และไปหยุดอยู่ที่หน้าต่าง มองผู้คนเดินไปเดินมา


                    แทบไม่อยากเชื่อเลยนะ เมื่อวานฉันยังเป็นคนธรรมดา บนโลกธรรมดาอยู่เลย แล้วดูวันนี้สิ ฉันอยากจะเล่าให้เขาฟังจัง คู่หมั้นของฉัน เราแบ่งปันเรื่องราวกันเสมอ ฉันเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง เขาเล่าทุกอย่างเช่นกัน เราไม่เคยมีความลับต่อกัน ฉันเสียใจมาก มากจนไม่รู้จะพูดออกมายังไง ทุกครั้งที่เขาปฏิเสธไม่ให้ฉันพบหลังอุบัติเหตุนั่น ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไง เขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน เป็นคนที่ฉันเล่าพล็อตเรื่องให้ฟังเป็นคนแรก ฉันสามารถตื่นตลอดคืน เพื่อเขียนให้จบหนึ่งบท และวางไว้ให้เขาอ่านตอนเช้าก่อนไปทำงาน เขาคือนักอ่านคนแรกของฉัน แฟนคลับคนแรก และเมื่อฉันเริ่มเหนื่อย และฆ่าตัวละครตายแบบโง่ๆ เขาจะเป็นคนเตือนฉันว่าฉันจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้ คิดดูใหม่เถอะ เพิ่มเรื่องราวอีกนิด เพื่อให้การตายของตัวละครนั้นน่าสนใจขึ้น เมื่อขาดเขาไปแล้ว ฉันก็ หมดอาลัย ตายอยาก ฉันอยากได้เขาคืนกลับมา มากกว่าอะไรทั้งหมด


                    ฉันเดินออกจากห้องสมุด เข้าไปในส่วนที่เต็มไปด้วยตู้กระจกใส่สิ่งประดิษฐ์ทางเวทมนตร์ ชิ้นที่ฉันชอบที่สุด แน่นอนว่าคือผ้าคลุมสีแดงที่ทำให้ด็อกเตอร์บินได้ ฉันหยุดยืนดู เหมือนรู้สึกราวกับว่า ผ้าคลุมก็มองฉันอยู่เหมือนกัน มันขยับตัวนิดหน่อยอย่างวางท่า ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ตอนนั้นเอง ฉันได้ยินเสียงเปิดประตู และด็อกเตอร์ก้าวออกมาจากห้องๆหนึ่ง


                    “ได้เรื่องไหมคะ” ฉันถาม


                    “ยัง” เขาส่ายหน้า “คาดว่าผมกับธอร์คงต้องเดินทางกันนิดหน่อย”


                    “อืม” ฉันส่งเสียงจากลำคอ หันกลับไปมองผ้าคลุม แล้วก็หันไปมองเขาอีกรอบ “ฉันขอลองใส่ได้ไหมคะ”


         ด็อกเตอร์มองหน้าฉัน มองผ้าคุลม มองหน้าฉันอีกที แล้วก็พูดว่า “ไม่”


    “โธ่ ครั้งเดียวเอง ฉันไม่ทำบุบสลายหรอกน่า” ฉันโอดครวญ ถ้าไม่อยากลองจริงๆก็ไม่ขอหรอก “เขาน่ารักออก ฉันว่าเขาอยากรู้จักฉันนะ” ฉันยิ้มกว้างอย่างสวยที่สุดให้ผ้าคลุมในตู้กระจก มันสะบัดผ้าเล็กน้อยและทำท่าเหมือนโค้งคำนับ “นั่น เห็นไหม เขาอยากรู้จักฉันล่ะ ดีใจจัง” ฉันยิ้มอย่างภูมิใจ


    “นี่คุณกำลังจีบผ้าคลุมของผมหรอ?” ด็อกเตอร์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ ยกมือกอดอก มองสลับกันระหว่างตัวฉันที่ยิ้มแป้น กับผ้าคลุมที่ม้วนตัวแทบจะบิดเป็นเกลียว


    “ก็เขาน่าจีบกว่าคุณตั้งเยอะนี่” ฉันพูดลอย “เนอะ” ท้ายประโยคนี้หันไปพูดกับผ้าคลุมสีแดง “ไว้เราค่อยเจอกันตอนเขาเผลอก็ได้นะ พาฉันบินแบบธอร์เลยนะ สัญญาไหม?” ฉันชูนิ้วก้อยขึ้นมา และผ้าคุลมก็ทำตาม ทำชายผ้ายกขึ้นและเหมือนท่าชูนิ้วก้อย “น่ารักจัง” พอได้คำชมเข้าไป ผ้าคลุมก็สั่นไหวเหมือนจะดีใจสุดๆ


    “เอาเถอะ ผมไม่ยุ่งละ”


    ชอบจังที่ได้ทำให้คนหงุดหงิด 












    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×