ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Doctor Strange/OC Fic] The Strangest Case

    ลำดับตอนที่ #1 : The remarkable meeting

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 59




    The Strangest Case


    Chapter 1 : The remarkable meeting


                    เอาล่ะ ทุกคนต้องมีเรื่องราวเป็นของตัวเองใช่ไหม? นั่นทำให้ฉันเริ่มทำสิ่งนี้ เล่าเรื่องของตัวเอง ซึ่งอันที่จริง มันแทบไม่จำเป็นเลย ฉันเป็นนักเขียน หมายความว่า ในงานเขียนทุกอย่างของฉัน มีความเป็นตัวฉันเองบ้างอยู่แล้ว นิดๆหน่อยๆ แต่ตอนนี้ ฉันกำลังอยู่ในช่วง หมดอาลัย ตายอยาก เขียนไม่ออก แถมกำลังป่วย คือฉันกำลังเป็นไข้หวัดใหญ่ ปวดหัวมากๆแล้วก็ไข้ขึ้นสูง ช่างมันเถอะ


                    เอาเป็นว่า เรามาเริ่มรู้จักกันง่ายๆ เช่น ฉันเป็นใครก่อนดีกว่า อย่างที่บอกไปแล้วว่าฉันเป็นนักเขียน และค่อนข้างโด่งดังในสายงานของฉันพอตัว แนวของฉันคือ ฆาตกรรม สยองขวัญ สั่นประสาท ทั้งหลาย และเพิ่งจะมีผลงานกลายเป็นภาพยนตร์ไปแล้วหนึ่งเรื่อง ซึ่งทำรายได้ถล่มทลาย นำพาให้ตัวฉันขึ้นมาอยู่ระดับท๊อปลิสต์มาสองปีแล้ว แต่นั่นล่ะปัญหา รู้ไหมว่าอะไรที่ยากกว่าการไต่เต้ามาถึงระดับสูง มันก็คือการคงสภาพเอาไว้ยังไงล่ะ ฉันถึงได้รู้สึกห่วยแตกสุดๆอยู่ตอนนี้ไง ความเครียดเพิ่มขึ้นแทบจะเดือดทะลุจุดร้อยองศาเซลเซียส


                    ฉันต้องเริ่มเขียนเรื่องใหม่ได้แล้ว ถ้ายังอยากมีชื่อเสียงอยู่ในวงการต่อไป สองปี ทิ้งห่างมากพอแล้ว ฉันต้องสร้างอะไรที่ฮิตติดตลาด หรือไม่ก็ จะต้องไม่ให้น่าเกลียดเกินไปนัก ประเด็นก็คือ ฉันไม่มีฟิลลิ่ง จะไปมีได้ยังไงจริงไหม คู่หมั้นฉันเพิ่งกลายเป็นอัมพาต และเขาก็พยายามตัดฉันออกจากชีวิตของเขา


                    “ไอลีน” เขาบอก “ไปจากชีวิตผมซะ ผมไม่ต้องการคุณ”


                    ดูสิ เขาใจร้ายกับฉันขนาดนั้น พูดจบก็เปิดแน่บกลับอังกฤษไป ทั้งที่ฉันพยายามแทบตายเพื่อช่วยเขา ฉันก็ตามง้อเขาอยู่หรอก แต่เขาไม่ยอมพบฉัน ฉันเข้าใจนะว่าเขาไม่ต้องการเห็นสภาพแย่ๆที่เกิดกับตัวเขา อีกอย่างเขารวยจะตาย เขามีเงินมากพอที่จะจ้างพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่กายภาพดูแลเขาไปได้ตลอดชีวิต เขาไม่ต้องการฉัน หลังจากถูกปฏิเสธทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบแปดครั้งในตลอดสองปี ฉันซมซานกลับแผ่นดินเกิด อเมริกา และคิดว่าถึงเวลาที่ชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป แต่ พูดก็พูดเถอะ ฉันขอด่าคนๆหนึ่ง คงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?


                    หลังจากคู่หมั้นของฉันประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้กระดูกสันหลังของเขาเสียหายยับเยิน ฉันและครอบครัวของเขาพยายามอย่างเต็มที่ในการหาแพทย์ที่ดีที่สุดมารักษา และหนึ่งในนั้นคือ ด็อกเตอร์สตีเฟ่น สเตรนจ์ จากผลงานที่ผ่านมาของเขาทั้งหมด ชื่อเสียงทั้งหลายนั่น ฉันตรงดิ่งไปหาเขาทันทีเลย ตอนแรกเขาก็ดูเหมือนจะสนใจอยู่หรอกนะ แต่พอดูผลสแกนอะไรต่ออะไร เขาก็พูดอย่างสุภาพ


                    “ผมเกรงว่าไม่มีอะไรที่ผมจะช่วยได้”  เขาบอกอย่างนั้น  “ผมแนะนำว่าให้ดูแลสภาพจิตใจของเขาให้ดีที่สุด ผมมีนักกายภาพบำบัดฝีมือเยี่ยมที่อยากจะแนะ...”


                “คุณจะไม่ช่วยฉัน”  ฉันพยายามพูดด้วยเสียงสุภาพสุดๆเลยล่ะ  “คุณจะไม่... แม้แต่จะลอง”


                “มิสอาร์เจนต์”   เขาบอกอย่างอ่อนโยน และอดทน  “กระดูกสันหลังของเขา...”


                “ฉันไม่สนว่ากระดูกสันสันหลังของเขาจะเป็นยังไง”   ฉันพูด พยายามกั้นน้ำตาเต็มที่  “คุณดูแค่แผ่นเอ็กซเรย์ และใช้ตรรกะของคุณในการตัดสิน ตรรกะซึ่งอยู่เหนือความรู้สึก และหัวใจ คุณเป็นหมอ ด็อกเตอร์ หมอไม่มีหัวใจบ้างหรือไง สำหรับฉัน เขา และครอบครัวของเขา ความเป็นไปได้แค่ ศูนย์จุดหนึ่ง ก็มากพอที่จะลองดู เพราะอาจมีปาฏิหาริย์ คุณจะบอกว่า...”


                “มันน้อยกว่าศูนย์จุดหนึ่ง”   เขาแทรกขึ้น  “ผมเสียใจ มิสอาร์เจนต์ แต่ผมมองไม่เห็นว่าจะมีปาฏิหาริย์ และผมว่าผู้หญิงที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเช่นคุณ คงทราบดีอยู่แล้วว่า บนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์”


                “สักวันหนึ่งนะคะ ด็อกเตอร์”  ฉันพูด บอกตามตรง ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าสุดท้ายจะกลายเป็นคำแช่ง   “ถ้าคุณตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขา คุณจะพบว่า แม้แต่ ศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่ง เปอร์เซ็นต์ ก็มากพอที่จะลองดู”   ฉันคิดว่าคงหมดเวลาสำหรับฉันแล้ว และการจะอยู่ง้อเขาต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา “ขอบคุณที่สละเวลาค่ะ ด็อกเตอร์”


                ฉันจะบอกให้ว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธ เป็นเพราะเขาไม่อยากเสียชื่อเสียงน่ะสิ ด็อกเตอร์สตีเฟ่น สเตรนจ์ ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เคยผิดพลาดในการรักษา เขาทำตัวอย่างกับพระเจ้า นั่นแหละคือเขา นั่นแหละคือสาเหตุที่เขาไม่ยอมพยายามผ่าตัดให้คู่หมั้นของฉัน อดีตคู่หมั้น ต่อไป คงต้องใช้คำนี้อย่างถาวรแล้ว โอ้ ไม่ ฉันจะไม่ร้องไห้ ฉันตะโกนบอกตัวเอในใจ แล้วก็ม้วนตัวสามตลบบนเตียงนอน โดยลืมไปว่า ตัวเองนอนอยู่ใกล้ขอบขนาดไหน ฉันก็เลยลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น พร้อมเสียงดังพลั่ก ก้นกระแทกพื้น


                    เออ เอาเข้าไป


                    ไหนๆก็นอนไม่หลับแล้ว ฉันตื่นเต็มตา เดินเหมือนซอมบี้ไร้วิญญาณไปที่ครัว เปิดตู้เย็น ดึงมันฝรั่งทอดกรอบถุงใหญ่มาด้วย กินให้มันอ้วนตายไปเลย


                    เฮ้อ ฉันจะทำยังไงต่อ นั่นล่ะคือคำถามที่คิดมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ฉันเดินไปทางห้องทำงานแสนสบาย ฉันให้มัณฑนากรออกแบบโดยใช้สีเอิร์ธโทนแบบที่ฉันชอบ รายล้อมด้วยชั้นหนังสือ มุมนั่งอ่านแสนสบายริมหน้าต่าง มุมติดบอร์ดขนาดใหญ่ที่ฉันสามารถใช้เวลาคิดพล็อตเรื่องอันสลับซับซ้อนได้ ต้องขอบคุณเหตุการณ์อเวนเจอร์ส์ กับเอเลี่ยนบุกนิวยอร์ก ที่ทำให้อพาร์ทเมนต์ฉันพังพินาศ ก็เลยได้เงินสนับสนุนของรัฐบาลมานิดหน่อย และทำให้ฉันเริ่มรีโนเวตห้องนี้ทั้งหมด รวมไปถึงสิ่งของ หนังสือ หาซื้อเข้ามาใหม่


                    ฉันเขียนไว้บนบอร์ดเล็กตารางเวลาทำงานของฉันว่า อีกสองวัน ฉันจะต้องเริ่มเขียนบทที่หนึ่ง ขนพองสยองเกล้าที่สุด ฉันจะเขียนอะไร ในเมื่อไม่มีอะไรในหัวเลยสักอย่างเดียว มีแต่อากาศเน่าๆกับซากฝุ่น ฉันเคยมีไฟมากกว่านี้ ในการเขียนเรื่องราว ดึงทุกอย่างในชีวิตประจำวันมาเป็นจุดๆหนึ่งในพล็อตที่น่าสนใจ ฉันชอบสังเกตผู้คน สังเกตสิ่งของ และคิดคาดการณ์ไปต่างๆว่าพวกเขาเป็นใคร ทำอะไร ทำไมถึงมีรอยเปื้อนอยู่บนรองเท้า รอยขีดข่วนที่กระเป๋าเกิดจากอะไร รายละเอียดเล็กน้อยพวกนั้น ฉันนำมาขยายต่อในหนังสือของฉัน แฟนคลับถึงขนาดตั้งให้ฉันเป็น อกาธา คริสตี้ยุคปีสองพัน พวกเขาพูดกันว่า ผลงานของฉันมีความเป็นเชอร์ล็อค โฮล์มส์ และ แอร์กูล์ ปัวโรต์ ในคราวเดียว อะไรแบบนั้นมันจะกลับมาได้อีกไหมล่ะเนี่ย เศร้า!!


                    ตลอดคืน ฉันผ่านมันไปได้ด้วยการพยายามคิดอย่างหนัก คิดถึงการฆาตกรรมแปลกๆ ที่น่าสนใจพอจะนำมาเขียน และทำให้คนอ่านสนุกได้ ฉันเสียกระดาษไปเป็นกอง ขยำยู่ยี่อยู่ในถังขยะ จนสุดท้าย ฉันก็เอามาปาเล่น ดูสิว่าจะปาไปถึงหนังสือเล่มที่เล็งอยู่ได้หรือเปล่า พอตอนเช้ามาถึง ฉันก็ประสบความสำเร็จเป็นนักปากระดาษพอดี


                    หลังจากอาบน้ำ โอ้ย เชื่อเถอะ ไม่อยากรู้หรอกว่าฉันไม่ได้อาบน้ำและหมกตัวเป็นซอมบี้อยู่ในนี้มากี่วันแล้ว ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูเป็นผู้เป็นคน เพราะวันนี้ ฉันจำเป็นจริงๆที่จะต้องไปเจอบรรณาธิการของฉันเสียหน่อย ฉันอยากต่อรองเรื่องวันส่งต้นฉบับ เมื่อพอดูดีเท่าที่จะดีได้แล้ว ฉันก็ออกจากอพาร์ทเมนต์ ฉันว่าทุกคนน่าจะชอบประโยคต่อไปนี้นะ ประโยคนี้มักจะปรากฏในหนังสือ หรือภาพยนตร์ ช่วงสำคัญๆ จุดเปลี่ยน หรืออะไรก็แล้วแต่ แหม ฉันใส่ประโยคนี้มาเร็วไปไหมนะ เราเพิ่งอยู่กันที่ บทที่หนึ่ง เอง แต่ส่วนใหญ่พวกเขาก็ใช้ในบทที่หนึ่งนี่แหละ


                    ระหว่างที่ฉันแวะซื้อกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์นั้นเอง ฉันก็พบกับคนๆหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตฉันอย่างทั้งหมดทั้งมวล


                    “คุณอาร์เจนต์ใช่ไหมครับ” เขาเป็นฝ่ายทักฉันก่อน


                    “โอ้ คุณ” ฉันจำเขาได้ แน่นอนอยู่แล้ว เขาเป็นนักกายภาพบำบัดที่ด็อกเตอร์สเตรนจ์แนะนำให้ฉันไปหาไงล่ะ แต่ฉันจำชื่อเขาไม่ได้หรอกนะ จนเอาตัวเขามาเขียน ฉันก็ยังจำไม่ได้ ขอโทษมา ณ ที่นี้


                    “ผมไม่ได้เจอคุณเลย แต่ก็ยังจำได้แม่นเลยครับ” เขาบอก อันที่จริง ใครๆก็จำฉันได้ ฉันเป็นคนตะโกนใส่หน้าด็อกเตอร์สเตรนจ์คนเก่ง แช่งให้เขาไปตายซะ หรือไม่ก็พิการ คือมันไม่มีเรื่องเล็กๆใหญ่ๆหลังจากที่ด็อกเตอร์ปฏิเสธฉันน่ะ ฉันเครียดมากไปหน่อย แล้วก็ระเบิดใส่เขาเป็นชุดเลยท่ามกลางหมอพยาบาลคนไข้นับร้อย ฉันไม่ภูมิใจกับเหตุการณ์นั้นเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ฉันขออนุญาตปิดเป็นความลับ และจะเก็บไว้จนวันตาย อวสาน


                    “คู่หมั้นคุณเป็นยังไงบ้างครับ เขายังสู้ต่อใช่ไหม” เขาถาม


                    “เอ่อ ประมาณนั้นค่ะ” ฉันอยากออกไปจากบทสนทนานี้ให้ว่องที่สุดเลย ให้ตายสิ


                    “ต้องสู้ต่อไปนะครับ คนไข้ที่ผมดูแลคนหนึ่ง อาการของเขาคล้ายคู่หมั้นคุณ เขาหายเป็นปกติ กลับมายืนเดินได้คล่องเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นไปได้เหมือนกันสำหรับคู่หมั้นคุณ”


                    “ใคร?” ฉันถามทันที เสียงห้วนกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย “คนที่คุณพูดถึงเป็นใครคะ เขามีตัวตนจริงใช่ไหม คุณไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ฉันสบายใจหรอกใช่ไหม ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย”


                    “คุณนี่ พูดคล้ายกับด็อกเตอร์สเตรนจ์เลย” เขากลอกตาไปมา “ชื่อของเขาคือ โจนาธาน แพงบอร์น ครับ” หลังจากนั้นก็บอกที่อยู่ให้รู้ซะด้วย จะได้ไปดูให้เห็นกับตา


                    เคยเป็นใช่ไหม เมื่อมาถึงทางแยกของทางเลือกสองทาง และเริ่มถามตัวเองว่าควรจะทำอย่างไรดี ฉันตั้งใจจะดำเนินชีวิตต่อไป ทิ้งทุกอย่างเบื้องหลัง แต่เมื่อมีโอกาสแบบนี้ลอยเข้ามา สารภาพตามตรงเลยนะ ฉันรักคู่หมั้นของฉัน ต่อให้เราจะไม่ได้แต่งงานกัน ฉันก็ยังห่วงใยเขาอย่างเพื่อน อย่างญาติสนิท เหมือนพี่น้อง ดังนั้นถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะทำได้ แม้จะเล็กน้อย แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ห่างไกลจากหนึ่งมากโข ฉันก็อยากทำ ฉันลงเอยที่การไปพบโจนาธาน แพงบอร์น


                    นับจากนี้ ฉันขอเล่าคร่าวๆเร็วๆเลยแล้วกันนะ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่จะต้องเล่า โจนาธาน แพงบอร์น กลับไปเป็นอัมพาต ซึ่งตามที่เพื่อนๆของเขา และญาติของเขาเล่าให้ฉันฟัง ฉันเป็นคนทำอะไรสะอาดหมดจดนะ ทุกรายละเอียดไม่มีทางหลุดรอด ดังนั้นฉันเริ่มจากญาติและเพื่อนทันทีที่พบว่าเขาเป็นอัมพาตไปซะแล้ว ข้อมูลที่ฉันได้มาก็คือ เขาเคยเดินทางไปเนปาล ได้รับความช่วยเหลือจาก คามาทาซ ซึ่งฉันก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร หลังจากนั้น เขาก็กลับมาเดินได้ เป็นปกติราวกับปาฏิหาริย์ แต่อยู่ๆวันหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นก็สุดจะรู้ ยังเป็นปริศนาสำหรับเพื่อนๆและญาติ เขาล้มอยู่กับพื้นในตรงซอกโต๊ะ มือหงิกงอ แขนขาไร้เรี่ยวแรง เป็นอัมพาต นอนพะงาบๆ และปฏิเสธที่จะพบคนแปลกหน้า


                    ฉันมี ร่องรอย อยู่สองอย่างคือ เนปาล กับ คามาทาซ ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม ฉันบอกบรรณาธิการว่าฉันจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ ตามหาแรงบันดาลใจในแดนไกล จากนั้นฉันก็จัดกระเป๋าไปเลย ตามหาสิ่งนั้น ไปตามถนนของเมืองกาฐมาณฑุ พยายามจะหาใครก็ตามที่พอจะช่วยฉัน หรือรับจ้างพาฉันไปที่คามาทาซ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ฉันเสียเวลาเป็นอาทิตย์ สำรวจไปทีละจุด กากบาทจุดที่สำรวจไปแล้วออกจากแผนที่ จนกระทั่งวันที่ฉันเริ่มหมดอาลัยตายอยาก และคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันบ้าสิ้นดี ฉันก็พบเบาะแสสำคัญ


                    เวลาที่เห็นคนแต่งตัวประหลาดไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป มันก็สะดุดตาเป็นพิเศษอยู่แล้ว ยิ่งแต่งตัวเหมือนออกมาจากนิยายแฟนตาซี ฉันไม่รู้หรอกว่าจะมีอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ตามหาหรือเปล่า แต่ในเมื่อใช้เวลาไปกับการถามคนสามัญ แล้วไม่ได้เรื่อง ก็ลองตามพวกประหลาดไปแล้วกัน ฉันแอบสะกดรอย แน่อยู่แล้ว จะให้พวกเขารู้ตัวได้ยังไง ฉันฝึกอะไรพวกนี้มาบ้าง มันมีประโยชน์กับการเขียนนวนิยายของฉัน


                    พวกเขาวิ่งเลี้ยวเข้าซอย และก็หายตัวไป นี่ฉันเจอผีตอนกลางวันแสกๆหรือเนี่ย? ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นี่ยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้น อย่างน้อย ถ้ามันไม่เกี่ยวกับคามาทาซ ฉันก็เก็บเป็นไอเดียไว้เขียนได้ ดังนั้นวันต่อมา ฉันจึงสอดส่องสายตามากกว่าเดิม และเมื่อเจอคนแต่งตัวประหลาดอีก ฉันก็ตามเขาไป ชายคนนั้นสวมหมวกฮู้ดปิดหน้า เสื้อผ้าสีเข้มยาวลากพื้น เห็นแล้วร้อนแทนจริงๆ นี่ถ้าฉันไม่เกรงใจเรื่องศาสนาของที่นี่ ก็คงใส่ขาสั้นเกาะอกเดินแล้วล่ะ อากาศร้อนอย่างร้าย แต่พี่ท่านแต่งตัวอย่างกับเดินอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยอันหนาวจัด


                    “ดูเหมือนคุณจะมีธุระกับผมใช่ไหม” อยู่ๆเขาก็หยุดเดิน และหันมาทางฉันอย่างโต้งๆ กระโดดหลบไม่ทัน “ไอลีน อาร์เจนต์ คนอเมริกัน”


                    ตอนแรก ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องสายลับอะไรเถือกนั้นเสียอีก จนกระทั่งเขาเริ่มพูดเรื่องโจนาธาน แพงบอร์น เขาบอกว่าฉันไม่ใช่คนแรกที่มาถึงนี่ เพราะฟังเรื่องจากแพงบอร์น แต่เขาก็บอกอีกว่า ฉันจะไม่ได้อะไรจากที่นี่


                    “กรีนิช?” ฉันแทบจะตะโกนอย่างไม่เชื่อหู


                    “ใช่ คุณอาร์เจนต์ คำตอบที่คุณตามหา คุณจะได้ที่กรีนิช และเขารู้อยู่แล้วว่าคุณจะไป” ชายคนนั้นมอบกระดาษที่มีสัญลักษณ์ประหลาดไว้ให้ด้วย


                    ตกลงว่า ฉันต้องบินไปหาคำตอบต่อที่ลอนดอน และฉันก็ทำตามนั้น ส่วนหนึ่งในใจก็คิดว่ากำลังทำเรื่องไร้สาระอะไรอยู่เนี่ย แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันเป็นพวกดื้อไม่ยอมถอดใจ ก็เลยทำแบบเดิม กางแผนที่ลอนดอน พิจารณาแค่ตำบลกรีนิช เริ่มเดินสำรวจ หาสัญลักษณ์ประหลาดนั่นแหละ มันต้องอยู่ตรงไหนสักแห่ง ตำบลกรีนิชไม่ได้กว้างอะไรมาก แต่เดินหมดวันเดียวก็ไม่ไหว และวันที่สองนั่นเอง ฉันพบอาคารแห่งหนึ่งมีสัญลักษณ์แบบที่ได้มาอยู่บนกระจกรูปกลม ที่นั่นไม่ผิดแน่ ฉันเดินตรงไปที่นั่น เคาะประตูตามมารยาท มันเหวี่ยงเปิดเอง เชิญชวนให้เข้าไปสุดๆ


                    คฤหาสน์ ฉันคงใช้คำพูดได้ไม่ผิด ที่นี่ดูเหมือนคฤหาสน์ของคนร่ำรวยสักคน “สวัสดี” ฉันพูดขึ้น หวังว่าจะมีใครสักคนออกมาต้อนรับ หรือบอกว่าฉันควรทำยังไง แต่ก็เงียบเชียบอย่างกะสุสาน ฉันได้ยินแต่เสียงรองเท้าของฉันกระทบพื้น แล้วฉันก็ตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไป พบกับหน้าต่างกระจกรูปกลมบานนั้นที่ฉันเห็นด้านนอก เลยออกไปอีกด้านเป็นเหมือนชุดคอลเลกชันของสะสมอยู่ในตู้แก้ว มีอย่างหนึ่งที่สะดุดตาฉัน ผ้าคลุมสีแดง แขวนสงบนิ่ง ทิ้งตัวสวยอยู่ในตู้กระจกอย่างดี ฉันมองสำรวจทันทีตามประสาคนชอบสังเกต เนื้อผ้าดี หนา ท่าทางจะเป็นของโบราณ แต่ก็ได้รับการดูแลอย่างดี ปกนั้นตั้งขึ้น ฉันพอจะเห็นลายปักสวยงามบนปกได้เลย ไม่มีด้ายหลุดออกมาแม้แต่นิดเดียว แนวเย็บเรียบร้อยตลอดทั้งตัว ดูช่างไร้ที่ติอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็มีปัญหาเล็กน้อย ฉันไม่เห็นว่าจะมีเชือกผูก หรือกระดุม แล้วมันจะใส่ยังไงล่ะนั่น ?


                    ยังไม่ทันที่จะได้สำรวจไปมากกว่านั้น เสื้อคลุมก็ขยับ ถูกแล้ว ขยับ ในบรรดาสิ่งอัศจรรย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ฉันขอยกให้เสื้อคลุมขยับเองได้เป็นสิ่งอัศจรรย์ลำดับที่หนึ่งในตอนนั้น นอกจากมันขยับเอง พลิ้วไหวโดยไม่ต้องพึ่งลม มันก็เปิดประตูกระจกเองด้วย คิดว่าฉันจะช็อคไหมล่ะ ใบ้รับประทานไปเลยสิคะ มันพุ่งฉิวเฉียดฉันไป ฉันหันขวับตามมันด้วยความสงสัยสุดๆ และนั่น มันอยู่นั่น บนไหล่ของชายคนหนึ่ง


                    ฉันว่าทุกคนคงเบื่อประโยคนี้ ชายคนที่ฉันไม่อยากพบมากที่สุด หรือ ชายคนสุดท้ายที่ฉันคาดว่าจะได้พบในสถานการณ์เช่นนี้ ชายที่ฉันเกลียดหน้าเข้าไส้


                    “คุณเปลี่ยนอาชีพเป็นนักมายากลหรอ?” นั่นเป็นอย่างแรกที่ฉันพูดออกไป “หลังจากอุบัติเหตุนั่น มันคงยากสินะคะ เท่าที่ฉันตามข่าวอย่างใกล้ชิด โอ้ พวกเขาเขียนว่าไงนะ ความสูญเสียอันน่าเศร้าของอัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ แล้วนี่คือสิ่งที่คุณทำหรอ? ล่อฉันมาดูมายากลเนี่ยนะ”


                    “มิสอาร์เจนต์ ความปากกล้าของคุณยังน่าประทับใจเสมอ” เขาเอ่ยชมอย่างประชดประชัน


                    “อ้อ แน่นอน” ฉันยักไหล่ ยิ้มด้วย “แล้วยังไงต่อคะ คุณลวงให้ฉันเสียเวลาในชีวิตไปเกือบสามอาทิตย์ ไปกาฐมาณฑุ มากรีนิช แล้วยังไงต่อ”


                    “อันดับแรก ทั้งหมดไม่ใช่มายากล มันคือความจริง” เหอะ เชื่อตายล่ะ “คุณชอบสังเกตใช่ไหม ไหนบอกผมสิ คุณเห็นอะไรบ้าง”


                    ฉันถอนหายใจ เลิกคิ้วมอง แล้วก็เริ่มพูด “อันดับแรก ฉันต้องบอกว่าประทับใจกับกลลวงนี้ น่าทึ่งมาก ฉันอาจไปใส่ในนวนิยายของฉันสักเรื่องหนึ่ง สอง ฉันสงสัยว่าคุณใช้เวลากี่นาทีแต่งตัว เสื้อผ้าพวกนั้น” ฉันหลุดขำ “แบบว่า มันไม่ดู หรูหราอลังการไปหน่อยหรอ เนื้อผ้าดี ตัดเย็บประณีต ดีเทลเยอะแยะไปหมด แต่ฉันเห็นว่า บางจุดแสดงออกชัดเจนว่ามันค่อนข้างสมบุกสมบันทีเดียว มีรอยซีดอยู่บริเวณแขนเสื้อและหน้าอก คุณถูกผลักล้มแล้วขูดกับพื้นมาหรือไง? รองเท้าคุณ โอ้!” ฉันกระพริบตา ไม่อยากเชื่อ “หิมะ รองเท้าคุณเปื้อนหิมะ ฮ่าฮ่า จัดฉากสินะคะ จะไปเปื้อนหิมะมาได้ยังไง นี่เดือนกรกฎาคม ไม่มีที่ไหนในเกาะอังกฤษหิมะตกแน่นอน “


                    “ใช่ คุณพูดถูก” เขาพยักหน้า ค่อนข้างประทับใจ “ต่อสิ เห็นอะไรอีก”


                    ฉันขมวดคิ้วแล้วตอนนี้ จะเล่นเกมอะไรกัน และตอนนั้นเองที่ร่างเขาลอยขึ้นจากพื้น “แหม ประทับใจจัง ด็อกเตอร์ คุณเป็นนักมายากลอัจฉริยะได้เลยนะ แต่หลอกฉันไม่ได้หรอก” ฉันเดินเข้าไป ก้มลงนั่งยองๆ เอามือปัดๆใต้เท้าเขา แล้วก็หาเก้าอี้ ซึ่งเจออยู่ตัวหนึ่งพอดี ออกจะประหลาดที่มันมาตั้งอยู่แถวนั้น แต่ฉันก็ใช้มัน เหยียบขึ้นไป เพ่งดู หาสายสลิง หน้าชักจะเริ่มซีด ไหนล่ะสายสลิง


                    ฉันลงจากเก้าอี้ หรือจะพูดให้ถูก แทบจะหงายหลังลง “คุณทำได้ยังไง”


                    “คิดว่าไงล่ะ?”


                    “อย่าเล่นลิ้นน่า ด็อกเตอร์” ฉันชักจะรำคาญ


                    “คุณมาที่นี่เพราะอยากหาทางรักษาคู่หมั้นของคุณ” เขาพูดต่อ “ถ้าผมเสนออะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นให้ล่ะ สมองแบบคุณ ความจำเป็นเลิศ ความช่างสังเกต คาดการณ์ เหตุผล ความขี้สงสัย มันน่าเสียดายที่หมดไปกับงานไร้สาระอย่างการเขียนนวนิยายฆาตกรรมสืบสวน”


                    “คุณพูดเรื่องอะไรอยู่” ฉันชักจะงง


                    แล้วอยู่ๆเขาก็ยื่นมือมาข้างหน้า ผลักฉันด้วยกำลังมหาศาล แต่ฉันไม่ยักล้ม เหมือนกระเด็น ลอย แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ฉันเห็นร่างฉันอยู่ตรงหน้าเลย ทำไมถึงเห็นตัวเองล่ะ


                    “คุณทำอะไร!


                    “ดีดกายเนื้อออกจากกายหยาบ” พูดเรื่องบ้าอะไรหว่า ไม่เข้าใจ “ผมจะให้คุณเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการกลับไปนั่งคิดพล็อตนวนิยาย ใช้สมองอย่างสิ้นเปลืองโดยไร้ประโยชน์”


                    และเขาก็ทำให้ฉันเห็นอย่างที่พูด


     









    Writer's talk

    เท่าที่หาข้อมูล ดูเหมือน ดร. จะดูแลแซงทั่มที่ กรีนิช  และฉันก็ชอบลอนดอนมากเป็นพิเศษ ก็เลยอยากให้อะไรๆอยู่ในลอนดอนน่ะค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×