ยาโอย (Yaoi ) (เรียกสั้นๆว่า Y)เป็นรากศัพท์มาจากภาษาเดือยของประเทศอินเดือย แต่ผู้รู้บางท่านแย้งว่าเป็นคำที่แผลงมาจากคำศัพท์ของชาวพื้นเมืองประเทศสหรัฐอมาริเกย์ แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอ คำว่ายาโอยนั้น แปลได้ว่า "มิตรภาพ และหยาดเหงื่อของลูกผู้ชาย" เป็นคำศักดิสิทธิ์ที่ชื่อกันว่า หากท่องกันบ่อยๆ ผู้พูดจะเข้าสู่หลักธรรมสูงสุดของ ศาสนายาโอย นั่นคือ "ชายเหนือชาย ต้องได้ชาย" และ "หลักแห่งการตูดบาน"
จุดกำเนิดของศาสนายาโอยนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์หนังเดือย กล่าวถึงต้นกำเนิดของประเทศอินเดือย ตอนที่บร๊ะเจ้าจะสร้างประเทศอินเดือย พระเจ้าได้จับชายผู้โชคร้ายมาตัดเดือยทิ้ง และชายผู้นั้นกลายมาเป็นต้นกำเนิดของยาโอย
คำว่ายาโอยนั้น เชื่อกันว่ามาจากเสียงที่เปล่งมาจากนักบวชในศาสนา ที่จะเปล่งเสียงออกมาขณะปฏิบัติพิธีกรรมว่า "อย่านะ!! โอ๊ยย!!!" ด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเจือความปลื้มปิติ คำว่า"อย่านะโอ๊ย" จึงกลายเป็นคำที่ใช้เรียกนักบวชในศาสนานี้ นานเข้าจึงแผลงไปเป็น "ยาโอย" ด้วยประการละฉะนี้
ต้นกำเนิดของศาสนา เชื่อมากำเนิดในประเทศอินเดือย โดยมีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยกรีก และเป็นเหตุผลทีทำให้รูปปั้นของชาวกรีกนั้น ล้วนแล้วแต่เปลือยกายโชว์บั้นท้ายอันงดงามทั้งสิ้น เนื่องเพราะเป็นการสนองตัญหาของสาวกยาโอยนั่นเอง
ศาสนายาโอยนั้นแพร่หลายมาก ทั้งในประเทศเทยและประเทศประเทศสหรัฐอมาริเกย์ และนับถือกันทั้งหญิงและชาย โดยนักบวชในศาสนาจะต้องเป็นชายเพียงเท่านั้น เพราะมีเพียงชายเท่านั้น ที่จะสามารถปฏิบัติธรรมตามคำสอนของศาสนายาโอย และบรรลุธรรมขั้นสูงสุด "หลักการแห่งการตรูดบาน"ได้ ส่วนสาวกเพศหญิงนั้นได้รับอณุญาติให้เข้าไปดูนักบวชชายประกอบพิธีกรรมได้อย่างใกล้ชิด
[color=blue]หลักธรรมของยาโอย
หลักธรรมของยาโอยนั้น การปฏิบัติต้องมีชาย 2 คนขึ้นไปและมีดังนี้
บร๊ะศาสดาองค์ที่14 ขณะกำลังชักชวนชายหนุ่มแปลกหน้าให้มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน
ภาพการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของยาโอย การเก็บสบู่ เป็นการปฏิบัติธรรมที่นิยมทำกันในห้องน้ำหลักแห่งการตรูดบาน
เป็นการปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานของชาวยาโอย เป็นการฝึกกล้ามเนื้อตรูดให้แข็งแกร่ง ผู้ที่ฝึกสำเร็จ จะไม่ประสบปัญหาท้องผูกอีกเลย แต่หากฝึกมากเกินไป ธาตุไฟอาจเข้าแทรก เป็นริดสีดวงได้ ก้มลงเก็บสบู่
เป็นหลักธรรมที่ปฏิบัติกันในห้องน้ำ นักบวชชายจะต้องยืนชิดกัน และทำสบู่ลงกับพื้น นักบวชที่อยู่ด้านหน้าจะต้องโก้งโค้งลงไปเก็บ และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็จะบรรลุหลักธรรม
ชายได้ชาย คือยอดชาย (ชายโดนชาย คือเศษชาย)
หลักธรรมขั้นสูงสุด ผู้บรรลุจะได้เป็นชายเหนือชาย ผู้ปฏิบัติจะต้องออกเดินทางไปชักชวนชายหนุ่ม มาเข้าศาสนาและบรรลุธรรมด้วยกันให้มากที่สุด
บร๊ะคัมภีร์
บร๊ะคัมภีร์สูงสุดของชาวยาโอย ที่เขียนจากประสบการณ์จริงของบร๊ะศาสดาแต่เดิมชาวยาโอยไม่มีคัมภีร์ อาศัยการบอกกันปากต่อปาก ตัวต่อตัว เนื่องจากการสืบทอดหลักธรรมมักทำกันในที่ลับสองต่อสอง พระศาสนาดาองค์ที่ 14 นายอาเบะ ยาราไนก้า จึงห่วงว่าหลักธรรมจะขาดการสืบทอด จึงได้รวบรวมหลักธรรมไว้เป็นลายลักษณ์อักษณ โดยเป็นการเล่าเรื่องของพระองค์เองขณะกำลังแสดงธรรมให้ชายหนุ่มตลอดทั้งชีวิต และออกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต และได้รับความนิยมมากมาย
ประวัติสาดอย่างเป็นทางเกิน
คำว่า yaoi กำเนิดครั้งแรงช่วงปลายยุค 70 โดยซาคาตะ ยาซุโกะและฮัตสุ รินโกะ ที่ต้องการล้อเลียนโครงสร้างของงานเขียนโคลงจีนยุคเก่าซึ่งต้องประกอบด้วย ki (introduction บทนำ), syo (development ดำเนินเรื่อง), ten (transition จุดผกผัน), และ ketsu (conclusion บทสรุป) พวกเธอยำซะเละโดยสร้างงานที่
Yamanasi (no climax ไม่มีไคลแมกซ์)
Ochinashi (no point ไม่มีประเด็น)
Iminashi (no meaning ไม่มีความหมาย)
กลายมาเป็นงานโดจินชิที่ชื่อ Loveri
ต่อมาในยุค 80 คำว่า yaoi ได้หมายความถึงงานการ์ตูนล้อเลียนที่มีผู้ชายสองคนเป็นตัวเอกและเน้นความสัมพันธ์ทางเพศเป็นเนื้อหาหลัก ส่วน shonenai หมายถึงการ์ตูนที่มีผู้ชายสองคนเช่นกัน แต่เน้นความรักโรแมนติกและน่ารักอ่อนโยนกว่า ทั้ง yaoi และ shonenai ไม่ใช่การ์ตูนที่กล่าวถึงความรักของ เกย์ เลย แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของความรักที่ เหนือ (superior) กว่าความรักระหว่างคนต่างเพศทั่วไป
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ต้นกำเนิดของความสัมพันธ์แบบชายกับชายในการ์ตูนไม่ได้เกิดในดงโดจินชิเป็นที่แรก แต่กลับเกิดในงานการ์ตูนที่มีพิมพ์ขายแบบเป็นล่ำเป็นสัน เรื่องนั้นคือ Kaza to Ki no Uta หรือ A Poem of Wind and Trees งานเขียนของทาเคมิยะ เคย์โกะ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนผู้หญิงในปี 1976 (งานของแกมีพิมพ์ในไทยหลายเรื่อง ที่ขายอยู่ตอนนี้คือ Crystal Lord Opera ของบุรพัฒน์ฯ) เรื่องนี้เป็นเรื่องของกิลเบิร์ต คอคโต เด็กหนุ่มรูปงามในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งที่มีอันต้องร่วมหอลงเตียงกับเพื่อนหนุ่มรูมเมท
อ.ทาเคมิยะเล่าให้ฟังว่ากว่าเรื่องนี้จะได้ลงตีพิมพ์ต้องฟาดฟันกับบรรณาธิการอยู่นานมาก แต่หลังจากลงไปแล้ว สิ่งที่เกิดตามมานั้นน่าทึ่งกว่าเพราะมันกลายเป็น ความดังเพียงชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ได้ลงต่อเนื่องยาวนานในนิตยสารการ์ตูนผู้หญิงและส่งให้ shonenai กลายเป็นวัฒนธรรมการ์ตูนแบบใหม่
ต่อมาในปี 1978 นิตยสาร Comic June (อ่านว่าจู-เน่) ได้วางแผงช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มของซาคาตะคิดค้นคำว่า yaoi ถือเป็นนิตยสารเล่มแรกที่มีแต่เรื่องชายกับชาย ที่แปลกว่านั้นคือทำเพื่อขายวัยรุ่นหญิง! ภาพยนตร์ก็ถูกนำมาทำเป็น yaoi เช่นกันซึ่งงานแรกๆที่ถูกจับมายำคือ Star Trek คู่เคิร์กกับสปอค (โอ้ววว)
ศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับการอ่านยาโอย
ชายที่แสดงบทพระเอกเรียกว่า seme (อ่านว่า เซ-เมะ บางท่านก็เรียกเมะหรือเสะ)
ส่วนชายที่แสดงบทนางเอกเรียกว่า uke (อ่านว่า อุ-เคะ บางท่านเรียกอุ๊หรือเคะ)
เวลาเขียนชื่อว่าใครเป็น seme กับ uke เขียนโดยให้ชื่อของ seme นำแล้วตามด้วย uke คั่นด้วยเครื่องหมาย X แต่เนื่องจากญี่ปุ่นอ่านหนังสือจากหลังไปหน้า บางทีจึงเห็นเป็น ukeXseme แต่ถ้าคิดจะอ่าน yaoi แบบไทยๆก็ช่วยเขียนเป็น semeXuke เถอะค่ะ เช่น เซฟิรอธXคลาวด์ เป็นต้น
เครดิตคนเขียน ของท่านน้ำแข็ง
เครดิตคนหา pettes(//^O^ดีมากเจ้าลิ่วล้อมายองเนส)
ปอ.ลอลิง.ทุกคนคิดว่าน่าเชื่อถือแค่ไหนเอ่ย??
ปอ.ลอลิงของลอลิง.ความคิดเห็นส่วนตัว...'เสียวอะ=[ ]='
ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ต้นกำเนิดYaoi สันนิตฐานน่ะ(//ขอบคุณข้อมูลจากpettes)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น