ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หอสมุดต้องห้ามแห่งดาร์คแลนด์

    ลำดับตอนที่ #40 : 7วิธีตายอย่างสงบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.1K
      1
      1 ก.ค. 59

    7 วิธีตายอย่างสงบ



     

                     ๗ วิธีต่อไปนี้ จะยืนพื้นอยู่บนความสามารถทำได้จริง

                     ไม่ว่าคุณจะเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอย่างไร

                     เราจะหยุดกันแค่ที่การได้ตายอย่างสบายใจ

                     อันควรเป็นยอดปรารถนาสุดท้ายของชีวิต

                     ส่วนความจริงที่ปรากฏหลังตายจะตรงหรือไม่ตรงกับความเชื่อของใคร ค่อยปล่อยให้รู้เฉพาะตน


     

     

     

     

                     ๑) ตระหนักว่าความสบายใจเกิดขึ้นได้อย่างไร

     
                     แม้มีเวลามากมายเหลือเฟือในชีวิตที่มนุษย์จะฝึกทำความสบายใจ ก็ยากนักที่เราจะเห็นคนเก่งบรรลุการฝึก ยากนักที่เราจะเห็นใครสามารถทำใจให้สบายได้ตามต้องการ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ขณะจวนอยู่จวนไปใกล้ตายเต็มทน เวลาเพียงน้อยนิดย่อมไม่พอสำหรับการทำใจให้สบายได้ทันการณ์เป็นแน่ ความสบายใจเกิดจากการไม่มีเรื่องให้ห่วง

                     แต่ปัญหาคือ ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยเรื่องน่าห่วง โดยเฉพาะในยามใกล้ตาย

                    ไหนจะสมบัติข้างหลัง
                     ไหนจะหวังให้ชีวิตยืดยาวต่อไปข้างหน้า

                     เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีง่ายๆ ที่จะหายห่วงก็คือแยกให้ออกว่า 'เรื่องน่าห่วง' กับ'อาการเป็นห่วง' มิใช่สิ่งเดียวกัน เป็นต่างหากจากกัน แม้ยังมีเรื่องน่าห่วงก็ไม่จำเป็นต้องไปห่วงมัน โดยเฉพาะขณะกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องการความสบายใจเป็นที่หนึ่ง คุณต้องตระหนักในโทษของอาการห่วงให้ดี ว่ามันทำเอาเราไม่สบายใจไปเปล่าๆ ความตระหนักจะทำให้เกิดความฉลาดเลือก และแน่นอนว่าจิตที่ฉลาดย่อมเลือกความสบายใจมากกว่าอาการห่วง

                     กังวล มันฟังง่ายเหมือนเอากำปั้นทุบดิน แต่ก็ได้ผลจริง คือดินยุบลงไปจริงๆ ที่ผ่านมาจิตของคุณมัวแต่จดจ่อกับบุคคลหรือวัตถุนอกตัว อันเป็นที่ตั้งของความกังวล ซึ่งก็เท่ากับเลือกรักษาอาการกังวลเอาไว้

                     ทีนี้ถ้าหันกลับเข้ามาข้างใน เห็นความกังวลเป็นของแปลกปลอมที่เข้ามารบกวนความสบายใจ เห็นบ่อยเข้าใจคุณก็ถอนตัวออกมาจากอาการกังวลได้เอง ลองดูแล้วจะรู้

     

                     กล่าวโดยสรุปย่นย่อคือมองให้เห็นตัวความกังวลในใจ เห็นเป็นของแปลกปลอมรบกวนจิต เห็นโทษของมัน แล้วมันจะหายไปเอง เมื่อใดความกังวลหายไป เมื่อนั้นความสบายใจก็ปรากฏว่ามีอยู่แล้วโดยเดิมตามธรรมชาติ

     
                     ๒) ระลึกถึงความดีที่ทำมา

                     ขอบอกไว้ล่วงหน้าเลย ว่าสิ่งที่คุณจะเห็นขณะจิตยกขึ้นสู่วิถีแห่งมรณะ คือนิมิตการกระทำที่ผ่านมา อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากหลาย ทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ใกล้หมดสติ และพบว่าเรื่องราวตั้งนมนานผ่านแวบเข้ามาในหัวได้อีก ทั้งที่ปกติหลงลืมไปอย่างสนิทแล้ว แม้เหตุการณ์ช่วงเพิ่งลืมตาดูโลกไม่นานก็เอาหมด ฉะนั้นแทนการให้จิตซึ่งใกล้หมดสติสุ่มเลือกการกระทำขึ้นมาแสดง ซึ่งอาจมีทั้งดีทั้งร้ายคละกัน คุณก็ชิงนึกถึงแต่ตอนที่คุณตัดสินใจดีๆ ไว้ก่อน เอาเฉพาะที่คุณเคยเลือกปฏิเสธเครื่องยั่วใจให้ผิดศีลผิดธรรม หรือที่คุณเลือกอภัยแทนที่จะแก้แค้น หรือที่คุณเลือกช่วยเหลือผู้คนแทนที่จะทอดทิ้งพวกเขา การหมั่นระลึกถึงกรรมดีในอดีต จะช่วยให้เกิดความเคยชิน พอถึงเวลาใกล้จิตดับ อำนาจความเคยชินนั้นจะดึงเอาความทรงจำด้านดีออกมาจากคลังกรรมมากมายเรียงรายเป็นคิวยาวเหยียด


                     ทุกคนเคยทำชั่ว อย่าไปเสียเวลานึกถึงมัน ถ้าอดนึกไม่ได้ก็ขอให้เป็นการสำนึกผิดครั้งสุดท้าย แล้วหันเหไปกลบทับเสียด้วยการระลึกถึงคุณงามความดีที่เป็นคู่ตรงข้าม แล้วถามตัวเองอีก ด้วยว่าในความดีหนึ่งๆ ซึ่งเคยทำไว้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณจะดีกว่าที่เคยได้อย่างไร ยิ่งจินตนาการได้ชัด ใจคุณจะยิ่งดำดิ่งลงไปในน้ำทิพย์แห่งความดีชนิดนั้นๆ บังเกิดความปีติยินดีทวีขึ้นกว่าที่เคย หากนึกไม่ออก หรือลำบากมากนัก ก็อาจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในปัจจุบันนั้นเอง พูดให้ใครก็ได้รู้สึกดี หรือทำอะไรก็ได้ให้ใครสักคนรับประโยชน์จากชีวิตอันเหลือน้อยของคุณ คราวนี้คุณจะได้ไม่ต้องเค้นระลึกถึงอดีตฝังลืมต่างๆ อีกต่อไป เอากรรมดีที่เกิดขึ้นสดๆ นั่นแหละเป็นใบเบิกทางสู่ธงชัยแห่งความสว่าง

     
                     ด้วยข้อวิธีนี้ คุณจะพบกับความจริงด้วยความเต็มตื้น ว่าเพียงด้วยการระลึกถึงความดีให้ออกบ่อยๆ ยิ่งบ่อยเท่าไร ความสบายใจก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น เพราะค่าของคนอยู่ที่ผลของการทำดีไว้กับโลกนั่นเอง

     
                     ๓) ยอมรับความจริง

     
                     ความจริงเป็นสิ่งที่น่ายอมรับที่สุด เพราะอย่างไรมันก็ต้องเป็นของมันอยู่อย่างนั้น แต่สิ่งที่น่ายอมรับที่สุดนั่นแหละ ที่มนุษย์มักปฏิเสธยิ่งกว่าอะไรอื่น ราวกับจิตใจห่อหุ้มไปด้วยเมฆหมอกแห่งการ

     
                     หลอกตัวเองหนาทึบ เคยได้ยินไหมว่าคนใกล้ตายไม่โกหก? รู้ไหมเพราะอะไร?


                     เพราะจิตของคนใกล้ตายเห็นสัจธรรมบางอย่าง นั่นคือชีวิตทั้งหมด เป็นการโกหกอยู่แล้ว พวกเราถูกหลอกว่ามี พวกเราถูกหลอกว่าเป็น ทั้งที่ไม่เคยมีและไม่เคยเป็นอะไรสักอย่าง วันแห่งความตายคือวันแห่งการเปิดเผยความจริง ทุกสิ่งจะหลุดจากกำมือของเราไป ประโยชน์อะไรกับการพยายามพูดโกหก ปั้นเรื่องเท็จซ้อนเข้าไปในเรื่องเท็จอีก จะเริ่มฝึกยอมรับอะไรก็ได้ ตั้งต้นจากคนที่เข้ามาหาคุณในช่วงท้ายๆ ลองเริ่มคิดถึงสิ่งที่คุณหลอกเขาไว้ หรือสิ่งที่คุณยังกำเป็นความลับที่ทำให้เขาเสียประโยชน์ แล้วพูดความจริงให้เขาฟัง คำจริงที่หลุดจากปากคุณแต่ละครั้ง คือ การสลายม่านหมอกแห่งความลวงออกทีละน้อย ทั้งจากใจเขาและจากใจคุณเอง ยิ่งยอมรับผิดมากขึ้นเท่าไร ใจคุณจะยิ่งเห็นความจริงปรากฏชัดขึ้นเท่านั้น และความจริงอันสำคัญที่ควรรู้ ก็คือทุกสิ่งต้องปรวนแปรไป ความจริงที่ว่ามนุษย์ทุกคนต้องตาย หากคุณไม่เคยยอมรับความจริงเหล่านั้นได้ ก็จะพบว่าง่ายขึ้นหลังจากทยอยพูดความจริงออกไปเรื่อยๆ กระทั่งเกิดพลังสัจจะ ย้อนกลับมาช่วยเป็นแสงสว่างให้คุณเห็นทุกสิ่งกระจ่างขึ้น

                     การยอมรับความจริงย่อมทำให้ใจคุณสบายกว่าตอนไม่ยอมรับ ความจริงไม่เคยน่าหวาดกลัวสำหรับนักยอมรับความจริง เป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าก่อนคุณเกิด หรือหลังคุณตาย ระหว่างมีชีวิตคุณเคยทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไปเพียงใด ก็ขอให้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายดัดมันให้กลับตรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เถิด ผลจะเกิดเป็นจิตที่สบายของคุณเอง


                     ๔) เผื่อใจให้กับการมีอยู่ของปรโลก

     
                     การอยู่กับฉากต้นๆ และฉากกลางๆ ของละครชีวิต จะไม่ช่วยให้คุณนึกถึงละครเรื่องใหม่ ต่อเมื่อคุณอยู่กับฉากท้ายๆ ใกล้จบ นั่นแหละความรู้สึกเกี่ยวกับการเล่นและการชมละครเรื่องใหม่ จึงค่อยๆ ผุดชัดในใจคุณ แม้ยังไม่อาจคาดเดาว่าเรื่องใหม่จะเป็นอะไร แต่อย่างน้อยคุณก็เลิกสำคัญเสียที ว่าโรงละครโรงใหญ่แห่งนี้มีแต่เรื่องเดิมได้แค่เรื่องเดียว ขณะใกล้ตายเป็นช่วงแห่งสังหรณ์ โดยเฉพาะสังหรณ์เกี่ยวกับภพข้างหน้า คุณจะมองเห็นรากของอนาคตที่ปรากฏอยู่ในความรู้สึกอันเป็นปัจจุบัน ใจที่สงบจะชวนให้คุณนึกถึงแสงสว่างและสภาพแวดล้อมน่ารื่นรมย์ ใจที่กระสับกระส่ายจะชวนให้คุณนึกถึงม่านมืดและสภาพแวดล้อมชวนขนหัวลุก ส่วนใจที่ครึ่งๆ กลางๆ เดี๋ยวสงบเดี๋ยวกระสับกระส่ายจะไม่ชวนให้คุณมั่นใจนักว่ากำลังจะต้องเผชิญกับอะไรกันแน่


                     ขณะยังมีชีวิตช่วงต้นและช่วงกลาง ถ้าไม่รู้ก็ถือว่าไม่ผิด ถ้าไม่คิดถึงโลกหน้าก็อ้างได้ว่าต้องเอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่น แต่สำหรับช่วงท้ายๆ การไม่คิดถือว่าประมาท เวลาที่เหลือเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้มากกว่าทบทวนหรือเตรียมตัวเผชิญอนาคตเสียให้ดี หากไม่รู้อะไรเสียเลย ก็อาจถือได้ว่าเป็นความผิดใหญ่หลวง เว้นไว้แต่พวกมิจฉาทิฏฐิ ที่วันๆ เอาแต่ตะล่อมบอกให้ใครต่อใครเชื่อว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว ยามใกล้ตายคนทั่วไปไม่มีใครกล้าอวดดื้อถือดี สั่งให้ตนเองเชื่อว่าตายแล้วตายเลย ทุกคนจะหมดความทะนงหลงมั่นใจในความเชื่อของตัวเองไปพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ถดถอย ในเมื่อร่างกายที่เคยบัญชาให้เคลื่อนไหวตามใจนึกได้ ก็กลายเป็นบัญชาไม่ได้อีกต่อไป สำมหาอะไรกับจิตวิญญาณกับกรรมเก่าที่เหมือนเงาตามกันอยู่ ใครเล่าจะควบคุมให้มันหยุดตามกันได้?

     

                     ความเชื่อเรื่องตายแล้วสูญ นับเป็นศรัทธามืดอันเกิดจากความไม่รู้จริง ไม่เคยตายจริง ผู้มีศรัทธามืดได้ชื่อว่าเป็นผู้ปิดใจ การปิดใจจะทำให้รู้สึกคับแคบ ไม่อาจสบาย และไม่อาจหายสงสัยว่าเรื่องจริงหลังความตายคือการยุติ หรือว่าคือการเริ่มละครเรื่องใหม่กันแน่ การเผื่อใจนับเป็นการลดแรงต้านลงได้มาก การลดแรงต้านลงก็คือ การไม่ต้องออกกำลังต่อสู้กับความไม่รู้ มันช่วยผ่อนคลายจิตใจให้สบายขึ้นได้จริง อย่างน้อยก็เลิกเถียงกับตัวเองเกี่ยวกับการมีหรือไม่มีชีวิตหลังความตาย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดให้คุณเห็นในไม่ช้าความเชื่อที่ขัดกับความจริงจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่มีใครนำไปใช้ต่อสู้กับสัจธรรมได้เลย

     

     
                     ๕) อภัยโลก


                     โลกนี้โกลาหลด้วยการกระทบกระทั่ง และในเมื่อทุกคนอาศัยอยู่ในโลก จึงต้องถูกโลกกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วโลกก็เต็มไปด้วยไอร้อนของควันไฟอันเกิดจากใจแค้นเคือง ไม่ค่อยมีที่ไหนฉ่ำเย็นด้วยกระแสน้ำแห่งการให้อภัยเท่าใดนัก

     
                     ปกติคนใกล้ตายจะไม่นึกอยากเอาเรื่องเอาราวกับใครอีก เพราะในไม่ช้าก็จะต้องอยู่คนละโลกกันแล้ว เหมือนเอื้อมมาแตะต้องกันไม่ได้อีกแล้ว การตายของคนๆ หนึ่งคือการปิดเกมแห่งการเบียดเบียน เหมือนนักมวยที่แขวนนวม เลิกใช้ชื่อเดิมขึ้นเวทีอย่างเด็ดขาดแล้ว
     

                     อย่างไรก็ตาม ความพยาบาทอาฆาตอาจทำให้เรื่องปกติผิดปกติไป หลายคนยังผูกใจเจ็บ ยังนึกไปในทางเคียดแค้นอยากเอาคืน เสียดายไม่อยากตายตอนนี้ ยังไม่ทันได้เอาคืน หรือกระทั่งคิดเลยเถิดถึงขั้นประกาศศักดาชัด ว่าคอยดู เดี๋ยวกูเป็นผีก็จะมาเอามึงคืนอยู่ดี!

     

                     ก่อนกายนี้สิ้นลม เรารู้ว่าวิญญาณอาฆาตมีจริงด้วยความคิดฝังใจไม่อภัยศัตรู สิ่งที่ไม่รู้ก็คือหลังกายนี้สิ้นลม วิญญาณอาฆาตนั้น ยังมีจริงต่อไปไหม นี่แหละ! คนเราทนทุกข์ทนร้อนด้วยไฟโกรธขณะมีชีวิตไม่พอ แม้ธรรมชาติให้โอกาสจบทุกข์จบร้อนด้วยความตายก็ยังอุตส่าห์อยากเติมเชื้อไฟต่อเข้าไปอีก สิ่งเดียวที่ประกันความรู้ได้แน่นอน ก็คือระหว่างยังไม่ตายนี้คุณสามารถดับวิญญาณอาฆาตลงได้ด้วยความคิดให้อภัย และเมื่อเชื้อแห่งทุกข์ร้อนดับลงแล้ว หลังตายก็ไม่น่าหลงเหลือวิญญาณอาฆาตอยู่ ณ ที่ใดอีกค่อยๆ นึกถึงใครก็ได้ที่คุณผูกใจเจ็บอยู่ และที่ผ่านมาไม่เคยนึกอยากให้อภัย แม้ว่าเขาหรือเธอจะเป็นอดีตที่ฝังลืมไปแล้ว ปัจจุบันคุณไม่นึกถึงอีกแล้ว ก็ขอให้ขุดเขาและเธอขึ้นมาระลึกถึง นึกให้ออกทีละคน หากโทร.ได้ทันก็โทร.ไปขออภัย ขออโหสิต่อกันยิ่งดีคุณจะพบว่าทุกคนประกอบขึ้นเป็นโลกในใจคุณ ยิ่งคิดอโหสิได้มากคนขึ้นเท่าไร คุณจะยิ่งทิ้งร่างนี้ไปด้วยใจอภัยโลกเต็มดวงขึ้นเท่านั้น และสิ่งที่คุณจะรับรู้ก่อนตาย ก็คือใจที่สบายหายห่วง แต่ละครั้งที่คุณพูดกับปาก หรือเพียงนึกด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริง ว่าเลิกแล้วต่อกันนะ ไม่มีภัยเวร ไม่มีเส้นสายมืดดำโยงใยระหว่างใจกันอีกแล้วนะคุณจะชื่นมื่น เห็นความเป็นโมฆะแห่งภัยเวรมากขึ้นเรื่อยๆ จนสว่างจ้าออกมาจากกลางใจชัดเจนทีเดียว


                     ๖) ฝึกสติก่อนหลับ

                     หากหมอบอกว่าคุณเหลือเวลาอีกไม่มาก นั่นก็คือคุณไม่มีทางพยากรณ์ ว่าการหลับครั้งใดจะเป็นการหลับครั้งสุดท้าย ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักประกันว่าหลับลงครั้งต่อไปคุณจะได้ตื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่า แม้สำหรับคนที่บอกตัวเองว่ายังอยู่ได้อีกนาน เขาก็ยังหลับ ทั้งคิดว่าจะต้องตื่น แต่ลงเอยตอนเช้าก็ทิ้งร่างที่ปราศจากวิญญาณ เป็นภาระให้คนข้างหลังช่วยกันแบกลงจากเตียงไปเข้าโลง แต่ละวัน มีการตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทั่วโลกเป็นจำนวนมาก ใช่ว่าแค่สิบคน ใช่ว่าแค่ร้อยคน ใช่ว่าแค่พันคน แต่นับได้เป็นแสน! ฉะนั้นการฝึกสติเสียในขณะที่ยังมีสติให้ฝึก จึงเป็นนโยบายที่ดีที่สุด นับว่ารอบคอบสูงสุด

     

                     การหมดสติเพื่อหลับ กับการหมดสติเพื่อตาย มีความเหมือนกันคือ 'หมดสติ' ฉะนั้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการใกล้หมดสติ หากพยายามตั้งสติไปจนถึงเสี้ยววินาทีสุดท้าย ย่อมเป็นกำไร ย่อมเป็นการกลั่นค่าของชีวิตมาใช้จนถึงที่สุด สติที่ยอดเยี่ยมทางพุทธ คือสติระลึกรู้ความไม่เที่ยง ความมีอันต้องดับไป เมื่อกำลังรู้สึกถึงสิ่งใด ก็ควรรู้ให้ชัดว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของความตาย ไม่ใช่สมบัติของตัวตน และก่อนสติใกล้ดับ ไม่ว่าดับเป็นหรือดับตาย สิ่งที่เหลือให้ระลึกได้ชัดไม่มีอะไรเกินไปกว่าลมหายใจอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ระลึกถึงลมหายใจบ่อยๆ เป็นการสร้างความคุ้นชินไว้กับสิ่งที่จะเป็นสรณะได้

     

                     ทั้งยามอยู่และยามไปหากระลึกนึกถึงลมหายใจ ว่าเฮือกนี้อาจเป็นเฮือกสุดท้ายที่คุณจะรู้ กับทั้งระลึกว่าคุณอาจไม่รู้สึกถึงลมหายใจไหนๆ อีก นั่นเท่ากับเป็นการซักซ้อมเตรียมตายได้ใกล้เคียงของจริง ขอให้สังเกตดูเถิด หากมีสติรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้อย่างสบาย แม้ก้าวลงสู่ความหลับในบัดนั้น ก็เหมือนครึ่งหนึ่งของสติยังไม่ขาดสายหายไปไหน แม้ต้องเกิดนิมิตฝัน ก็เป็นนิมิตฝันอันสวยงาม แต่หากจะไม่เกิดนิมิตฝัน ก็เหลือแต่ความว่างอันแสนสบายของจิตอันสว่างรุ่งโรจน์อยู่ ถ้ายังมีโอกาสหลายคืนก่อนตาย แล้วคุณใช้ทุกคืนให้เป็นประโยชน์โดยไม่ทิ้งขว้าง คุณจะทราบว่าในนาทีเข้าด้ายเข้าเข็ม จวนเจียนสิ้นเลือดสิ้นเนื้ออยู่นั่นเอง ไม่มีอะไรในโลกเป็นที่พึ่งให้กับคุณได้ดีกว่ากำลังสติ ผู้มีสติก้าวลงสู่ความตาย คือผู้สบายใจว่าตนมีที่พึ่งให้ตัวเองแน่

     
                     ๗) ปล่อยวางทุกสิ่ง

                     สภาพที่เหมือนยังอยู่ได้อีกนาน จะชวนให้หลงนึกว่าทุกสิ่งเป็นจริงไปหมด อะไรๆ เป็นของคุณไปหมด คุณจะไม่มีสักแวบที่เอะใจคิด ว่าเวลาในชีวิตเหลือน้อยลงทุกวินาที ทีละคืบทีละคลาน กระทั่งเวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ นับได้เป็นวัน หรือนับได้เป็นชั่วโมง เมื่อนั้นสภาพใกล้ตายจะฟ้องชัดว่ากายใจในชาตินี้หาใช่สมบัติที่แท้จริงของคุณไม่ แม้ชีวิตยังไม่ใช่ของคุณ แล้วอะไรในชีวิตที่ควรอ้างว่าเป็นของคุณเล่า?


                     ความเกิดและความตายแห่งสรรพสิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ จักรวาลนี้เกิดมาได้อย่างไร และจะตายไปด้วยท่าไหน ก็ยังเป็นที่ถกเถียงในระหว่างนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จบ คิดไปคิดมาคุณอาจได้คำตอบว่า 'ความไม่รู้' นั่นแหละที่ก่อให้มีการเกิดการตาย ถ้ารู้ว่าจะแก้ไขไม่ให้ต้องตายได้คุณคงรีบทำ แต่คิดไปคิดมา คุณจะเห็นทางเดียวที่ไม่ต้องตาย ก็คือต้องไม่เกิด เพราะเกิดขึ้นแล้วอย่างไรก็หลีกหนีความตายไปไม่พ้น ต่อให้อาศัยเทคโนโลยีแช่แข็ง ต่อให้อาศัยเทคโนโลยีปลูกถ่ายอวัยวะ หรือต่อให้อาศัยเทคโนโลยี ชะลอความแก่ใดๆ คุณก็ต้องพบกับการคัดค้านจากก้นบึ้งของจิตใจ ไม่มีใครอยากทนจำเจอยู่กับความเป็นอมตะอย่างไร้จุดหมายอยู่ดี

     

                     ธรรมชาติคือธรรมชาติ เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยประกอบประชุมกัน แล้วไม่ช้าก็เร็วต้องดับลงเป็นธรรมดา ธรรมชาติแห่งความมีชีวิตก็เช่นกัน หาใช่ดำรงอยู่เพื่อเป็นอมตะไม่ ชีวิตดำรงอยู่ด้วยพลังของเหตุผล เมื่อหมดเหตุผลที่จะดำรงอยู่ ก็ต้องเสื่อมสลายไปสู่ความเป็นอื่นในที่สุด บางคนทำใจได้กับการตายจากไปของตัวเอง แต่กลับทำใจไม่ได้กับการมีชีวิตอยู่ของคนข้างหลัง นั่นเป็นเครื่องชี้ว่าการทำใจ ควรครอบคลุมให้ทั่วหมด ไม่ใช่ทำใจได้เฉพาะส่วนของตัวเอง แต่ต้องทำใจให้หายห่วงได้กับการสิ้นไปของคนอื่นด้วย แค่เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง คุณก็คิดต่อได้แล้ว ว่าตัวเราเป็นอย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้น ในเมื่อคุณต้องตาย นึกหรือว่าคนอื่นจะอยู่ รอดปลอดภัย พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชไปได้? อย่างไรวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องตายตามคุณ หายไปจากโลกนี้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือใครไว้ห่วงใครเลยสักคน

     

                     แม้ความมีความเป็นในอนาคตหลังความตายก็เช่นกัน ถ้ายังมีเกิดอีก ก็แปลว่ายังต้องมีตายอีก จึงควรรู้ให้ได้ก่อนสิ้นลมว่า ที่ต้องเกิดก็เพราะไม่รู้ หลงนึกว่ามีเราเคยเกิดมา และมีเรากำลังจะตายไป แถมสำคัญว่ามีเราไปเกิดใหม่อีก เมื่อกลับความเห็นเสียได้ทัน เปลี่ยนจากความไม่รู้มาเป็นความรู้ ว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีตัวคุณเกิด มีแต่กายใจชุดหนึ่งประชุมกันเกิด และที่กำลังจะต้องเผชิญก็หาใช่ความตายของคุณ มีแต่กายใจชุดหนึ่งแยกตัวกันสู่ความดับ เมื่อนั้นจิตย่อมเป็นอิสระที่จะดับลง โดยไม่ต้องสืบสายความเข้าใจผิดด้วยการอุบัติของจิตดวงใหม่เข้าไปประชุมกับรูปกายใหม่ เพื่อชดใช้ความไม่รู้และความสำคัญผิดสืบๆ ไป

                     ความสบายใจที่เกิดจากการปล่อยวางได้ทุกสิ่ง ด้วยการกำจัดอวิชชา ด้วยการเปลี่ยนความไม่รู้เป็นความรู้แจ้ง นับเป็นความสบายใจขั้นสูงสุด เหมือนคุณได้ลิ้มอีกรสหนึ่งที่ประหลาดและแตกต่างไปกว่าเคย ขอเพียงรู้จักรสนั้นครั้งเดียว ก็แปลว่าคุ้มทั้งชีวิตคุณแน่แท้แล้ว คุณจะไม่เสียดายแม้ต้องตายไปเดี๋ยวนี้ความสบายใจ เป็นสิ่งแรกที่ 'ควรมี' ระหว่างชีวิตยังไม่สิ้นและเป็นสิ่งสุดท้ายที่ 'ต้องมี' ขณะกำลังสิ้นชีวิตลง

     

     ขอบคุณที่มาจาก:

     

    http://portal.in.th/ms-pcare/pages/5770/

     

     


     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×