ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หอสมุดต้องห้ามแห่งดาร์คแลนด์

    ลำดับตอนที่ #139 : ว่าด้วยการทำพันธสัญญากับซาตาน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.6K
      0
      1 ก.ค. 59

    ว่าด้วยการทำพันธสัญญากับซาตาน

     

    ืืืืืืื


                         ซาตาน คือปิศาจตนหนึ่งตามตำนานในศาสนาคริสต์ มีความเชื่อ ลัทธิ ที่เกี่ยวกับซาตานมากมาย เชื่อกันว่า หากใครทำพันธสัญญานี้ จะต้องขายดวงวิญญาณให้กับซาตาน มากน้อยขึ้นอยู่กับความปรารถนาอันทะเยอทะยานของมนุษย์


     



     



                         ว่ากันว่าซาตานคือเทพแพนหรือบาโพเมท
     

                         บาโพเมท เป็นเทพแห่งความอุมสมบูรณ์ของสัทธิเพเกินเป็นมนุษย์ประหลาดมีหัวเป็นแพะมีเขายาว และมีปีกนั่งอยู่บนแท่ง ความจริงแต่เดิมซาตานเป็นเทพ ชื่อแพน เป็นเทพหน้าแพะ The goat-god ให้พลังอำนาจแห่งความปราถนา อนยากที่จะหยุดยั้งหรือควบคุม โดยเฉพาะความต้องการทางเพศอันรุนแรง ชาวกรีกแต่โบราณก็บูชาเทพองค์นี้ เพื่อขอให้ได้กำเนิดบุตร (เหมือนกับชาวอินเดียบางกลุ่มที่บูชาศิวลึงค์) อำนาจแห่งความลุ่มหลงในอารมณ์ใคร่ รสสัมผัสอันเย้ายวนของอิสตรี เป็นพลังมืดที่ซ่อนเร้นในจิตใจมนุษย์ และเทพบุตรแพนชอบที่จะดลจิตใจใฝ่ราคะนี้เข้าสู่มวลมนุษย์มากจนเกิดความ วุ่นวายขึ้นในโลก จึงโดนลงโทษขับไล่ลงจากสวรรค์มาสร้างอาณาจักรใต้พื้นภิภพ อาณานิคมแห่งใหม่ ถูกขานนามว่า นรกนิเวศ์ เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณอันชั่วร้าย สะสมไว้ด้วยกองกิเลส บุคคลที่เต็มไปด้วย โลภะ โมหะ โทสะ จึงมักจะเดินทางไปสู่ปรโลกเสียส่วนมาก

     

     


                         กาลครั้ง1 ยังไม่นานมาก มีหญิงคน 1 อายุประมาณ 32ปี ชื่อว่า " บาร่า " อาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านแห่งนี้มีนามว่า "เมืองซู" เนื่องจากเธอมีนิสัยเป็นคนใจดำไม่ชอบช่วยเหลือใคร จึงไม่มีคนในหมู่บ้านคบค้าสมาคมด้วย  แต่แล้วเทพเจ้าแห่ง Loki ก็เสด็จมาเยือนหมู่บ้านแห่งนั้น จึงมีคนขอร้องให้กำจัดบาร่าไปที เทพเจ้าLoki เห็นว่าบาร่าเป็นคนไม่ดีจึงสาปให้บาร่ากลายเป็นกวางมูส แต่คำสาปเกิดผิดพลาดทำให้บาร่ากลายเป็นปีศาจอันทรงพลัง มีเคียวอันใหญ่เป็นอาวุธ มีนามว่า" บาโฟ " แต่เหตุการณ์ก็ไม่แย่ลงเพราะเทพเจ้า Loki สามารถปิดผนึกบาโฟ ไว้ในปราสาทที่เป็นสิงสถิตย์ของเทพเจ้า Loki บ้านเมืองจึงสงบสุข แต่เหตุการณ์ก็ผวนคืน เมื่อลูกๆ ของบาร่าหรือบาโฟ นั้นโตขึ้นจึงแก้แค้นให้แม่ โดยการเข่นฆ่าคนในหมู่บ้าน เทพเจ้า Loki จึงต้องออกมาปราบ โดยสาปให้เป็นกวางมูสตัวเล็กแต่ด้วยอำนาจด้านมืดทำให้กลายเป็นปีศาจรูปร่าง แบบเดียวกับบาโฟ ชาวบ้านจึงขนานนามมันว่า " บาโฟ จูเนียร์ " แล้วเทพเจ้า Loki จึงปิดผนึกพวกมันโดยนำไปไว้ที่เดียวกับบาโฟ บ้านเมืองจึงสงบสุข เวลาผ่านไป800ปี อำนาจของบาโฟก็สามารถทำลายพลังของเทพเจ้า Loki และได้สร้างกองทัพปีศาจ มาต่อกรกับเทพเจ้า Loki และในที่สุดบาโฟก็สามราถปราบเทพเจ้า Loki ได้สำเร็จและยึดครองเมืองซู เป็นอาณาจักรแห่งปีศาจ จากนั้นก็กลายเป็นเมืองร้าง

     

     


                        Baphomet เป็นรูปเคารพที่ถือเป็นเทพของลัทธิที่บูชา satan ลัทธิหนึ่งที่เป็นที่เคารพของ Templar (อัศวินทางศาสนา) โดยที่ Baphomet เป็นเครื่องหมายแห่งความชั่วร้าย และ มนต์ดำ เป็นเครื่องหมายที่แทนถึง satan เรื่องของ Baphomet เป็นส่วนหนึ่งของตำนานทาง Templar มีหลายตำนานและหลายเรื่องราวที่มีการพูดถึง Baphomet แม้จะผ่านมากว่า 600 ปีแล้ว แต่เรื่องราวของ Baphomet ยังคงเป็นสิ่งลึกลับที่น่าสนใจอย่างไม่เสื่อมคลาย เรื่องของ Baphomet อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่ากลุ่ม Templar ที่เป็นอัศวินของทางศาสนา ได้มีการสร้างลักทธิความเชื่อในการบูชาเทพปีศาจนาม Baphomet พวกเขามีพิธีกรรมต่างๆที่แสนจะแปลกพิศดาร ที่จะกระทำต่อ Baphomet เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจและวัตถุประสงค์ต่างๆ พิธีกรรมของ Baphomet มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ขั้นต้นที่อัญเชิญ Baphomet มา การให้ Baphomet เข้าสิงร่างและควบคุมร่างอย่างสมบูรณ์ (ตัวผู้ถูกสิงจะไม่มีสติเลย) รวมไปถึงการติดต่อกับ Baphomet เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจตอบสนองความปรารถนาต่างๆ รูปแบบของพิธีกรรมมีหลากหลายขั้นตอน แต่สิ่งประกอบสำคัญทั่วไป คือ เลือด และ การบูชายัญด้วยชีวิต (มีนักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า Templar ก็ดี ลัทธิความเชื่อพิธีกรรมอย่าง Baphomet ก็ดีเป็นส่วนหนึ่งของการคอรัปชั่นของทางรัฐบาล กับทางโบสถ์ และเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบของคนในยุคนั้นด้วย )


                       รูปแบบของ Baphomet นั้นมีอยู่มากมาย จากตำนานต่างๆ แต่ที่มีความสอดคล้องกันคือ Baphomet จะมีรูปร่างเป็นมนุษย์เพศชายรูปร่างกำยำ ในขณะที่ศรีษะจะเป็นศรีษะของสัตว์ รูปแบบที่พบกันบ่อยคือ หัวของแพะ และบางตำนานจะมีการเน้นถึงเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานของ Baphomet จากอวัยวะเพศชายที่ตั้งตรงและมีงูวนอยู่รอบๆด้วย (ดั่งที่เห็นจากเรื่อง Berserk รูปปั้นและเจ้าลัทธิในเรื่องนั้นก็เอามาจากความเชื่อของ Baphomet อย่างไม่ต้องสงสัย) นอกจากนี้ Baphomet ยังมีสิ่งประกอบอื่นๆอีก เช่น สัญลักษณ์ ดาว 5 แฉก ซึ่งเรามักจะเห็นเจ้าเครื่องหมายนี้อยู่คู่กับ Baphomet เสมอ Eliphas Levi ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลัทธิความเชื่อนี้ในศตวรรษที่ 19 ได้บรรยายถึงลักษณะของ Baphomet รวมไปถึงรูปแบบดาว 5 แฉก นี้ว่า เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายและปีศาจ ซึ่งในยุคกลางนี้ ดาว 5 แฉกในส่วนขวาบนจะหมายถึงหน้าร้อน ในขณะที่ด้านกลับ หรือ ส่วนล่างจะหมายถึงหน้าหนาว ซึ่งเชื่อกันว่า Levi ได้วาดรูปแบบของดาว 5 แฉก ไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน
     

                       แบบแรกเป็นการสร้างรูปแบบของมนุษย์จากจุดทั้ง 5 ของดาว โดยสื่อถึงธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามจุดแขนขาทั้ง 4 ของมนุษย์ โดยที่จุดที่ 5 คือ ศีรษะเป็นส่วนแห่งจิตวิญญาณ (รูปแบบนี้ผมเชื่อว่าหลายๆคนอาจเคยเห็นแล้ว ที่เป็นแผนภาพมนุษย์กางแขนขา แขน ขาเป็นส่วนของจุดทั้ง 4 ของดาว 5 แฉก ขณะที่ศีรษะเป็นส่วนที่ 5 ) ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า Microcosmic Man (จุลภพมนุษย์)


     

     



                      แต่รูปแบบของดาว 5 แฉกแบบที่ 2 นี้เป็นรูปแบบที่เกี่ยวกับ Baphomet อย่างชัดเจน รูปแบบดาว 5 แฉกแบบที่ 2 นี้ เป็นรูปแบบดาว 5 แฉกที่กลับด้าน ในรูปแบบของศีรษะของแพะซึ่งก็คือสื่อถึง Baphomet นั่นเอง ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของมนุษย์ และ ปีศาจนั่นเอง สัญลักษณ์ดาว 5 แฉกของ Baphomet นี้ ถูกใช้อย่างเป็นทางการในแง่เครื่องหมายของ satan โดยเริ่มโดย Anton Szandor La Vey ในปี 1996 แล้วจึงถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยลัทธิบูชา satan ต่างๆทั่วโลก รูปที่เกี่ยวกับ Baphomet ส่วนมากจะถูกวาดและบรรยายโดย Levi ซึ่งผลงานของ Levi เกี่ยวกับเรื่อง Baphomet นี้ ถูกใช้ครั้งแรกกับผลงาน "A Pictorial History of Magic and the Supernatural" ของMaurice Bessy ตีพิมพิ์ในฝรั่งเศสในปี 1961 และแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1964 หลายปีหลังการเสียชีวิตของ Levi

     


    พันธสัญญากับปิศาจ


                     ก่อนจะมารู้จักกับคำว่าสัญญากับปีศาจ ในประเทศไทย รู้จักมานานมากแล้ว แต่เป็นในรูปแบบ ของการบนบานศาลกล่าว …. ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะคะ

                     ณรงค์เรียนจบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายมาใหม่ๆๆ เนื่องจากพ่อแม่ยากจน เลยไม่ได้ศึกษาต่อ ...ณรงค์อยากสอบเข้าโรงเรียนนายสิบทหารมาก เพื่อที่จะเป็นทหารรับใช้ชาติ ตามความมุ่งมั่นให้ได้

                     วันหนึ่งณรงค์ได้เดินทางไปกับเพื่อสมัครสอบเข้าโรงเรียนนายสิบทหาร ก่อนสมัครสอบ เขาได้ไปที่วัดแห่งหนึ่ง เห็นคนมาที่ต้นโพธิ์ภายในวัด และพากันไหว้มีพวงมาลัยหลายร้อยสาย รอบต้นโพธิ์แห่งนั้น เขาก็เลยไหว้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มากต้นนั้น พร้อมกล่าวบนบานว่า

                     ”เจ้าพ่อต้นโพธิ์ครับ ขอให้ผมสอบเข้าโรงเรียนนายสิบได้นะครับ ถ้าสอบได้ผมจะบวชให้ท่านครับ” ณรงค์ได้กล่าวบนบาน และกราบต้นโพธิ์ที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้น

                     ต่อมาไม่นาน..... ณรงค์ก็สามารถสอบเข้าเรียนเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกได้

                     เวลาผ่านไป .... สองปีกว่า ด้วยภารกิจหน้าที่ ทำให้เขาลืมสิ่งที่เขาบนบานไว้สนิท

                     ในคืนหนึ่งที่ฝนตกพรำๆ บรรยากาศที่แสนเงียบ ในขณะที่เขาอยู่บนฐานปฏิบัติแห่งหนึ่งตามแนวตะเข็บชายแดน เขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะความฝันร้าย ฝันว่าเห็นคนมาจ้อง ตลอดเวลา

                     แต่เขาไม่คิดอะไรมากนัก .... จนกระทั่งได้เวลาพัก และเดินทางกลับบ้านเกิดของเขา คืนหนึ่งที่เขานอนหลับ เขาก็ต้องสะดุ้งตื่นอีก เพราะ เห็นหน้าคนคนเดิมกับตอนที่อยู่ฐานปฏิบัติการ ติดตามมาอีก ....

                     และเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำซากทักคืน เหมือนฝันร้าย.จนณรงค์ ทนไม่ไหว จึงไปหาหลวงพ่อที่วัดข้างบ้าน เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งให้ท่านฟัง

                     หลวงพ่อนั่งฟัง สักพักหนึ่งได้พูดขึ้นว่า “โยม โยมเคยไปสัญญาอะไร ไว้หรือเปล่า ” จากคำพูดนี้เอง ทำให้ณรงค์คิดอยู่นาน ทำให้เขาคิดขึ้นมาได้เขาจึงกราบไปยังทิศทางที่คิดว่าต้นโพธิ์ต้นนั้นอยู่ที่เคยสาบานไว้อยู่ ยกมือไหว้ และบอกไปว่า

                     “ท่านเจ้าพ่อต้นโพธิ์ครับ ผมจะบวชให้จริงๆ ครับ ขอเวลาทำเรื่องลาบวชก่อนนะครับ ”
                     เหตุการณ์ที่ฝันร้ายก็สงบลงไป จากนั้นเป็นต้นมา หลังจากที่ณรงค์ทำเรื่องลาราชการบวชอยู่ในผ้าเหลือง เรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ฝันร้ายอีกต่อไป.....

                     เรื่องราวดังกล่าว เหมือนกับเป็นสัญญากับปีศาจของทางยุโรป คราวนี้มาพบกับคำว่าสัญญากับปีศาจตัวจริงเสียงจริงบ้าง

                     ในโลกตะวันออกแล้วไม่แปลกเลยกับคำคำนี้ แต่พบว่าในโลกตะวันตก ก็มีคำคำนี้ปรากฏขึ้นมา....ท่านคงเคยได้ยินคำคำนี้ หรือความหมายที่คล้ายกัน คำคำนี้ก็คือ.... สัญญากับปิศาจ สำหรับประเทศไทยแล้ว ก็คงเหมือนกับการบนบานศาลกล่าว สิ่งที่มองไม่เห็น ให้ได้ในสิ่งที่ต้องการนั่นเอง แต่ของไทยแล้ว ยังไม่มีคนถึงกับสัญญาเพื่อขายจิตวิญญาณ แน่ๆ แต่ทางด้านตะวันตก ... คำว่าสัญญากับปีศาจ มันหมายถึง....การขายจิตและวิญญาณเลยทีเดียวนะคะ

     


    สัญญากับปิศาจ (อังกฤษ: deal with the Devil, pact with the Devil
    หรือ devil's contract) หรือ การต่อรองแบบเฟาสต์ (อังกฤษ: Faustian bargain)



                     สัญญาปีศาจเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่แพร่หลายในภาคตะวันตกของโลก และได้รับการเสริมเติมแต่งเป็นอันมาก

                     จากตำนานของเฟาสต์ (legend of Faust) และตำนานเรื่องปิศาจเมเฟิสตอฟะลิส(Mephistopheles) แต่พบมากในนิทานพื้นบ้านที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ ตามความเชื่อดั้งเดิมในแม่มดของชาวคริสต์ สัญญากับปิศาจเป็นสัญญาระหว่างมนุษย์ ซึ่งเรียก "ผู้ขันต่อ" (wagerer) ฝ่ายหนึ่ง กับแซเทิน (Satan) หรือปิศาจอื่น ๆ อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เสนอจะยกวิญญาณของตนให้แก่ปิศาจ เพื่อแลกกับการที่ปิศาจจะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้ การตอบแทนของปิศาจนี้ว่ากันว่าแตกต่างกันไปแล้วแต่ความเชื่อ อาทิ ความเยาว์วัย ความมั่งมี ความรู้ หรืออำนาจวาสนา ยังเชื่อกันด้วยว่า บางคนทำสัญญาเช่นนี้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าจะนับถือปิศาจเป็นนาย และไม่ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนเลย

                     อย่างไรก็ดี การต่อรองเช่นนี้นับเป็นสิ่งอันตรายมากสิ่งหนึ่ง ด้วยว่าค่าตอบแทนแรงงานของปิศาจนั้นคือวิญญาณของผู้ขันต่อเอง เรื่องเล่ามักจบแบบสอนใจว่า นักเสี่ยงโชคผู้บ้าระห่ำพบความวิบัติชั่วกัลปาวสาน หรือในทางตรงกันข้าม อาจจบแบบตลกขบขันว่า ไพร่ที่หลักแหลมเอาชนะปิศาจด้วยอุบายอันแยบยล

                     ความหวังในสิ่งเหนือธรรมดาอย่างแจ้งชัดนั้น บางทีก็เรียกว่าเป็นสัญญากับปิศาจ นับตั้งแต่เรื่องสะพานปิศาจในยุโรป ไปจนถึงความสามารถเล่นไวโอลินได้อย่างบรรเจิดของนิกโกเลาะ ปากานีนี (Niccolò Paganini)

                     มีความเข้าใจกันว่าคนผู้ทำสัญญากับปิศาจ ได้ตกลงว่าจะฆ่าหรืออุทิศทารกแรกเกิดให้แก่ปิศาจ,เข้าร่วมพิธีในวันธรรมสวนะของแม่มด, ร่วมเมถุนกรรมกับปิศาจ หรือกับซักคิวเบิสหรืออินคิวเบิสจนมีบุตรด้วยกัน และเนื่องมาจากมีเด็กตายเมื่อคลอดเป็นจำนวนมากในมัชฌิมยุคและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หมอตำแยหลายคนถูกกล่าวหาว่าทำสัญญากับปิศาจว่าจะอุทิศทารกแรกคลอดให้

                     สัญญากับปิศาจ จะทำด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ สัญญาที่เป็นวาจามักกระทำด้วยเรียกปิศาจ โดยวิธีวิงวอนถึง (invocation), สังวัธยายมนตร์ (conjuration) หรือพิธีกรรมอย่างอื่นอันเรียกปิศาจได้ โดยเมื่อบุคคลนั้น ๆ คิดว่า ปิศาจมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาจะร้องขอให้ปิศาจช่วยเหลือ และสัญญาจะยกวิญญาณของเขาให้เป็นการแลกเปลี่ยน ตามที่ปรากฏในการพิจารณาคดีและไต่สวนแม่มด ได้ความว่า ปิศาจจะทำร่องรอยไว้บนร่างกายของคู่สัญญา เป็นรอยที่ลบไม่ออก เรียกว่า "รอยมาร" (diabolical mark) สำหรับใช้อ้างว่ามีสัญญาต่อกัน และว่ากันว่า บุคคลผู้มีรอยมารอยู่บนร่างกายจะไม่รู้สึกเจ็บปวดในรอยนี้เลย

                     ส่วนสัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ก็ใช้วิธีเรียกปิศาจอย่างเดียวกัน แต่จะมีการทำลายลักษณ์อักษร โดยมนุษย์ที่เป็นคู่สัญญาจะลงลายมือชื่อของตนด้วยเลือดของตน บางทีก็ว่ากันว่า ลายลักษณ์อักษรทั้งฉบับนั้นเขียนด้วยเลือด ขณะที่ นักปิศาจวิทยา (demonologist) ว่ามีการใช้หมึกแดงแทนเลือด ที่ว่าใช้เลือดสัตว์เขียนแทนเลือดมนุษย์ก็มี ลายลักษณ์อักษรนี้อาจเป็นหนังสือสัญญาฉบับหนึ่ง หรือเป็นการลงลายมือชื่อในบัญชีแดง (Red Book) ของแซเทินก็ได้

                     แม้จะมีการสร้างเครื่องยืนยันถึงความมีอยู่ของสัญญากับปิศาจ ตามหลักการปิศาจวิทยา การจะเรียกปิศาจแต่ละตนนั้นมีกำหนดวันเวลาแน่ชัดอยู่ การจะทำสัญญากับปิศาจจึงต้องให้ถูกที่ถูกเวลาด้วย นอกจากนี้ ปิศาจแต่ละตนยังมีหน้าที่ผิดแผกกันไป ผู้จะทำสัญญากับปิศาจจึงต้องคำนึงข้อนี้ด้วยและยังมีคงมีการเชื่อถือกันด้วยว่า แม่มดและนักวิทยาคมมักทำสัญญากับปิศาจ
     

    ตัวอย่างของสัญญากับปีศาจในโลกตะวันตก


                     ธีออฟะเลิสแห่งอดานา บ่าวของนายทั้งสอง

                     ในปกรณัมคริสเตียน ธีออฟะเลิส (Theophilus) ข้าวัดผู้หมดอาลัยตายอยาก เพราะมุขนายกของเขาทำให้เขาสิ้นหวังในงานหน้าที่ทางโลก ได้ขายวิญญาณของตนให้แก่ปิศาจ แต่พระมารีนิรมลไถ่คืนให้

                     เรื่องราวนี้เขียนขึ้นเป็นภาษากรีก ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดย ยูทิกอิเอนิส (Eutychianus) ผู้อ้างว่าเป็นสมาชิกครอบครัวของธีออฟะเลิส

                     ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 9 หนังสือ "นักบุญมารีผู้กระทำปาฏิหาริย์สำหรับธีออฟะเลิสผู้กลับใจ" (Miraculum Sancte Marie de Theophilo penitente, Miraculous Saint Mary of the penitent Theophilus) เพิ่มเติมว่า มีชาวยิวคนหนึ่งเป็นตัวกลางระหว่างปิศาจผู้อุปถัมภ์ธีออฟะเลิส กับเขา ซึ่งเป็นเรื่องราวลักษณะเดียวกันอย่างที่ปรากฏในวรรณกรรมละตินชุดอื่น ๆ ของภาคตะวันตกของโลก

     

                      10 บุคคลที่เชื่อว่าทำพันธสัญญากับปิศาจ



                     อันดับ 10 Pope Sylvester II
     

                     สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่  2 (เกิด ค.ศ.945-ตาย 5/12/1003)เป็นพระสัมตะปาปาที่ดำรงตำแหน่งใน ค.ศ.999 ถึง ค.ศ.1003 นอกจากนี้ท่านยังมีความรู้ความสามารถเก่งกาจเกินมนุษย์ทั่วไป เป็นผู้เชี่ยวชาญในคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ เป็นคนถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากโลกมุสลิมขนานใหญ่สู่ยุโรป เขายังเขียนหนังสือเกี่ยวกับคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, ดนตรีและปรัชญา ด้วยความเก่งทำให้มีข่าวลือว่าที่ท่านมีสติปัญญาและนักประดิษฐ์นี้เป็นผลมา จากการทำสัญญากับปีศาจ

                     อันดับ 9 Nicolo Paganini
     

              
                     นิคโคโล ปากานินี(เกิด 27/10/1782-ตาย 27/5/1840)เป็นนักดนตรีชาวอิตาลีที่มีพรสวรรค์ในการเล่น ดนตรี ตอนเป้นเด็ก เขาถูกเลี้ยงดูโดยบิดาที่เจ้าอารมณ์และบังคับเขาเล่นไวโอลิน เขาเคยป่วยหนักด้วยโรคหัดจนใครๆ นึกว่าเขาตายแล้ว ร่างของเขาถูกห่อด้วยผ้าพันศพแต่ยังโชคดีที่ไม่ได้ฝังเขาไปเสียก่อน และหลังจากนั้นเป้นต้นมาเขาก็แสดงพรสวรรค์ด้านไวโอลินตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และแสดงต่อหน้าสาธารณะขณะอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น และเริ่มชื่อเสียง และ ได้รับการยอมรับถึงฝีมือการเล่นว่าเป็นที่หนึ่งในยุคนั้น ด้วยวิธีการเล่นที่เหนือมนุษย์ เทคนิคการเล่นไวโอลินแบบแปลก ๆ เช่นปรับสายไวโอลินสายใดสายหนึ่งให้สูงกว่าครึ่งเสียง เทคนิคดับเบิ้ลสต็อป การเล่นพิซซิคาโตด้วยมือซ้ายและการเล่นไวโอลินด้วยสายน้อยกว่า 4 สายด้วยเทคนิคฮาร์โมนิคและยังได้แต่งเพลงโซนาต้าโดยใช้สาย G เพียงสายเดียวอีกด้วย

                     ด้วยภาพลักษณ์ของปากานินี ที่หน้าตาที่ซีดขาวคล้ายศพเดินได้ รอยยิ้มที่คล้ายกับรอยยิ้มของซาตาน แววตาที่ยิ้มของเขาคล้ายกับถ่านไฟที่ลุกโชน ทำให้มีเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจเกี่ยวกับตัวเขา สาธารณชนเริ่ม รู้จักปากานินี่ในฉายาว่า "Hexensohn” หรือทายาทปีศาจ ว่ากันว่า พรสวรรค์และความสามารถของเขาได้รับมาจากซาตาน  โดย ทำสัญญาในขณะที่ใกล้ตายด้วยโรคหัดตอนเด็ก ทำให้หลายๆ คนหวาดกลัวเขา ถึงขนาดถ้าใครบังเอิญไปถูกตัวเขาเข้าจะต้องทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนทันทีเพราะ ความกลัวอาถรรพ์ร้าย ในฮอลแลนด์ผู้คนกล่าวกันว่าเขาเดินทางมาถึงที่นั่นด้วยเรือเหาะในตำนานชาว ดัทช์คือ Flying Dutchman

                     ด้วยข่าวลือนี้ทำให้ประชาชนเข้าไป ดูงานคอนเสิร์ตของปากานินีเต็มทุกรอบ เพลงของเขาสามารถตรึงผู้ชมให้อยู่ กับที่โดยไม่มีใครกล้าลุกไปไหน กวีบางคนถึงกับบรรยายว่าบทเพลงของทำให้เห็นสวรรค์และนรกปานนั้น ปากานินี เสียชีวิตในวันที่ 27 พฤษภาคม 1840 แต่โบสถ์ปฏิเสธจะนำศพประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เนื่องจาก เขาปฏิเสธพิธีรับศีลครั้งสุดท้าย  ศพของเขาถูกเก็บ ไว้ในห้องใต้ดินนานถึง 5 ปีจนกระทั่งครอบครัวเขาได้ ยื่นคำร้องต่อทางโบสถ์เพื่อขอประกอบพิธีทางศาสนาให้แก่เขา ผู้คนต่างโจษจันถึงเหตุผลในการปฏิเสธของทางศาสนจักร บ้างก็เชื่อว่าเขายังไม่ตายและมีคนเชื่อว่าเขาเป็นพวกนอกรีต จนกระทั่ง 5 ปีต่อมา บุตรชายของเขาจึงได้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อองค์พระสันตปาปาเพื่อขอให้มีพิธี ฝังศพเขาที่โบสถ์แห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับเมืองเจนัว

                     อันดับ 8 Gilles de Rais
     

                      กิลล์ เดอ เรยส์(เกิด 1404—ตาย1440)อดีตคนสนิทของ แจนน์ ดาร์ค (โจน ออฟ อาร์ค) เขาเป็นขุนนางที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะและกล้าหาฯเจ้าของฉายาเคราสี น้ำเงิน เขาเกิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียงมั่งคั่งในมณฑลฝรั่งเศส หลังจากแจนน์ ดาร์คก็ถูกทหารฝ่ายศัตรูจับ และถูกเผาทั้งเป็นในฐานะแม่มดเมื่อปี 1431 กิลส์ก็เริ่มบ้า เขาเริ่มใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือยและหลงไหลในการเล่นแปรธาตุ เปลี่ยนโลหะเป็นทองคำ จนกระทั้งเขาไปรู้จักชายคนหนึ่งชื่อฟรานคอยส์ เปรลาติ(Francesco Prelati)  ที่ บอกเขาว่าให้สังเวยเด็กเพื่อบูชาปีศาจที่ชื่อ “บารอน” จนเป็นเหตุทำให้เขาต้องกลายเป็นฆาตกรฆ่าข่มขืนเด็กเพื่อเป็นเครื่องสังเวย ให้กับปีศาจในระหว่างปี 80 และ 200  ว่าเหยื่อของเขา น่าจะมีมากกว่า 1500 ราย และผลสุดท้าย กิลส์ ถูกตัดสินให้ประหารโดยการแขวนคอและเผา ในวันที่ 26 ตุลาคม  1440

                     อันดับ 7 General Jonathan Moulton
     

                      โจนา ธาน(เกิด 21/7/1726 – ตาย 18-9-1787) เริ่มต้นเป็นแค่เด็กฝึกงานช่างทำตู้ แต่ในปี 1745 เขาไปเริ่มต้นอาชีพใหม่ในนิวอิงแลนด์ เขาเข้าร่วมการต่อสู้ใน King George ในสงครามฝรั่งเศสและอินเดีย เขาแต่งงานในปี 1749 มีลูก 11 คน และเขาก็เป็นหนึ่งคนร่ำรวยใน New Hampshire ตามตำ นานโจนาธานก็เริ่มขึ้นเมื่อ 1769 เมื่อเขาสร้างคฤหาสน์ขึ้น มีหลายคนเล่าว่าโจนาธานเคยบอกภรรยาว่าเขาจะขายวิญญาณของเขาปีศาจเพื่อให้พวก เขามีทรัพย์สมบัติที่เขาต้องการ โดยเขาจะใส่รองเท้าบู๊ตเดือนละครั้งและวางรองเท้าเขาให้ปีศาจ แล้วปีศาจนั้นจะเติมเงินทองในรองเท้าบู๊ดจนเต็ม เชื่อว่าหลังจากที่โจนาธานตายร่างกายของเขาหายไปจากโรงและถูกแทนที่กล่องใส่ เหรียญกับตรามาร โลงของโจนาธานเลยถูกฝังโดยไม่มีเครื่องหมายและฝังในสถานที่ที่คนไม่รู้จัก

                     อันดับ 6 Father Urbain Grandier
     

     

                     เออร์ เบน กรานเดียร์(เกิด 1590-ตาย16/8/1634) บาทหลวงผู้อื้อฉาวพระคาทอลิกฝรั่งเศสที่ถูกตัดสินโดยการประหารโดยการเผา โดยข้อหาก่ออาชญากรรมด้วยมนต์คาถา เขาทำหน้าที่เป็นพระในโบสถ์ Sainte Croix ใน Loudun เขาเป็นที่รู้จักกันในเรื่องมักมากในกาม มีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงและมีชื่อเสียงในเรื่องเจ้าชู้ ในปี 1632 แม่ชีหลายคนกล่าวหาว่า เขามีเวทมนต์จากการทำสัญญากับปีศาจเพื่อให้ได้ผู้หญิงที่ตนต้องการ หลังจากนั้นเขาก็ถูกจับและถูกนำตัวมาทรมาน จนได้พบหลักฐานใบสัญญาที่เขาทำไว้กับปีศาจ เป็นภาษาลาตินและรวมถึงลายเซ็นที่เชื่อว่าเป็นของซาตาน โดยเนื้อหาเขียนเป็นภาษาอังกฤษดังต่อไปนี้
     

                      We, the influential Lucifer, the young Satan, Beelzebub, Leviathan, Elimi,
                      (พวกเรา...ลูซิเฟอร์ผู้ทรงอำนาจ ซาตานผู้เยาว์ เบลเซบับ เลเวียธาน อีไลมิ)
                      and Astaroth, together with others, have today accepted the covenant pact
                     (และแอสทารอธ พร้อมพรั่งด้วยตนอื่น พร้อมรับข้อสัญญาร่วมกัน)
                     of Urbain Grandier, who is ours. And him do we promise
                     (แห่งเออร์เบน แกรนเดียร์ ผู้ที่เป็นของพวกเรา และทำสัญญาแก่พวกเรา)
                     the love of women, the flower of virgins, the respect of monarchs, honors, lusts and powers
                     (ความรักของ อิสตรี บุปยาแห่งพรหมจารีย์ ความยำเกรงแห่งบัลลังก์ เกียรติยศ กามราคะ และอำนาจ)
                     He will go whoring three days long; the carousal will be dear to him. He offers us once
                     (เขาจะเพลิด เพลินไปกับกามกิจกว่าสามทิวา การร่ำสุราเฉลิมฉลองคือความรื่นรมย์แก่เขา
                     เขาจะขอแก่พวกเราเป็น ครั้งหนึ่งใน)
                     in the year a seal of blood, under the feet he will trample the holy things of the church and
                     (ปีแห่งตรา ประทับโลหิต เขาจะเหยียบย่ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลแห่งศาสนจักรภายใต้ฝ่าเท้า)
                     he will ask us many questions; with this pact he will live twenty years happy
                     (เขาจะถามคำ ถามพวกเรามากมาย ด้วยข้อสัญญานี้ เขาจะดำรงชีวิตแสนสุขเป็นเวลายี่สิบปีบริบูรณ์)
                     on the earth of men, and will later join us to sin against God.
                     (ในแผ่นดิน แห่งมนุษย์ และต่อมาจักต้องร่วมกับพวกเราในบาปตรงข้ามพระผู้เป็นเจ้า)
                     Bound in hell, in the council of demons.
                     (ตราผูกมัดในนรกภูมิ ในสภาแห่งอสูร)
                     Lucifer Beelzebub Satan
                     (ลูซิเฟอร์ เบลเซบับ ซาตาน)
                     Astaroth Leviathan Elimi
                     (แอสทารอธ เลเวียธาน อีไลมิ)
                     The seals placed the Devil, the master, and the demons, princes of the lord.
                     (ตราทั้งหลายประทับว่า ปีศาจ ผู้เป็นนาย และเหล่าอสูร เจ้าชายแห่งผู้ปกครอง)
                     Baalberith, writer.
                     (บาอัล เบริธ...ผู้ร่าง)


                     อันดับ 5 Giuseppe Tartini
     

     

                     ตาร์ตินี่(เกิด 8/4/1692- ตาย 26/2/1770) เป็นนักแต่งเพลงและนักไวโอลินชาวอิตาเลียนในศตวรรษที่ 18 เขาเป็นหนึ่งในนักประพันธ์ที่มีผลงานมากกว่า 400 ผลงาน ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ใช้ในโบสถ์ไม่ก็โอเปร่า และผลงานที่เด่นที่สุดคือ เพลงที่ชื่อ the Devil's Trill Sonata ที่มีท่วง ทำนองร้อนแรง โดยเขาอ้างว่าเขาแต่งบทเพลงนี้จากความฝันว่าได้ทำสัญญากับซาตาน ซึ่งบรรเลงไวโอลินโซนาต้าที่มีความไพเราะมากบทหนึ่งให้แก่เขา แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเขาไม่สามารถจดจำบทเพลงนั้นได้เลย ตาร์ตินี่จึงลองแต่งโซนาต้าเพื่อเลียนแบบเพลงในฝันของซาตาน ความพิเศษของ Devil’s Trill sonata อยู่ในท่อนสุดท้าย นักไวโอลินต้องเล่นรัวสาย (Trill) บนสายหนึ่ง ในขณะนิ้วอื่นๆ ต้องเล่นบนสายที่เหลืออย่างรวดเร็ว

                     ตาร์ ตินี่บอกว่า ซาตานตนนั้นบรรเลงเพลงด้วยฝีมือชั้นยอด ด้วยจินตนาการในแบบที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีใครทำได้ เขาฟังอย่างหมดเรี่ยวแรงแทบจะลืมหายใจ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ เขาเริ่มจับไวโอลินทันทีโดยหวังว่าจะจดจำบางเสี้ยวของสิ่งที่พึ่งได้ยินมา ได้ แต่กลับจำไม่ได้เลย นั่นคือเพลง Devil's Sonata แต่มันยัง ห่างไกลจากสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงงัน ตาร์ตินี่กล่าวว่า เขายอมพังไวโอลินทิ้งและเลิกเล่นดนตรีอย่างเด็ดขาดหากได้เป็นเจ้าของเพลงนี้

                     อันดับ 4 Cornelius Agrippa
     

     


                     คอร์เน ลิอุส อะกริบป้า (เกิด  9-14-1486- ตาย 2-18-1535) เป็นนักเขียนแห่งยุคยุคเรอเนอซอซ์ (ประมาณคริสตศตวรรษที่14 ถึง 16) เขามีความรู้ด้านกฎหมาย และยา  รวม ทั้งเป็นหมอผี, ทนายความ, หมอดู และนักล่นแร่แปรธาตุ ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รับปริญญาเขายังเป็นผู้นำสิทธิสตรีที่มักออกตัวปกป้องผู้หญิง ที่กล่าวหาว่าเป็นแม่มด เขาเขียนหนังสือลึกลับ 3 เล่มและยังคงใช้จนถึงทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นคือหนังสือชื่อ On Occult Philosophy ตำรานี้มีทั้งตัวอักษรภาษาฮิบรูและภาษากรีก เขายืนยันว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้จักกับพระเจ้าคือการเรียนรู้อำนาจวิเศษในปี 1535 เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกรีตและพิพากษาให้ตาย เขาหนีและล้มป่วยจนเสียชีวิต หลังจากการตายของเขามีข่าวลื่อว่า ปีศาจได้ปลุกเขาให้คืนชีพ และมีเพื่อนเป็นสุนัขสีดำขนาดใหญ่ท่องไปแดน ต่างๆ
     


                     อันดับ 3 Robert Johnson
     

     

                     โรเบิร์ต จอห์นสัน(เกิด 8/5/1911 – ตาย 16/9/1938) เขาเป็นดนตรีผิวสี ชาวอเมริกัน เจ้าแห่งดนตรีบูลส์ เจ้าแห่งกีตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่สร้างชื่อทั้งๆ ที่อายุยังน้อย เขาบันทึกผลงานในช่วงปี 1936-1937รวมผลงานเพลง จำนวน 29 เพลง แต่ละเพลงล้วนชั้นยอดทั้งสิ้น

                     ในช่วงแรกๆ นั้นโรเบิร์ต จอห์นสันเป็นเพียงนักดนตรีธรรมดาที่ได้แต่เดินตามและลอกเทคนิคนักดนตรีดังๆ เท่านั้น เขาไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลย  แต่หลังจากไม่ กี่เดือน เขาหายตัวไปและกลับมาพร่อมเทคนิคและการเล่นที่เหนือชั้นที่ไม่รู้ว่าเขา ฝึกฝนมาจากที่ไหนหรือใครเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับเขา จนหลายคนต่างซุบซิบเป็นที่กล่าวขานว่า เขาขายวิญญาณให้กับซาตาน(ในร่างของชายผิวดำร่างยักษ์ ณ บริเวณสี่แยกที่เรียกว่า เดลต้ามิสซิสซิปปีเพื่อแลกกับฝีมืออันสุดยอดนี้!

                     แต่มันก็เป็นเรื่องที่ร่ำลือที่ปราศจากการพิสูจน์หรือค้นหาข้อเท็จจริง หลายฝ่ายแค่เดาแค่หลายบทเพลงที่โรเบิร์ตแต่งและร้องนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับ ซาตานเสมอ รวมไปถึงพฤติกรรมประหลาดที่เขามักหันหน้าเข้าผนังเวลาเล่นกีตาร์ร้องเพลงใน ห้องอัด และที่สำคัญเขาจากโลกนี้ไปทั้งๆ ที่อายุยังน้อย เพียง 27 ปีเท่านั้น ด้วยอาการเจ็บป่วย บางมีคำเล่าขานว่า เขาโดนวางยาในแก้วเหล้าจากผู้ชายลึกลับคนหนึ่ง
     



                     อันดับ 2 Johann Georg Faust
     

     

     
                     ดร. เฟาสท์(เกิด c. 1480- ตาย c. 1540) เป็นนักเล่นแปรธาตุพรเนจร โหราจารย์และหมอผีชาวเยอรมัน ในศตวรรษที่ 16 เป็นคนขี้ โอ่อวดอ้างว่าสามารถบันดาลสิ่งมหัศจรรย์เพราะมีพญามารเป็นพวก เขาได้รับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย Krakow ชีวิตของเขามี เรื่องเล่ามากมายทำให้ยากที่จะหาข้อเท็จจริงในประวัติชีวิตของเขาได้  ตำนานมีอยู่ว่าเขาต้องการมีชีวิตที่มีแต่ความเป็นหนุ่ม ความรู้และอำนาจเลยเรียนเรื่องไสยและวิธีการเรียก ปีศาจ  โดยสองเพื่อนสนิทของเขา Martin Luther และ Philip Melachton ได้เป็นพยานในพิธีสัญญาผูกพันเฟาสท์และซาตาน

                     เรื่องของเขายังถูกนำมาเล่าเป็น นิยายในเรื่อง The Tragical History of Doctor Faustus (1604) and Goethe's Faust (1808) ที่เป็นเรื่องราวของชายผู้มีความ รู้ท่วมตัว และทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด วันหนึ่งโชคชะตาชักนำให้เขาพบ กับเมมฟิสโต้ (Mephistopheles) ปีศาจ ผู้สงสัยในอำนาจของพระเจ้า และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่หลงเชื่อในภาพลวงตาแห่งสวรรค์ ที่พระเจ้าเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์คับขันที่ต่างฝ่ายต่างมีภารกิจ ที่จะต้องสนองตัณหาของตนเอง เฟาสท์จึงยอมขายวิญญาณให้แก่เมฟิสโต้เพื่อ แลกกับความเป็นหนุ่มอีกครั้งและมีความสัมพันธ์กับมาร์กาเร็ตเต้สาวบริสุทธิ์ และทำให้เธอท้องแต่ว่าเธอก็ต้องถูกประหารเพราะฆ่าลูกของตัวเอง เลยทำให้แผนการของเมมฟิสโต้ ที่จะทำให้เฟาสท์รู้สึกสมประสงค์ก็ต้องผิดพลาดไป จากนั้นเฟาทส์ก็ถูกพาย้อนเวลาไปสมัยโรมัน โดยให้เจอกับทั้งจักรพรรดิโรม และสาวงามอย่างเฮเลน แต่เฟาทส์ก็ไม่รู้สึกพอใจแต่อย่างใดเมมฟิสโต้เลยพาเฟาสท์กลับมาที่เยอรมัน และที่นั้นก็ทำให้เฟาสท์พอใจเขาสิ่งที่เขาต้องการ เมมฟิสโต้ เลยจะเอาวิญญาณของเขาไป แต่ก็ต้องถูกฑูตสวรรค์มาขัดขวาง และนำดวงวิญญาณของเขาไปหาพระแม่มารีย์แทน

                     อันดับ 1 St. Theophilus of Adana
     

     

                     นักบุญทีโอฟิลุสผู้สำนึกผิดหรือทีโอฟิลุสแห่งเอดานา (died c. 538) เป็นพระในศริสตจักรเมื่อ ที่ได้รับการกล่าวว่าได้ทำสัญญากับปีศาจเพื่อได้รับตำแหน่งของสงฆ์ เนื่องจากเขาไม่พอใจในไม่ได้รับเลือกในตำแหน่งใหญ่ๆ เขาทำสัญญาเลือดแก่ซาตาน จนได้ดำรงตำแหน่งอธิการ แต่ภายหลังเขาสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำขอร้องขอให้อภัยโทษต่อหน้าพระแม่มารีย์ จนเขาได้เห็นประจักษ์พระแม่มารีย์และให้อภัยโทษต่อเขา   เรื่อง ราวของท่านได้กลายเป็นเรื่องที่เก่าแก่ที่สุดในการทำสัญญากับปีศาจ และยังเป็นแรงบันดาลใจเรื่อง Faust  ส่วน ภาพวาดด้านบทเป็นของ Michael Pacher


     


                     ซาตาน มีอิทธพิลในปัจจุบันหรือไม่?

                     อันนี้น่าจะเป็นความเชื่อแต่ละบุคคล เพราะไม่ว่าหนังภาพยนต์ เกม หรือการ์ตูน ล้วนถูกอ้างอิงมาจากเรื่องจริงทั้งสิ้น เพราะ การสร้างอะไรบางอย่างต้องได้รับแรงบัลดาลใจ แล้วนำมาดัดแปลงเป็นรูปแบบของตนเอง จึงทำให้มีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนต์เรื่อง The Omen อาถรรพ์กำเนิดซาตานล้างโลก เป็นเรื่องเกีี่ยวกับการกลับมาของซาตาน เด็กที่เกิดวันที่6 เดือน6 ปีอะไรที่ลงท้ายด้วย6นี่แหละ ตาม ค.ศ.(ดรากิออนจำไม่ได้T-Tอธิบายสดอย่างเดียว) จะนำภัยพิบัติมาสู่โลก (เด็กที่กำเนิดจากซาตานจะมีเลข666อยู่ที่ไหนซักแห่ง) เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ไม่ธรรมดา จึงทำให้ทุกคนต้องหวาดกลัว ภาพยนต์เรื่องนี้ถูกสร้างเป็นเกมชื่อว่าLucius  เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กซาตานเช่นกัน

                     เกมLuciusมีเรื่องว่า มีครอบครัวหนึ่ง ได้ทำพันธสัญญากับซาตาน ที่ต้องแลกด้วยการขายวิญญาณให้กับปิศาจ เพื่อที่จะไดสิ่งที่ตนเองต้องการ และสิ่งที่เขาอยากได้คือ อำนาจ ความร่ำรวย จนมาถึงที่พวกเขาได้สิ่งที่ตนปรารถนา (คาดว่าน่าจะขายวิญญาณให้กับซาตานไปแล้ว) แต่แน่นอนว่า ปิศาจยังไงก็คือปิศาจ ครอบครัวนี้จะมีลูก มันจึงได้ให้กำเนิดเป็นปิศาจเสียเลย เด็กคนนี้จึงกลายเป็นหายนะของบ้านโดยที่ครอบครัวนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ลูเซียส เป็นชื่อของเด็กคนนี้ เขามีพลังวิเศษคือ ไฟ ที่จะเผาผลาญทุกสิ่ง และสามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้ด้วย ในเกมนี้เรารับบทเป็นลูเซียส (แหม่ คนที่อยากเล่นเป็นฮีโร่ละก็ แนะนำเกมอื่นๆ) และต้องฆ่าทุกคนในครอบครัว (พ่อ แม่ คนรับใช้ ฆ่าให้หมด55555//บ้า) เพราะ"คนที่สำพันธสัญญากับปิศาจ จะไม่มีวันมีชีวิจรอดไปได้"  มีตัวอย่างแคชเกมนี้มากมายในยูทูป(สนุกมาก ดรากิออนชอบๆ)

                     และสุดท้าย การ์ตูนเรื่องBlack Butler อันนี้ผู้จัดทำไม่ได้ดูจริงๆ เกี่ยวกับซาตาน ตัวเอกเป็นพ่อบ้านปิศาจชื่อว่าเซบาสเตียน คอยดูแลชิเอล ซึ่งเป็นคุณชายที่หน้าเคะเอามากๆ (การ์ตูนYaoi) เรื่องนี้ ทางญี่ปุ่นยังสร้างเป็นภาพยนต์อีกด้วย โดยผิดแปลกคือ ชิเอล จากเดิมเพศชาย แต่เป็นเพศหญิงซะนี่ แต่ผู้จัดทำ สงสัยเหมือนกันว่ามันผู้ชายหรือผู้หญิง ในอนิเมะอ่ะนะ(ดรากิออนต้องการคำตอบบ สับสนฝุดTwT)
     

                     สรุปผล

                     จากการศึกษาในครั้งนี้ พบว่า การทำพันธสัญญากับปิศาจนั้น เป็นการทำให้สิ่งที่ตนเองปรารถนาเป็นจริง โดยการขายวิญญาณ ซึ่งการขอนั้นจะมีข้อแลกเปลี่ยนเมื่อสำเร็จผล เราก็จะต้องให้สิ่งที่ได้กล่าวเอาไว้ให้กับปิศาจและความเชื่อนี้ยังนำไปสร้างเป็นเกม การ์ตูนในปัจจุบัน  ทั้งนี้ เราไม่ควรยึดติดงมงาย ขอให้เชื่อแค่50-50 และจงจำไว้ว่า "ความปรารถนาจะสำเร็จ ต่อเมื่อเราลงมือทำ"


     
     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×