ลำดับตอนที่ #50
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #50 : รวมสัตว์ในตำนานประเทศต่างๆ
รวมสัตว์ในตำนานประเทศต่างๆ
คราเคน (Kraken)
เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว
มักเล่าว่าคล้ายหมึกกระดองขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ
ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้
หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว
คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์
เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway"
ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า
มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์
เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์
นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิด หนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด
จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง
แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่า
วาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน
ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา (Giant Squid)
โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้ าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า
หมึกดังกล่าวมีขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน
ส่วนมากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น
คราเคนในโลกบันเทิง
สเกลของคราเคน ในการ์ตูน เซนต์เซย่า
* นิยายวิทยาศาสตร์ "ใต้ทะเล 20,000 โยชน์" ของ จูนส์ เวิร์น
* ภาพยนตร์แฟนตาซี "โจรสลัดแห่งคาริบเบียน ภาค2(Pirates of the Caribbean)"
ครุฑ หรือ พญาครุฑ (Garuda)
เป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง
เช่น มหากาพย์มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน
นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี
มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์
ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหน ึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"
ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว
ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ
ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
1. ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
2. ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
3. ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
4. ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
5. รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
ตำนานของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าพญาครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร
และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ ง
และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์
แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญาครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ
ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปว ง
ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค ๑๐๐๐ ตัว
มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงได้ได้สารพัด ดังใจนึก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่ง พันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล
ส่วนนางวินตา ข้าพเจ้าของมีบุตรเพียง ๒ แต่ขอให้มีเดชล้นฟ้า หาผู้ใดเสมอมิได้ จงมีชัยชนะเหนือนาคทั้งหลาย ทุกเมื่อ...
เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร
จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ
อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำ หนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ
และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากควา มเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือ สุริยเทพ
นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู คงรอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกม าจากไข่เอง
อนึ่ง เมื่อพญาครุฑแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ
เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ท ิศ
ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพที่ เกิดคราวกวนเกษียรสมุทรและเป็นสมบัติของพระอินทร์
โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าสีดำ
ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแ ซมอยู่เต็มตัวม้า
(บางตำนานว่าให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ)
นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสของนางกัทรุถึงห้าร้อยปี
ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาส และได้ทราบเงื่อนไข จากพวกนาคว่า
ต้องไปเอาน้ำอมฤตให้นาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็น ไท ครุฑจึงบินไปสวรรค์ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์
แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และ ทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น
ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ โดยเมื่อพระอินทร์ใช้วัชระโจมตีครุฑนั้น ครุฑไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
แต่ครุฑก็จำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทาน ให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปเส้นหนึ่ง
เพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษา เกียรติของพระอินทร์ผู้ป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ
ด้านพระวิษณุหรือ พระนารายณ์ก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และสู้รบพญาครุฑด้วย เช่นกัน
แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะ
และให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่า พระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุ
และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอ ันเป็นที่สูงกว่า
เมื่อครุฑได้หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาค
เพื่อไถ ่มารดาให้พ้นจากการเป็น ทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง ครุฑจึงเอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคา
(และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์)
ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ
ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป
ทำให้นาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤ ตหลงเหลืออยู่
ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว (เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉ กสืบมาจนทุกวันนี้)
แต่นั้นครุฑกับนาคจึงเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด และครุฑนั้นก็จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ
ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่า
ครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่
เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า
สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ
ครุฑในทางพุทธศาสนาจัดเป็นเทวดาชั้นล่างประเภทหนึ่งภ ายใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก
ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศใต้ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วยโมหะ
ครุฑมีกำเนิดทั้ง 4 แบบ คือ โอปปาติกะ (เกิดแบบผุดขึ้น) ชลาพุชะ (เกิดในเถ้าไคล) อัณฑชะ (เกิดในไข่)
และสังเสทชะ (เกิดในครรภ์) มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้วรอบเขาพระสุเมรุ จนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา
แปลงกายได้ และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกันเทวดา แต่ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์
บางประเภทถ้าผูกเวรกับนาค ก็จะกินนาคเป็นอาหาร หรือถ้าผูกเวรกับสัตว์นรกในยมโลก
ก็จะสมัครใจไปเป็นนายนิรยบาลลงทัณฑ์สัตว์นรก
ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑ จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ
เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของ ไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์
ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์
ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำ พระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น
ซึ่งจากการที่เราใช้ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับปร ะทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ
และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับ หนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล
ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย
เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียก ว่า ธงมหาราช
เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใด
แสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ 3 ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ
เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดน าค
และ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
คราเคน (Kraken)
เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว
มักเล่าว่าคล้ายหมึกกระดองขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ
ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้
หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว
คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์
เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway"
ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า
มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์
เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์
นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิด หนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด
จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง
แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่า
วาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน
ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา (Giant Squid)
โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้ าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า
หมึกดังกล่าวมีขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน
ส่วนมากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น
คราเคนในโลกบันเทิง
สเกลของคราเคน ในการ์ตูน เซนต์เซย่า
* นิยายวิทยาศาสตร์ "ใต้ทะเล 20,000 โยชน์" ของ จูนส์ เวิร์น
* ภาพยนตร์แฟนตาซี "โจรสลัดแห่งคาริบเบียน ภาค2(Pirates of the Caribbean)"
ครุฑ หรือ พญาครุฑ (Garuda)
เป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง
เช่น มหากาพย์มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน
นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี
มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์
ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหน ึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"
ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว
ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ
ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
1. ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
2. ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
3. ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
4. ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
5. รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
ตำนานของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าพญาครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร
และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ ง
และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์
แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญาครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ
ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปว ง
ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค ๑๐๐๐ ตัว
มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงได้ได้สารพัด ดังใจนึก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่ง พันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล
ส่วนนางวินตา ข้าพเจ้าของมีบุตรเพียง ๒ แต่ขอให้มีเดชล้นฟ้า หาผู้ใดเสมอมิได้ จงมีชัยชนะเหนือนาคทั้งหลาย ทุกเมื่อ...
เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร
จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ
อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำ หนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ
และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากควา มเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือ สุริยเทพ
นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู คงรอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกม าจากไข่เอง
อนึ่ง เมื่อพญาครุฑแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ
เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ท ิศ
ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพที่ เกิดคราวกวนเกษียรสมุทรและเป็นสมบัติของพระอินทร์
โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าสีดำ
ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแ ซมอยู่เต็มตัวม้า
(บางตำนานว่าให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ)
นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสของนางกัทรุถึงห้าร้อยปี
ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาส และได้ทราบเงื่อนไข จากพวกนาคว่า
ต้องไปเอาน้ำอมฤตให้นาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็น ไท ครุฑจึงบินไปสวรรค์ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์
แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และ ทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น
ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ โดยเมื่อพระอินทร์ใช้วัชระโจมตีครุฑนั้น ครุฑไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
แต่ครุฑก็จำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทาน ให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปเส้นหนึ่ง
เพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษา เกียรติของพระอินทร์ผู้ป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ
ด้านพระวิษณุหรือ พระนารายณ์ก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และสู้รบพญาครุฑด้วย เช่นกัน
แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะ
และให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่า พระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุ
และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอ ันเป็นที่สูงกว่า
เมื่อครุฑได้หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาค
เพื่อไถ ่มารดาให้พ้นจากการเป็น ทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง ครุฑจึงเอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคา
(และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์)
ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ
ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป
ทำให้นาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤ ตหลงเหลืออยู่
ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว (เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉ กสืบมาจนทุกวันนี้)
แต่นั้นครุฑกับนาคจึงเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด และครุฑนั้นก็จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ
ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่า
ครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่
เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า
สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ
ครุฑในทางพุทธศาสนาจัดเป็นเทวดาชั้นล่างประเภทหนึ่งภ ายใต้การปกครองของท้าววิรุฬหก
ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศใต้ เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วยโมหะ
ครุฑมีกำเนิดทั้ง 4 แบบ คือ โอปปาติกะ (เกิดแบบผุดขึ้น) ชลาพุชะ (เกิดในเถ้าไคล) อัณฑชะ (เกิดในไข่)
และสังเสทชะ (เกิดในครรภ์) มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้วรอบเขาพระสุเมรุ จนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา
แปลงกายได้ และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกันเทวดา แต่ครุฑบางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์
บางประเภทถ้าผูกเวรกับนาค ก็จะกินนาคเป็นอาหาร หรือถ้าผูกเวรกับสัตว์นรกในยมโลก
ก็จะสมัครใจไปเป็นนายนิรยบาลลงทัณฑ์สัตว์นรก
ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑ จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ
เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของ ไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์
ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์
ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำ พระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น
ซึ่งจากการที่เราใช้ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับปร ะทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ
และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับ หนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล
ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย
เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียก ว่า ธงมหาราช
เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใด
แสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ 3 ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ
เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดน าค
และ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
คนแคระ
คน แคระ (อังกฤษ: Dwarf) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏในตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศ เจอร์เมนิก (สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) ปรากฏในเทพนิยาย นิยายแฟนตาซี และเกมอาร์พีจีจำนวนมาก
มักมีพรสวรรค์อันวิเศษโดยเฉพาะด้านเกี่ยวกับการเหมือ งและการโลหะ
แนวคิดเริ่มแรกเกี่ยวกับกำเนิดตำนานของคนแคระไม่สามา รถระบุได้แน่ชัด
แหล่งกำเนิดที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่สามารถค้นพบคือ ในตำนานปรัมปราของเจอร์เมนิกที่สืบทอดมาจากตำนานนอร์ ส
แต่กระนั้นก็หาหลักฐานได้ยากและมีรูปแบบหลากหลายมาก เรื่องราวที่ผิดเพี้ยนไปทำให้คนแคระดูน่าขบขันมากขึ้ น
และช่างเชื่อถือโชคลาง คนแคระมีลักษณะคล้ายมนุษย์ แต่เรื่องเล่าระบุถึงความสูงและชีวิตความเป็นอยู่แตก ต่างกันไป
บางเรื่องถึงกับบรรยายพวกเขาไปคล้ายกับพวกเอลฟ์ เมื่อพิจารณาจากแหล่งข้อมูลที่เก่าแก่ที่สุด
และจากลักษณะตามธรรมชาติของคนแคระ เชื่อได้ว่าในยุคแรกๆ คนแคระมีความสูงพอกันกับมนุษย์นี้เอง
บทบาทของพวกเขาในตำนานมักมีความผูกพันใกล้ชิดกับความ ตาย มีผิวกายซีด ผมสีเข้ม ชอบอยู่กับพื้นโลก
มีประเพณีที่นิยมนับถือลัทธิภูตผี ซึ่งสอดคล้องกับความผูกพันกับความตาย
บางครั้งมีลักษณะคล้ายคลึงกับพวก จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ เช่นพวกเอลฟ์
ตำนานปรัมปราเกี่ยวกับคนแคระที่พัฒนาการต่อมา มีข้อเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ
พวกเขาดูน่าขบขันมากขึ้น มีความลึกลับมากขึ้น คนแคระเริ่มมีรูปร่างเตี้ยลงและน่าเกลียดมากขึ้นตามภ าพลักษณ์ในยุคใหม่
รวมถึงภาพการใช้ชีวิตใต้พื้นดินของพวกเขาก็โดดเด่นยิ ่งขึ้น คนแคระเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์
ที่มีทักษะด้านการโลหะอย่างวิเศษ มีชื่อเสียงในการสร้างของวิเศษในตำนานมากมาย
แนวคิดเกี่ยวกับคนแคระในตำนานนอร์สยุคหลังมีความแตกต ่างจากตำนานดั้งเดิมมาก
คนแคระในแนวคิดใหม่นี้ไปปรากฏในเทพนิยายและนิทานพื้น บ้านในยุคหลังมากขึ้น
(ดูเพิ่มเติมใน นิทานพื้นบ้านเยอรมัน และนิทานพื้นบ้านดัตช์)
พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีเวทมนตร์ ไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นเจ้าแห่งมนตร์มายา คำสาป และคำล่อลวง
แฟนตาซีและวรรณกรรมยุคใหม่ช่วยกันถักทอความเจ้าเล่ห์ แสนกลให้กับเหล่าคน แคระเพิ่มเติมไปยิ่งกว่าคนแคระดั้งเดิม
คนแคระในยุคใหม่จึงมีลักษณะเฉพาะตัวคือ มีร่างกายเตี้ยแคระ ผมและขนดกหนา
มีความสามารถในการทำเหมืองและการช่างโลหะอย่างพิเศษ อย่างไรก็ดีวรรณกรรมยุคใหม่ยังบรรยายภาพของคนแคระ
ที่แตกต่างกันออกไปอีกตาม แต่ตำนานและประวัติศาสตร์ของแต่ละท้องถิ่น
วรรณกรรมแฟนตาซีหลายเรื่องประดิษฐ์คิดค้นอำนาจหรือภา พลักษณ์ของคนแคระขึ้นใหม่
ทำให้ "คนแคระ" ในตำนานยุคใหม่ไม่อาจมีคำจำกัดความที่ชัดเจนได้
ไคเมร่า,คิเมร่า
ไคเมร่า หรือ คิเมร่า เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก
ใน ตำนานเล่าว่าไคเมร่าเป็นลูกของอีคิดน่าและไทฟอน เป็นพี่ชายของเซอร์เบอรัส ไคเมร่ามีร่างกายกำยำและเป็นที่รวม ของสัตว์ร้าย 3 ชนิด คือ ส่วนหัวถึงหน้าอกเป็นสิงโต ลำตัวเป็นแพะ แต่บั้นท้ายกลับเป็นมังกรหรืองู นอกจากนี้ยังสามารถพ่นไฟออกมาได้เหมือนมังกรอีกด้วย หางมันเป็นงูพิษร้ายแรง กัดแล้วถึงตายในทันที มีพี่น้องหกตัวได้แก่ เซอร์บีรัส ไฮดรา นีเมียน สฟิงซ์ และเลดอน มีตำนานกรีกเล่าว่าไคมีราบุกเข้าทำลายเมือง ลีเซีย(Lycia) ทำให้กษัตริย์โลเบทีสซึ่งเป็นเจ้าปกครองเมืองอยู่ในข ณะนั้น ต้องการผู้มาปราบเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ บังเอิญวีรบุรุษ เบลเลอโรฟอน ขี่ม้าบินปีกาซัสผ่านมาพอดีจึงอาสาที่จะฆ่าเจ้าสัตว์ ร้ายตนนี้ แต่มันออกจะเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละหัวของมันมองได้ทุกทิศทาง เบลเลอโรฟอนขี่ม้าบินเพกาซัสฉวัดเฉวียนอยู่เหนือคู่ต ่อสู้ คอยหลบเปลวเพลิงที่พรุ่งพรวยออกมาจากปากของมัน และกระหน่ำห่าธนูใส่ จนในที่สุดเจ้าอสูรร้ายก็สิ้นชีพ
จาก การที่ไคเมร่าเป็นส่วนผสมของสัตว์ร้าย 3 ชนิด ที่ไม่น่าจะมารวมกันได้ คำว่า ไคเมร่า (Chimera) จึงใช้เป็นชื่อเรียกของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกป ระหลาดในปัจจุบัน เช่น ปลาทะเลน้ำลึกจำพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นปลากระดูกอ่อน ก็ถูกเรียกว่า ไคเมร่า ด้วยเช่นกัน
จิ้งจอก 9 หาง
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง (?????, คีวบิโนะโยโกะ) ปีศาจในตำนานญี่ปุ่น คำว่า คิว (?) หมายถึง เก้า, บิ (?) หมายถึง หาง และ (โยโกะ) หมายถึง ปีศาจจิ้งจอก โดยสามารถหมายถึงคิทซึเนะ จิ้งจอกในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นมีพลังพิเศษต่างๆ
ตามตำนาน ปิศาจจิ้งจอกเก้าหางมีที่มาจากอินเดีย, จีน และญี่ปุ่น ซึ่งนัยว่าเป็นปิศาจตนเดียวกัน คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการสืบทอดวัฒนธรรมจากอินเดี ยไปยังจีนตามเส้นทางสายไหม และไปยังญี่ปุ่นโดยการเผยแพรทางวัฒนธรรม
จิ้งจอกเก้าหางของญี่ปุ่น
ใน ตำนานของญี่ปุ่นได้กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางว่า เป็นปิศาจที่หลบหนีมาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักของญี่ปุ่น ในรัชสมัยของจักรพรรดิ์โทบะ หลังจากที่หลบหนีมาจากอินเดีย และจีนมาแล้ว โดยแฝงตัวมาในร่างของหญิงงามนามว่า ทามาโมะ มาเอะ พระสนมของจักรพรรดิ์โทบะ นางทำให้จักรพรรดิ์โทบะลุ่มหลงในความงามของนาง และสุขภาพของจักรพรรดิ์โทบะก็ทรุดโทรมลงทุกวัน จึงได้มีการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาทำพิธีปัดรัง ควาน พบว่าในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่
เมื่อความแตก ทามาโมะ มาเอะ จึงได้คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีทองตัวมหึมา มีเก้าหาง เหาะหลบหนีไปบนท้องฟ้า กองทหารของจักรพรรดิ์โทบะได้ไล่ตามไปจนถึงที่ราบสูงน าสุ และต่อสู้กับปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถสยบจิ้งจอกเก้าหางลงได้ กลายเป็นหินเซ็ทโชเซกิ ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของญี ่ปุ่นมาจนปัจจุบันนี้
อนึ่งมักเกิดความสับสนในผู้ที่เริ่มต้นศึกษาซึ่ง เอาต ำนานของปีศาจจอกเก้าหางมารวมกับตำนานของเทพเจ้าแห่งจ ิ้งจอก อินาริ (??, Inari หรือ Oinari) ซึ่งแท้จริงเป็นคนละอย่างกัน อินารินั้นเป็น คามิ (?, Kami) หรือเทพเจ้าองค์หนึ่งตามตำนานของศาสนาชินโตซึ่งเป็นศ าสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่น
จิ้งจอกเก้าหางของอินเดีย
ตาม เรื่องเล่าที่กล่าวถึงในิทานพื้นบ้านของชาวอินเดี ย มีการกล่าวถึง สัตว์ที่มีรูปร่าง จิ้งจอกผสมงู มีลักษณะเป็นนรสิงห์ เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงหน้า บายนเทวลัย
จิ้งจอกเก้าหางของจีน
เรื่องจิ้งจอกเก้าหางของจีน มีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่อง ห้องสิน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และภูตผีปิศาจ
เรื่อง ราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะเจ้าแม่หนวี่วา หนึงวาสี ในวิหารของเจ้าแม่ ตามปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญขณะนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้ผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนวี่วางดงา มยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้าแม่งดงามขนาดนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดี
เมื่อเจ้า แม่หนวี่วาได้ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนบ้านเมืองล่มสลายเพ ื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตราย
ในขณะนั้น มีนางงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหว าง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก จิ้งจอกเก้าหางได้แอบลอบฆ่าต๋าจี และสวมรอยเป็นต๋าจีเสียเองเพื่อลักลอบเข้าวัง
เมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็ รู้สึกพึงพอใจในตัวต๋าจีเป ็นอย่างมาก เนื่องจากต๋าจีมีรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดามาแต่สรวงสวรร ค์ชั้นฟ้า ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลงใน ตัวนาง ซึ่งไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากมีความงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางนานวันก็ยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา
ในที่สุดจิ้งจอกเก้าหางในร่างตาจี๋ ก็ได้ยุให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้อง ถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างหอสอยดาวนี้
แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูก เจียงจื่อหยา ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง นักรบจากสวรรค์ให้มาปราบทุกข์เข็ญของเหล่าราษฎร พร้อมทั้ง นาจาศิษย์เอก
ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนวี่วา ตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมา ยให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนวี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้ว หวางเท่านั้น หาได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ไม่ การทำเกินกว่าคำสั่งแบบนี้จำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นหลบหนีการลงโทษไปได้
นกอินทรียักษ์ Thunderbird
มา จากตำนานของพวกอินเดียแดงทางฝั่งอเมริกันโน่นแน่ะ มีสิ่งพิเศษนอกจากจะเป็นนกยักษ์คือมีสายฟ้าสะท้อนมาจ ากจงอยปากอันคมกริบ เมื่อไรที่มันตีปีกแล้วละก็ จะทำให้เกิดสายฟ้าซึ่งมีพลังมหาศาลสามารถทำลายทุกสิ่ งรอบตัวลงไปได้ทีเดียว ลักษณะทั่วไปคล้ายนกอินทรีสีน้ำตาล ปลายปีกออกสีเลื่อมทอง อาศัยอยู่บนยอดเทือกเขาสูงเป็นเชิงผา บางครั้งรูปร่างก็คล้ายเหยี่ยวสีน้ำตาล
ชูปาคาบรา
ชู ปาคาบรา (Chupacabra) เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกใน ช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่างๆเป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบั น
จาก ลักษณะที่ผู้ที่พบเห็นสังเกต ชูปาคาบราที่ลักษณะคล้ายกิ้งก่า มีสีเขียวอมเทา มีความสูงประมาณ 1 เมตร และมีท่ายื่นและกระโดดคล้ายจิงโจ้
เซอร์เบอรัส
เซอร์ เบอรัส หรือ เคอร์เบอรอส (อังกฤษ: Cerberus ; กรีก: Κ?ρ?ερος (Kerberos) แปลว่า ปีศาจในหลุม) เป็นสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก มีรูปร่างเป็นสุนัขสีดำใหญ่โตพ่วงพี มี 3 หัว ปลายสุดของหางเป็นงู (บางตำนานว่าเป็นหางมังกร) เซอร์เบอรัสมีหน้าที่เฝ้าทางลงสู่นรกที่หน้าประตูทาง เข้า ตรุทาร์ทะรัส
เซอร์ เบอรัสเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของฮาเดส (Hades) มันจะยอมให้วิญญาณของคนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของ สามเทพสุภาคือ ราดาแมนทีส ,ไมนอส และ ไออาคอส. วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์ทรมานอย ู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่ว กัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยัง ทุ่งอีลิเซียน แดนสุขาวดีของกรีก
เซอร์ เบอรัสยังเป็นภาระกิจที่ 12 ของเฮอคิวลีสอีกด้วย เรื่องราวก็เนื่องจาก เทพีเฮรากลั่น แกล้งให้เฮอคิวลีสวิกลจริต และทำความผิดหลาย อย่าง เช่น ฆ่าทายาทของตัวเอง, เฮอคิวลีสจึงต้องรับโทษ โดยให้อยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์ที่อ่อนแอ เป็นเวลาถึง 12 ปี และต้องทำภาระกิจ 12 ประการให้เสร็จสมบูรณ์ จึงจะพ้นโทษ ภารกิจ 12 ประการนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการพิชิตปีศาจ หรือไม่ก็สยบสัตว์อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ การจับเซอร์เบอรัสมาให้กษัตริย์ของเขาก็เป็นหนึ่งในภ าระกิจด้วย และเฮอคิวลีสก็สามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมห า ศาลของเขา นอกจากเฮอคิวลีสแล้ว ออร์ฟิอุสเคยใช้เสียงเพลงสะกดเซอร์เบอรัสให้เชื่อง
ขณ ะเข้าไปในยมโลกเพื่อคืนชีพให้คนรัก ในตำนานของโรมัน ไซคีได้ทำให้เซอร์เบอรัสหลับด้วยเค้กน้ำผึ้งใส่ยานอน หลับ
ตาม ตำนาน แม่ของเซอร์เบอรัสเป็นอสุรกายชื่อ อีคิดน่า (กรีก: Echidna) เป็นพี่น้องของพวกกอร์กอนส์ทั้งสาม อีคิดน่ารูปร่างหน้าตาสวยงามเฉพาะท่อนบน แต่ท่อนล่างลงมาเป็นงูยักษ์มหึมา และได้มามีสัมพันธ์กับอสุรกายอีกตนหนึ่งคือ ไทฟอน (Typhon) ซึ่งลูกๆของไทฟอนและอีคิดน่าล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาด ดุร้าย นอกจากเซอร์เบอรัสแล้วก็คือ ไฮดรา, ออทรัส, สิงโตเนเมีย, ไคเมร่า และ สฟิงซ์ แต่นอกจากเซอร์เบอรัสซึ่งได้เป็นสัตว์เลี้ยงของฮาเดส แล้ว พี่น้องทั้งหมดของเซอร์เบอรัสก็ถูกวีรบุรุษในตำนานกร ีกสังหารเสียสิ้น
นอก จากนี้ ยังมีความเชื่อว่า นาเบเรียส (Naberius) มาควิสแห่งนรกผู้ช่ำชองในศาสตร์ต่างๆโดยเฉพาะการปลุก ภูติผีและเป็นหนึ่งใน 72 ปิศาจซึ่งกล่าวถึงในบท อาร์สโกเอเทีย (Ars Goetia) ของตำรา กุญแจย่อยของโซโลมอน (The Lesser Key of Solomon) ก็คือเซอร์เบอรัสนั่นเอง
ใน นิยายและวีดิโอเกม ดิจิตัลเดวิล โมโนกาตาริ: เมกามิเทนเซย์ เซอร์เบอรัสเป็นปิศาจที่อาเคมิ นาคาจิมะ ตัวเอกของเรื่องเรียกมาช่วยในการต่อสู้กับโลกิ และในเกมภาคต่อ ๆ มามักมีเซอร์เบรัสเป็นผู้ช่วยสำคัญเสมอ รูปแบบของเซอร์เบอรัสในเมกามิเทนเซย์ นอกจากที่เป็นสุนัขสามหัวแล้วบางครั้งยังปรากฏตัวเป็ นสิงโตสีขาวที่มีหางเรียวยาวเป็นปล้อง[1]
ในเซนต์เซย่า เซอร์เบรัสเป็นสุนัขเฝ้านรกขุมที่ 2 ที่มี สฟิงซ์ ฟาโรห์ เป็นผู้ดูแล เซอร์เบรัสมีหน้าที่กัดกินคนตายเป็นการลงโทษ เมื่อเซอร์เบรัสได้พยายามกินเพกาซัส เซย่า แต่กินไม่ลงเพราะเซย่ายังไม่ตาย และถูกปราบด้วยโซ่ของอันโดรเมด้า ชุน
ส่วนในหนังสือนิยายเรื่องแฮ ร์รี่ พอตเตอร์ มีการกล่าวถึงตัวเซอร์เบอรัสซึ่งมีชื่อเรียกว่าฟลัฟฟ ี่ ในฉบับภาพยนตร์ของภาคแรก รอน วีสลีย์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้พูดถึงเรื่องฟลัฟฟี่[2]
เซนทอร์
เซน ทอร์ (อังกฤษ: Centaurs ; กรีก: Κ?νταυροι) เซนทอร์มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วนลำตัวลงไปเป็นม้าหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สง่างาม อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย และเทสสาลีในประเทศกรีซ
เซนทอร์มีสอง ตระกูล โดยตระกูลหนึ่งเกิดจาก อิคซอน อันธพาลแห่งสวรรค์ที่ขึ้นชื่อ กับอีกตระกูลที่เกิดจากโครนัส ฝ่ายหลังมีอุปนิสัยดีแตกต่างจากฝ่ายแรกมาก
เซน ทอร์ตระกูลอิคซอน เกิดจากอิคซอนกับเนฟีลี มีพละกำลังมาก ชอบดื่มไวน์กับชอบไล่คว้าผู้หญิง ซ้ำชอบทะเลาะเวลาเมา เซนทอร์จึงถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาไม่กลัวใครทั้งสิ้น
เซนทอร์ ตระกูลโครนัสต่างกับตระกูลอิคซอน เป็นเซนทอร์แสนดี โครนัสแต่งงานกับฟีลีร่า นางอัปสรน้ำผู้เลอโฉม มีลูกชื่อซีรอน ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน มีความสุขุมรอบคอบจนได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของเหล ่าวีรบุรุษหลายคนในตำนานกรีก เช่น อคิลลีส, เฮอร์คิวลีส, เจสัน, พีลูส, อีเนียส และบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็ประพฤติตัวตามแบบครูบาอาจาร ย์ได้เป็นอย่างดี
เรื่องของเซนทอร์ที่ชื่อชีรอนนี้มีปรากฎอยู่ในตำนานข องเฮอคิวลีส ซึ่งเล่ากันว่าในระหว่างที่เฮอคิวลีสกำลังเดินทางเพื ่อปฏิบัติภาระกิจอยู่ก็ได้มีเรื่องปะทะกับฝูงพวกเซนท อร์ โดยเรื่องมีอยู่ว่าเฮอคิวลีสเข้าใจว่าเซนทอร์ที่ชื่อ ว่า เนซซัส (Nessus) กำลังฉุดผู้หญิงอยู่ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นธรรมเนียมของชาวเซนทอร์ ซึ่งเวลาร่วมเพศจะชอบใช้ความรุนแรงกับเซนทอร์เพศเมีย ก็เลยมีการต่อสู้เกิดขึ้น เมื่อถูกพวกเซนทอร์อารมณ์ร้ายรุมมากๆ เฮอคิวลีสก็ได้ใช้ลูกธนูที่อาบด้วยเลือดของไฮดร้ายิง ใส่ฝูงเซนทอร์ แต่มีลูกธนูดอกหนึ่งพลาดไปถูกชีรอน (Chiron) เข้า ซึ่งมีชีรอนเคยเป็นอาจารย์ของเฮอร์คิวลีสมาก่อนก็อยู ่แถวนั้นด้วย ชีรอนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากพิษของไฮดร้า ที่เคลือบอยู่ปลายลูกธนู แต่ก็ไม่สามารถจะพ้นทุกข์ด้วยความตายได้เพราะเขาเองก ็เป็นบุตรแห่งเทพ จึงมีความสถานะเป็นอมตะด้วย แม้เฮอคิวลีสจะรู้สึกผิดแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรอาจาร ย์ของตนเองได้ เมื่อความเจ็บปวดทวีขึ้นเรื่อยๆ จนชีรอนเริ่มจะทนไม่ไหว ชีรอนจึงขอให้เทพซุสประทานความตายให้แก่ตน จากนั้นชีรอนก็ได้กลายเป็นกลุ่มดาวรูปเซนทอร์ซึ่งมีล ักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้ากำลังถือคันธนู ซึ่งเรียกว่า กลุ่มดาวราศีธนู หรือ แซจิเทเรียส (Sagitarius)
ไซเรน
ไซเรน (Siren) เป็นสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งทะเลที่เป็นชายฝ ั่งแบบฟยอร์ด
ไซเรน มีรูปร่างลักษณะเป็นเงือก บางตำราว่าตัวเป็นนก แต่หัวเป็นคน ไซเรนจะชอบร้องเพลง เสียงของไซเรนไพเราะเพราะพริ้งจนทำให้คนที่เดินเรือผ ่านมายังบริเวณใกล้ เคียงที่ไซเรนอาศัยอยู่หลงทางเข้ามาตามเสียงเพลงของไ ซเรน และเรือที่เข้ามาจะหลงไหลในเสียงเพลงยิ่งขึ้นทำให้ออ กตามหาแล้วจะตกเป็น เหยื่อของไซเรน
ไซเรนมีบทบาทสำคัญในตำนานกรีก เมื่อเจสันและลูกเรืออาร์โกนอทจำเป็นต้องผ่านน่านน้ำ ที่ไซเรนอาศัยอยู่ แต่ออร์เฟียสได้ดีดพิณเป็นทำนองเพลงที่ไพเราะยิ่งกว่ าของไซเรนดึงความสนใจของลูกเรืออาร์โกนอทไว้จึงผ่านม าได้อย่างปลอดภัย และในเวลาต่อมาโอดิสซีสอยากรู้ว่าเสียงเพลงของไซเรนเ ป็นอย่างไรจึงให้ลูกเรือทุกคนใช้ขี้ผึ้งอุดหูแล้วมัด เขาไว้กับเสากระโดงเรือ
จึงทำให้เค้าสามารถมองเห็นไซเรน ได้
ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง
ตะพาบ ยักษ์แยงซีเกียง หรือ ตะพาบเซี่ยงไฮ้ (ภาษาจีน: ??, พินอิน: B?n B?e, ตรึงเวียด: Rùa mai m?m Th??ng H?i) ตะพาบขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่ใกล้จะสูญพันธุ์มาก ๆ แล้วชนิดหนึ่งของโลก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rafetus swinhoei (มีชื่อวิทยาศาสตร์อีกชื่อหนึ่ง โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเวียดนามตั้งให้ว่า Rafetus leloii เพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิเลเลย) พบในแม่น้ำแยงซีเกียง ในประเทศจีน และมณฑลยูนนาน นอกจากนี้ยังพบได้ที่แม่น้ำแดง ในประเทศเวียดนามด้วย
เป็น ตะพาบที่มีขนาดใหญ่มาก และเป็นหนึ่งในเต่าน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนหัว ที่มีจมูกและปากคล้ายหมู ขนาดโตเต็มที่สามารถมีน้ำหนักมากถึง 136 กิโลกรัม ถึง 200 กิโลกรัม ยาวถึง 0.9144 เมตร และมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 100 ปี สถานะในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์มาก ๆ แล้ว ในสถานที่เลี้ยงปัจจุบันมีเพียง 2 ตัวเท่านั้น คือที่สวนสัตว์ในประเทศจีน และที่ทะเลสาบที่เมืองฮานอย
ตำนานพื้นบ้าน
ตะพาบ ยักษ์แยงซีเกียง เป็นสัตว์ในตำนานพื้นบ้านของเวียดนามเกี่ยวกับการสร้ างชาติ ในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเลเลย (Le Loi) ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีนราชวงศ์หมิงท ี่ รุกราน ให้ออกไปจากเวียดนาม จากนั้นในขณะที่พระองค์อยู่บนเรือก็มีตะพาบตัวหนึ่งโ ผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและ บอกให้จักรพรรดิส่งดาบนั้นกลับคืนแก่กษัตริย์แห่งมัง กร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อ นที่จะหายกลับลงไปสู่ ใต้ผิวน้ำ
จากนั้นมาทะเลสาบแห่งดังกล่าวที่เคย ถูกเรียกว่า ทะเลสาบลึกถวี๋ (Luc Thuy) หรือ ทะเลสาบน้ำเขียว ต่อมาจึงได้กลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ทะเลสาบคืนดาบ (The Lake of the Returned Sword) หรือ ทะเลสาบหว่านเกี๋ยม (Hoan Kiem) ซึ่งตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกของเมืองฮานอย และที่ทะเลสาบแห่งนี้ก็ได้มีรูปถ่ายและตัวอย่างสตั๊ฟ ฟ์ของตะพาบชนิดนี้ตั้ง แสดงอยู่ด้วย
ที่มา http://bbs.asiasoft.co.th/showthread.php?t=246143&p=3926417#post3926417
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น