ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูลของสิ่งต่างๆที่สำคัญในซิลมาริลลิออน

    ลำดับตอนที่ #10 : ประวัติศาสตร์ของ Middle -Earth

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 55


    ยุคที่หนึ่ง


    ณ จุดเริ่มต้นของยุคแรก เอลฟ์ได้ตื่น ข้างทะเลสาบ คุยวิเอเนน ในทางตะวันออกของเอนดอร์ และวาลาร์ได้ไปพบพวกเขาในไม่ช้า เอลฟ์จำนวนมากถูกชักชวนให้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่ มุ่งสู่ตะวันตกไปยังอามัน แต่พวกเขามิได้เดินทางโดยสำเร็จถ้วนทุกคน(ดู การแบ่งประเภทของเอลฟ์) วาลาร์ได้จองจำเมลคอร์และเขาทำทีว่าสำนึกผิดและหลุดจากการจองจำ เมลคอร์หว่านความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์และกระตุ้นให้เกิดการวิวาทระหว่างเจ้า ชายเอลฟ์ เฟอานอร์ กับ ฟิงโกลฟิน จากนั้นเมลคอร์ได้สังหารบิดาของพวกเขาคือ กษัตริย์ ฟินเว และขโมย ซิลมาริล อัญมณีสามดวงที่เฟอานอร์สร้าง อันบรรจุแสงแห่งพฤกษาทั้งสอง ไปจากคลังสมบัติของเขา รวมทั้งทำลายทวิพฤกษาด้วย

    เฟอานอร์ได้ชักจูงประชาชนของเขา คือชาว โนลดอร์ เพื่อออกจากอามันและไล่ตามเมลคอร์ไปยังเบเลริอันด์ รวมทั้งสาปแช่งเขาด้วยนามว่า มอร์กอธ เฟอานอร์เป็นผู้นำโนลดอร์กลุ่มแรกจากจำนวนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใหญ่กว่านำโดยฟิงโกลฟิน เหล่าโนลดอร์หยุดที่เมืองท่าของ เทเลริ นามว่า อัลควาลอนเด แต่ชาวเทเลริไม่ยอมให้เรือแก่พวกเขาเพื่อไปยังมิดเดิลเอิร์ธ สงครามประหัตประหารญาติ ครั้งแรกจึงเกิดขึ้น เฟอานอร์และผู้ติดตามจำนวนมากได้โจมตีชาวเทเลริและขโมยเรือของพวกเขา กองทัพของเฟอานอร์ได้ล่องไปกับเรือที่ขโมยมา ปล่อยให้กองทัพของฟิงโกลฟินข้ามไปมิดเดิลเอิร์ธผ่านแดนมฤตยู เฮลคารัคเซ (หรือทุ่งน้ำแข็งหฤโหด) ซึ่งอยู่ทางเหนือไกลออกไป ต่อมาเฟอานอร์ถูกสังหาร แต่บุตรชายส่วนใหญ่ของเขารอดตายและก่อตั้งอาณาจักรของตนขึ้น เช่นเดียวกับฟิงโกลฟินและทายาทของเขา

    ยุคแห่งตะวันเริ่มต้นเมื่อวาลาร์ได้สร้างดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือโลก คือ อิมบาร์ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้ง จึงเกิด ยุคแห่งสันติสุขอันยาวนาน เป็นเวลาสี่ร้อยปี มนุษย์กลุ่มแรกได้มาถึงแผ่นดินเบเลริอันด์ในช่วงยุคนั้น โดยข้าม เทือกเขาสีน้ำเงิน มา เมื่อมอร์กอธเอาชนะ วงล้อมแห่งอังก์บันด์ ได้ อาณาจักรของเอลฟ์ก็ล่มสลายไปทีละอาณาจักร แม้กระทั่งเมืองเร้นลับแห่ง กอนโดลิน ความสำเร็จที่สำคัญโดยเอลฟ์และมนุษย์มาถึงเพียงครั้งเดียวเมื่อเบเรนชาวเอไดน์ และลูธิเอน ธิดาของ ธิงโกล และ เมลิอัน ชิงซิลมาริลดวงหนึ่งมาจากมงกุฏของมอร์กอธได้ เบเรนและลูธิเอนตายหลังเหตุการณ์นั้น แต่ได้รับการชุบชีวิตจากวาลาร์ด้วยข้อตกลงว่า ลูธิเอนจะสูญสิ้นความเป็นอมตะ และเบเรนจะต้องไม่พบกับมนุษย์อีก

    ธิงโกลทะเลาะกับคนแคระแห่งโนกร็อด และพวกเขาได้ฆ่าธิงโกลรวมทั้งขโมยซิลมาริลไป ด้วยความช่วยเหลือของเอนท์ เบเรนได้จัดการกับคนแคระและชิงซิลมาริลมาได้ซึ่งเขาให้กับลูธิเอน ไม่ช้าหลังจากนั้น ทั้งเบเรนและลูธิเอนก็ตายไป ส่วนซิลมาริลนั้นถูกส่งต่อให้ลูกชายของพวกเขา คือ ดิออร์ เอลฟ์กึ่งมนุษย์ ผู้กอบกู้อาณาจักรแห่ง โดริอัธ เหล่าลูกชายของเฟอานอร์สั่งว่า ดิออร์ต้องมอบซิลมาริลแก่พวกเขาและเขากลับปฏิเสธ ชาวเฟอานอร์จึงทำลายโดริอัธ และฆ่าดิออร์ในสงครามสังหารญาติครั้งที่สอง แต่ลูกสาวของดิออร์ที่ยังเล็กคือ เอลวิง ได้หนีไปพร้อมกับดวงมณี ลูกชายสามคนของเฟอานอร์ คือ เคเลกอร์ม, คูรูฟิน และ คารันเธียร์ ตายขณะที่พยายามนำอัญมณีคืนมา

    ในตอนท้ายของยุคนี้ พวกเอลฟ์และมนุษย์อิสรชนที่เหลือในเบเลริอันด์ได้ตั้งหลักปักฐาน ณ ปากแม่น้ำซิริออน ในกลุ่มนั้นมีเออาเรนดิลซึ่งแต่งงานกับ เอลวิง รวมอยู่ด้วย แต่ชาวเฟอานอร์สั่งอีกเช่นเดิมว่าซิลมาริลต้องกลับมาเป็นของพวกเขา และหลังจากที่คำสั่งของพวกเขาถูกละเลย ชาวเฟอานอร์จึงแก้ปัญหาโดยใช้กำลัง นำไปสู่การสังหารญาติครั้งที่สาม เออาเรนดิลและเอลวิงนำซิลมาริลข้าม ทะเลใหญ่ เพื่ออ้อนวอนวาลาร์เพื่อขอขมาและขอความช่วยเหลือ วาลาร์จึงตอบรับ เมลคอร์ถูกจับ งานของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลาย และเมลคอร์ถูกเนรเทศออกนอกขอบเขตโลกไปสู่ ประตูแห่งราตรี

    ซิลมาริลถูกยึดคืนมาได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาหัส เมื่อแผ่นดินเบเลริอันด์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มจมลงสู่ทะเล ลูกชายที่เหลืออยู่ของเฟอานอร์ มายดรอส และ มากลอร์ ถูกสั่งให้กลับสู่ วาลินอร์ พวกเขาลงมือขโมยซิลมาริลจาก วาลาร์ ผู้มีชัย แต่ซิลมาริลแผดเผามือของพวกเขาเช่นเดียวกับที่มันทำกับเมลคอร์ พวกเขาจึงตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ และคำสาบานก็สูญเปล่า พี่น้องแต่ละคนจึงทำตามโชคชะตาของตน มายดรอสโจนตัวเองลงไปในหุบเหวแห่งไฟพร้อมกับซิลมาริลดวงหนึ่ง ส่วนมากลอร์ขว้างซิลมาริลของเขาลงในทะล ดังนั้นซิลมาริลทั้งสามจึงไปสู่จุดหมายบนท้องฟ้าโดยเออาเรนดิล ในพื้นพิภพ และในทะเลตามลำดับ

    ยุคที่สอง


    แล้วจึงเริ่มต้น ยุคที่สอง ชาวเอไดน์ได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ ทางตะวันตกของทะเลใหญ่เป็นบ้านของพวกเขา ในขณะนั้นที่เอลฟ์จำนวนมากได้รับการต้อนรับกลับสู่แดนประจิม ชาวนูเมนอร์กลายเป็นยอดนักเดินเรือ แต่ก็อิจฉาเหล่าเอลฟ์ในความเป็นอมตะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากหลายศตวรรษผ่านไป เซารอน หัวหน้าข้ารับใช้ของมอร์กอธได้เริ่มเพาะพันธุ์สัตว์ปีศาจในดินแดนทางตะวันออก เขาได้ชักจูงในเอลฟ์ช่างใน เอเรกิออน มาสร้าง แหวนแห่งอำนาจ และเริ่มหลอม แหวนเอกธำมรงค์ อย่างลับ ๆ เพื่อควบคุมแหวนวงอื่น ๆ แต่พวกเอลฟ์ล่วงรู้แผนของเซารอนเมื่อเขาสวมแหวนเอก พวกเอลฟ์จึงเอาแหวนของพวกตนออกไปก่อนที่เซารอนจะสามารถควบคุมพวกเขาได้

    กษัตริย์ชาวนูเมนอร์องค์สุดท้ายคือ อาร์-ฟาราโซน มีกองทัพที่แข็งแกร่งมากจนแม้เซารอนยังต้องยอมสยบ ถูกจับมายังนูเมนอร์ในฐานะเชลย แต่ด้วยความช่วยเหลือของแหวนเอก เซารอนล่อลวงอาร์-ฟาราโซน และโน้มน้าวให้กษัตริย์โจมตีอามัน โดยเชื่อว่าความเป็นอมตะจะมีแก่ทุกคนผู้เหยียบย่างไปบน แผ่นดินอมตะ อามันดิล หัวหน้าของเหล่าผู้ศรัทธาต่อวาลาร์ รำลึกถึงการเดินทางขออภัยโทษแทนมนุษยชาติของเออาเรนดิล จึงได้ล่องเรือไปเพื่อขอความเมตตาจากวาลาร์ แต่เพื่อปิดบังวัตถุประสงค์การเดินทางของตน เมื่อแรกเขาจึงล่องเรือไปทางตะวันออกแล้วจึงวกตะวันตก แต่ไม่มีข่าวมาจากเขาอีกเลย ลูกชายของเขา เอเลนดิล กับหลานชายของเขาคือ อิซิลดูร์ และ อนาริออน กันเหล่าผู้ศรัทธาออกจากสงครามที่กำลังมาถึง และลอยเรือเตรียมตัวหลบหนี เมื่อกองทัพของกษัตริย์ไปถึงอามัน วาลาร์ได้เชิญอิลูวาทาร์เข้าทรงจัดการเอง โลกจึงได้เปลี่ยนไป และอามันถูกย้ายออกจากอิมบาร์ นับแต่นั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถเห็นอามันได้อีก แต่เอลฟ์ผู้เดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะจะได้รับพรในการใช้ เส้นทางมุ่งตรง ซึ่งทอดจากทะเลของมิดเดิลเอิร์ธสู่ทะเลแห่งอามัน นูเมนอร์ถูกทำลายสิ้นรวมทั้งร่างของเซารอน แต่ดวงวิญญาณของเขารอดมาได้และกลับสู่มิดเดิลเอิร์ธ เอเลนดิลและบุตรชายหนีมายังเอนดอร์และตั้งอาณาจักรแห่ง กอนดอร์ และ อาร์นอร์ ต่อมาไม่นานเซารอนเรืองอำนาจขึ้นอีก แต่เอลฟ์ร่วมมือกับมนุษย์ขึ้นเป็น กองทัพแห่งพันธมิตรครั้งสุดท้าย และเอาชนะเขาในที่สุด อิซิลดัวร์ยึดแหวนเอกของเขามาได้ แต่ไม่ได้ทำลาย

    ยุคที่สาม


    ยุคที่สาม เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองและความตกต่ำของอาณาจักร์อาร์นอร์และกอนดอร์ ในสมัยของ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ เซารอนได้สร้างกำลังอันแข็งแกร่งขึ้น และได้ค้นหาแหวนเอก เขาพบว่าแหวนนั้นตกเป็นของฮอบบิทคนหนึ่ง จึงได้ส่ง ภูตแหวน เก้าตนเพื่อชิงแหวนคืนมา ผู้ถือแหวนคือ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ได้เดินทางไปยัง ริเวนเดลล์ ที่ซึ่งตัดสินว่าแหวนวงนั้นต้องถูกทำลายด้วยวิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ โยนมันลงไปในเปลวไฟแห่ง เมาท์ดูม โฟรโดจึงเริ่มเดินทางเพื่อภารกิจดังกล่าวกับเพื่อนร่วมทางอีกแปดคน เป็น คณะพันธมิตรแห่งแหวน ในช่วงสุดท้ายเขาทำลายแหวนไม่สำเร็จ แต่ด้วยการขัดขวางของสัตว์ประหลาด กอลลัม ผู้ที่รอดตายด้วยความสงสารของโฟรโดและ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ แหวนจึงถูกทำลายในทีสุด โฟรโดกับเพื่อนของเขา แซม แกมจี ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เซารอนถูกทำลายชั่วกัลป์และจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป

    จุดจบของยุคที่สามเป็นจุดจบของยุครุ่งโรจน์ของพวกเอลฟ์ และเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของมนุษย์ มนุษย์ เมื่อยุคที่สี่เริ่ม ต้น เอลฟ์จำนวนมากที่ยังอยู่ในมิดเดิลเอิร์ธได้จากไปสู่วาลินอร์และไม่หวนกลับ และพวกที่เหลือก็ "ร่วงโรย" และลดจำนวนลง พวกคนแคระก็ลดจำนวนลงไปในที่สุดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขากลับมาอยู่ในมอเรียจำนวนมากและสร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง สันติภาพกลับมาระหว่างกอนดอร์และดินแดนทางใต้และตะวันออก ในที่สุดเรื่องราวของยุคแรก ๆ ก็กลายเป็นตำนาน และความจริงเบื้องหลังตำนานเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไป

    ภาษาและชาติพันธุ์ต่าง ๆ

    โทลคีนได้ประดิษฐ์ภาษาเอลฟ์ขึ้นสองภาษาหลัก ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม เควนยา ใช้พูดกันโดยชาว วันยาร์ โนลดอร์ และ เทเลริ บางส่วน กับภาษาซินดาริน ที่ใช้พูดกันในหมู่ชาวซินดาร์ คือเอลฟ์ที่อาศัยในเบเลริอันด์ (ดูด้านล่าง) ภาษาทั้งสองมีรากมาจากแหล่งเดียวกัน คือจาก คอมมอนเอลดาริน อันเป็นภาษาโบราณที่ประดิษฐ์ไว้อย่างสมจริงที่สุด โทลคีนเปรียบเทียบเควนยาเหมือนภาษา ละติน ขณะที่ซินดารินเป็นเหมือนภาษาพูดทั่วไป

    ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้ในโลก ได้แก่

    วัฒนธรรม

    มิดเดิลเอิร์ธเป็นบ้านสำหรับสายพันธุ์ที่มีภูมิปัญญาต่าง ๆ กันหลายเผ่า เผ่าแรกคือไอนัวร์ ซึ่งกำเนิดขึ้นจากมหาเทพอิลูวาทาร์ ไอนัวร์ได้ร้องเพลงถวายอิลูวาทาร์ ผู้สร้างเออา เพื่อการมีอยู่ของบทเพลงในตำนานการสร้างเอกภพที่เรียกว่า ไอนูลินดาเล หรือ "บทเพลงแห่งไอนัวร์" ไอนัวร์บางตนได้เข้าสู่เออา และพวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่า วาลาร์ เมลคอร์ (ต่อมาเรียกว่า มอร์กอธ) หัวหน้าของปีศาจร้ายในเออา ก็เป็นหนึ่งในวาลาร์ในตอนแรก

    ไอนัวร์อื่นที่เข้ามาในเออา เรียกว่า ไมอาร์ ในยุคแรกนั้น ไมอาที่ปรากฏชื่อมากที่สุดคือเมลิอัน ชายาของกษัตริย์พราย ธิงโกล ในยุคที่สามระหว่าง สงครามแหวน ไมอาร์ห้าตนถูกสร้างร่างขึ้นและส่งไปยังเอนดอร์เพื่อช่วยเหลืออิสรชนล้มล้างเซารอน ไมอาร์เหล่านั้นคืออิสทาริ (หรือ Wise Ones) (มนุษย์เรียกว่า พ่อมด) ได้แก่ แกนดัล์ฟ, ซารูมาน, ราดากัสต์, อลาทาร์ และ พัลลันโด ยังมีไมอาร์ฝ่ายร้ายหรือฝ่ายมืด เรียกว่า อูไมอาร์ เช่น บัลร็อก และจอมมารคนที่สองคือ เซารอน

    ต่อมาจึงมีบุตรแห่งอิลูวาทาร์ คือ เอลฟ์และมนุษย์ อันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่สร้างโดยอิลูวาทาร์เพียงผู้เดียว ซิลมาริลลิออน ได้เล่าถึงวิธีที่เอลฟ์และมนุษย์ตื่นและกระจายตัวไปทั่วโลก คนแคระนั้นเล่าว่าลอบสร้างโดยวาลาชื่อว่าอาวเล เมื่ออิลูวาทาร์ทราบเรื่อง เขาก็เสนอว่าจะทำลายพวกคนแคระเสีย อิลูวาทาร์ได้ให้อภัยความผิดของอาวเลและรับเผ่าคนแคระเป็นบุตรบุญธรรม ส่วนกลุ่มมนุษย์สามกลุ่มที่เป็นพันธมิตรซึ่งกันและกันรวมทั้งกับเอลฟ์แห่ง เบเลริอันด์ในยุคแรกเรียกว่า ชาวเอไดน์

    เพื่อตอบแทนความภักดีและความทรมานจาก สงครามแห่งเบเลริอันด์ ผู้สืบสกุลแห่งเอไดน์ จึงได้รับเกาะแห่ง นูเมนอร์ เป็นบ้านของพวกเขา แต่ดังที่ได้อธิบายในส่วนของ ประวัติศาสตร์ของมิดเดิ้ลเอิร์ธ แล้วนั้น นูเมนอร์ได้ถูกทำลายและชาวนูเมนอร์ส่วนที่เหลือได้สร้างอาณาจักรทางดินแดน ตอนเหนือของเอนดอร์ พวกที่ยังคงเชื่อในวาลาร์ได้ตั้งอาณาจักรแห่งอาร์นอร์และกอนดอร์ พวกเขาเป็นที่รู้จักในนาม ดูเนไดน์ (Dúnedain) ในขณะที่ชาวนูเมนอร์ที่เหลือรอดอื่น ๆ ยังคงบูชาปีศาจแต่อยู่ไกลออกไปทางใต้ รู้จักในชื่อ ชาวนูเมนอร์ดำ

    โทลคีนนับฮอบบิทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แยกสาขาออกมาจากเผ่ามนุษย์ แม้ว่าจุดกำเนิดและประวัติศาสตร์โบราณของพวกเขาจะไม่ปรากฏ แต่โทลคีนถือว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ ลุ่มแม่น้ำอันดูอิน ในตอนต้นยุคที่สาม แต่หลังจากหลายพันปีฮอบบิทเริ่มอพยพข้ามเทือกเขามิสตี้เข้าสู่ เอเรียดอร์ ท้ายที่สุดฮอบบิทจำนวนมากอาศัยอยู่ที่ แคว้นไชร์

    หลังจากที่พวกคนแคระได้รับชีวิตจริง ๆ จากอิลูวาทาร์แล้ว ผู้สร้างคนแคระคือ อาวเล ได้ทำให้พวกเขาหลับใหลในแถบภูเขาที่ถูกซ่อนไว้ อิลูวาทาร์ได้ปลุกพวกคนแคระหลังจากที่พวกเอลฟ์ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว คนแคระได้กระจายไปตามเอนดอร์ตอนเหนือและตั้งอาณาจักรทั้งสิ้นเจ็ดอาณาจักร สองอาณาจักร คือ โนกร็อด และ เบเลกอสต์ เป็นเพื่อนกับเอลฟ์แห่งเบเลริอันด์ในการต้านมอร์กอธในยุคแรก อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนแคระคือ คาซัดดูม ต่อมารู้จักในชื่อ มอเรีย

    เอนท์ ผู้พิทักษ์ต้นไม้ ถูกสร้างโดยอิลูวาทาร์เนื่องจากคำขอร้องของวาลานาม ยาวันนา เพื่อปกป้องต้นไม้จากการรื้อถอนของเอลฟ์ คนแคระและมนุษย์

    ออร์ค และ โทรลล์ เป็นสัตว์ปีศาจซึ่งถูกเพาะพันธุ์โดยมอร์กอธ พวกมันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นแต่แรก แต่เป็นการเลียนแบบบุตรของอิลูวาทาร์และเอนท์ เพราะมีเพียงอิลูวาทาร์เท่านั้นที่สามารถให้กำเนิดสิ่งต่าง ๆ ได้ ต้นกำเนิดของออร์คและโทรลล์นั้นไม่ชัดเจนนัก (โทลคีนพิจารณาความเป็นไปได้หลายอย่างและมักเปลี่ยนความคิดอยู่บ่อย ๆ) ดูเหมือนว่าที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือว่าออร์คถูกเลี้ยงให้กลายเป็นสิ่ง ชั่วร้ายมาจากเอลฟ์หรือมนุษย์หรือทั้งคู่ ต่อมาในยุคที่สาม พวกอุรุก หรือ อุรุก-ไฮ ได้ปรากฏขึ้น โดยเป็นเผ่าพันธุ์ของออร์คที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งโดยไม่เจ็บปวดเมื่อมี แสงอาทิตย์ในขณะที่ออร์คทั่วไปเป็น (บางคนถือว่าในปลายยุคที่สาม อุรุกจะเรียกว่าเป็น อุรุก-ไฮ เฉพาะพวกที่ทำงานให้ซารูมานเท่านั้น) ซารูมานผสมพันธุ์ออร์คและมนุษย์เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง "Men-orcs" และ "Orc-men" ต่อมาบางพวกเหล่านั้นเรียกว่า "half-orcs" หรือ "goblin-men" (ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับว่าอุรุก-ไฮของซารูมานเป็นพวกเหล่านี้หรือไม่ หนังสือไม่ได้มีคำใบ้ของ "pod grown" ที่อุรุก-ไฮถูกพรรณาใน ภาพยนตร์ไตรภาค ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน เมื่อไม่นานมานี้ - แม้ว่าแนวคิดของแจ็คสันจะได้รับแรงบันดาลใจจากการอ้างอิงของแกนดัล์ฟ ใน อภินิหารแหวนครองพิภพ ว่า "ออร์คทั้งหลายต่างเคย spawned" [emph. added].) โทรลล์พบเห็นน้อยมาก (และไม่ค่อยบรรยายนักโดยโทลคีน) สิ่งมีชีวิตที่โง่ พูดจาหยาบคายและโหดร้าย ถ้าพวกมันสัมผัสแสงแดด มันจะกลายเป็นหิน ในเรื่อง เดอะฮอบบิท โทรลล์สามตัวได้จับบิลโบและเพื่อนคนแคระของเขา รวมทั้งวางแผนจะกินพวกเขาด้วย

    ดูเหมือนว่าสัตว์ทรงปัญญาจะปรากฏในเรื่องด้วย ตัวอย่างเช่น โธรอนดอร์ นกอินทรี, ฮูอัน สุนัขไล่เนื้อขนาดใหญ่จาก วาลินอร์ และพวก วาร์ก นกอินทรีถูกสร้างขึ้นโดยอิลูวาทาร์คู่กับเอนท์ แต่จุดกำเนิดของสัตว์เหล่านี้โดยทั่วไปและธรรมชาติของพวกมันไม่ชัดเจนนัก บางตัวอาจเป็นไมอาร์ในรูปของสัตว์ หรือบางครั้งอาจเป็นแม้กระทั่งลูกหลานของไมอาร์หรือสัตว์ธรรมดาก็ได้ แมงมุมยักษ์เช่น ชีล็อบ สืบเชื้อสายมาจากแมงมุมธรรมดากับ อุงโกลิอันท์ ซึ่งน่าจะเป็นไอนูตนหนึ่ง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×