คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สองวิญญาณ (100%)
น้ำนิ่ง พี่ชายน้ำอุ่น คำพูดที่อยู่ในใจเสมอ น้ำอุ่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตผม
ปาด ซ้าย
ปาดขวา
ตามด้วย ดริฟท์ หนึ่งที่
70กม./ชม.
90กม./ชม.
และกำลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผมมองไปที่ ตัวบ่งบอกความเร็วรถที่เรากำลังนั่งอยู่ ก็พบว่าถ้าเกิดว่าเราถูกตำรวจจับ ข้อหาขับรถเร็ว จะไม่แปลกใจเลย ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในรถด้วยกันหมดทั้งบ้าน โดยมีพี่เอนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ ผมนั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนพี่บีกับซี นั่งอยู่เบาะหลังกำลังนั่งเอามือกุมกันและกันไว้ นั่งรถพี่เอมาก็หลายปี แต่ทำไมไม่ชินก็ไม่รู้ เรากำลังจะไปเยี่ยมน้ำอุ่นที่โรงพยาบาล แต่ผมว่าไม่แน่ เราอาจจะไม่ได้เยี่ยมอย่างเดียว ถ้าพี่เอยังขับรถแบบนี้ สักพักก็มีรถมอเตอร์ไซค์ตำรวจคันหนึ่งคันหนึ่งขับแซงเราไป ก่อนจะโบกให้เราจอดข้างทาง เราจึงต้องเบนหัวรถเข้าข้างทาง
“สวัสดีครับ “ตำรวจคนนั้นยกมือทำความเคารพ เขาใส่หมวกกันน็อคสีขาว สวมแว่นดำอันใหญ่
พี่เอ กดกระจกลง ก่อนจะพูด
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ “เธอส่งยิ้มแหยๆไปให้
“ขับรถเร็วนะครับ ขอใบขับขี่ด้วยครับ “ตำรวจคนนั้นก็ทำท่าจะยื่นใบสั่งให้เรา
“คือว่าน้องฉันป่วยหนักน่ะค่ะ ต้องไปโรงพยาบาลด่วน “
“คนไหนครับ” ตำรวจคนนั้นมองหาในรถ
“โอ๊ะนั่น !!” พี่เอชี้ไปข้างหน้าทำเอาทุกคนหันตามก่อนจะทุบ!!! คือแกคงตั้งใจจะทุบท้องน้อยผม
แต่เผอิญต่ำไปหน่อยก็เลย....
คุณตำรวจคนนั้นเมื่อไม่เจออะไรก็หันมาก่อนจะเอ่ย
“น้องผู้ชายใช่ไหมครับหน้าเขียวเชียว งั้นเดี๋ยวผมเปิดทางให้นะครับ “
แต่ก่อนที่จะไป ตำรวจคนนั้นก็ถอดแว่นตาดำออก ให้เห็นใบหน้าที่ดูประหลาดใจ เมื่อมองเห็นหน้าพี่ซี
“คุณอีกแล้ว งั้นเหรอ “
“เอ่อ....คือสวัสดีค่ะ โลกกลมจังเลยนะคะ” พี่ซีทำหน้าแหยงๆพร้อมกับหดคอ
พี่เอทำมองสองคนนี้ไปมา ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ
“สองคนนี้รู้จักกันด้วยงั้นเหรอ “
คุณตำรวจคนนั้นทำท่าจะพูดอะไร แต่ว่าพี่ซีก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ คือ เค้า พยายามจะช่วย คุณตำรวจคนนี้ เค้าจับโจรน่ะพี่เอ “
“ใช่ พยามช่วยจนโจรหนีไปได้ แถมผมยังหัวโนเป็นของแถม แล้วก็โดนย้ายมาฝ่ายจราจรอย่างนี้ไง
ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าพี่ผมไปทำวีรกรรมอะไรไว้ คุณตำรวจคนนั้นถึงเซ็งสุดๆ ทันทีที่เห็นหน้าเธอ
อย่าหาว่า ผมไม่เชื่อใจคนในครอบครัวเลยนะ แต่ผมคิดว่ามันคือเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็น
“ตายแล้ว ยัยซี นี่เราไปช่วยอีท่าไหนกันล่ะเนี่ย “พี่เอหันมาดุพี่ซี ก่อนจะถอดแว่นตาดำอันใหญ่ ให้เห็นใบหน้าเต็มๆแล้ว หันไปยกมือไหว้ ขอโทษคุณตำรวจ
“ขอโทษด้วยนะคะคุณตำรวจ ที่น้องฉันทำให้คุณเดือดร้อน “
คุณตำรวจคนนั้นเมื่อเห็นพี่เอเต็มๆ ก็ทำใบสั่งตก พร้อมกับขยับปากแบบไม่มีเสียงที่ผมอ่านได้ว่า
นาง....ฟ้า....
ก่อนจะรู้สึกตัวก้มลงไปเก็บสั่งแล้วพูด
“เอ่อ..คือ...มะ..ไม่เป็นไรครับ...”
“เอ่อ คุณตำรวจคะ รถข้างหลังเราติดมากเลยนะคะ “ พี่บีที่เงียบอยู่นานเอ่ยปาก
ผมหันไปมองตาม ก็พบว่ารถข้างหลังเราติดกันเป็นแพยาวเหยียด คาดว่าเราคงโดนด่าไปหลายรอบแล้วล่ะ
“เชิญไปได้เลยครับ “ คุณตำรวจขยับเปิดทางให้รถออกตัวโดยที่คุณตำรวจยังคงมองรถเรา จนลับสายตา
หลังจากที่เราห่างจากคุณตำรวจคนนั้นพอสมควรแล้ว พี่บีก็ชะโงกหน้าขึ้นมาถาม
"โหย เจ๊เอ เสน่ห์แรงอะ ดูดิ ตาตำรวจนั่นมองตาค้างเลย "
พี่เอเอามือป้องปากเล็กน้อย ก่อนจะพูด
"แหม...อะนะ ก็คนมันงามนี่นะ ช่วยไม่ได้นะเจ้าคะ โฮะๆ "
"แหมพี่เอไม่ค่อยเลยนะ "พี่บีทำหน้าแหยงๆใส่
" นี่ๆ เจ๊มีอะไรจะอวดเว้ย "เธอล้วงไปในกระเป๋า ก่อนจะหยิบเครื่องประดับแปลกๆขึ้นมา เจ้านั่นมันหน้าตาเหมือนสร้อยคอน้ำอุ่นเลยนี่นา เพียงแต่ว่าของน้ำอุ่นเป็นสีแดง แต่ของพี่เอ เป็นสีน้ำตาล
"อะไรน่ะพี่เอ " พี่ซีชะโงกหน้าด้วยความแปลกใจก่อนจะรับมาดู
"เครื่องรางน่ะ เจ๊ซื้อมาจากร้านหมอดูที่ห้างxxx น้องคนขายเค้าบอกว่า จะทำให้ความปราถนาเป็นจริง"
"จริงเหรอ ใช่ร้านดวงชะตารึเปล่าพี่เอ" พี่ซีถามด้วยความแปลกใจ
"เออใช่ ทำไมเหรอ " เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
"ซีก็ไปซื้อมาจากร้านนั้น "พูดเสร็จ พี่ซีก็หยิบของเธอออกมา เพียงแต่ว่าของเธอเป็นสีเขียวน่าตารูปร่างเหมือนกันทุกอย่าง
พี่บีทำสุ้มเสียงตื่นเต้น
"ไม่อยากจะบอกเลย ว่าเค้าก็มี....แถ่มแถ้ม นี่!!! " พี่บีหยิบของเธอออกมาบ้าง ของเธอเป็นสีฟ้า
ก่อนที่สามสาวจะหันมามองผมพร้อมกัน ด้วยสายตาที่คาดหวัง ครั้งสุดท้ายที่พวกนี้สามัคคีกัน ที่ผมจำได้ก็คือ เมื่อสมัยผมเด็กๆ ตอนนั้นพี่เอได้ชุดผู้หญิงที่ติดมาจากกองถ่าย ส่วนพี่บีก็พึ่งจะเสร็จจากการออกแบบทรงผมแต่หาคนลองไม่ได้ ส่วนพี่ซีก็ได้วิกผมมาจากชมรมนาฎศิลป์ แล้วทุกคนบังเอิญดูละครที่พี่เอเล่น แล้วตกหลุมรักน้องสาวพระเอกในเรื่อง พี่บีก็เลยอยากมีน้องสาว ความซวยก็เลยตกมาที่ผมน่ะสิ ผมโดนแต่งตัวและจับถ่ายรูป (เป็นผู้หญิง) โดยที่ผมขัดขืนไม่ได้ เพราะไม่งั้นผมจะโดนพี่บีแฉ เรื่องที่ผมแอบชอบเด็กประถมที่อายุมากกว่า ไปทั้งหมู่บ้าน และพี่เอขู่ว่าตอนไปส่งผม จะบอกเพื่อนๆที่โรงเรียน ส่วนพี่ซีน่ะเหรอ อืม...ก็อาสาจะช่วยเรื่องเด็กผู้หญิงคนนั้น (อันนี้ล่ะที่ผมกลัวสุด)
"อ....อะไร " ผมอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความหวาดระแวง
"ไอ้หมาแกมีรึเปล่า " พี่บีถาม
"ผมเป็นผู้ชายนะ ผมไม่เชื่อของพวกนี้หรอก "
" โธ่เอ๋ย...เซ็งเลย นึกว่าน้องชายฉันจะทำอะไรน่ารักๆ ซะอีก " พี่เอทำปากจู๋แบบเซ็งๆ
"ไอ้พวกไม่มีจินตนาการ " พี่บีเก็บสร้อยเข้ากระเป๋า
"ชีวิตขึ้นอยู่กับความหวังนะจ๊ะ "พี่ซี ทำท่าเหมือนเวทนาผม
.
และแล้วเราก็มาถึงโรงพยาบาล ที่ผมอยากให้มันใช้เวลานานกว่านี้ แต่คงไม่ได้เพราะพี่เอขับรถ
จะทำยังไงดีนะ ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดในระหว่างทางที่เราไปโรงพยาบาล ผมจะเปิดเผยให้ทุกคนรู้ว่า น้ำไม่ใช่น้ำอุ่นอีกต่อไปแล้ว หรือจะปิดเท่าที่จะปิดได้ ฝันเมื่อคืนก็ยังติดตรึงในใจของผมอยู่ เรื่องในฝันมันทั้งเศร้าและมันแปลกจนผมรู้สึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบางอย่าง ในระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ
"ไอ้หมาแกจะเดินไปไหน " เสียงพี่บีทักผมเมื่อผมเดินเลยประตูที่ห้องที่น้ำอุ่นพักฟื้นอยู่
ใจลอยไปหน่อยแฮะมือของผมจับค้างที่ลูกบิด ...อยู่อย่างนั้น
ผมเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเธอกำลังนั่งครึ่งตัวอยู่บนเตียง แสงสีทองกำลังสาดส่องเข้ามาในห้อง ทำให้ภาพที่อยู่ตรงหน้าเหมือนอยู่ในความฝัน เมื่อเธอมองเห็นเรา รอยยิ้มน้อยๆก็ถูกระบายออกมา
รอยยิ้มที่ดูคุ้นเคย
"สวัสดีค่ะ พวกพี่มาได้ไงคะ "
"สวัสดีจ้าน้องสาว เป็นไงมั่ง" เจ๊เอ เดินเข้าไปหาเป็นคนแรก
" ก็มึนๆนิดหน่อยน่ะค่ะ " เธอตอบกลับมา
ทำไมไอ้หมอนั่น เล่นเป็นน้ำอุ่นได้เหมือนขนาดนี้นะ เหมือนซะจน ผมคิดว่าไม่ใช่ไอ้เจ้าแบร์
ดูเหมือนว่าผมจะจ้องหน้าเธอนานไปหน่อย จนเธอรู้ตัว
"พี่ดีคะมีอะไรรึเปล่าคะ "
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่แววตาของเธอ ทำไมดูเศร้าสร้อยแบบนี้นะ
" อ๋อ... เปล่า เอ่อ.. คือ... ไม่มีอะไรหรอก "ทำไมผมถึงได้ตะกุกตะกัก แบบนี้ล่ะ
พี่บีกระแทกศอกที่สีข้างผม
" เฮ้ย...เป็นอะไรไป เขินรึไงยะ "
" นั่นสิ ดีจ๊ะ บอกพวกพี่มาเถอะ "พี่ซีส่งแววตาสงสารสุดหัวใจมาให้
"อะไร พวกพี่พูดอะไรของพี่กันเนี่ย "ผมมองซ้ายมองขวาอย่างไม่เข้าใจ
พี่เอเลิกคิ้ว มองผม ก่อนจะตบหน้าผากตัวเอง
" ตายแล้ว!! น้องฉันไม่รู้จริงๆเหรอเนี่ย "
" อะไร รู้อะไร " ผมมองด้วยความสงสัย
"ดีไม่รู้จริงๆเหรอจ๊ะ " (พี่ซี ส่ายหัว)
"ไอ้ซื่อบื้อ " (พี่บี กลอกตาแบบเซ็งๆ)
"น่ารักจังเลยน้องฉัน เจ๊แพ้ทางหนุ่มซื่อบื้อ ด้วยสิ " (พี่เอ หยิกแก้มผมไปมา)
" พวกพี่พูดถึงเรื่องอะไรกันเนี่ย "ผมลูบแก้มที่โดนหยิกแบบงงๆ
"แกไปถามน้ำอุ่นก็แล้วกัน "พี่บีดันหลังผมเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู แต่ผมว่าต้องแอบฟังแหงๆ
ทันทีที่ผมเข้ามา เธอก็หันมาส่งยิ้มน้อยๆให้ผม
" พี่ดีมีอะไรรึเปล่าคะ"
"เอ่อ....แบร์ เหรอ "
"ใครคะ " เธอเอียงคอด้วยความสงสัย
"อ๋อเปล่าหรอก ไม่มีอะไรหรอก" ดูเหมือนไอ้เจ้านั่นจะออกจากร่างของน้ำอุ่นไปแล้ว ถึงผมจะไม่รู้สาเหตุก็เถอะ
แต่แล้วคำบางคำที่ทำให้ผมตัวชา ก็ออกมาจากปากของเธอ
"ถ้าพี่ดีหมายถึงผู้ชายนั้นล่ะก็ เค้าอยู่ตรงนี้ค่ะ " เธอเอามือทาบหน้าอกตัวเอง ตรงตำแหน่งของหัวใจ
"น้ำอุ่นหมายความว่าไง " นานพอดูกว่าคำพูดของผมจะออกจากปาก
"น้ำอุ่นรู้เรื่องทุกอย่างค่ะ ทั้งเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นที่อยู่ในตัวน้ำอุ่น และเรื่อง" เธอหยุดพูดไปพักหนึ่ง
"ที่น้ำอุ่นเป็นได้แค่.... ชะ...ช่างมันเถอะค่ะ " เธอพยามเช็ดน้ำตา ที่ผมไม่รู้สาเหตุของเจ้าสิ่งนี้
" น้ำอุ่นเป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม " ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นคนร่างบางที่อยู่ตรงหน้าโศกเศร้า ใจผมกลับเจ็บปวดไปด้วย
ผมเดินเข้าไปใกล้เธอและทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงสีขาว นิ้วโป้งของผมถูกใช้เพื่อเช็ดหยดน้ำ ที่ไหลออกมา ยามเมื่อเวลาคนเราเสียใจ
"พี่ดีคะ อย่าทำแบบนี้อีกเลย " เธอแตะที่ข้อมือผมเบาๆ เชิงห้าม ขนตางอนยาวชุ่มฉ่ำและเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
"พี่ทำอะไรผิด งั้นเหรอ "แรงกดหนักๆ ในอกเกิดขึ้น บางอย่างแล่นจุกมาตามคอหอย
เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้น้องสาวตัวน้อยเสียใจ
"พี่ไม่รู้จริงๆ เหรอคะ " เธอหันมาสบตาผม มือเล็กบางจับเบาๆที่ข้างแก้มผม
ไม่ทันที่ผมตอบเธอ
ไม่ทันที่ผมจะทำอะไรทั้งนั้น
มันบางเบาจนผมแทบไม่รู้สึก
มีเพียง รอยกดเนิ่นนานที่ข้างแก้ม ใกล้ริมฝีปาก
บ่งบอกให้ผมรู้ว่านี่คือ รอยจูบแสนแผ่วเบา ที่มาแทนคำตอบ
"ทีนี้ พี่รู้รึยังคะ "
...........................................
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน น้ำอุ่นใช้เวลาไม่นานนักก็แข็งแรงดีจนออกจากโรงพยาบาลได้ เธอไม่เคยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องผู้ป่วยอีกเลย กลับเป็นผมเสียอีกที่รู้สึกแปลกๆ เวลาที่เข้าใกล้เธอ แบร์เองก็ไม่เคยมาปรากฎตัวในร่างน้ำอุ่น
หรือว่าที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงแค่
ความฝัน
มือของผมแตะจุดตรงที่ถูกสัมผัสใกล้ริมฝีปาก
"พี่ดีคะ น้ำอุ่นหิวแล้ว ไปหาอะไรทานกันเถอะค่ะ " ริมฝีปากสีชพูของเธอส่งยิ้มมาให้
ตอนนี้เรากำลังอยู่ที่แหล่งร้านค้าใกล้โรงเรียน ใบไม้ร่วงหล่นลงตามทางเดิน ลมแรงพัดพาเอาอากาศร้อนให้ จางหายไป ใบไม้ใบเล็กติดอยู่บนหัวของคนข้างตัว มันคงถูกสายลมพัดมา
"น้ำอุ่น "
"คะ "เธอหันมามองผม ด้วยแววตาสงสัย
"อยู่เฉยๆนะ" ผมพยายามเอามือหยิบใบไม้ที่ติดอยู่บนหัวเธอออกให้
ทันทีที่มือผมเข้าใกล้ เธอกลับปัดมันออกทันที
ดูเหมือนเช่นเดียวกับผม เธอตกใจในกริยาของตัวเอง
" น้ำอุ่นขอโทษนะคะ "
"ไม่เป็นอะไรหรอก "ผมยิ้มให้เธอน้อยๆ" มีใบไม้ติดอยู่บนหัวน่ะ "
"เอ่อ...พี่ดีคะหยิบออกให้น้ำอุ่นให้หน่อย " เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ " ได้ รึเปล่าคะ "
ผมส่งยิ้มให้ก่อนจะหยิบออกให้เธอ ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้เธอเร็วเกินไป เธอจะมีปฏิกริยาถอยห่างเช่นนี้ ผมอยากให้ตัวเองอ่านใจผู้คนได้จริงๆ เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ
ก่อน เพราะมันคงดูแปลกๆถ้าผู้ชายจะไปยืนอยู่ในที่แบบนั้น
ขณะที่ผมรอเธออยู่นั้น
"ไงไอ้หมา...แกมาทำอะไรแถวนี้วะ " ผมหันไปดูก็พบ ยัยแก้วกำลังยักคิ้วให้ผม แขนข้างหนึ่งกำลังควงน้องเฟย์
สาวสวยประจำโรงเรียน ที่ทำให้หนุ่มๆทั้งโรงเรียนกัดผ้าเช็ดหน้าด้วยความอิจฉา
"รอคนน่ะ "
"ใครวะ แฟนเหรอ " ยัยนั่นเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
"น้ำอุ่นน่ะ "
"เหรอ.....ว่าแต่แกกับน้ำอุ่นมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า " ผมเห็นเธอแอบกำมือแน่น คล้ายๆกับอาการของคนเราเวลาลุ้นอะไรสักอย่าง หึ ขนาดคนของตัวเองอยู่ข้างๆแท้ๆ
" เปล่าหรอก ก็ปกติดีนี่ ทำไมเหรอ " ผมอดไม่ได้ที่มองด้วยความสงสัย
"อ๋อ..ก็เปล่าหรอก พักนี้เห็นพวกแกทำแปลกๆ คล้ายกับเคอะเขิน ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนกับแกกับน้ำอุ่นมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างนั้นล่ะ "
"ไอ้เพี้ยน ฉันกับน้ำอุ่นเป็นพี่น้องกันเว้ย " พี่น้องเหรอ ใจผมกระตุกแปลกๆเมื่อนึกถึงคำนี้
ผมเห็น เธอแอบเป่าปากด้วยความโล่งใจก่อนจะพูด
"เหรอ....อย่างแกมีแฟนก็แปลกล่ะนะ "
ไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรยัยทอมนั่น คนข้างตัวเธอ ก็ออดอ้อนขอไปร้านไอศครีมที่เธอกับยัยแก้วนัดกันไว้
ตามด้วยอาการตบปากรับคำของเจ้าตัว เธอบอกลาผมก่อนจะเดินควงแขนกันไปสองคน
ผมบอกลาเธอโดยไม่สนใจอะไร จนกระทั่งผมหันไปมองเธออีกทีด้วยความบังเอิญ พอดีกับที่เธอหันมามองผม
แววตาของเธอบ่งบอก ที่ผมพูดได้คำเดียวว่า เป็นไปไม่ได้
เพราะมันคือแววตาที่บ่งบอก ความ
......โหยหา
อะไรของยัยนั่นกันล่ะเนี่ย
ผมหันไปมองร้านที่น้ำอุ่นไปเลือกซื้อของ ทำไมนานจังแฮะ คุณเชื่อไหมว่าผู้หญิงแรงเยอะกว่าผู้ชาย อ๊ะๆ คิดว่าอ่านผิดล่ะสิหรือไม่ผมก็มั่วละ เอาความคิดนี่มาจากไหน ผมว่าคุณน่ะไม่รู้อะไรเลยผู้หญิงน่ะ แรงมากกว่าผู้ชายเยอะ โดยเฉพาะเวลาที่คุณเธอทั้งหลายชอบปิ้งหรือซื้อของ คุณคงไม่อยากเชื่อในระยะทางที่เดินแล้ววัดได้ แล้วถ้าเจออักษรแดงๆตัวภาษาอังกฤษต่อไปนี้ s-a-l-e เชื่อผมเถอะ ทั้งวันไม่ต้องไปไหนหรอก
ขณะที่ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น
ปับ!! หัวไหล่ผมโดนจับ อารามตกใจผมจึงหันมาอย่างรวดเร็ว แล้วขาผมก็ขัดกับอะไรบางอย่างจนทำให้ผมล้มลง
จากนั้นผมก็ล้มทับลงบนอะไรบางอย่างที่นิ่มๆและพบว่า ผมกำลังมอง ดวงตาโตสีน้ำตาลคุ้นตา ที่โตกว่าปกติเพราะตกใจและ เขินอาย...เดี๋ยวก่อนนะ เขินอายเหรอ พอผมปรับโฟกัสสายตาได้แล้วผมก็พบว่าผมกำลังมอง....กางเกงในลายหมีสีชมพู เพราะกระโปรงถูกเลิกขึ้นมาด้วยอุบัติเหตุ เอ๊ย!!ไม่ใช่ผมกำลังมอง
"อ๋อ...เอ่อ..ขอโทษที " ผมเกาหัวแก้เขิน
"จะเขินทำบ้าอะไร คนที่ควรอายควรเป็นฉันต่างหาก " ยัยแก้วปัดเนื้อปัดตัว ด้วยสีหน้าเซ็งๆ แก้มของเธอยังแดงๆอยู่เลย ก็นะ เล่นโชว์ให้ชาวประชาดูซะขนาดนั้นเป็นใคร ก็อายทั้งนั้นล่ะ
เธอยื่นบางอย่างมาให้ผม มันคือสร้อยคอสีแดง.. น้ำอุ่นเคยทำตกที่ร้านในวันที่เกิดเรื่องนี่นา
"นี่มัน " ผมรับมันมาพิจารณาดู มันมีอัญมณีหรือหินบางอย่างที่ถูฏขัดจนเรียบลืนเมื่อสัมผัสดูจะรู้สึกถึงความเย็นแม้ว่าตอนนี้อากาศจะค่อนข้างร้อนก็ตาม ขอบของมันล้อมไว้โลหะที่แกะเป็นลวดลาย อืมถ้าผมมองไม่ผิดน่าจะเป็นเปลวไฟนะ
"ไอ้นี่มัน "
"เออ สร้อยคอของน้องแก ว่าจะเอาให้หลายหนละ ลืมทุกที " เธอยื่นให้เสร็จก็ทำท่าจะหมุนตัวหันหลังกลับ
"ไอ้สร้อยมันมีดียังไง นะ " ผมบ่นลอยๆมากกว่าจะเอาคำตอบเป็นจริงเป็นจัง เพราะผมเห็น เจ๊ๆที่บ้านก็มีไอ้สร้อยนี่แค่คนละสีแค่นั้นเอง
" มันจะทำให้ ความปราถนาเป็นจริง แต่แค่ทีล่ะคนเท่านั้น ถ้าตราบใดที่คนที่อธิษฐาน กับสร้อยนี้ยังไม่สมปราถนา สร้อยก็จะไม่บันดาล ให้คนอื่น "เธอตอบเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
"งั้นเหรอ " ผมยกสร้อยขึ้นมาสะท้อน แสงไฟดู
"พี่ดีคะ " เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมต้องหันไปดู น้ำอุ่นที่ดูเหมือนจะจัดการเรื่องของเธอเรียบร้อยแล้ว มายืนอยู่ด้านหลังผม พอผมหันกลับมายัยแก้วก็เดินเลยไปไกลแล้ว
"พี่ดีคะ" น้ำอุ่นเรียกผมซ้ำสอง ทำให้ผมรู้สึกตัว
"หา...อืมว่าไง " ในมือของเธอว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเลย
"ไม่เจอ ของที่ถูกใจเหรอ "
"น้ำอุ่นว่าเราไปกันเถอะค่ะ " แววตาของเธอดฉายความหวาดกลัวออกมาด้วย
ผมได้แต่สงสัย แต่ก็พบสาเหตุว่าทำไม มีผู้ชายกลุ่มใหญ่ท่าทางนักเลงเดินตามหลังเธอมา สายตาของพวกมันบ่งบอกได้คำเดียว ว่าคงไม่ได้คิดเรื่องอะไรอื่นเลย นอกจากเรื่องที่ต่ำๆ
"น้องอย่าไปกับไอ้กระเทยนี่เลยไปกับพวกเราดีกว่า " เสียงโห่ฮารับเป็นลูกคู่เมื่อหนึ่งในพวกมันเอ่ยแซว
ผมไม่สนเพราะถือซะว่าหมาเห่า ถ้ามันไม่ทำบางอย่าง
พวกมันคนหนึ่งถือโอกาศที่ไม่ระวังจับแขนน้ำอุ่น ดึงเข้าไปหาพวกมัน
"พี่ดี..." น้ำเสียงสั่นเทาและหวาดกลัว ขอความช่วยเหลือ ออกมาจากปากของเธอ
"ปล่อยน้องกูนะ" ผมซัดหมัดลุ่นเข้าที่ปลายคางของพวกมันคนหนึ่งก่อนจะเตะข้อพับเข้าที่อีกคนที่พุ่งเข้ามาหา
ก่อนจะเบี่ยงหลบหมัดที่พุ่งเข้ามา
"โครม!!! เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งถูกฟาดเข้าที่หลังผมเต็มๆ
"เก่งนักเหรอมึง "
พวกมันประเคนเท้าและหมัดเข้ามาหาผมอย่าง ไม่ยั้งเมื่อผมล้มลง เลือดที่มาจากไหนไม่รู้เริ่มไหลเข้ามาปิดตา
ผมดึงข้อเท้าคนหนึ่งที่พยามเตาะท้องผมทำให้มันหงายหลังล้มลง ก่อนที่ผมจะกลิ้งตัวหลบเท้าอีกข้างของใครก็ไม่รู้ สายตาผมเริ่มพร่าเลือน และเหนื่อยแทบขาดใจ พวกมันมีเยอะเกินไป ผมเห็นน้ำอุ่นที่มองผมด้วยน้ำตาที่นองหน้า บ้าเอ๊ย!! ผมจะ
ปกป้องเธอให้ได้
แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้น
สายลมวูบใหญ่พัดมา มันรุนแรงจนข้าวของที่วางไว้ ลอยปลิวเหมือนไม่มีน้ำหนัก
น้ำอุ่นที่ถูกจับโดยพวกมันคนหนึ่ง
สายตาของเธอ
ค่อยๆเปลี่ยนไป
จากความหวาดกลัว......เป็น....ความ....แข็งกร้าว
เธอใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างจับนิ้วก้อยของผู้ชายคนนั้นแล้วบิดมันออกก่อนจะใช้สันมือฟาดเข้าที่คอหอย ก่อนจะหยิบขาเก้าอี้ที่กระเด็นมาฟาดเข้าที่ใบหน้าไอ้หมอนั่นเต็มๆ ส่งผลให้ผู้ชายคนนั้นดิ้นเป็นเป็นปลาที่ถูกทุบหัว ไม้ท่อนนั้นถูกพาดวางบนบ่าเธอด้วยท่าทีสบายๆ
"เกลียดนักไอ้พวกอยู่ตัวคนเดียว แล้วไม่กล้าทำอะไรชาวบ้านเนี่ย "
เธอเอาที่ไม้ที่พาดอยู่ชี้หน้าพวกมันที่เหลือ ที่ยืนตกตะลึง ก่อนจะลดไม้ชี้มาทางผม
" ส่วนแก เป็นซุปเปอร์แมนรึไง มีอาวุธทำไมไม่ใช้ " แม้ว่าผมอยากจะเถียงเธอว่ามันมีเวลาซะที่ไหนล่ะ
แต่ทว่าประโยคกลับถูกกลืนลงคอ เพราะคำนี้
"บอกไว้ก่อนนะ ไอ้หมาเนี่ยข้ากระทืบได้คนเดียวโว้ย!! " ไอ้หมาเหรอ คำๆนี้มัน
เธอเอาท่อนไม้ไล่ฟาดพวกมันที่เหลือ ส่งผลให้ผมต้องลุกขึ้นมาช่วยเธอ
...........................................
พลั่ก
ตุบตับ
ไม่นานเท่าไหร่ หลังจากที่พวกมันได้เจอไม้หน้าสาม พวกมันก็แพ้อย่างง่ายดายกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะผมและเธอใช้อาวุธ หรือเป็นเพราะพวกมันห่วย หรือว่าเป็นเพราะผมโง่เองที่ไม่ใช้อาวุธแต่แรก แต่ยังไงก็เถอะคนที่นอนกองอยู่ตรงนี้ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นพวกมัน แค่นี้ก็ดีถมไป
ผมนั่งพักหายใจตรงเก้าอี้ที่มีสามขาตัวหนึ่ง
ผมจ้องมองดูเธอที่เดินตรงไปหาพวกมันที่นอนกองอยู่ โดยไม่ได้ทำอะไร
เธอจะทำอะไรน่ะ
ผัวะ!!!เธอเตะเข้าที่สีข้างของพวกมันคนหนึ่ง ทำให้มันนอนหงาย
เฮ้ย!!
" พวกแกไม่รู้เรอะว่าที่นี่ ถิ่นใคร "
ผมรีบดึงหัวไหล่เธอเอาไว้ ไม่ให้ทำไปมากกว่านี้
"แค่ก พวกแก...ทำอย่างนี้แล้วคิดว่าจะรอดไปได้เหรอ "มันตอบกลับมาทั้งๆที่ยังไออยู่
"แล้วไงวะ ให้มันรู้ซะมั่งที่นี่ถิ่นใคร " เธอทำท่าจะกระทืบซ้ำ เล่นเอาผมดึงตัวเธอไว้แทบไม่อยู่
"หมายถึง ไอ้แบร์กับฟรีสน่ะเรอะ พวกมันน่ะจบเห่แล้ว ไอ้แบร์ก็ลงโลงไปแล้ว อีกไม่นานเจ้าฟรีสก็เหมือนกัน "
มันยิ้มทั้งเลือดกลบปาก
เธอถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ขาของเธอออ่อนยวบ จนผมต้องเข้าไปประคอง
ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวแล้วสลัดผม เข้าไปหาไอ้หมอนั่น
"ใครตายนะ พูดอีกทีซิ " เธอจับคอเสื้อไอ้เจ้านั่นมาเขย่าๆๆ จนผมกลัวว่ามันจะตายไปซะก่อน
"แกไม่รู้ หรือว่าโง่วะ ไอ้แบร์น่ะมันตายไปนานแล้วโว้ย ยุคของนอสการ์ดจบแล้ว "
เหมือนมีใครเอายางลบไปลบบนสีเลือดบนหน้าเธอ
สีฝาดบนใบหน้าที่เคยเปล่งปลั่งอยู่เสมอ จางหายไป ความซีดขาวมาแทนที่ ดวงตาตกตะลึงเหมือนว่าโลกนี้แตกสลายตรงหน้า ทันใดนั้นเอง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด
"แก!!!"
พลั่ก!!
"แกว่าใครตายวะ "
พลั่ก!!
"แกว่าใครนะ
"พอได้แล้ว เดี๋ยวมันตาย "ผมดึงแขนเธอที่ส่งหมัดลุ่นๆเข้ากลางปากจนเจ้านั่นสลบไปอีกรอบ
ก่อนจะพาตัวเธอออกมาจากที่นั่นเมื่อเห็นว่าตำรวจกำลังตรงมาที่เรา
ผมฉุดมือเธอเลี้ยวเข้าออกซอยนั้น ซอยนี้ วิ่งผ่านผู้คนมากมายที่มองเราอย่างสนใจ
จนกระทั่งผู้คนลับตาเราไป ซอยแคบๆที่เต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะมีเพียงเราสองคน
"พอได้แล้ว ไอ้หมา แกจะวิ่งไปถึงไหน "
ผมหยุดมองเธอที่ตอนนี้หอบจนตัวโยน
" เรียกว่าไอ้หมา.....แบร์งั้นเหรอ "
"แล้วแกคิดว่าใครล่ะ "เธอตอบทั้งๆที่ไม่เงยหน้า
"นี่แกยังไม่ไปเกิดงั้นเหรอ " ผมนึกว่ามันออกไปจากร่างน้ำอุ่นไปสู่ที่ชอบๆซะแล้วอีก
...
.......
...........
ความเงียบงันที่น่าอึดอัดบังเกิดขึ้น
"เฮ้ย..เป็นอะ..."ผมพูดได้เพียงแค่นั้นคำพูดหายไปในลำคอ
"ฉันจะตายได้ไง "เธอเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และที่แย่กว่านั้น
เธอกำลังจะร้องไห้
"ดูสิ ฉันยังสัมผัสได้ "เธอจับตามเนื้อตัว "ฉันยังหายใจอยู่ "มือบางอังที่จมูก
ก่อนจะจับหัวไหล่ผมเขย่า
"แกยังมองเห็นฉันใช่ไหม "ศรีษะทุยได้รูปก้มลงไปไม่ให้เห็นหน้าเธอ "ใช่ไหม...... แกตอบฉันที "
น้ำเสียงแผ่วเบาลงทุกที
ผมเงยหน้าขึ้นท้องฟ้าด้วยอยากจะปลอบประโลม แต่จนหนทาง
"ถ้าแกอยากจะร้อง ก็ร้องเถอะ....."ผมจับมือบางเธอขึ้นมาปิดหูตัวเอง
ฉัน...จะปิดหู...จนกว่าแกจะร้องเสร็จ "
"ฉัน...จะ...ร้อง...ได้ไง ฉัน...เป็น....ผู้ชายนะ " เสียงเธอขาดหายไป
"แต่ตอนนี้...แกเป็นผู้หญิง...นะ "
น้ำใสๆเริ่มไหลจากดวงตาข้างหนี่ง
แล้วก็อีกข้างหนึ่ง
"ฮึก....บ้าเอ๊ย..."
แล้วบางสิ่งที่ถูกสะกดกลั้นไว้ก็ออกมา
........................
นานพอดูกว่าที่ความเศร้าจะจางหายไป เสียงร่ำไห้จากเธอเหลือเพียงสะอื้นเบาๆ
"นี่ฉันตายแล้วจริงๆเหรอ "
"เออมั้ง ฉันเองก็ไม่รู้ พอๆกับแกนั่นล่ะ" ผมมองตาเธอที่บวมช้ำและแดงก่ำ
"สบายใจรึยังล่ะ "
มือบางของเธอเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ
"แกห้ามไป บอกใครนะโว้ย ว่าฉันร้องไห้ "
ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
"หึ...ไอ้แบร์หัวหน้าแก๊งค์นอสการ์ด ร้องไห้กับอกฉัน "
ดวงหน้าเธอขึ้นสีทันที
"ไม่ได้ร้องไห้กับอกแกโว้ย "
ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่มองไปที่อกเสื้อตัวเองที่เปียกชื้นจากน้ำตา
แล้วยิ้มเยาะ
"แก!!! "
ผมยกมือห้ามยุติการทะเลาะของเราไว้แค่นี้ก่อน
"ว่าแต่ แก ตกลงเป็นอะไรกันแน่ แกเป็นวิญญาณรึว่าอะไร"
"แววตาของเธอเศร้าหมองลงอีกครั้ง
"ฉันก็ไม่รู้ ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็เหมือนหลับไป แล้วก็ได้ยินเหมือนเสียงใครเรียก ประมาณขอความช่วยเหลือ แล้วฉันก็ตื่น " เธอหันมาสบตาผม "พอลืมตามาอีกที ก็เห็นแกกำลังโดนกระทืบ "
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่รอยยิ้มที่หลังเธอพูดจบมันเหมือนสะใจยังไงก็ไม่รู้
"หมายความว่ายังไงกันนะ "
ผมครุ่นคิดว่าจะมีทางไหนเป็นทางออกในเรื่องนี้ ทันใดนั้นเอง สร้อยคอที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผม ก็ร้อนขึ้นจนผมรู้สึกได้ ผมควักมันออกมาดู แสงสีแดงกำลังส่องประกายออกมาจนแสบตา และตัวสร้อยก็ร้อนจนผมถือต่อไปไม่ไหว มันหลุดจากมือผม และที่สำคัญ ร่างของน้ำอุ่น ก็ส่องแสงด้วย แล้วผมก็เห็นภาพที่เหลือเชื่อ
ภาพ น้ำอุ่น กับ แบร์ กำลังซ้อนอยู่ในร่างเดียวกัน ร่างของแบร์กำลังจางหายไป ร่างน้ำอุ่นก็ชัดเจนขึ้น
ร่างนั้นยกมือ ขึ้น ด้วยความงงงวย ฉับพลันร่างน้ำอุ่นก็กลับเป็นฝ่ายที่จางลง แบร์กลับชัดเจนขึ้น
" นี่มันอะไรเนี่ย " เสียงทั้งสองซ้อนกันอยู่ในเสียงเดียว แล้วทุกอย่างก็หยุดลง
ร่างของเธอทรุดลง ผมต้องเข้าไปรับร่างเธอเอาไว้ก่อนที่จะล้มลง
"เฮ้ยเป็นไงบ้าง " ผมเขย่าๆตัวเธอ
"พี่ดี....." เธอเงยหน้าขึ้นมามองผม ก่อนจะสลบไป เธอกลับมาเป็นน้ำอุ่นอีกครั้ง
หรือว่าสร้อยคอนี่จะเป็นกุญแจของทุกอย่าง ผมว่า ผมกับยัยแก้วต้องคุยกันเรื่องสร้อยคอซะแล้ว
ว่าแต่ ผมจะทำไงกับน้ำอุ่นดีล่ะเนี่ย
ผมมองดูร่างบอบบางที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมอก ผมว่าเอาเธอไปส่งบ้านก่อนจะดีกว่า คิดได้อย่างนั้นผมก็พาน้ำอุ่นที่สลบ โบกแท็กซี่พาเธอไปส่งบ้าน ระหว่างที่ผมนั่งรถแท็กซี่ ผมหยิบสร้อยคอของเธอขึ้นมาดู ก่อนจะยกขึ้นส่องกับแสงไฟ....ผมพบว่าสร้อยคอนี้ มีสัญลักษณ์ รูปบางอย่างเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ถ้าผมมองดูไม่ผิด มันคือ ดิน น้ำ ลมและอันที่อยู่ยอดบนสุดมันคือ สัญลักษณ์รูปไฟ
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ท่ามกลางรถที่ติดขนัดอันเป็นปกติของเมืองหลวง
ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีส้มก็กลับเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนในทีสุดมันก็กลายเป็นสีดำ
ปึก..!! เสียงทึบๆเกิดขึ้นเมื่อน้ำอุ่นหัวโขกกับกระจก อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จนผมต้องดึงเธอไว้ในอ้อมแขน
ผมเฝ้ามองดูคนร่างกายบอบบาง ที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ขนตาที่งอนยาวกำลังปิดสนิท ทำให้ไม่เห็นดวงตาที่กลมโตของเธอ ความรู้สึกแปลกๆเริ่มเกิดขึ้น ให้ตายเถอะทำไมผมถึงได้อยากอยู่ตรงนี้นานๆนะ
ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในอกมันคืออะไร
ว่าแต่
ผมจะแก้ตัวกับ พี่นำนิ่งยังไงกันล่ะเนี่ย พี่นำนิ่งต้องถามแน่ๆ ไม่นับรอยแผล ที่ทันทีที่ขึ้นแท็กซี่ก็ได้รับคำถามทันที
ว่า "ไปโรงพยาบาลไหนครับ " พอผมบอกจุดหมายปลายทาง คนขับก็มองผมด้วยความสงสัยแต่พอผมบอกว่าบ้านตัวเอง คนขับถึงได้เลิกมอง
ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าร่างกายในอ้อมแขนของตัวเองมีการขยับ
" อือ....พี่ดี " ร่างกายนุ่มนิ่มเบียดเข้าหาผม
"น้ำอุ่น "ผมเขย่าเธอให้ตื่น
"อือ.." เธอลืมตาอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะค่อยๆเบิกกว้างขึ้น แล้วสีซับเลือดก็ขึ้นที่ข้างแก้ม เธอกระเด้งร่างกาย
ออกห่างจากผมทันที
"น้ำอุ่น เอ่อ....ข..ขะขอโทษนะคะ คือน้ำอุ่นนึกว่าฝัน..เอ๊ย!! น้ำอุ่นไม่ได้ฝันถึงพี่ดีนะคะ " ยิ่งพูด สีชมพูก็ยิ่งขึ้นที่ข้างแก้มขึ้นทุกที
"ผมส่งยิ้มไปให้เธอ แทนคำตอบ
ตึก
ตึก ตึก
บ้าเอ๊ยทำไมใจเต้นแปลกๆแบบนี้นะ
เธอมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นสภาพรอบๆตัว
"ที่นี่ที่ไหน แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ " เธอลูบแก้มที่เต็มไปด้วยบาทแผล ของผม
"เราไม่รู้เหรอ " ผมเห็นทุกทีเธอจะรู้ตัวนี่นาว่าเกิดอะไรขึ้นเวลาสลับร่าง
"ไม่รู้หรอกค่ะ น้ำอุ่นแค่อยากให้ใครช่วย จากนั้นนำอุ่นก็ปวดหัวขึ้นทุกที แล้วพอรู้ตัวอีกทีก็..." เธอเว้นวักไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "มาอยู่ที่นี่แล้วน่ะค่ะ "
ผมมองสร้อยคอที่อยู่ในมือตัวเอง ลางสังหรณ์บางอย่างว่าสร้อยคอ กับเรื่องนี้น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
ไม่นานนักความคิดผมก็ถูกทำลาย
"ให้เลี้ยวไปทางไหนครับ " คนขับแท็กซี่เอ่ยปากถามเมื่อถึงทางแยก
ทันทีที่รถสีเหลืองจอดสนิท และน้ำอุ่นก็ออกไปจากรถโดยที่ผมไม่ลงตามเธอไป
" ไม่ลงเหรอคะ พี่ดี "
"ไม่ดีกว่า พี่ว่าพี่เข้าบ้านเลยจะดีกว่า " พี่นำนิ่งต้องถามผมแน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่อยากให้ใครๆต้องมากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ที่สำคัญ ผมกำลังรู้สึกแปลกๆขึ้นทุกที บางทีการอยู่ห่างๆอาจจะทำอะไรให้ดีขึ้นมาบ้าง
"กริ๊ด!!!!!!!!" เสียงนั่นมันเสียงพี่บีนี่นา ผมวิ่งพรวดไปจากแท๊กซี่ ตามด้วยน้ำอุ่นที่วิ่งตามมาติดๆ
ผมวิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปในบ้านตรงตำแหน่งต้นกำเนิดเสียง
เสียงนั่นเงียบหายไปแล้ว หรือว่าพวกมันจะตามมาถึงที่นี่ พอเราไปถึงหลังบ้านก็พบกับ......
ประตูบ้านที่ไม่ได้ปิดไว้ จากประสบการณ์เมื่อตอนกลางวัน ผมเลยหยิบไม้อันเขื่องที่วางไว้หน้าบ้านเข้าไปด้วย มีแรงดึงเบาๆเกิดขึ้นที่ด้านหลัง น้ำอุ่นกำลังดึงชายเสื้อผม ความหวาดกลัวถูกส่งผ่านทางแววตา
ผมยกมือเป็นสัญญาณบ่งบอกให้เงียบเสียง เราทั้งสองเดินอย่างเงียบเชียบที่สุด ไม่มีใครอยู่เลย
"ฮือ..." เสียงร้องนั่นเสียงพี่บีนี่นา
เสียงนั่นมาจากทางหลังบ้าน มีเงาของคนสองคนอยู่ทางประตู ผมค่อยๆชะโงกหัวเข้าไปมองดูในครัวก็พบกับ
....
.......
.........
พี่น้ำนิ่งกำลังกอดพี่บีไว้ในอ้อมแขน โดยที่พี่บีหันหน้าเข้าซุกอกพี่น้ำนิ่งโดยที่มือสองข้างปิดตา
มือหนากำลังลูบหัวพี่บีเบาๆ
"มันไปรึยัง มันไปรึยัง "มือบอบบางยังคงไม่ยอมเอาออกจากใบหน้า
"น..นาย...อ..อย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉัน...นะ "
ใบหน้าของพี่น้ำนิ่งส่งยิ้มบางๆก่อนจะค่อยๆโน้มเข้าหา ดวงหน้าของพี่บีขึ้นสีอย่างน่าขัน
ดวงตาคู่สวยหลับอย่างหวาดกลัว ใบหน้าของทั้งสองคนค่อยๆโน้มเข้าหากัน
ผมเฝ้ามองอยู่ด้วยใจลุ้นระทึก แต่ทว่าน้ำหนักของน้ำอุ่น ที่ชโงกหน้าแอบดูด้วยกัน เริ่มกดอยู่บนหลังผม ส่งผลให้ร่างกายที่บาดเจ็บอยู่แล้วรับน้ำหนักไม่ไหว ผลคือ
โครม!!
" ว้าย!!/โอ๊ย!!"
ทั้งสองคนกระเด้งออกห่างจากกันทันที
"ยัยน้ำอุ่น/ไอ้หมา "ทั้งสองพูดพร้อมกัน
พี่น้ำนิ่งกลอกตาอย่างเซ็งๆ
ส่วนพี่บีน่ะเหรอ หน้าแดงเถือก จนถ้าเอาไปยืนกลางสี่แยก รับรองรถได้หยุดกันทั้งถนน
"เอ่อ...คือผม/น้ำอุ่นไม่ได้ตั้งใจนะครับ/คะ" เราพูดพร้อมกัน ทั้งสองคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ยผมไม่รู้เรื่องเลย
ทันใดนั้นเอง อากาศก็เย็นยะเยือกเหมือนหล่นลงไปในน้ำตอนหน้าหนาว แสงประหลาดสีฟ้าเรืองรองจากในกระเป๋าพี่บีที่วางอยู่มุมห้อง ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่สังเกตุ แล้วผมก็เห็น....
มืด มันมืดจนผมมองมือตัวเองแทบไม่เห็น
ทำไมโลกมันกลับหัวล่ะ
ไม่ใช่สิผมกำลังอยู่ในรถที่กำลังพลิกคว่ำ สายตาของผมก็พร่ามัว จนมองได้ไม่เต็มที่ รู้แต่ว่าเจ็บเหลือเกิน
นั่นแสงไฟ มีคนกำลังมา
เสียงสวบสาบ เกิดจากคนเดินฝ่าดงหญ้า เข้ามาใกล้
"ไอ้เด็กนี่ตายรึยังวะ " เสียงแหบแห้งดังขึ้นข้างๆรถ
แสงไฟถูกส่องลงมาที่ใบหน้าผม จนมองอะไรไม่เห็น
"ดูเหมือนจะยัง" อีกเสียงหนึ่งตอบกลับไป
แขนของผมถูกดึงออกมานอกหน้าต่างรถ
"นั่นอะไรวะ "เสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
"ยาที่จะทำให้เป็นเจ้าชายนิทราน่ะ "
"ทำไมไม่ฆ่าให้หมดเรื่องวะ" เสียงปืนถูกกระชากลูกเลื่อนดังเข้ามาในหูผม ผมต้องออกไปจากที่นี่ แต่เรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมดนะ
"ไม่ได้ คนจ้าง เค้าต้องการให้ไอ้เด็กนี่ เหมือนเจออุบัติเหตุ อีกอย่างเก็บปืนได้แล้ว เดี๋ยวมันลั่นขึ้นมาแล้วจะยุ่ง"
เสียงจิจ๊ะดังขึ้นอย่างขัดใจ
แล้วผมก็รู้สึกเหมือนอะไรบาง อย่างทิ่มเข้าไปในแขน
แล้วผมก็ได้ยินเสียง
"ลาก่อนคุณชาย แบร์ "ภาพต่างๆค่อยๆมืดมิดลงไป อา...ง่วงเหลือเกิน
แม้จะรู้ว่าผมจะไม่ได้ตื่นอีกเลย
...................
แล้วผมก็กลับมาอยู่ในห้องครัวอีกครั้ง เหตุการณ์เมื่อกี้มันอะไร ใจผมยังเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว
"พี่ดีเป็นอะไรไปคะ " ใบหน้าของน้ำอุ่นมองผมด้วยความสงสัย
มือของผมยังคงรู้สึกได้ถึงสัมผัสหยาบๆของใบหญ้า แขนผมยังคงรู้สึกได้รอยแทงตรงท้องแขน
ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคือเรื่องจริง ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง แต่มันมาจากส่วนลึก
แต่ที่แน่ๆ
ไอ้เจ้าแบร์ไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุ
มันถูกฆาตกรรม
......................................
ความคิดเห็น