คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : สองคนกับหนึ่งหัวใจ (100%)
จากนาทีกลายเป็นชั่วโมง
จากชั่วโมงกลายเป็นวัน
และจากวันก็อาจกลายเป็น.....
บนทางเดินที่ขาวสะอาดผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่หนักอึ้งผิดปกติของโรงพยาบาล มันอาจเกิดขึ้นตามปกติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอากาศที่เย็นเยียบและบรรยากาศของโรงพยาบาล อีกส่วนหนึ่งก็คงอดยอมรับไม่ได้ว่าใจของผมที่ขลาดกลัวคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกแบบนี้
“ดูทำหน้าทำตาเข้า บอกแล้วให้กินผักเยอะๆ” พี่บีที่มาเยี่ยมน้ำอุ่น พร้อมกันกับผมเอ่ยปาก พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งที่ใครๆเห็นแล้วคงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าน่ารัก แต่สำหรับผมมันน่า......
เอาเถอะละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน
“ ทำไมเหรอพี่บี “
“อ้าวก็เห็นทำหน้าเหมือนถ่ายไม่ออก “
หญิงสาวข้างตัวผมที่ฟังจากคำพูดอย่างเดียวใครๆคงนึกว่าผู้ชาย
ทำเอาผมอดถอนหายใจเล็กน้อยไม่ได้
“ ถามจริงๆเถอะ....พี่เคยคิดมั่งมั้ยว่าเป็นผู้หญิง “
“ เอ....เมื่อเช้าส่องกระจกก็คิดว่าเป็นนะ แถมเห็นแตงโมสองลูก“
เธอเอาสองมือกอดอกแล้วดันอกขึ้นด้วยนัยยะว่ากะให้อึ๋ม แม้ว่ามันจะไม่มีอะไรให้ดันก็เถอะ
“ถ้าพี่เห็นว่าแตงโมเท่ากับถ้วยขนมครกแล้วล่ะก็ ผมว่าพี่ไปตัดแว่นเถอะ “
“ แกรู้ได้ไงยะ “
“ คิดว่าใครเก็บเสื้อในให้พี่ทุกเช้าล่ะ “ผมตอบอย่างปลงๆ
“ แกว่าไงนะ “ผมไม่ตอบแต่มองไปที่ป้ายว่าเขตโรงพยาบาลห้ามใช้เสียง ทำเอาเธอฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ ต่ำลงมามีป้ายเหล็กสีมอๆเขียนๆไว้ว่าห้องพักฟื้นผู้ป่วย
ผมเอื้อมมือเปิดประตูห้องออกไปโดยให้พี่บีเดินเข้าไปก่อน แสงสีทองที่อ่อนแรงลอดหน้าต่างห้องออกมา บ่งบอกว่ารัตติกาลใกล้จะมาเยือนเข้าไปทุกที ในห้องมีเตียงคนไข้ตั้งอยู่ในสุด ตรงกันข้ามมีกระจกบานใหญ่เท่าตัวคน น้ำอุ่นนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง โดยที่พี่น้ำนิ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างเตียงก่อนจะพับเก็บ เมื่อเห็นว่ามีคนมาเยี่ยมน้องสาวตน
" น้องเป็นไงบ้างนายน้ำเน่า " พี่บีเอ่ยปากถามพร้อมกับเดินไปดูน้ำอุ่นข้างเตียง
" ยังไม่ฟื้นเลยยัยหมูบี " พี่น้ำนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียง ที่ฟังดูเยาะนิดๆในคำว่าหมู ทำเอาพี่บีแอบลูบพุง อย่างว่าล่ะ คำว่าอ้วนเป็นอะไรที่ฟังดูแสลงหูผู้หญิงอย่างแรง อีกอย่างเราพึ่งกินข้าวมาซะด้วย
"ดี มาพอดีเลย พี่ฝากดูน้องทีสิ พี่ยังไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่กลางวันแล้วหิวชมัด " พี่น้ำนิ่งลูบพุงประกอบไปด้วย
" อ้าว ทำไมไม่กินล่ะครับ " ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจมากกว่าต้องการคำตอบจริงๆ
" ไม่มีใครมาเปลี่ยนน่ะ เดี๋ยวยัยตัวเล็ก ตื่นมาแล้วไม่เจอใครแล้วจะแย่ " พี่น้ำนิ่งตอบคำถามผมก่อนจะหันไปมองร่างบางที่นอนอย่างไม่รับรู้อะไรมากว่าครึ่งเดือนด้วยสายตาที่อ่อนโยน
"นี่นาย โง่อยู่แล้วไม่ต้องแกล้งโง่ก็ได้ย่ะ น้องนายไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกน่า" พี่บีพูดขึ้นมาก่อนจะตบไหล่ฝ่ายตรงข้ามดัง ปุ ปุ (เหมือนผู้ชายชมัด )
พี่น้ำนิ่งไม่ตอบอะไร เพียงแต่หันไปมองคนข้างตัวก่อนจะส่งยิ้มไปให้
แล้วพูดแบบไม่ออกเสียงว่า ขอบใจนะ
แล้ว.......ทิ้งสายตาค้างเติ่งที่ใบหน้าเธออยู่อย่างนั้น
" อ....อะ..อะไร " ผมมองเห็นสีชมพูขึ้นที่ข้างแก้มพี่สาวผมอย่างน่าประหลาด ผมเห็นพี่บีก้าวถอยหลังก่อนจะตัวแข็งอย่างน่าตลกเมื่อ พี่น้ำนิ่งยื่นมือไปสำผัสหูพี่บี
" กินข้าว ยังไงให้ติดหู " พี่น้ำนิ่ง พูดแบบยิ้มๆ
" อ...อะ..ไอ้บ้า " พลั่ก!! ปลายรองเท้าผ้าใบสีขาวกระทบหน้าแข้งพี่น้ำนิ่งอย่างจังก่อนที่จะเจ้าตัวจะออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
พี่น้ำนิ่งที่ยกหน้าแข้งขึ้นมากุมด้วยความเจ็บหันมาถามผม
"พี่ทำอะไรผิดเนี่ย "
ผมยักไหล่ด้วยความไม่เข้าใจเหมือนกัน ผู้หญิงยังไงก็เข้าใจยากอยู่แล้ว
พี่น้ำนิ่งขอตัวไปหาอะไรกินที่โรงอาหารโรงพยาบาล ก่อนจะทิ้งให้ผมอยู่กับน้ำอุ่นเพียงสองคน
ผมเดินไปที่ข้างเตียง ก่อนจะลูบหน้าผากมนเบาๆ
" เมื่อไหร่จะตื่นนะ ยัยตัวยุ่ง ใครก็ๆกังวลไปหมดแล้ว " ผมพูดไปทั้งที่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่รับรู้
กว่าครึ่งเดือนแล้วที่เธอไม่ยอมลืมตาขึ้นมาอีกเลย ท่ามกลางการกังวลและรอคอยของทุกคน
โดยที่หมอบอกเราว่าเธอไม่เป็นอะไร สภาพร่างกายเธอปกติดีทุกๆอย่างแต่ทว่ากลับหาสาเหตุที่เธอไม่ยอมลืมตาขึ้นไม่เจอ จึงต้องนอนโรงพยาบาลอยู่อย่างนี้มากว่าครึ่งเดือน
แต่ทว่า
" อือ..... " เสียงดังจากคนที่อยู่บนเตียง ทำเอาผมลุกจากเก้าอี้แทบจะในทันทีที่สัมผัสมัน
ดวงตากลมขยับเบาๆ แล้วลืมตาขึ้น
“ เป็นไงมั่งยัยบ๊อง “ ผมเดินไปจับข้อศอกเธอเบาๆ
“ ที่นี่ที่ไหนเนี่ย “ เธอเอาข้อมือบางมาปิดดวงตาที่ไม่ได้เจอแสงมากว่าครึ่งเดือน
“โรงพยาบาลน่ะ “ ผมตอบเธอ
“ เหรอ ชนกันแรงขนาดนั้น แต่ไม่เจ็บอะไรเลยแฮะ ปาฏิหาริย์ใช่ไหมเนี่ย จำได้ครั้งสุดท้ายก็แค่เบรกรถใช้ไม่ได้แล้วแสงไฟสว่างจ้า แล้วก็มีเสียงดังน่าดู ตื่นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว “
“ หา...” เท่าที่ผมจำได้ ตอนนั้นมันแค่ตอนบ่ายนี่นา ถึงจะใกล้จะหกโมงก็เถอะแต่มันก็ไม่ได้มืดจนต้องเปิดไฟนี่นา
“ ชนกัน ล้อเล่นรึเปล่ายัยบ๊องพี่ ดึงเราออกมาก่อนจะชนซะอีกนะ “
” หา...” เธอเอามือออกจากดวงตาก่อนลุกขึ้นยืนครึ่งตัว ก่อนจะอ้าปากค้างอย่างน่าตลก
“ ไอ้หมาเถื่อน แกมาอยู่ที่นี่ได้ไง “
ไอ้หมาเถื่อนเหรอน้ำอุ่นไม่เคยเรียกผมอย่างนี้เลย มีก็แค่คนเดียวคือไอ้หมอนั่น คู่อริผมตั้งแต่ชาติปางก่อน
“ ก็มาเยี่ยมเราน่ะสิ “
แต่ทว่าเธอกลับไม่ตอบอะไร แต่กลับยกมือซ้าย มือขวาโบกไปมา สายตาจ้องเขม็งอยู่หน้ากระจกที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับเตียง เธอก้าวลงมาอย่างทุลักทุเล จนผมต้องเข้าไปประคอง เธอเอามือลูบหน้าตัวเอง ที่ฉายอยู่บนกระจก แล้วลูบคลำๆตัวเอง จนผมสงสัย
“ ทำไมฉันถึงได้มี” เธอคลำที่หน้าอกตัวเอง
“ เป็นอะไรไปน้ำอุ่น ผู้หญิงก็มีกันทุกคนนั่นล่ะ“ ผมอดตอบแบบขำๆไม่ได้
แต่ทว่า
เธอมองกลับมาด้วยสายตาที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างคนที่เจออะไรที่น่ากลัวสุดขีด
” ฉันไม่ได้ชื่อน้ำอุ่น ฉันชื่อ แบร์ และฉัน...เป็น ....ผู้ชาย "
" หาเธอว่าไงนะ "
"ทำไมฉันถึงได้......" เธอทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างหมดแรง
"อะไร นี่เราพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ "
" ไอ้หมาฟังให้ดีๆนะฉันชื่อแบร์ เมื่อครั้งสุดท้ายที่เจอแกฉันจำได้ว่าฉันชกหน้าแกไปสองหมัด เตะไปอีกสาม "
"ตลกแล้วน้ำอุ่น นี่ไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน " ใจผมเริ่มเสียลงไปทุกทีๆนี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย เพราะเรื่องนั้นมันน่าจะมีคนรู้แค่ ผมกับไอ้เจ้าแบร์นี่นาแล้วทำไม น้ำอุ่นถึงได้....
แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า...คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่น้ำอุ่นก็คือ
จิ้งจกตัวเท่านิ้วโป้งตกลงมาบนตักเธอ
" เฮ้ย!!!!!! " เธอร้องเสียงหลงก่อนจะกระโดดชนิดที่ว่าเก้าอี้ไปทางจิ้งจกไปทาง
เป็นไปไม่ได้น้ำอุ่น เป็นคนที่ไม่กลัวเจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เลยแม้แต่น้อย ชนิดที่ว่าหยิบมันลูบได้อย่างสบายๆ ในความทรงจำผม คนเดียวที่กลัวเจ้าสิ่งนี้ก็คือ ไอ้เจ้าแบร์
" อ๊าค!! เอามันอออกไป !!" เธอปัดตามเนื้อตามตัวเป็นการใหญ่
"น้ำอุ่นเป็นอะไรรึเปล่า "
"บอกแล้วไงว่า ฉันไม่ใช่น้ำอุ่น อ๊ะ!! ผู้หญิงคนนี้ชื่อน้ำอุ่นเหรอ แฟนแกรึไง" เธอตอบกลับมา หลังจากสำรวจดีแล้วว่าไม่มีเจ้าสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนสีได้อยู่บนตัว ทั้งสายตาและแววตาที่ตอบกลับมา มันไม่ใช่น้ำอุ่นเลยซักนิด
แม้ไม่อยากเชื่อสักแค่ไหน แต่คนที่อยู่ตรงหน้าผมไม่ใช่ น้ำอุ่น
" อะ..อ๊ะ..นิ่งแสดงว่าใช่ ไปหลอกเค้าอีท่าไหนวะ "
" น...นะ...น้องสาวเว้ยไอ้บ้า " ชิ....ผมเคยคิดแบบนั้นกับน้ำอุ่นซะที่ไหนกันเล่า
"อ้อ..เหรอ อย่างว่าล่ะนะ ไอ้ตุ๊ดอย่างแกมีแฟนก็แปลกล่ะ " มันส่งยิ้มยียวนกวนประสาท ที่ผมจำได้ไม่มีวันลืม ว่ามีคนที่ยิ้มได้แบบนี้คนเดียวในโลก
"แก ไอ้เวรเอ๊ย ออกมาจากร่างน้ำอุ่นเดี๋ยวนี้นะ " ผมอยากจะเขย่าๆให้ไอ้บ้านี่ออกมาจากร่างน้องสาวผมนัก
" ทำได้ ก็ทำไปแล้วเว้ย ลืมตามาก็อยู่ร่างนี้แล้ว "
ผมยกมือขึ้นประกอบเมื่อนึกอะไรได้บางอย่าง
"เดี๋ยวก่อนนะ แกมาอยู่ในร่างนี้แล้วน้องฉันล่ะ "
"จะไปรู้เรอะ แต่รู้ว่าเธออยู่ข้างในตัวฉันนี่ล่ะ "
" ยังไง...."
" อย่ามาทำหน้า หมางง เพราะฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน รู้แต่ว่าน้องแกหลับอยู่ในตัวฉัน ไม่รู้ว่ารู้ได้ไง แต่มันรู้สึกได้"
" หมายความว่า แกเป็นผีมาสิงน้องฉันงั้นเรอะ แกออกไปเดี๋ยวนี้นะ " ผมถอดสร้อยพระที่พ่อให้มาออกมาจากคอ
ตั้งใจจะเอาไปคล้องคอน้ำอุ่น
" ไอ้นี่ คำก็ผี สองคำก็ผี ยังไม่ตายนะเว้ย ไอ้บ้าจะเป็นผีได้ไงวะ เดี๋ยวปั๊ดเตะคอหัก "
" แน่จริง ก็ออกมาจากร่างน้องฉันสิวะ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเตะใคร "
"ไอ้นี่พูดไม่ฟัง ก็บอกว่าทำไม่ได้ไงวะเฮ้ย "
ขณะที่เรากำลังจะใกล้จะถึงจุดเดือดนั้นเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น
ผมชี้หน้าไอ้หมอนั่นประมาณว่าฝากไว้ก่อน ส่วนไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ มันก็ส่งนิ้วกลางมาให้ผม แทนคำตอบ
" ฮัลโหล "ผมกรอกเสียงลงไป
"ไอ้หมา แกจะเอาอะไรมั้ย " เสียงพี่บีดังรอดมาตามสาย
"ไม่ต้องหรอกพี่บี "
"เออๆ ขอฉันซื้อแบบห่อกลับบ้าน แล้วเดี๋ยวจะขึ้นไป หงุดหงิดใครบางคนแถวนี้ เลยกินอะไรไม่ลง แค่นี้นะ" เสียงตอนท้ายดูกระแทกกระทั้นยังไงชอบกล ก่อนที่เธอจะวางสายไป
ผมหันมามองคู่อริในร่างน้องสาวผมที่กำลังสำรวจตามเนื้อตามตัวของตัวเอง
" เฮ้ย...อีกเดี๋ยวพี่ฉันก็จะขึ้นมา แกอย่าทำอะไรที่มันผิดปกติล่ะ ฉันไม่อยากให้ใครต่อใครมากังวลไปด้วย ว่าในตัวนำอุ่นมีตัวประหลาดอย่างแก "
" ผิดอยู่แล้วไอ้บ้า ฉันไม่รู้จักน้องแกเลยนะ "
จริงสินะ ผมลืมไปเลย
คงมีเวลาอีกสักนิดหน่อย ผมจึงเล่าประวัติคร่าวๆของน้ำอุ่น ให้ไอ้หมอนี่ฟัง ว่าเธอมีพี่ชายหนึ่งคน พ่อกับแม่ของเธอทำงานที่อเมริกา แล้วก็เรื่องต่างๆที่เธอควรรู้
" ที่เหลือถ้ามีใคร แกก็แกล้งความจำเสื่อมก็แล้วกัน "
"เออ...ว่าแต่สรุปน้ำอุ่นไม่ใช่น้องสาวแกแท้ๆใช่มะ "มันทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ผม ก่อนจะย้ายตัวเองขึ้นไปบนเตียง
" เออมีปัญหาอะไรวะ "
"สมภารกินไก่วัดนี่หว่า แหมๆวางตัวเป็นพี่ชาย เนียนใช้ได้นี่ "
" ไอ้บ้า ฟังให้ชัดๆนะ....ฉัน...ไม่...เคยคิด...อะไรกับน้ำอุ่น... เลย สักนิด...."ผมพูดโดยเน้นทีล่ะคำ
" อ้อเหรอ...... "สายตาของมันบ่งบอกว่าเชื่อตายล่ะ
แต่แล้ว
น้ำตาเป็นสายก็ล่วงลงมาจากหางตาของไอ้หมอนั่น ราวกับว่ามีเรื่องเศร้ามากมายที่เกินกว่าจะทานทน
"เฮ้ย...อะไรวะเนี่ย " หมอนั่นเอามือจับแก้มเป็นการใหญ่ เมื่อนำตาเม็ดตาเม็ดโตเกิดขึ้นที่หางตาอย่างไม่ยอมหยุด
"เป็น...อะไรของแก " ผมรุดเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง ห่วงน้องสาวผมนะ ไม่ได้ห่วงไอ้บ้านี่ให้เสียเวลาหรอก
" มีใคร....บางคน...กำลังร้องไห้ " หมอนั่นเช็ดน้ำตาที่ไม่ยอมหยุด
"ก็แกไง "ผมคว้าผ้าเช็ดหน้าส่งให้
"ไม่ใช่กำลังร้องไห้.... อยู่ในนี้ "หมอนั่นชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้าย ตรงตำแหน่งของหัวใจ
"โอ๊ย!!! หัวฉัน....ทำไมปวดอย่างนี้ " หมอนั่นเอามือกุมหัวก่อนจะตาเหลือกแล้วดั่งตุ๊กตาที่ถูกตัดเชือก
ร่างกายทิ้งตัวลงไปบนเตียงโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
" เฮ้ย...ไอ้แบร์...เฮ้ย...." ผมเขย่าร่างบางที่ไม่มีท่าทีจะรับรู้อะไร
นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
คืนนั้น
ผมกลับบ้านไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก พี่บีก็ถามผมเหมือนกันว่าเป็นอะไร เพียงแต่ผมหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเธอ มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ในหัวผมมีแต่คำถาม และคำตอบที่คาดเดาเอาไว้ หลังจากเสร็จสิ้น การเตรียมอาหารให้คนในบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมจึงไปเล่นอินเตอร์เนตเล่นแก้เซ็ง ผมลองค้นหาวิธีไล่ผีในอินเตอร์เนตดู แล้วก็พบว่า มันมีมากกว่าที่คิด ไม่น่าเชื่อว่าผีกับอินเตอร์เนตจะไปด้วยกันได้ผมไล่คลิกไปเรื่อยๆ เผื่อจะมีวิธีไหนไล่ไอ้บ้านั่นให้กลับร่างเดิมได้ ตามที่ผมคิด น้ำอุ่นกับไอ้บ้านี่น่าจะสลับร่างกัน ป่านนี้ถ้าน้ำอุ่นฟื้นคงตกใจแย่ จู่ๆก็มาอยู่ในร่างอัปลักษณ์ของไอ้หมอนั่น
อะไรบางอย่างทำให้ผมคลิกไปที่หัวข้อข่าวเล็กๆ ที่ไม่มีใครแทบจะสนใจ
ทายาทนักธุรกิจชื่อดังเสียชีวิตแล้ว หลังนอนเป็นเจ้าชายนิทรามานานกว่าสี่เดือน นายเกตุศรา แมคไกวเวอร์นักธุรกิจชื่อดังได้กล่าวหลังจากสูญเสียทายาทเพียงคนเดียวไป หลังจากอุบัติเหตุรถตกจากหุบเขา จนต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรานานกว่าสี่เดือนว่า นี่คือการสูญเสีย ที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลแมคไกวเวอร์ นายเกตุศรา นักธุรกิจเจ้าของนิตยสารแนวซุบซิบคนดังที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก เจ้าของนิตยสาร.....บลาๆ ผมเลื่อนดูอย่างไม่ใส่ใจนัก
เอ นามสกุลแมคไกวเกอร์งั้นเหรอ คุ้นแฮะๆ ผมเลื่อนลงมากระทั่งจนพบกับ ภาพลูกชายนักธุรกิจคนนั้น
และคนที่อยู่ในภาพคือ
ไอ้เจ้าแบร์
........................................................................
นี่ผมอยู่ทีไหนกันเนี่ย หมอกควันสีขาวอยู่รอบๆตัวจนแทบไม่เห็นรอบข้าง ผมมองทัศนียภาพรอบๆกาย แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผมออกเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้ซึ่งจุดหมาย
.......เสียง
เสียงใครกันนะ ใครกันกำลังร้องไห้ มีอะไรให้เสียใจกันขนาดนั้นเลยหรือไร มันเศร้าจนผมแทบหลั่งน้ำตา
ผมไม่รู้ว่า คนๆนั้นเสียใจด้วยเรื่องอะไร รู้แต่เพียงผมอยากจะให้คนๆนั้นหายเศร้า ผมไม่รู้ว่าเธอคนนั้นอยู่ที่ตรงไหน แต่ขาของผม กลับพาตัวเองไป
ผมเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ
ใกล้เข้าไปทุกที
ทุกที
....ทุก...ที....
จนในที่สุดผมก็พบ
เด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาว มีรอยขมุกขมอมนิดหน่อย กำลังร้องไห้โดยซุกหน้าระหว่างเข่า
ร่างกายเล็กๆนั่นโยนขึ้นโยนลงด้วยแรงเสียใจ ผมคุกเข่าลงไปเสมอเธอ ก่อนจะยื่นมือไปลูบหลังแผ่วเบาหวังเพียงให้ร่างเล็กบรรเทาความเสียใจ
“เป็นอะไร....ใครมาทำอะไรงั้นเหรอ ”
“ฮึก...ใจร้าย....ใจร้ายที่สุด “
“ใคร...ใจร้ายบอกพี่ได้มั้ย... “
“พี่ดีใจร้าย...." ร่างเล็กร้องไห้ตอบกลับมา
“พี่ทำไม่ดีกับเรางั้นหรือ “ ใจของผมปวดหนึบโดยไม่ทราบสาเหตุ
“พี่ดีไม่รัก...แล้วพี่มาทำดีกับ....ทำไม” เสียงของเธอขาดๆหายๆ จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“อย่าร้องไห้เลย เดี๋ยวไม่สวยนะ “ ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่ข้างแก้มน้อยๆนั่น
“ถ้าวันหนึ่ง...สวย พี่ดีจะรัก...มั้ย “ เธอยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ผมอมยิ้มก่อนจะตอบเธอ
“ ถ้าไม่ใช่ เด็กขี้แยอย่างนี้ล่ะนะ มา ให้พี่เช็ดหน้าสิคนดี “
เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ใบหน้าที่ผมจำได้ไม่เคยลืม
ถ้าน้ำอุ่นสวย พี่ดีจะรักน้ำอุ่นมั้ย” เสียงของเธอสั่นสะท้านไปถึงหัวใจ
เฮือก...
ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมา ก็พบหน้าจอคอมที่ดับสนิท นี่ผมนอนหลับคาคอมเหรอเนี่ย ไหล่ของผมถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มที่มาจากเตียงนอน คงมีใครซักคนนำมาให้เพราะกลัวว่าผมจะหนาว คงเพราะผมนอนผิดที่ผิดทางล่ะมั้ง เลยฝันแปลกๆ ผมลุกขึ้นมาพลางพับผ้าห่ม ทันใดนั้นกลุ่มควันสีขาวก็ลอยขึ้นมา นี่ผมยังไม่ตื่นอีกเหรอเนี่ย....
ว่าแต่ทำไม ถึงมีกลิ่นด้วยล่ะ กลิ่นอะไรนะ....ผมลองสูดกลิ่นดู ก็พบว่านี่มัน....เหม็นไหม้
ไฟไหม้งั้นเรอะ ตายห่า!!! ผมรีบออกไปจากห้องก็พบว่าควันมันมาจากในครัว
ผมรีบลงไปในครัว ก็พบ พี่ซีกำลังยืนเอาฝาหม้อป้องกันต่างโล่ห์ ส่วนพี่บีก็กำลังเอาตะหลิวเขี่ยสิ่งที่อยู่ในกระทะด้วยท่าทางที่แหยงๆ กลุ่มควันมหึมากำลังลอยออกมาจากในกระทะ
“พวกพี่ๆกำลังทำอะไร เนี่ย “ผมอยากจะบ้าตาย เมื่อวานผมทำความสะอาดอย่างดีเลยนะ
“เห็นแล้วไม่รู้เหรอไงยะ “ พี่บีที่กำลังอื้มสุดปลายแขน เอาตะหลิวเขี่ย ไอ้ก้อนดำๆที่ผมมองไม่ออกว่ามันคืออะไร
แต่มันมีครีบด้วย อืม... มันน่าจะเป็นปลานะถ้าผมเดาไม่ผิด
“ก็ที่ผมเห็นพี่กำลังจะเผาบ้าน อยู่น่ะสิ !!“
“ เรากำลังลังทอดปลาน่ะจ๊ะ ว่าแต่ดี เวลาทอดปลาเนี่ยมันควันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ “ พี่ซีที่ โบกฝาหม้อให้ควันมันจางลง เป็นคนตอบ
ทอดปลางั้นเหรอเนี่ย แม่เจ้า ผมว่ามันไม่ใช่เสน่ห์ปลายจวักแล้ว แบบนี้มัน เสน่ห์คอจะหักโดยแท้
“ ถือว่า ผมขอร้อง พวกพี่ช่วยออกไปจากครัว เดี๋ยวนี้เลย “
ผมเอามือนวดขมับแก้ปวดหัว ก่อนจะเดินไปเปิดเครื่องดูดควันกับพัดลมระบายอากาศ แล้วเดินไปปิดเตาแก๊ส
หลังควันจางลง ผมก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ห้องครัว ถ้ามันยังเรียกอย่างนั้นได้นะ ผมเห็นแล้วอยากร้องไห้ชมัดเลยน้ำมันกระจายเต็มพื้น กลิ่นเหม็นลอยตลบไปทั่ว ถังน้ำถูกวางไว้ใกล้ๆเผื่อฉุกเฉิน กระทะนี่ผมต้องขัดนานเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย ฮือ....ผมอยากจะร้องเพลงไมเคิลแจ็คสันเป็นภาษาจิ้งหรีด
“ ดีให้พี่ช่วยมั้ยจ๊ะ “ พี่ซียื่นหน้าเข้ามาทางประตูแบบกล้าๆกลัวๆ
“พวกพี่ช่วยอยู่เฉยๆจะดีที่สุด “ผมตอบพร้อมกับ ตักไอ้ก้อนดำๆ ที่ผมเดาว่า อดีตมันเคยเป็นปลามาก่อน ใส่จาน
“งั้นเหรอ งั้น .พี่ไม่กวนแล้ว แหะๆ “ พี่ซีรีบออกไปอย่างไว ไม่ทันที่ผมจะบอกว่าอย่ารีบเดี๋ยว...
“ว้าย!!! “ โครม!!คราม!! งานเพิ่มอีกแล้วสินะ อยากจะร้องไห้จริงๆนะเนี่ยคราวนี้
หลังจากผมเก็บกวาดในครัว คร่าวๆเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยกปลาออกไปที่โต๊ะกินข้าว และก็พบว่า พี่ซีกำลังหัวเราะกับหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะที่อ่านมาแล้วครั้งที่ร้อยแปด ส่วนพี่บีก็กำลังอ่านหนังสืออีกเล่มมีรูปอาหารหน้าตาน่ากินอยู่บนหน้าปก แต่ที่ทั้งสองทำเหมือนกันก็คือ....อ่านหนังสือกลับหัว
“ พวกพี่คิดจะทำอะไรกันแน่ “ ผมวางผลงานของพวกเธอลงบนโต๊ะ
“ ก็ทำกับข้าว น่ะสิ “ พี่บีตอบ โดยไม่เงยหน้าจากหนังสือ
“ส่วนพี่อยากช่วยน่ะจ๊ะ แหะๆ “พี่ซีตอบโดยที่เอาหนังสือบังไว้ครึ่งหน้า
“ แล้วทำไม ไม่รอผมล่ะ “ ปกติผมจะไม่ให้พวกเธอแตะของพวกนี้เลยนะ พี่ซีน่ะก็รู้ๆกันอยู่ขืนให้ทำล่ะก็ ผมว่าได้มีบาดเจ็บล้มตายกันมั่งล่ะ ส่วนพี่เอน่ะเหรอ หึๆครั้งสุดท้ายที่ผมเข้าโรงพยาบาลเพราะท้องเสียก็มาจากคุณเธอนี่ล่ะส่วนพี่บี อืม...เท่าที่ผมจำได้ เธอปฏิเสธของพวกนี้โดยสิ้นเชิงเลยนี่นา เธอบอกว่าของพวกนี้มันดูเป็นผู้หญิงเกินไปอืม..ผมคาดว่าคนพูดคงลืมอะไรไปซักอย่าง แต่ใจความสำคัญคือเธอไม่เคยหยิบจับของพวกนี้เลยนะ แล้วทำไม
“ก็พี่เห็นเรากำลังหลับสบายนี่นา เลยไม่อยากปลุก เมื่อวาน พี่ก็เห็นเราหลับคาคอมไปแล้ว“ พี่ซีตอบกลับมา
ผมรู้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนเอาผ้าห่มมาคลุมให้ผม รอยยิ้มจางๆถูกส่งไปให้เธอ นี่ล่ะข้อดีของผู้หญิงคนนี้ เธอจะห่วงใยทุกคนเสมอ ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน แม้ว่าเธอจะซุ่มซ่าม เอ่อ...นิดหน่อยก็ตาม
ว่าแต่ ผมเห็นตัวหนังสือที่พี่บีอ่านอยู่ มันอ่านได้ว่า เสน่ห์ปลายจวัก ง่ายนิดเดียว
“พี่อ่านอะไรของพี่น่ะ “ ผมเอียงคอมองเพื่อจะอ่านได้ชัดขึ้น เพราะเธออ่านกลับหัวอยู่
ปับ!!! เธอปิดหนังสือทันที ก่อนจะว่างคว่ำไว้ไม่ให้ผมเห็น
“ม...มะ...ไม่มีอะไรหรอกแค่อ่านเล่นน่ะ “
“เหรอ...พี่จะเรียนทำอาหารเหรอ “
“ใครจะไปเรียนกัน อย่างตาน้ำเน่าน่ะกินอาหารสำเร็จรูปล่ะดีแล้ว” เธอหันไปมองหน้าต่างอย่างมีพิรุธ
“ผมยังไม่ได้บอกเลยซักคำนะ ว่าพี่จะทำไปให้พี่น้ำนิ่ง “ ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างแปลกใจ
“อะไรนะ เอ่อ...คือ....แกยังไม่ได้พูดเหรอ ” สีแดงอมชมพู ค่อยๆลามขึ้นมาจนถึงใบหูพี่สาวผม เริ่มแปลกๆแฮะ หรือว่า พี่สาวผมจะ... เป็นไปไม่ได้ อย่างพี่บีเนี่ยนะ ไม่ทันที่ผมจะซักถามไปมากกว่านี้ เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปดู
“ อรุณสวัส น้องๆที่รักทุกคนของเจ๊ “ พี่เอเดินลงมาทั้งๆที่หัวยุ่งเป็นรังนก ก่อนจะเดินมาหอมแก้มพี่บี ตามด้วยพี่ซี ก่อนจะมาถึงผม แล้วทำท่าจะหอมแก้มผม
“หยุดเลยพี่เอ ผมโตแล้วนะ “ ผมยกมือทำปางห้ามญาติ
“แหมๆไอ้หมาของเจ๊ อายซะด้วย น้องใครหว่าน่ารักจัง “ เธอกอดคอก่อนจะขยี้หัวผมด้วยความหมั่นเขี้ยว
“โอ๊ะโอ เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย“เธอถาม เมื่อเห็นก้อนดำๆที่อยู่ในจาน
“ปลา(มั้ง) น่ะพี่เอ “
“ตายแล้ว!!! น้องฉันทอดปลาไหม้ แกเป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายมากมั้ย กินยารึยัง” พี่เอจับผมโยกซ้ายขวา หาร่องรอย อาการบาดเจ็บ
“ผมไม่ได้ทอดพี่บีกับพี่ซีเค้าช่วยกัน “ ผมจับมือเธอให้เหยุดเขย่า
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อ้าวเหรอ...งั้นก็เตรียมถังน้ำไว้ใกล้ๆ ด้วยล่ะ เผื่อไว้ก่อน จำเบอร์สถานีรถดับเพลิงได้ใช่มั้ย “
“ เจ๊เอ...เค้าแค่จะทอดปลาเองนะ “ พี่บีเถียงกลับมา “มันจะไปยากอะไรแค่ทอดปลา “
“ก็เลยเป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะ “พี่เอที่รับน้ำจากผมยกนิ้วโป้งข้ามหัวไหล่ไปที่ห้องครัวตอบ
“หึ..ไม่รู้แล้ว เค้างอนแล้วล่ะ “ เธอทำแก้มป่องอย่างอนๆ เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้ท่าทางผู้ยิ้งผู้หญิงแบบนี้ พี่บีไม่เคยทำเลยนะ แปลกมากมาย
ดูเหมือนพี่เอจะรู้ตัว เธอหันมาสบตาผมอย่างมีเลศนัย ก่อนจะแยบต่อ
“โอ๋ๆ เจ๊ล้อเล่นจ้า ว่าแต่ทำไมอยู่ๆลุกขึ้นมากับข้าวกันล่ะเนี่ย เค้าว่าเวลาผู้หญิงทำอะไรที่มันเป็นผู้หญิงมากขึ้นเนี่ย แสดงว่ากำลังมีความรักนะ “ พี่เอเอียงคอมมองอย่างล้อเลียน
“ม....มะ ไม่รู้ “ เธอหน้าแดงก่ำก่อนจะลุกหนีไป
พี่เอหันมากระซิบกับผม
“ไอ้หมา เราคิดเหมือนเจ๊มั้ย เจ๊ว่ายัยบีกำลังมีความรักล่ะ “
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ผมเคยคิดว่าผมจะได้พี่สะใภ้ซะอีก แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดแฮะงานนี้
ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของพี่บีก็ดังขึ้น
พี่เอหยิบมารับก่อนจะกดเสวนากับคนในสายครู่หนึ่ง แล้ววางสายไป
“...ดีไปแต่งตัวกัน ซีด้วยนะ “ พี่ซีที่หยุดอ่านหนังสือ(ที่เลิกกลับหัวแล้ว)กับผมหันมามองอย่างแปลกใจ
“น้ำนิ่งโทรมาบอกว่า น้ำอุ่น.....ฟื้นแล้ว “
.............................................
ความคิดเห็น