ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟ้าสองสี

    ลำดับตอนที่ #4 : ลุค

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 66




    บทที่ 4  ลุค


           
    หากทั้งโลกเกลียดชังต่อบางสิ่ง

    หากทั้งโลกมุ่งร้ายต่อบางอย่าง

    หากสิ่งนั้นคือมารร้าย

    หากสิ่งนั้นมันจะปกป้องเจ้าได้

    เรียกข้าว่ามารร้ายเถิด

     



             ลุคชอบ ท้องฟ้าเวลานี้เป็นที่สุด ลุคไม่เข้าใจศิลปะแลดนตรีมากนัก ลุงโอนัสเคยว่าหมาเห่ายังร้องเพราะกว่าเขาร้องเพลง แม้แต่ตีเข้าจังหวะ ยังไม่อาจเข้ากับผู้ใด หากแต่ดนตรีคงเหมือนดั่งฟ้าในตอนนี้ มันคงไพเราะยิ่งกว่าเสียงใดในโลกหล้า ด้วยอยู่กลางระหว่างยามค่ำและยามสว่าง ลุคคิดว่าไม่มีสิ่งใดจักเหมือนตนเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว  นี่ก็เป็นอย่างหนึ่ง ที่ลุคคิดเข้าข้างตนเอง ว่าอาจงดงามได้เฉกเช่นเดียวกัน  ร่างหนาแบมือออกแล้วกำเข้า  เมื่ออยู่ที่สูงเช่นนี้แล้ว โลกทั้งใบก็เกือบเหมือนจะกำไว้ได้ในฝ่ามือเดียว  เมื่อพลิกตัวลงตะแคง  เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นเหนือหัว  ลุครู้ได้ในทันที ว่าเป็นผู้ใด โดยไม่ต้องหันไปมองเสียด้วยซ้ำ

    “เจ้านี่ชอบเสียจริงนะที่สูงเนี่ย ตัวก็สูงชะลูดปานต้นไม้ มิเบื่อหรอกรึ ”
    ลุคตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นไปมอง “ข้าอยู่ถึงบนหลังคา เจ้ายังหาข้าเจออีกนะ”
    เสียงสวบสาบจากเนื้อผ้าเสียดสีกัน  ดังอยู่ข้างหู บ่งบอกให้รู้ว่าคู่สนทนา ตัดสินใจทรุดนั่งลงข้างกาย  
    “เจ้าก็เป็นผู้คุ้มกันข้า มิใช่หรือไร ไฉนเจ้าจึงมิอยู่ข้างกายข้า ”

    “เจ้าก็เป็นนางเอกของงานมิใช่รึ แล้วทำไมจึง ไม่อยู่ที่งานเสียเล่า”
    กลิ่นหอมเนื้อสาวจืดจาง ไล้จมูกเบาๆ ทำเอาหัวใจเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย

    “ ข้าคือตัวเอก ข้าจักเปิดตัวในเวลาที่เหมาะสมเอง อย่าได้กังวลแทนข้าไปเลย “

    ลุคเงยหน้าขึ้นมอง  ก็เห็นดวงตาสีดำที่สุขสกาว ราวเอาดวงดาราทั้งฟ้า มาไว้ในดวงตาคู่เดียว  กำลังจ้องมาที่เขา ใบหน้านั้นใกล้มาก มากเสียจนคนที่นอนอยู่แทบลืมหายใจ
    “เจ้าใกล้ข้าไปแล้วนะ “  ลุคผุดนั่งแทบจะในทันที

    “ ฮ่าๆ  เจ้ายักษ์ขี้อายเอ๊ย  รีบลุกซะจน เกือบชนหัวข้าแล้วนั่น “
    นางหัวเราะลั่น ด้วยความถูกใจที่แกล้งคนตัวโตกว่าได้  นางตบบ่าคนร่างโตเบาๆ  แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างกาย
    ลุคถอนหายใจ  กี่ครั้งกี่คราเขาก็ไม่เคยเอาชนะนางได้เลย
    “ นั่งแบบนั้น ชุดเจ้าไม่สกปรกรึ  ฟิลเลีย“

    นางอมยิ้มก่อนจะถอนหายใจ  
    “เจ้ายังนอนได้เลย  ทำไมข้าจะนั่งมิได้ “

    ลุคตอบโดยไม่ทันได้คิด
    “ ข้าเป็นคนเถื่อน  สกปรกมันเป็นเรื่องปกติ ”

    ฟิลเลียขมวดคิ้วคู่งาม  ก่อนจะเอ่ย 
    “ ไม่มีผู้ใด สกปรก เพราะเกิดมาเป็นสิ่งใดหรอก  ข้าเตือนเจ้าหลายหนแล้ว หากเจ้าถือข้าเป็นเพื่อน  เจ้าก็อย่าได้มาพูดเช่นนี้ ” ฟิลเลียบุ้ยคาง ให้ลุคมองตาม  ด้านล่างหน้าประตูงานเลี้ยง มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง กำลังรอให้คนเฝ้าประตูตรวจสอบบัตรเชิญ  ดูท่าจะเป็นคนรับใช้ผู้สูงส่ง จากที่ไหนสักที่
    “ ลุคเจ้าดูนั่น  เจ้าคนที่อยู่ตรงนั้น เจ้าว่า เขาสะอาดไหม “

    ลุคเอียงคอมองตามนางก่อนจะบอกตามตรง  
    “ ก็คงสะอาดกระมัง เขามางานเลี้ยงของเจ้ามิใช่รึ “

    นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมาถาม
    “เจ้ามองเห็นชัดหรือ แน่ใจแค่ไหน  มีรอยเปื้อนที่ใดหรือไม่”

    ดวงดุดันสีดำพยามเพ่งมอง
    “ไม่แน่หรอก โพลเพล้ ใครจะไปเห็นกัน คงต้องไปใกล้กว่านี้“

    ฟิลเลีย หัวเราะก่อนจะบอก
    “เห็นไหมล่ะ เจ้ายักษ์ซื่อบื้อ  เราจะรู้ได้ไงว่าคนไหนสกปรก  คนไหนสะอาด   เราไม่รู้หรอก นอกจากเราเข้าไปใกล้เค้ามากพอ  เจ้าเกิดมาเป็นอะไร ไม่สำคัญ สำหรับข้า ข้าว่าเจ้าสะอาด  มันก็คือสะอาด เข้าใจหรือไม่ “  นางหันหน้าหนีไปทางยอดหอคอย แล้วเอ่ยเบาแทบไม่ได้ยิน 
    “คนสกปรกมีข้าคนเดียวก็พอแล้ว”

    ลุคเอียงคอมองด้วยความสงสัย
    “เจ้าก็แต่งตัวสะอาดดีอยู่นะ “

    ฟิลเลียหัวเราะลั่น  
    “เจ้ายักษ์ซื่อบื้อ  เพราะแบบนี้ไง ข้าถึงรักเจ้า “

    รักหรือ
    แม้รู้ว่าไม่ควร แต่บางอย่างในอกก็ตื่นเต้นยินดี

    นางอมยิ้ม ก่อนจะตบบ่าแล้วลุกขึ้นยืน  
    “เอาล่ะข้าสบายใจแล้ว  ข้าคงต้องกลับไปเป็นแม่หญิงอีกครา “

    ลุคหันหน้าไปมองร่างบอบบางที่กำลังยืดแขน เพื่อแก้ปวดเมื่อย
    “ฟิลเลีย “

    นางหันมาก่อนจะเอียงคอด้วยความสงสัย
    “ว่าไง”

    อย่าพึ่งไปได้หรือไม่ อยู่ข้างข้าสักประเดี๋ยวเถิด
    “ เร็ก เป็นเพื่อนข้า  เจ้าอย่ารังแกเขาได้ไหม”

    นางขมวดคิ้วคู่งามเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
    “ข้าจะพยาม ”
     
    ร่างบอบบางหายลับไปทางที่จากมา
    ลุคมองมือตัวเอง  มือคู่นี้ใหญ่เสียเปล่า แต่กลับไขว่คว้าอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
     


    ..................................

               บน รถม้าหรูหราที่กำลังวิ่งบนถนนหลวง  มีชายผู้หนึ่ง กำลังอ่านรายงานที่ได้รับมาอย่างตั้งใจ แม้นอ่านจนมั่นใจว่าตนเองขึ้นใจ  ไม่มีตกหล่นแม้สักตัวอักษร แต่ก็ยังอ่านทบทวนอีกครั้ง เผื่อมีอะไรขาดตกบกพร่อง ชายผู้นี้ลุล่วงเข้าถึงวัยกลางคน ผมดอกเลาแซมดำ บ่งบอกถึงอายุ รอยเหี่ยวย่นทางหางตา และหว่างคิ้วบอกว่า การครุ่นคิดเป็นกิจวัตรประจำวันของชายผู้นี้  ภายในรถม้า นอกจากเสียงที่มาจากภายนอกแล้ว มิมีผู้ใดกล้าส่งเสียงอันใด ด้วยกลัวว่าจะรบกวน ผู้มากอิทธิพลที่อยู่ตรงหน้า

    แต่ถึงอย่างนั้น เลขาที่นั่งอยู่ตรงข้าม จ้องมองเขา สลับดูเอกสารในมือไปมาหลายครา  เหมือนรอจังหวะเวลาที่จะพูด จนชายผู้นั้นรู้ตัวจึงปิดเอกสาร
    “เจ้ามีอันใดจะพูดหรือไม่ “

    เลขาใช้ปลายนิ้วขยับแว่นตา ก่อนจะเอ่ย
    “นายท่าน ผู้น้อยมิเห็นด้วย “  

    “เรื่องอันใด “ ชายผู้นั้นเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าหนังของตน ก่อนจะส่งให้คนรับใช้

    “ จริงอยู่ว่า บริเวณนี้เป็นเขตอิทธิพลเก่า  ของแม่ทัพเบรุส  บริวารเก่าของเขา ย่อมมีอิทธิพลมีมากอยู่  แต่อย่างไรก็เป็นเพียง เขตอิทธิพลเล็กๆเท่านั้น   ข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดท่าน วุฒิสมาชิก ไกอัส จึงต้องมาเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีด้วยตนเอง “  แม้นั่งหลังตรงงามสง่า ตามที่ได้รับอบรมมา แต่ยังอดยืดอกขึ้นอีกมิได้

    “ว่าต่อไป “ มือหนาหยิบเอกสารชุดใหม่ขึ้นมา

    เมื่อได้รับอนุญาตให้พูด เลขาจึงบอกสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมา
    “ ผู้น้อย เกรงว่า  หากเราพยามผูกสัมพันธ์ กับกลุ่มอิทธิพลเก่าของแม่ทัพเบรุส  อาจทำให้ ผู้สนับสนุนของเราไม่พอใจได้ ในตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างเลือกตั้ง ผู้น้อยมีความเห็น ว่าเราไม่ควรเปลี่ยนแผนไปจากเดิม “

    ชายวัยกลางคน ถอนหายใจ
    “ ก็แค่เขตเล็กเท่าหยิบมือเท่านั้น จะพอใจหรือมิพอใจ ก็หาได้มีผลอันใดต่อข้าดอก  “
    ชายชราเงยหน้าจากเอกสาร ก่อนจะมองไปที่หน้าต่างรถม้า
    “เจ้าเชื่อ  เรื่องภูตผีปีศาจ หรือไม่ “

    เลขาขยับแว่นตาก่อนจะเอ่ย
    “ขออภัย แต่ผู้น้อยเชื่อสิ่งที่เห็นได้เท่านั้น”

    ฟ้าร้องครืนครางมาแต่ไกล ท่าทางฝนจะตก
    “ ข้ากำลังจะไปพบ  ผีของแม่ทัพเบรุส เจ้าเชื่อหรือไม่ ”

    วุฒิสมาชิกไกอัส ยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นกิริยาคนรับใช้ของตน  ก่อนจะเอ่ย
    “ไม่สิ เรียกผีของแม่ทัพเบรุส ย่อมไม่ได้  นางเหนือกว่า แม่ทัพเบรุสเสียอีก  หากรายงานที่อยู่ในมือข้า เป็น จริง  ข้าคิดว่า  ข้าจะได้พบกับสัตว์ประหลาด “


    เสียงดนตรีไพเราะ  คลอเบาๆ กลมกลืนไปกับผู้คนที่ออกเสียงเจรจา เสียงพูดคุยดังดั่งผึ้งกระพือปีก แสงนวลละออจากโคมไฟสูงค่าที่อยู่บนเพดาน หยอกล้อกับแสงไฟเครื่องประดับของฝูงชนที่อยู่ใต้มัน  ลุคอยากจะเพลิดเพลินนัก  แต่ด้วยหน้าที่บังคับ ทำให้สิ่งเหล่านั้นเลือนไปจากใจเสีบหมดสิ้น  ร่างสูงอยู่ในชุดเกราะเต็มตัว แม้นใบหน้าก็ยังสวมหมวกปิดบังใบ มีเพียงดวงตาสีดำดุดันเท่านั้น  ที่ให้ผู้คนมองเห็น  

    แม้จะขัดใจด้วยว่า บดบังสายตาแลทัศนะวิสัย แต่ก็เข้าใจได้  ด้วยว่าตนเองอยู่ในโลกที่แตกต่าง  ไม่อาจให้ใครเห็น ไม่อาจให้ใครรู้  แต่กระนั้น  ความพึงใจลึกๆในอกที่ได้ยืนใกล้นางกว่าใคร  ก็ลดความไม่พอใจไปได้มากส่วน  มีเพียงความขัดใจเล็กน้อยเท่านั้น  ด้วยกลัวว่า  อุปสรรคจากชุดเกราะจะทำให้ปกป้อง คนที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ดีพอ  ก็ถึงอย่างนั้นก็ยังวางใจได้  ด้วยนอกจากตน  ยังมีคนอื่น คนที่เหมือนตน  คอยปกป้องคนสำคัญตรงหน้าด้วยเช่นเดียวกัน

    นางแวดล้อมไปด้วยชายหนุ่มผู้ลาภมากดี คนเหล่าแต่งกายอย่างหรูหรา  อาภรณ์ดิ้นเงินไหมทองส่องแสงล้อเลียนกับแสงไฟ  แม้นถุงมือเพียงข้างเดียวก็อาจแพงกว่าทรัพย์สินทั้งหมดของลุคด้วยซ้ำ
    “แม่หญิงคืนนี้ท่านช่างงามนัก” ชายหนุ่มลูกผู้ดีจากไหนสักที่ ตัดสินใจว่าตนเองต้องนำหน้า กล่าวพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ พลางโค้งในแบบที่เจ้าตัวคิดว่าสง่างาม

    ลุคขยับกายระแวดระวัง  ด้วยคนตรงหน้าก้าวเข้ามาใกล้  ทำเอาชายหนุ่มผู้ดีตรงหน้า ถอยออกไปครึ่งก้าว พลางหน้าเสีย แต่มือเล็กตรงหน้าขยับห้าม

    “องค์รักษ์ ของแม่หญิง  ช่างซื่อตรงต่อหน้าที่เสียจริง “  ชายหนุ่มพยามปั้นยิ้ม พลางมองร่างสูงใหญ่ ที่ส่งรังสีดุดัน จนเผลอคิดว่าตนทำเหตุอันใดผิดไป 

    นางส่งยิ้มเศร้าสร้อย ดวงตากลมโตคู่นั้นมี หยาดน้ำตาเล็กน้อย  เพียงเท่านั้น ก็ทำให้ใจเหล่าชายหนุ่มที่รุมล้อมแม่หญิงตรงหน้า  ตกไปยังเบื้องลึก หากไม่มีรังสีอำมหิตของร่างสูงใหญ่ตรงหน้าแล  มารยาทผู้ดีที่ฝังตัวตั้งแต่เยาว์วัย คงเข้าไปโอบกอด ร่างเล็กตรงหน้าไปเสียแล้ว

    “ขออภัยด้วยเถิด  ข้าเป็นหญิงอาภัพ ไร้ซึ่งบิดามารดาคุ้มภัย มีเพียงท่านลุงเท่านั้นที่เมตตาข้า องครักษ์ผู้นี้ จึงระแวดระวังให้ตัวข้าอย่างที่สุด”

    โอ..เหล่าชายหนุ่มแทบจะแย่งกันส่งผ้าเช็ดหน้าของตน ให้แม่หญิงคนงามตรงหน้า บ้างก็เสนอบ้างอวดความมั่งคั่งของตนว่ามีสิ่งใดในมือ บ้างก็โอ้อวดกองกำลังในมือว่าจะให้ความคุ้มครองแม่หญิงคนงามตรงหน้าอย่างไร   

    ฟีลเลีย ยิ้มหวานตรึงใจ  พลางย่อกาย ในแบบผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว  
    “ข้าขอบคุณ  เหล่าคุณชาย ทุกท่านมาก  ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก มีเพียงสิ่งหนึ่ง อยากจะรบกวนทุกท่าน สักเล็กน้อย”  
    นางเว้นรอจังหวะเล็กน้อย ให้เสียงแก่งแย่งกันรับคำสงบลง  ก่อนจะเอ่ย
    “คนๆนี้เป็น ญาติของข้าเอง  กำลังจะเรียนรู้เส้นทางทางการเมือง ขอคุณชายช่วยเหลือเขาด้วย" นางเอียงตัวก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
    “ขอทุกท่านรู้จักกับ  ว่าที่ผู้สมัครสมาชิก สภาเมืองคนใหม่ “

    “นางปีศาจ เจ้าอยู่ที่ไหน”  
    เสียงดัง ไร้มารยาท สวนกับเสียงเพลง ตามด้วยเสียงอื้ออึงของฝูงชนที่แหวกออกเป็นสองข้างทาง 

     ลุคเคลื่อนกายบดบังร่างเล็กตรงหน้าโดยสัญชาตญาณ แต่มีแรงกระตุกชายผ้าคลุม ตามด้วยเสียงบางเบาจนแทบไม่ได้ยิน “อย่าฆ่านะ”
    ลุคถอนหายใจเล็กน้อย  ก่อนจะก้าวเข้าไปหาชายร่างอ้วนหัวล้าน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงสมาชิกผู้สูงศักดิ์ ที่ทุกคนในเมืองให้ความเกรงใจ ร่างอ้วนนั้นกำลังกวัดแกว่งมีดในมือดูน่ากลัว ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุรา 

    “นางปีศาจ อยู่นี่เอง  เอาทุกอย่างของข้าคืนมานะ" ร่างนั้นพุ่งเร็วจนไม่น่าเชื่อ  ผิดกับสภาพที่เห็น  แต่ลุคเร็วกว่ามาก ฉากออกด้านข้าง แล้วใช้ดาบทั้งฝัก ฟันไปที่ข้อมือพลิกข้อมือ  ก่อนจะก้าวประชิดแล้ว ฟันอีกครั้งที่ข้อพับ ทำเอาร่างอ้วน  ล้มทั้งยืน  คนที่ยืนตะลึงต่างกรูเข้าจับกุม  ผู้ก่อความวุ่นวายทันที เชืกเส้นโตถูฏใครสักคนนำมา ผูกที่ข้อมือ

    “ท่านทั้งหลายได้โปรดเบามือหน่อยเถิด  เขาผู้นั้นหายใจไม่ออก “ นางกล่าวห้าม

    “แต่แม่หญิง  ชายผู้นี้คิดทำร้ายแม่หญิง” หนึ่งในผู้ที่กลุ้มรุมชายหัวล้านกล่าวโทษ  พร้อมกับสำทับน้ำหนักที่กดลงไป

    นางน้ำตาคลอเบ้าพร้อมกับกล่าว “ได้โปรดเถิด ข้าขอร้อง ชายผู้นี้แค่เมาเท่านั้น”  

    ชายผู้นั้นถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ย “ พวกเราเบากำลังลงเถิด " ลุคก้าวเข้ามารับหน้าที่ต่อจากเหล่าชายหนุ่ม

    ชายหัวล้าน รวมรวมพละกำลัง ต่อต้านสุดฤทธิ์ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงความคั่งแค้น
    “ทำไม  ทำไมเจ้าไม่ฆ่าช้า เจ้าเอาทุกอย่างจากข้าไปแล้ว  เจ้าต้องการอะไรจากข้าอีก “ น้ำลายแตกฟอง   ดวงตาแดงก่ำดั่งเลือด  หากนางตายได้ด้วยสายตา ร่างของนางคงเป็นชิ้นหานับส่วนมิได้

    น้ำเสียงลุแก่โทษ  ออกมาจากปากคู่งามด้วยเสียงที่สั่นเครือ
    “อภัยให้ข้าด้วยเถิด  สุราในงานคงแรงไป  จึงทำให้ท่านขาดสติ " ร่างเล็กโอบกอดศรีษะล้านอย่างไม่รังเกียจกลิ่นสุราแรงที่ทำให้ย่นจมูกได้ ราวกับภาพพระแม่อันบริสุทธิ์ให้อภัยหมู่มาร

    เสียงกระซิบบางเบาดังที่ข้างหู
    “น่าสนุกใช่มั้ยล่ะ เจ้าเกือบถึงตัวข้าได้แล้วนะ มีความหวังขึ้นมาใช่หรือไม่ ”

    “จ….เจ้า”บางสิ่งคลืบคลานจากท้องมวนขึ้นในอก

    "เจ้าคงไม่คิดหรอกนะว่าจะผ่าน คนของข้าได้ง่ายดาย ด้วยลูกไม้เพียงเท่านั้น  สำราญใจนัก การให้ความหวังคนแล้วทำลายมันในท้ายสุด "

    ชายหัวล้านแทบกระอักเลือดตาย ที่เขาสุ่มเสี่ยงชีวิต ฝ่ายามรักษาความปลอดภัย  แอบซุกซ่อนอาวุธในกาย   ทั้งๆที่รู้ว่าหากถูกจับได้  อย่าว่าแต่ความแค้นเลย  ใบหน้าของนางก็คงไม่ได้เห็น แต่ถึงทำเพียงนี้  ทุกอย่างยังอยู่ในมือนาง  อย่างไรก็ตาม นางห่างไกลเกินเอื้อมมือของเขา  ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้  แต่เขาต้องประกาศให้ทุกคนรู้ถึงความชั่วช้าของนาง 

     แต่ทว่า เด็กสาวคนงามตรงหน้า ยกนิ้วเรียวยาว จรดริมฝีปากของนาง ก่อนจะเอ่ย ด้วยเสียงไพเราะ
    “รักษาสุขภาพด้วยเถิด  ท่านคงเป็นห่วงลูกสาวท่าน  ที่นครการศึกษาใช่หรือไม่ ทั้งแม่ของท่านที่เฒ่าชแลแก่ชรา  ที่นครโครรารัม คนรอบกายท่าน  ทุกคนๆที่ท่านรู้จัก ทุกๆคนที่ท่านห่วงใย ท่านคงเป็นห่วงใช่หรือไม่” 
    นางเว้นวักไปครู่หนึ่ง“ท่านไม่ใช่แค่ตัวคนเดียวหรอกนะ “ 

    เพียงเท่านั้น  ความหวาดหวั่นถึงขีดสุด  ก็ลุแก่ใจ  ทุกๆย่างก้าวอยู่ในมือนาง  เด็กสาวที่อายุเพียงแค่รุ่นลูก
    “จ....จะ...เจ้ารู้ได้ยังไง”

    สัตว์ประหลาด

    นางยิ้ม
    ............

    บนทางเดินทางทอดยาวที่ปูด้วยหิน แสงจากที่ติดอยู่ตามกำแพง ให้ความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างความชัดเจน และความเลือนลาง ความอึกทึกจากงานเลี้ยง ดังเล็ดลอดมาแต่ไกล เสียงฝีเท้าดังตามทางเดิน เสียงหนึ่งนั้นแผ่วเบา ด้วยเจ้าของเป็นคนร่างเล็กบอบบาง หากแต่อีกเสียงนั้น แผ่วเบายิ่งกว่า แม้นเจ้าของเสียงนั้น เป็นคนสูงร่างใหญ่ อีกทั้งยังใส่ชุดเกราะเต็มตัวแต่ถึงอย่างนั้น ก็กระทำการไม่สมตัว

    ชายร่างใหญ่เหลือบมอง คนร่างเล็กด้านข้าง

    เขาไม่อาจปฏิเสธบางครั้ง เขาสงสัยในการกระทำของนาง เป็นนางเอง ที่อนุญาตให้เขาสงสัยในทุกสิ่ง ในทุกการกระทำของนางได้ นางว่ามีเพียงก้อนดินเท่านั้นที่ไม่สงสัยในสิ่งใด และเขาก็มิใช่ก้อนดิน แต่ถึงอย่างนั้น นางมักบอกในสิ่งที่เขาต้องการรู้ เพียงแต่ต้องรอเวลาที่นางเห็นว่าเหมาะสม นางเป็นจะฝ่ายบอกเสมอ และเป็นเช่นนี้เสมอมา

    "เจ้าคงสงสัย ใช่รึไม่ ว่าเหตุใดข้าจึงปล่อยคนผู้นั้นไว้" นางเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบ

    บางครั้ง ลุคก็สงสัยว่านางอ่านใจคนได้หรืออย่างไร ดวงตาดุดันอ่อนแสงลง มุมปากคล้ายจะยิ้ม ก่อนจะเอ่ย

    "เจ้าคงคิดมาดีแล้ว"

    นางเบือนหน้าหันไปมองทางงานเลี้ยง

    " บางครั้ง คนเป็นก็ใช้งานได้ดีกว่าคนตาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าต้องให้คนผู้นั้นทำงานให้ข้า "

    ลุคเอียงคอมองนาง ความสงสัยพรั่งพรู

    "คนผู้นั้นแค้นเคือง เจ้าเสียมากมาย จิตคนผู้นั้นเต็มไปด้วยความคลั่งแค้น ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดคนผู้นั้น จะเปลี่ยนใจมารับใช้เจ้าได้ "

    "ความโกรธนั่นล่ะ ทำให้เรื่องมันง่ายดายเสมอ"

    หลังเอ่ยคำ นางชุูแขนเรียวขึ้นสูงก่อนจะบิดไปมา

    "ไม่เอาละ น่าเบื่อเสียจริง เลิกพูดเรื่องคนหัวล้านเป็นการดีกว่า ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้า"

    นางเปลี่ยนเร็วอย่างที่เคยเป็น ลุคอยู่กับนางมาพอสมควร แต่บ่อยครั้ง ลุคก็ตามคนตรงหน้าไม่ทัน
    "เรื่องอันใด"

    "เจ้าว่าเงินคือสิ่งใด"

    ลุคเอ่ยโดยแทบไม่ต้องคิด
    " ก็สิ่งที่ไว้ซื้อของ"

    นางหัวเราะเห็นฟันขาวเรียว
    " คำตอบ สมเป็นเจ้าดีนะ"

    "มิถูกรึ" ลุคสงสัย

    ดวงตาสีดำบ่งบอกถึงความสนุกสนาน
    "มิผิดหรอก แล้วเหตุอันใดจึงซื้อของได้ล่ะ "

    "เพราะมันมีค่า"

    นางยิ้มซุกซน
    "ใช่แล้วเพราะ มันมีค่า เจ้าเชื่อว่ามันมีค่า ข้าเองก็เชื่อ ทุกผู้ทุกนามก็เชื่อว่ามันมี แล้วถ้าหากวันใด ทุกคนไม่เชื่อล่ะ "

    "เงินก็ใช้ไม่ได้ " ลุคหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
    "นั่นเป็นไปได้ด้วยหรือ"

    "นั่นน่ะสิ น่าสนุกดีใช่หรือไม่ "นางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×