ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ใจ....เจ้าเอย

    ลำดับตอนที่ #3 : ก้อนเนื้อเล็กๆที่เรียกว่าหัวใจ (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 12 ธ.ค. 54


     
    พี่สาวคนรอง บี สาวห้าว โหด ซึน
    คำพูดจากปากน้องชาย  พี่ช่วยแยกขยะกับชั้นในของพี่ได้ไหม ผมขอร้อง




    กริ๊ง.........
    เสียงกริ่งเลิกเรียนดังยาว
    เป็นสัญญาณบ่งบอกเวลา เหล่าฝูงทโมนทั้งหลาย ได้เวลาปลดปล่อยแล้ว เสียงพูดคุยจอกแจกจอแจ
    ดังไปทั่วบริเวณ ผมเก็บข้าวของเข้ากระเป๋าก่อนจะยกขึ้นสะพาย เพื่อที่จะเตรียมตัวกลับ
    ยังไม่มีเป้าหมายจำเพาะเจาะจง  แต่ผมตั้งใจว่าจะไปแวะดูหนังสือที่ร้านสักหน่อย แล้วค่อยกลับบ้าน


    ครืด.....ประตูสีเทาของห้องเรียนผมถูกเปิดออก พร้อมกับร่างบอบบาง เรียกร้องความสนใจ   จากบรรดาผู้ชายในห้องผมได้มากโข ทั้งที่โสดและไม่โสด รอยยิ้มกว้างถูกส่งมาให้ผม และมีรอยประหม่าในแววตา จากการที่ถูกเพศตรงกันข้าม มองอย่างไม่ละสายตา

     

    ว่าไงน้ำอุ่น

     

    สวัสดีค่ะพี่ดี เธอเดินเข้ามาใกล้  พร้อมกับส่งยิ้มเขินๆมาให้เหมือนทุกครั้ง

     

    วันนี้ พี่ดีว่างไหม "

    " พี่ว่างสำหรับน้องสาวพี่เสมอล่ะ " ผมลูบหัวเธออย่างเอ็นดู

    "แหวะ....จะอ้วกว่ะ " เสียงยัยแก้วเพื่อนร่วมโลก ที่เรียนอยู่ในห้องเดียวกันกับผม ทำท่าผอืดผะอม

    ผมหันไปส่งยิ้มให้ จะว่ายิ้มก็ไม่ถูกเท่าไหร่ ออกทำนองแสยะมากกว่า
    " ใครเสกเด็กเข้าท้องหรือไง "

    " ไอ้หมา ....แกว่าใครวะ "ยัยแก้วถลกแขนเสื้อทำท่าจะเอาเรื่องผม ยัยทอมเนี่ยไม่รู้เป็นอะไร ชอบมาหาเรื่องผมได้ทุกเวลา ยิ่งหลังๆ ยิ่งถี่และหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดอะไรยัยนี่นะ และผมเชื่อว่ายัยนั่นก็เหมือนกัน
    เราออกทำนองคู่กัดซะล่ะมากกว่า

    "เปล่า แค่เอ่ยลอยๆ
    ร้อนตัวรึไง " ผมหันไปส่งสัญญาณให้ น้ำอุ่นเดินตามผมมา

    หลังเราออกจากห้อง ผมยังได้ยินเสียงของยัยนั่น อาละวาดเป็นระยะๆ สงสัยวันแดงเดือดล่ะมั้ง
    " พี่ดี น้ำอุ่นไปทำอะไรให้พี่เค้าไม่พอใจหรือเปล่าคะ " เธอถามผมด้วยสีหน้าเชิงหวาดๆ

    ไม่
    ปลกที่เธอจะรู้สึกแบบนั้น ยัยนั่นน่ะทำท่าไม่พอใจที่เห็นผมอยู่กับน้องผม สงสัยกะจะคั่วยัยนี่แน่ๆเลย
    เห็นแววตาแป๋วๆออกแนวใสซื่อ แบบนี้ใครไม่รู้สึกอะไรก็แปลกแล้ว  แต่ยัยน้ำอุ่นกลับคิดไปว่า
    คุณเธอไม่ชอบหน้าตัวเองซะงั้น

    "เปล่าหรอก แค่หมาบ้าน่ะอย่าไปใส่ใจเลย "ผมขยี้หัวเธออย่างหมั่นเขี้ยว

    " พี่ดี หัวน้ำอุ่นยุ่งหมดแล้วนะ " เธอเอามือจัดผมเส้นเล็กของเธอให้เรียบร้อย พร้อมกับทำแก้มป่องอย่างงอนๆ

    ผมไม่พูดอะไร ได้แต่เพียงส่งแววตาเอ็นดูไปให้เธอ
    ทันทีที่สบตากัน สีแก้มของเธอค่อยๆแดงเรื่ออย่างน่าขำ พร้อมกับเสมองไปทางอื่น

    " เป็นอะไรแก้มแดงๆนะเราน่ะ ร้อนเหรอ " ผมล้วงเอาสมุดเล่มบางจากในเป้ ขึ้นมาบังแดดให้เธอ

    "ปะ....เปล่า....เอ่อ..ใช่ค่ะ ว่าแต่ พี่ดีไปซื้อของเป็นเพื่อนน้ำอุ่นได้ไหมคะ "
    เธอเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ทำเอาผมตามแทบไม่ทัน

    "ได้สิ..สำหรับ น้องสาว....พี่ทำให้ได้อยู่แล้ว "

    " ขอบคุณค่ะ "
    แวบหนึ่ง ผมเห็นแววตาหม่นแสงในดวงตาของเธอ
     แต่ผมคงคิดไปเอง เพราะแววตาที่ร่าเริงกลับมาอีกครั้ง 
    " งั้นเราไปกันเลยนะคะ " เธอสอดแขนคล้องแขนผมพร้อมกับเดินหน้าอย่างร่าเริง

    ไม่น่าเชื่อว่า เด็กสาวที่มีชีวิตชีวาขนาดนี้ จะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ผมไม่เคยอยากเชื่อเลยจริงๆ
    แม้ว่า มันจะออกจากปากพี่ชายแท้ๆของเธอ
     ในวันที่เราพบกัน เมื่อสามเดือนก่อน


    สามเดือนก่อนหน้านี้

     ผมจำได้ดี แม้ว่าจะผ่านมากว่าสามเดือนแล้วก็ตาม ท้องฟ้าเป็นสีเทาครึ้มด้วยเมฆฝน ลมแรงบ่งบอกว่า ใกล้จะได้เวลาที่หยดน้ำจากท้องฟ้าจะร่วงหล่นลงมาแล้ว ผมที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะกลับบ้าน 
    ทันทีที่ผมพ้นออกไปนอกตึก ก็พบร่างสูงที่ดูคุ้นตา ใครกันนะ
    เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่า คนนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก  
    พี่น้ำนิ่งนี่เอง เขากำลังยืนพิงเสา ด้วยท่าทีที่หนักใจในอะไรสักอย่าง

    ผมอดเอ่ยปากทักไม่ได้ ตามประสาคนรู้จักกัน
    " พี่มารับน้ำอุ่นเหรอครับ น้ำอุ่นกลับไปแล้วพี่ ผมเห็นรถที่บ้านมารับไปแล้ว
     "

    พี่น้ำนิ่งตอบกลับมา ด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
    " พี่มีเรื่องคุยกับเรานั่นล่ะ "

    " ผมเหรอ
    ? " ผมเอามือชี้ตัวเองด้วยความแปลกใจ

    "ใช่ ไปกับพี่หน่อยได้มั้ย " พี่น้ำนิ่ง พยักหน้าไปทางรถสีเแดงที่มีรอยชนคันเดิม

    ผมเดินตามไปที่รถแทนคำตอบ คงไม่มีอะไรล่ะมั้ง
    ใจผมไพล่ไปคิดถึงอุบัติเหตุเมื่อวานนี้ และผมคิดว่าแกคงมาพูดเรื่องนี้ ทันทีที่เจ้ารถสีแดงแสบตาออกตัว
    ฝนที่ตั้งเค้าอยู่นานทำท่าจะตก ก็โปรยตัวลงมา ทำเอาอากาศที่เย็นอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความหนาวเหน็บยิ่งขึ้น
     
    ผมแอบมอง สีหน้าด้านข้างของคนขับ ดูเหมือนว่าจะมีความหนักใจเหลือเกิน
    แม้จะถูกปิดบังโดยสีหน้า แต่แววตาก็ยังคงปิดไม่มิด

    " ดีสิ่งที่ พี่พูดนี่ไม่ใช่จะดูถูกนะ อย่าเข้าใจผิด " ชายร่างสูงที่นั่งข้างผม เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน

    " อะไรครับพี่ "

    " เอ่อ.....น้ำอุ่นเป็นไงมั่ง "

    ผมอดไม่ได้ ที่จะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย เมื่อสีหน้าและแววตา รวมทั้งคำเกริ่นนำ
    ไม่ได้บ่งบอกว่า จะเป็นคำถามที่สบายๆ อย่างที่ปากชายคนนี้พูดออกมา

    " ก็ดีครับ น้ำอุ่นร่าเริงดีครับ ดูเหมือนว่าน้องเค้าจะเข้ากับเพื่อนได้ดี ออกจะดีเกินไปด้วยซ้ำ "
    ผมไพล่ไปคิดถึงวันแรกที่เธอมาเรียน ดูเหมือนว่าเธอ จะกลายเป็นคนดังในชั่วพริบตา ด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามและความร่าเริง ที่กินใจหลายๆคน และที่สำคัญ ผมพึ่งรู้ว่าธุรกิจที่พ่อและแม่เธอทำอยู่จะเจริญรุ่งเรือง ขนาดที่ว่า ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ซึ่งเธอก็รับสถานการณ์นี้ได้ดี
    โดยการที่เว้นระยะไม่เข้าใกล้ใครเกินไป จนไร้ซึ่งความระแวดระวัง และไม่ห่างเหินจนเรียกได้ว่า ถือตัว
     
    ยกเว้นกับผม เมื่อก่อน เธอยังเป็นน้องสาวตัวน้อยของผมยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
     

    "เหรอ...." พี่น้ำนิ่งหันหัวรถไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ก่อนจะจอดเจ้ารถสี
    แดงในลานจอดรถใต้ดิน  ทันทีที่รถจอดสนิท ทุกสรรพสิ่งต่างเงียบงัน อากาศที่เกิดจากความขมุกขมัวของท้องฟ้า
    ไม่ทำให้
    ในรถสว่างมากนัก ถึงจะพอมองเห็น แต่ทว่าก็ไม่ได้ชัดเจนอย่างที่ใจคิด
    พี่น้ำนิ่งล้วงอะไรบางอย่างในกระเป๋าเสื้อออกมา แล้วยื่นส่งมันมาให้ผม มันเป็นกระดาษรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า

    เมื่อผมรับมันมาดู ก็พบว่ามันคือ เช็ค สั่งจ่ายในนาม....ถ้าผมอ่านไม่ผิด มันคือชื่อผม จำนวนกว่าห้าล้าน

    "นี่มันอะไรครับ พี่น้ำนิ่ง "
     

    "ช่วยทำดีกับน้ำอุ่นได้ไหม " สีหน้าและแววตามันบ่งบอกได้ว่า ถ้าต้องคุกเข่าขอร้อง ชายคนนี้ก็จะไม่ลังเล

    "พี่ครับ....ผมก็ทำดีกับเธออยู่แล้วนี่ครับ แล้วอีกอย่าง นี่มันอะไรกันครับ "

    " ทำดีกับเธอให้มาก อย่าทิ้งเธอ อย่าทำให้เธอต้องเสียใจ และอย่าจากเธอไปไหนอีก "
    วลีหลังฟังเหมือนว่า  เขาไม่ได้พูดกับผม แต่พูดกับใครอีกคน  ใครอีกคนที่สำคัญกับเขาเหลือเกิน

    " พี่ครับ พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะครับ "

    ชายร่างสูงกำพวงมาลัยแน่น จนหนังที่หุ้มอยู่ ส่งเสียงเอี๊ยดอาดอย่างประท้วง บ่งบอกว่า สิ่งที่เขากำลังจะพูด
    มันสร้างความหนักใจให้เขาขนาดไหน ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย
    " น้ำอุ่น......เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว "
     
    "อะไรนะพี่
    ? " ผมทวนคำถาม ด้วยความไม่แน่ใจ ในสิ่งที่ได้ยิน

    " น้ำอุ่นเป็นโรคหัวใจ หัวใจของเธออ่อนแอมาก หมอบอกว่า กรุ๊บเลือดเธอ เป็นกรุ๊บพิเศษ ที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยซะอีก ไม่ต้องพูดถึงการบริจาดหัวใจที่น้อยอยู่แล้ว และหมอบอกว่าถ้าไม่ได้หัวใจใหม่เร็วๆนี้ เธออาจ...."
    เสียงของผู้ชายคนข้างๆเงียบเสียงลงไป ด้วยกลัวในสิ่งที่ตนกำลังพูดออกมา

    "แต่น้ำอุ่น ก็ดูปกติดีนี่ครับ " ผมเอ่ยแย้งด้วยเมื่อเห็นสภาพของเธอ ที่มองไม่ออกซักนิด ว่าป่วยอยู่

    " นั่นเพราะ เธอยังไม่มีอาการ แต่ถ้าเมื่อไหร่ เธอเสียใจ หรือตกใจมากๆ เธอก็อาจจะ..... "

    ทุกอย่างต่างเงียบงัน เมื่อพี่น้ำนิ่งพูดจบ ชนิดที่ว่าถ้ามีใครซักคนหายใจแรงๆ ก็ยังได้ยิน


    " พี่ทำอย่างนี้ เท่ากับว่า พี่ดูถูกนะครับ "  ผมมองเช็คจำนวนห้าล้านในมือ เมื่อเข้าใจทุกอย่าง เจ้าสิ่งในมือผม
    มันคือค่าจ้าง ในการทำดีกับน้องสาวของเขา


    "ดี....พี่ไม่ได้ " คำพูดของเขาหายเข้าไปอยู่ในลำคอ เมื่อเช็คในมือผมถูกฉีกเป็นชิ้นๆ


    " พี่ครับ พี่กำลังดูถูกน้องสาวพี่เองนะครับ พี่กำลังดูถูกหัวใจของน้องพี่ ว่ามีค่าแค่....ห้าล้าน "

    " พี่ไม่ได้...."

    " ไม่ว่าพี่พูด หรือไม่ ผมก็ตั้งใจจะทำ อย่างที่พี่พูดอยู่แล้วครับ ผมจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น "
    ผมส่งยิ้มเลียนแบบยัยตัวยุ่งน้องสาวของคนข้างหน้า ที่ทำให้คนที่ได้รับมันสบายใจเสมอ
    ผมว่าถ้ามีโอกาส ผมว่าจะเขกหัวยัยตัวยุ่งซักหน่อย ข้อหาหมั่นไส้

    รอยยิ้มกว้างที่ได้รับกลับมา ทำให้ผมรู้ว่าถึงเมฆข้างนอกจะอึมครึม แต่ท้องฟ้าในใจผู้ชายคนนี้ คงมีแสงสว่างลอดออกมาแม้ว่ามันจะไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยมันก็ส่วนหนึ่งล่ะ
    " ขอบคุณนะ ดี....ขอบคุณมากๆ " พี่น้ำนิ่ง
     ดึงผมเข้าไปกอด เล่นทำเอาผมเหวอไปเลย

    " เอ่อ...พี่ถึงผมยังไม่มีแฟน  แต่ว่าผมก็ยังชอบผู้หญิงอยู่นะ "

    "ไอ้บ้า..."พี่น้ำนิ่งแทบจะเปลี่ยนจาก กอดเป็นถอดพวงมาลัยมาฟาดแทน
    แล้วเสียงหัวเราะก็เกิดขึ้นในรถคันเล็กๆ
    .....................................................


    " พี่ดีคะ....พี่ดี ฮัลโหลๆ " มือเล็กโบกไปมาต่อหน้าผม

    "อะไร ....." ผมตื่นจากผวัง ของเรื่องเมื่อสามเดือนก่อน
     
    " พี่จะลงหรือเปล่าคะ " อ้าวตายล่ะ นี่ถึงแล้วเหรอเนี่ย เรารีบลงจากแท๊กซี่ที่เรานั่งมา ก่อนที่บิดามารดาของใครซักคนจะสะดุ้ง เพราะถูกด่า เนื่องจากรถที่ติดเป็นแถวข้างหลังเรา ตอนนี้ เราอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าที่จอกแจกจอแจ ย่านชานเมือง
    ผู้คนมากมายต่างมาจับจ่ายใช้สอย หรือเข้ามาหลบไอร้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเมืองนี้ เราตกลงกันว่าจะมาเลือกหาซื้อหนังสือกันที่นี่

    " เหม่อ....แบบนี้ใจลอย ถึงใครรึเปล่าเอ่ย..." เธอเอ่ยอย่างล้อๆ

    " อืม...ก็นะ หลายคนอยู่ ก็คนมันเสน่ห์แรงช่วยไม่ได้ " ผมเงยหน้าอย่างเชิดนิดๆ

    "แหวะ.....ขี้โม้ "

    "รู้ได้ไง " ผมเอ่ยอย่างยิ้มๆ

    " น้ำอุ่นว่าสาวคนนั้น คงมีปัญหาทางสายตา หรือว่าไม่ก็คง โดนกระแทกที่หัวอะไรประมาณนั้น "
     
    "อยากจะลองดูรึเปล่าล่ะ " ผมลองจ้องมองตาเธอ แบบที่เคยเห็นผ่านตาในละคร ที่อนงค์นางทั้งสามในบ้านชอบดูกันเป็นประจำ ได้ผลหน้าของยัยตัวยุ่งค่อยๆแดงขี้นเรื่อยๆ
    "ยัยบ๊องเอ้ย..." ผมอดที่จะโยกหัวเธออย่างเอ็นดูไม่ได้

    ปึก!!
    เพราะเรามัวแต่คุยกันอยู่ ผมเลยชนไหล่ใครซักคน ในกลุ่มที่เดินสวนกัน เมื่อผมหันมาเพื่อที่จะเอ่ยขอโทษ
      
    ก็พบว่ากลุ่มนั้นเป็นคู่อริผมเอง.... พวกนั้นเป็นลูกน้อง เจ้าแบร์ ไอ้คนที่ผมฟาดปากกันไป เมื่อสองสามเดือนก่อน  ถึงจะไม่ได้เจอกันอีกนับตั้งแต่นั้นก็เถอะ

    ยุ่งล่ะสิ ลำพังตัวผม ไม่มีปัญหาหรอก เอาตัวรอดได้สบายๆอยู่แล้ว  แต่ว่าน้ำอุ่นน่ะสิ

    "มีอะไรเหรอพี่ดี " เธอเอ่ยปากถาม เมื่อผมจ้องเจ้าพวกนั้นอย่างไม่วางตา
    ผมไม่ได้ตอบเธอ แต่ใช้มือดันให้เธอไปอยู่ด้านหลังผม
     ทั้งกลุ่มหันมามองและรู้ว่าผมเป็นใคร
    ก็บังเกิดความเงียบที่น่าอึดอัด......

    "เฮ้ย....ไปกันเถอะ " ใครซักคนในกลุ่มพูดออกมา  ซึ่งดูเหมือนว่าพวกที่เหลือจะเห็นด้วย ต่างเดินจากไป
    แปลกๆแฮะ ปกติพวกนั้นไม่เคยเลยที่จะหยุดหาเรื่องผม หรือพวกเพื่อนผม
    แต่อาจเป็นเพราะหัวหน้าของพวกมันไม่อยู่ก็เป็นได้
    ที่จริงผมก็ไม่ได้เกลียดไอ้พวกนี้หรอก
    แต่ไม่ชอบไอ้ตัวหัวหน้าเท่านั้นเอง

    ที่จริง มีคนในกลุ่มนั้นเป็นเพื่อนกับรุ่นน้องผม  แต่ว่าขัดใจกันด้วยเรื่องผู้หญิง และลงท้ายด้วยการใช้กำลัง
     ผมที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้  เลยตั้งใจว่าจะไปห้ามพวกมัน แต่ไอ้แบร์ หัวหน้าพวกมัน   กลับเห็นด้วย ที่จะใช้กำลังตัดสิน
    เราเลยเถียงกัน และลงท้ายด้วยการแลกกำปั้น รุ่นน้องของเราที่ผมตั้งใจจะไปห้าม เลยต้องกลายมาเป็นกรรมการห้ามมวยแทน...... 
    ตั้งแต่นั้น ผมกับไอ้เจ้าแบร์จึงประกาศตัวเป็นศัตรูคู่อาฆาต เจอกันที่ไหน
    ซัดกันที่นั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ว่าแต่......ทำไมดูเหมือนพวกนั้นจะดูแปลกๆแฮะ เหมือนมันขาดอะไรไปอย่าง
    ผมได้แต่แปลกใจในอาการของพวกนั้น

    เมื่อผมพาน้ำอุ่นเดินห่างออกมาจากพวกนั้นได้พอสมควร ผมก็ถูกน้ำอุ่นจูงหรือเรียกว่าฉุดก็ได้ เข้าไปที่ร้านแห่งหนึ่ง หน้าร้านมีบ้ายเขียนว่า
    ดวงชะตา.....
     

    ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าร้านนี้มันเป็นร้านอะไร หมอดูแน่นอน ในร้านมีผ้าม่านสีม่วง  ให้ความรู้ขลังๆยังไงก็ไม่รู้
    ว่าแต่ ร้านนี้มันจะม่วงไปไหน ผ้าม่านก็ม่วง พรมก็ม่วง อะไรๆก็ม่วง ผมไม่ได้เกลียดสีม่วงนะ
    แต่ตอนนี้เริ่มเกลียดแล้วล่ะ

    ด้านในสุด มีลูกแก้วโต๊ะทำนายหนึ่งตัว  กระดิ่งที่ติดไว้กับผ้าม่าน
    มันเป็นอะไร ที่ขัดกับห้างดังย่านใจกลางเมืองสุดๆ นอกจากโต๊ะที่ตั้งอยู่ริมสุดแล้ว
    ในตู้โชว์ ยังมีอุปกรณ์เกี่ยวกํบการทำนายอยู่อีก ทั้งไพ่ ทั้งลูกแก้วเยอะแยะไปหมด น้ำอุ่นจูงมือผมไปที่ตู้โชว์ อย่างตื่นเต้น ชอบจริงๆเลยนะ เรื่องทำนายทายทักผู้หญิ
    เนี่ย บรรดาเจ๊ๆทั้งหลายในบ้านก็เหมือนกัน พอกันเลย ชอบสุดๆ  ว่าแต่ ทำไมไม่มีใครเลยล่ะ

    "ขอโทษครับ...มีใครอยู่มั้ย " ผมลองส่งเสียงออกไป

    " ค่า...ขอโทษค่า " เสียงเล็กๆฟังดูคุ้นๆหู โผล่ออกมาจากหลังผ้าม่าน

    ไม่ทันจะมองได้ถนัด เจ้าของเสียงก็ร้อง " เฮ้ย!!! "
     แล้วหายไปหลังผ้าม่านใหม่
    สักพักหนึ่งก็ออกมา ในชุดผ้าคลุมสีม่วงขลิบทอง....ที่มองไม่เห็นหน้าเลยเห็นแต่ลูกตาสีน้ำตาลที่มองดูคุ้นๆ

    "มีอะไรให้ช่วยคะ " เสียงแหบเครือ เหมือนกับคนอายุซักเจ็ดสิบ ดังออกมาจากคนในชุดม่วง
    น้ำอุ่นเดินออกมาข้างหน้า พร้อมกับส่งรอยยิ้มเอกลักษณ์ประจำตัว

    " คือมาดูหมอน่ะคะ "

    "เอ่อ....คือดูคนเดียวหรือเปล่าคะ "

    " อ๋อ....ค่ะ "

    "งั้นตามมาทางนี้ค่ะ " เธอเดินนำเข้าไปในซุ้มที่ตั้งอยู่ตรงสุดร้าน ผมเดินตามน้องสาวผมเข้าไปด้วย

    " หยุดเลยคุณ...ต้องเข้าไปคนเดียว "เธอทำมือปางห้ามญาติใส่ผม

    " ทำไมล่ะ " ผมอดเลิกคิ้วอย่างแปลกใจไม่ได้

    " คุณไม่เคยไปหาหมอเหรอ เวลาเค้าตรวจ น่ะ เค้าต้องให้ผู้ป่วยเข้าไปคนเดียวเท่านั้นล่ะ "

    "แต่...."
     คือที่ผมจะพูดน่ะคือเธอน่ะเป็นหมอดูนะ

    "
      ไม่มีแต่ค่ะ ยังไงก็หมอเหมือนกันค่ะ ขอเชิญคุณผู้หญิงค่ะ "
    พูดเสร็จเธอก็ดันหลังน้ำอุ่นเข้าไปในซุ้มก่อนจะดึงม่านปิด

    อืม....ผมคิดได้อย่างเดียว หลังฟังจบ เจ็บสีข้างมั้ยนั่น (สีข้างเข้าแถ)
    ผมปล่อยให้น้ำอุ่นเข้าไป ก่อนจะยืนฟังอยู่ด้านนอก ก็เค้าห้ามเข้าไม่ได้ห้ามฟังนี่นา อีกอย่างหมอดูคนนี้มีอะไรแปลกๆ
      ตอนแรกก็ฟังเหมือนคำทำนายทั่วๆไปหรอก ประมาณ เดือนนี้คุณไม่ควรใช้จ่ายมากนะ เดี๋ยวจะจน   อย่าออกไปข้างนอกตอนฝนตกเดี๋ยวจะเปียก อะไรทำนองนั้น

     แต่พอมาถึงเรื่องความรัก

    " ผู้ชายคนนั้น
     ของคุณ มีลักษณะ ...อืม  ค่อนข้าง สูง  ผิวขาว คิ้วเข้มปากแดงผมสีอ่อน มีความเป็นผู้ดูแลค่อนข้างสูง แต่ว่าเค้ากับคุณดวงไม่สมพงค์กันอย่างแรง ราหูจะอมแล้วไม่ยอมคาย  ชีวิตจะยุ่งเหยิง สติจะเปิดเปิง "

    ผมว่าที่สติจะเปิดเปิง น่ะ ยัยหมอดูนี่มากกว่า เดี๋ยวน้ำอุ่นฟังแล้วจะคิดมาก ผมว่าผมเข้าไปขัดซักหน่อยดีกว่า
     ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในซุ้มดูหมอ ดวงตาของแม่หมอนั่นก็เบิกกว้าง เหมือนตกใจ พอผมจ้องมองก็หลบตา
    ยิ่งดู ยิ่งแปลกๆ แฮะ แถมเสียงยังคุ้นๆอีก ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง

    " น้ำอุ่น เราไปกันเถอะ.. "
    ผมฉุดข้อมือน้ำอุ่น
     ให้ลุกขึ้นเดินออกมา

    " พี่ดีมีอะไรคะ " น้ำอุ่นมองผมอย่าง งงๆ
    ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร แม่หมอดูนั่นก็ลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว ไอ้ท่าแบบนี้มัน.....

    "เดี๋ยวคุณจะไปไหน ฉันยังดูหมอไม่จบเลยนะ ทำอย่างนี้คุณจะโชคร้ายนะ  " แม่หมอดูออกคำสั่งห้ามไม่ให้พาลูกค้าเธอไปไหน โดยอ้างเรื่องโชคลาง

    " คงไม่เท่ากับเจอคุณล่ะมั้ง " ผมว่าผมพาน้องสาวไปให้ไกลออกจากร้านนี้ดีกว่า
    ก่อนจะวางเงินค่าดูหมอลงบนตู้โชว์

    " ไอ้หมา แกว่าใครวะ!!! " เอ๋....ไอ้หมาเหรอ ยิ่งฟังยิ่งใช่เลย ผมหันควับกลับมาทันที

    พอเธอเห็นว่า ผม...กลับมาพร้อมด้วยสายตาที่ ใครหลายคน เคยบอกผมว่าเหมือนกำลังจะเอาเลื่อยยนตร์ หั่นใครซักคนเป็นชิ้นๆ คุณเธอก็ก้าวถอยหลัง......ไปเรื่อยๆ
     " คุณจะทำอะไรน่ะ "
    เธอก้าวถอยหลัง จนในที่สุด ก็เหยียบชายผ้าตัวเองล้ม........

    " ว้าย!!!!"
      ตามด้วยเสียงโครมครามอีกพักใหญ่ ก่อนจะโผล่ออกมาในสภาพที่ไร้ผ้าปิดบัง

    " ยัยแก้ว.... " ผมเอ่ยอย่างโมโหนิดๆ เมื่อสิ่งที่คิดไว้ถูกต้องแม่นยำ อย่างกับจับวาง

     "แฮ่ๆ  ว่าไง มาได้ไงเนี่ย "ยัยนั่นทำหน้าตาแอ๊บแบ๊ว แบบที่ว่าเค้าไม่รู้เรื่องเลยนะตัวเอง

    "
      เธอมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย "

     " คือว่า ..."  ไม่ทันที่ยัยนั่นจะตอบว่าอะไร

    "อุ๊ย!!
     "    ทันใดนั้นเองเจ้าบางสิ่งที่เป็นประกายแวววาว ก็หลุดออกมาจากสร้อยคอของคนด้านหลังผม น้ำอุ่นไล่ตระครุบเจ้าสิ่งนั้นที่หลุดออกมาจากคอเธอ  อะไรล่ะเนี่ย ทันทีที่มันหล่นต่อหน้ายัยแก้ว เจ้าตัวปํญหาก็รับมันมาไว้ในอุ้งมือ

    "
       เจ้านี่มัน...."  ทันที่เธอพูดจบ โครม!! ร่างเธอก็กระตุกอย่างรุนแรงอาการคล้ายกับการคนเป็นลมบ้าหมู   ดวงตาเหลือกขึ้นจนมองเห็นแต่ตาขาว ปากของเธอพึมพำขมุบขมิบ ฟังไม่ได้ศัพท์ แล้วทุกอย่างก็สงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมได้แต่อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก   แต่ว่าน้ำอุ่นกลับสติดีก่อนใครเพื่อน รีบเข้าไปหา ยัยแก้วทันที
    แต่แล้ว....
    จู่ๆ
      ยัยแก้วก็ลุกขึ้นจากท่านอนหันมามองพวกเรา  ดวงตามีแต่ตาขาวไม่มีตาดำเหลืออยู่เลย
    ทำเอาพวกเราถอยหลังออกห่างด้วยความตกใจ

    แล้ว
    คำพูดบางอย่างก็ออกมาจากปากเธอโดยที่เจ้าตัวไม่ได้อ้าปากแม้แต่น้อย

    " สามกายจะเหลือเพียงสอง แต่วิญญาณจะเท่าเดิม เมื่อใดสามนงคราญสมหวัง เมื่อนั้น ความทรงจำจะหวนคืน แล้วทุกอย่างจะกลับคืนดังเดิม " พูดเสร็จร่างของเธอก็สั่นอย่างรุนแรงจน ผมกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป
    ไม่ทันที่ผมจะทำอะไรร่างของเธอก็หยุดสั่นแล้วทุกอย่างก็สงบเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    แต่ทว่าน้ำอุ่นกลับเป็นคนที่ได้สติก่อนใครเพื่อน เธอเข้าไปจับๆดูเจ้าตัวปํญหาที่นอนแผ่อยู่กับพื้น
    ส่วนผมล้วงเอาโทรศัพท์มือถือ เพื่อที่จะโทรเรียกรถพยาบาล
    ให้ตายสิเบอร์อะไรเนี่ย....เค้าว่าเวลาคนตกใจมักจะลืม อะไรที่เคยจำได้ อย่างง่ายดาย ให้ตายเถอะไม่คิดว่าจะเป็นกับตัวเอง  แต่ทว่าร่างบอบบางที่นอนอยู่กับพื้นเริ่มขยับตัว ผมเลยเก็บโทรศัพท์เอาไว้ก่อน  แล้วช่วยน้ำอุ่นประคองยัยนั่นให้ลุกขึ้นครึ่งตัวก่อนจะถาม

    " เป็นไงมั่ง "

    " ไม่รู้สิอยู่ดีก็วูบไปเฉยเลย
     " เธอคลำหัวด้านหลังที่ตอนนี้ผมว่าคงเริ่มโนแล้วล่ะ

     

     

    แกเป็นโรคลมบ้าหมูเหรอ ผมถามเธอไปอย่างนั้นล่ะ เพราะก็เห็นๆกันอยู่เล่นล้มหงายตึงลงไปแถมพูดอะไรที่ ฟังไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก

     

    เปล่าซักหน่อย ยัยนั่นทำตาโต ตอบกลับมา

     

    อ้าวก็เมื่อกี้แก ล้มลงไปชักดิ้นชักงอ แถมพูด อะไรฟังไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก ผมอดเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวเลยแฮะ ไอ้เราก็ไม่เคยเป็นซะด้วย เลยไม่รู้ว่าคนเป็นโรคนี้ ตอนเกิดอาการจะรู้ตัวหรือเปล่า

     

    ฉันพูดว่าไงมั่ง ยัยแก้วกระชากคอเสื้อผม จนเล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูก และไม่เข้าใจว่า ตอนคนเป็นแบบนั้น ใครก็พูดอะไรมาได้ร้อยแปด จะไปใส่ใจทำไมกันนะ น่าสนใจที่ว่าตัวเองไม่รู้ว่าเป็น โรคลมบ้าหมูมากกว่า ผมหันไปมองหน้าน้ำอุ่น ก็ใครจะจำได้ล่ะครับ ตอนตกใจแบบนั้น ใครจำได้ก็เก่งแล้ว แต่ทว่า

     

    พี่พูดว่า.....สามกายจะเหลือเพียงสอง แต่วิญญาณจะเท่าเดิม เมื่อใดสามนงคราญสมหวัง เมื่อนั้น ความทรงจำจะหวนคืน แล้วทุกอย่างจะกลับคืนดังเดิม เธอพูดแบบแทบไม่มีติดขัด เล่นเอาผมทึ่งนิดๆ ผู้หญิงเนี่ยความจำดีจริงๆเลย.

     

    คำทำนาย...อีกแล้วเหรอ เธอเงียบไปพักหนึ่งเหมือนจะคิดอะไรอยู่ ก่อนจะพูดต่อ ไอ้หมาแกมีกระดาษมั้ย ยัยนั่นขยุ้มเสื้อนักเรียนผม ก่อนจะเขย่าอย่างร้อนใจ แล้วเหลือบมองหนังสือที่ผมซื้อมา

    ไม่มีทาง ผมเอาหนังสือผมไปไว้ด้านหลังตัวเอง

     

    แค่แผ่นเดียวเอง ยัยนั่นทำหน้าแบบอ้อนๆ

     

    ไม่ ฟังให้ชัดๆนะ...ไม่ ผมเน้นทุกคำพูด

     

    เธอยกมือยอมแพ้ก่อนจะกล่าว

    แล้วชั้นจะไปหากระดาษจากไหนเนี่ย

     

    เฮ้ย.....ลืมไปรึเปล่านี่ มันร้านแกนะ ผมพูดอย่างเซ็งๆ

     

    เออว่ะลืม ยัยรีบลุกขึ้นยืนก่อนจะหายไปหลังร้านพักหนึ่งก็ออกมาพร้อมกระดาษปากกา

    พี่พูดว่าไงบ้างนะ พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วยัยนั่นก็ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอีกต่อไป

     

    พี่พูดว่า.... น้ำอุ่นบอกในสิ่งที่เธอพูดออกไปเมื่อครู่ ซึ่งยัยแก้วก็จดลงไปอย่างตั้งใจ

     

    เฮ้ย...แก้ว แกควรจะไปหาหมอมากกว่ามาจดอะไรก็ไม่รู้แบบนี้นะ ผมเอ่ยทักท้วงเมื่อยัยนั่นอ่านทวนสิ่งที่ตัวเองจดแล้วทำท่าครุ่นคิดซึ่งเป็นอะไรที่ ไม่เข้าท่าอย่างแรง

     

     

    อะไรไม่รู้เหรอ นี่มันเกี่ยวกับแกโดยตรงเลยนะ ยัยนั่นมองผมแบบว่าผม ช่างเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรบ้างเลย

     

    อะไรของแก ผมเอ่ยถามกลับแบบ งงๆ

    ฟังนะไอ้หมา...ฉันรุ้ตัวดีว่าฉันเป็นอะไร เจ้านั่นเรียกว่าเข้าทรงทำนาย และมันไม่เคยผิดพลาดเลย ตระกูลฉันเป็นหมอดูมาหลายชั่วอายุคนแล้วนะ  ฉันมั่นใจ "

     

    ผมให้เวลาสองวิ

    “แต่ฉันมั่นใจว่าแกต้องไปหาหมอแล้วล่ะ ...ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

    น้ำอุ่นเราไปกันเถอะ ผมพูดพร้อมกับส่งสายตาว่าเราควรจะไปกันได้แล้ว

     

    แต่ว่าพี่ดีคะ

    น้ำอุ่นทำท่าอิดออดนิดหน่อย คงเป็นห่วงยัยนั่นล่ะ

     

    เมื่อเรามาถึงหน้าห้างที่แดดร้อนเปรี้ยง ตามปกติของประเทศนี้ แม้ว่าจะเป็นเวลาใกล้ๆจะห้าโมงแล้วก็ตาม ผมเดินข้ามถนนโดยที่น้ำอุ่นเดินตามหลังผมมา ผมหันกลับไปมองว่าทำไมเธอถึงได้ไม่เดินตามผมมา ก็พบว่าน้ำอุ่นกำลังค้นในกระเป๋าตัว อย่างกระวนกระวาย

     

    พี่ดีคะ สงสัยน้ำอุ่นลืมสร้อยไว้ที่ร้านนั้นแน่เลย เดี๋ยวน้ำอุ่นกลับไปเอาก่อนนะ

     

    ผมหันไปบอกเธอว่าผมจะเดินไปด้วย แต่ทว่า...

    น้ำอุ่น!!!!” รถสีน้ำเงินจู่ๆก็เปลี่ยนเลนพุ่งมาหาน้ำอุ่นที่กำลังจะข้ามถนน

     

    เอี๊ยด!!!!!!! เสียงเบรกดังสนั่น

     

    รถคันนั้นจอดสนิท ก่อนที่คนขับเปิดหน้าต่างหันมาว่าเรา

     

    ข้ามถนนดูมั่งสิวะ  เกือบโดนชนตายห่าแล้วไง

     

    ผมที่คว้าตัวน้ำอุ่นมาไว้ในอ้อมแขนได้ทันหันไปผงกหัวขอโทษคนขับก่อนจะก้มมองยัยตัวยุ่ง

    ยัยบ๊อง เป็นเด็กรึไง ทำไมข้ามถนนไม่ดู แต่ทว่าเธอกลับไม่ตอบผิวหน้าที่เคยขาวตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสีซีด เหงื่อเม็ดโตๆผุดเต็มหน้าผากใส มือเล็กกุมที่หน้าอก.....ข้างซ้าย

    พี่ดี น้ำอุ่นเจ็บหน้าอก

     

    เสียงพี่น้ำนิ่งดังในหัวผมทันที

    น้ำอุ่นเป็นโรคหัวใจ หัวใจของเธออ่อนแอมาก หมอบอกว่า กรุ๊บเลือดเธอ เป็นกรุ๊บพิเศษ ที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยซะอีก ไม่ต้องพูดถึงการบริจาดหัวใจที่น้อยอยู่แล้ว และหมอบอกว่าถ้าไม่ได้หัวใจใหม่เร็วๆนี้ เธออาจ....


    ไม่นะมันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

     

    ...........................................................................................


    บนทางเดินขาวสะอาด กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ของโรงพยาบาลให้ตายเถอะผมไม่เคยชอบที่นี่เลย
    มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ประตูเหล็กหนาราวกับจะกั้นโลกนี้จากสิ่งภายนอก
    ป้ายไฟที่ส่องสว่างเหนือประตูบ่งบอกว่ากำลังมีการผ่าตัด นับครั้งไม่ถ้วนที่ผมมองไปยังมัน ตั้งความหวังว่ามันจะดับลง และมีคนออกมาบอกเราว่า คนที่อยู่ด้านในปลอดภัยแล้ว

                       ผมแทบไม่กล้าสบตาคนที่อยู่ด้านข้าง มันเป็นความผิดของผมเองที่ทำให้น้ำอุ่นอยู่ในสภาพนี้ แม้คำปฏิเสธจะออกมาจากปากของพี่ชายของเธอ ส่วนพ่อกับแม่ของเธอ คาดว่าไฟล์เครื่องจากแอตแลนต้า น่าจะมาถึงในคืนนี้ เหงื่อชื้นๆในมือผมออกมามากมายเต็มไปหมด แม้ว่าอุณภูมิในห้องจะค่อนข้างต่ำเนื่องจากเครื่องปรับอากาศของโรงพยาบาล

    แรงกดหนักๆ จากมือหนาของพี่น้ำนิ่ง ที่แสดงอยู่บนไหล่ทำให้ผมต้องหันไปมอง

    น้องต้องไม่เป็นอะไรเชื่อพี่สิ น้ำคำปลอบใจจากพี่ชายของน้ำอุ่น ทำให้ผมสบายใจขึ้นมานิดหน่อย ทั้งๆที่เจ้าตัว ควรเป็นคนที่ได้รับคำปลอบใจจากผมแท้ๆ

     

    ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรตอบไป ประตูเหล็้กหนาก็เปิดออกชายในชุดเขียวก็ออกมาจากห้อง และพี่น้ำนิ่งเป็นฝ่ายที่ก้าวไปถึงก่อนผม

     

    หมอครับน้องผมเป็นยังไงบ้างครับ พี่น้ำนิ่งจับไหล่มหมอ เรียกได้ว่าแทบจะเขย่าเค้นเอาคำตอบ

    แม้มีสีหน้าที่เหนื่อยล้าแต่ชายในชุดเขียวยิ้มตอบกลับมาให้เรา

    ใจเย็นๆครับคนไข้ปลอดภัยแล้ว

     

    สิ้นคำพี่น้ำนิ่งก็ปล่อยไหล่หมอแล้วทรุดลงไปนั่งซะอย่างนั้น นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกว่าดีใจจนเข่าอ่อน

    ผมที่ดีใจไม่แพ้กันก้มลงไปประคองพี่น้ำนิ่ง

     

    ไอ้หมา

    เสียงผู้ชายที่ฟังดูคุ้นหูเรียกผมยู่ด้านหลังทำให้ผมต้องหันไปดู

    แต่ว่า...ก็ไม่มีใคร เค้าว่าโรงพยาบาลมีคนตายเยอะซะด้วยสิ หรือว่าจะเป็น.....

    ซวยแล้วไง



    ..........................................................




    By คนเขียน

    ขอบคุณที่อ่าน
    บุญรักษาครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×