ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟ้าสองสี

    ลำดับตอนที่ #3 : เร็ก

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 64


    บทที่ 2



     

    ชั่วสุดกาล นั้นนานนัก

    แต่ข้าจักรักเจ้าให้นานกว่า



    เมื่อหันไปมองก็พบว่าขาของใครคนหนึ่งขัดเข้าที่ข้อเท้า เร็ก รู้สึกได้ถึงรสเลือดที่อยู่ในปาก ร่างบางไม่สมชายเช็ดที่มุมปาก  แล้วออกเดินโดยไม่ใส่ใจ  นางอีกแล้ว  นางแวดล้อมไปด้วยเด็กในหมู่บ้านที่ติดใจในความงามของนาง  ซึ่งพร้อมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อซื้อใจ   เร็กไม่รู้ว่าเหตุใดฟิลเลียจึงเกลียดชังเขานัก  แต่รู้ว่าทุกครั้งที่เจอหน้ากันนางจะต้องมีเหตุให้กลั่นแกล้งเขาเสมอ  จงอย่าได้โอดควรญ   เมื่อพวกนั้นไม่ได้สิ่งที่ต้องการ  ก็ไม่มีเหตุอันใดจะให้มาตอแย  คนเราถูกหยามเหยียดได้พันครั้ง  แต่ตายได้ครั้งเดียว  ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่จะทำสิ่งใดก็ได้ เร็กบอกตนเองเช่นนั้น

     

    เร็กเป็นลูกนอกสมรสของ เชื้อพระวงค์ผู้หนึ่งกับชาวตะวันตก  สีผมจึงผิดแปลกจากทุกผู้บนแผ่นดินนี้  เขาไม่เคยนึกชอบใจในสิ่งที่มีในตัว  แม้มารดาจะได้การบำรุงจากบิดาจนไม่อัตคัดขัดสน  แต่อย่างไรก็ตามลูกนอกสมรส ก็ยังเป็นลูกนอกสมรสอยู่วันยังค่ำ  เคยนับครั้งไม่ถ้วนที่แม่ของเขาถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายภรรยาของบิดา  สีผมที่ผิดแปลกก็ทำให้เขาไม่ใช่ทั้งคนที่นี่  ไม่ใช่ทั้งชาวตะวันตก  เร็กไม่มีใครเลยที่อยู่ข้างเคียง 

    ชีวิตของเร็กเปลี่ยนไป เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง  อำนาจเก่าถูกโค่นล้มด้วยอำนาจใหม่  เก่าไปใหม่มา คลื่นลูกใหม่ทำลายคลื่นลูกเก่า  มีคนมากมายต้องตายไป  บิดาของเร็กเองก็เช่นเดียวกัน  น่าขอบใจเรื่องที่เป็นลูกนอกสมรส  ทำให้ไม่ถูกวังวนของการแย่งชิงอำนาจดูดกลืนไปด้วย  มีคนส่งเขามาที่นี่  คนผู้นั้นบอกว่า  พื้นที่นี้เป็นเขตอิทธิพลของผู้ภักดีและมีคุณธรรม ไม่มีที่ใดจะปลอดภัยไปกว่านี้อีกแล้ว  เร็กเชื่อถือในคุณธรรมและความภักดี  ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  เข้มแข็งรอด อ่อนแอตาย แต่คนเราไม่ใช่สัตว์ จะมีกำลังไว้เพื่อสิ่งใดหากปกป้องผู้ที่อ่อนแอไม่ได้

    เร็กเดินเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกเก่าๆแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าที่ไม่น่าไว้วางใจ  ตรอกนี้มีคนเรียกขานว่าตรอกชุมโจร   เมื่อในอดีต  ตรอกนี้เต็มไป ด้วยร้านค้ากิจการ  แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่ที่อิงแอบสนับสนุนฝ่ายที่พ่ายแพ้ โดนล้างบางกลั่นแกล้ง จนแทบไม่มีร้านที่เปิดกิจการ  เหลือเพียงร่องรอยความรุ่งเรืองให้เห็นเท่านั้น ไม่นานมิจฉาชีพเข้ามายึดครอง สุดท้าย ที่แห่งนี้กลายเป็นตรอกชุมโจรไป

     

    เร็กหยุดที่ประตูเหล็กบานหนึ่งก่อนจะเคาะ   เสียงครืดเกิดจากการเปิดช่องเล็กๆหน้าประตู  ดวงตาที่ไม่น่าไว้วางใจจ้องตอบกลับมา  ก่อนจะปิดลง  เสียงก็อกแก๊กดังขึ้น อึดใจเดียวประตูก็เปิดออก เมื่อร่างบางไม่สมชายเดินเข้าไป  ก็พบกับคนจำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน กำลังเล่นพนันกันอย่างคร่ำเคร่ง  เร็กพยักหน้าให้คนเฝ้าประตูที่ส่งยิ้มตอบกลับมา
    “ ท่านครูมาไวนัก ตัวข้านึกว่าสันติบาลเสียอีก ” เร็กไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มให้

    เสียงอึกทึกดังมาจากชั้นบน  ทำเอาเร็กต้องหันไปมอง ชายที่เปิดประตูให้ ชายคนนั้นยิ้มแหยๆ แล้วกล่าวว่า
    ”เสียงดังหน่อยท่านครู  วันนี้ เหมืองถล่ม  หลายคนเลยไม่ต้องไปทำงาน ข้าเลยให้ย้ายไปข้างบน  มันกว้างดี แต่ข้าให้คนย้ายกระดานดำ ไปข้างบนแล้ว ”

    เมื่อเดินขึ้นไปชั้นบน ก็พบคนจำนวนไม่ต่ำกว่า50กำลังรอเขาอยู่  ในนั้นมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เสียงอึกทึก ตึงตังดังมากจากในนี้เอง ห้องกว้างขวาง แลดูแคบในถนัดใจเมื่อพบกับจำนวน
    “ เงียบๆหน่อย ท่านครูมาถึงแล้ว “เสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นมาที่หลังห้อง  ลุคนั่นเอง  ลุคมีผมสีดำเสียยิ่งกว่าราตรี คิ้วคมเข้ม ใบหน้านิ่ว และคิ้วที่ขมวดแน่นเสมอ ทำให้ไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเข้าหา  แต่แท้จริงแล้วหากได้รู้จัก คนผุ้นี้ใจงามกว่าคนที่หน้าตายิ้มแย้มบางคนนัก 

    “สวัสดีทุกๆคน  ท่านน้าอเล็ก กรุณานั่งที่ด้วยขอรับ  โลตัสหยุดปาได้แล้ว “ เร็กรอให้ความสงบมาเยือน ก่อนจะกระแอมให้คอโล่ง “ เอาล่ะวันนี้เราจะมาเรียน เรื่องประวัติศาตร์กันต่อนะ “

    เสียงโห่ฮามาทันที  ชายแก่ผู้มีตาเดียว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ยกมือก่อนจะเอ่ย
    ”ท่านครู ข้าอยากเรียนอ่านหนังสือต่อ เมื่อวาน ลูกน้องข้ามาเย้ยหยันข้า ว่ามันอ่านเก่งกว่าข้า ข้าเรียนก่อนมันแท้ๆ “ พูดจบชายแก่ตาเดียว ก็กำมือทุบฝ่ามืออย่างเจ็บใจ

    หญิงสาวแต่งตัวเย้ายวน เสื้อผ่ากลางอกลางอก จนแทบปิดอะไรไม่มิด  พูดขึ้นก่อน เขาจะได้ตอบอะไร
    “ท่านครู ข้าว่าเรียนคิดเลขเป็นการดีกว่า เมื่อวาน ข้าว่า มีคนคดข้า แต่ข้าหาแน่ใจไม่ ไว้ข้าจะบริการท่านครู ให้ถึงขนาดเชียวฤา “  นางไม่พูดเปล่า ใช้สายตาเย้ายวน มองมาทางเร็ก

    “เรียนเลข “

    “ อ่านเขียน” 
    ทั้งสองถกเถียง ตามด้วยเสียงอึกทึก หลังจากที่เงียบได้ไม่ถึงชั่วอึดใจด้วยซ้ำ

     เร็กยิ้มอย่างพึงใจ ในตัวนักเรียนของเขา เปิดหนังสือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง เหล่านักเรียนของเขาซึ่งมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่  คนพวกนี้กว่าครึ่งใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืด หรือโลกของอาชญากรทำงานที่ผิดกฏหมาย  หากว่าใครมาเห็นเข้า คงไม่นึกว่า  อาชญากรตัวร้าย ที่หลายคนเพียงแค่เดินผ่าน ก็ตัวสั่นด้วยความหวั่นเกรง จะตั้งหน้าตั้งตารอเขาสอนหนังสือเช่นนี้ได้  


    อดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อนึกถึงวันแรกที่เจอคนพวกนี้



                วันนั้นเขาหลงทาง  ด้วยความที่ทรนงตนว่าอ่านแผนที่มาดีแล้ว  แต่สุดท้ายกลับทำตัวเองหลงทางเสียได้  ในตรอกนี้ถูกต่อเติมอย่างผิดกฎหมาย ทำให้แผนที่ไร้ซึ่งประโยชน์  เร็กได้แต่โทษตัวเองว่าควรจะศึกษามาก่อนหน้านี้  เมื่อมองไปทางไหน  ก็พบแต่สายตาไม่น่าไว้วางใจ  .....จนกระทั่ง เขาได้ยินเสียงคนตะโกนกว่า “สันติบาล!!”

    เร็กถูกกระแทก  ก่อนจะรุนหลังแล้วบอกว่า  “ วิ่งไป!!  อยากถูกจับหรืออย่างไร”  แม้พยามบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง  แต่ความที่ถูกรุนหลังและสถานการณ์ที่น่าตื่นตกใจ  ทำให้ต้องตกกระไดพลอยโจน  หนีสันติบาลไปกับเขาด้วย  เร็กถูกบอกให้วิ่งซ้ายวิ่งขวา  เข้าซอกนี้ออกทางนั้น  สุดท้าย  เร็กก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลงอยู่ที่ไหน และที่สำคัญ ตัวเร็กเองนั้น ก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นหนีสันติบาลไปทำไม

     เมื่อเงยหน้ามองรอบตัว ก็เห็นแต่ตึกทรุดโทรม และเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เขามีดวงตาสีดำดั่งอีกา  และผมสีดำยิ่งกว่ารัตติกาล  ดวงตาที่ดูดุดัน และคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ทำให้เร็กคิดว่า  ยามปกติเขาคงไม่เข้าใกล้คนผู้นี้ มากกว่า100ก้าวเป็นแน่  เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาใกล้  ทำให้เร็กต้องถอยหลังออกไปตามสัญชาติญาณ

    ดวงตาสีดำจ้องมองที่หนังสือที่เร็กถือมา  ทำให้เขาต้องมองหนังสือตนเองด้วยเช่นกัน ว่ามีอะไรผิดแปลกไป
    “เจ้า...” แววตาที่ดูดุดันอยู่แล้ว  ยิ่งดูดุดันยิ่งขึ้น เสียงนี้เองที่บอกให้เขาหนีสันติบาล

    เร็กไม่มั่นใจว่าตนเองทำอะไรผิดแปลกรึไม่  จึงคิดจะเอ่ยปากถาม  

    แต่ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากลับพูดขึ้นมาก่อน
    “เจ้าอ่านหนังสือออก  ใช่รึไม่” คำถามที่เอ่ยออกมาเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง  จนเร็กได้แต่ทำตาเบิกกว้างแทนคำตอบ


    “ ข้าถามประหลาดขนาดนั้นเลยรึ  ถึงได้ทำตาโตเช่นนั้น  ”  ดวงตาสีดำหม่นแสงลง 

    “ข้าอ่านออก “เร็กตอบกลับไป  เด็กหนุ่มคนนั้นกวักมือให้เขาเข้ามาใกล้ ก่อนชี้ไปตรงรูเล็กๆที่อยู่ตรงรั้ว แล้วทำท่าบอกใบ้ให้มอง  เมื่อร่างบอบบางไม่สมชายก้มลง  เร็กก็ได้ยินเสียงดังข้างหูว่า “มองเกวียนสีแดงดำที่จอดริมตึก เจ้าอ่านซิว่า ข้างเกวียน มันเขียนเช่นไร “

    ดวงตาสีเทาพายุพยามเพ่งมองเนื่องจากมันอยู่ไกล “มันเขียนว่า  ปกครองส่วนกลาง”

    เด็กหนุ่มข้างกายสบถในลำคอ 
    “พวกส่วนกลางมาเองเลยรึ  ข้าพึ่งจะจ่ายส่วยไปให้พวกนั้นแท้ๆ”


    จ่ายส่วยรึ เร็กขมวดคิ้ว  แม้นได้ยินว่าการกระทำมิชอบ เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไป แต่อย่างไร การกระทำเช่นนี้ ก็ไม่ชวนให้พึงใจอยู่นั่นแล  เร็กเชื่อมั่นในกฎหมาย กฎหมายคือสิ่งที่ทำให้คนเท่าเทียมกัน หากหามีกฎหมายไม่แล้ว ผู้อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้แก่ผู้เข้มแข็ง และกฎหมายคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์  แตกต่างจากสัตว์  ซึ่งทำสิ่งใดก็ได้ตามแต่ใจ

    ด้วยอารมณ์  เร็กจึงพูดโดยไม่ทันยั้งคิด
    “เจ้าไม่ทำให้มันถูกกฎหมายเล่า จักได้ไม่ต้องจ่ายส่วย “

    ดวงตาสีดำสนิทวาวโรจน์ ขึ้นมาทันที
    “ข้าไม่รู้หนังสือ  การสอบใบอนุญาตตั้งบ่อน ต้องรู้หนังสือ “
     เจ้าของดวงตาคู่นั้นอ่อนลง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
    “เรียนหนังสือ ต้องใช้เงิน  ข้าไม่ใช่คนที่มีจ่ายเงินให้เรียนหนังสือ  และถึงมีเงิน  ข้าก็เป็นชาวเถื่อน ไม่มีใครสอนหนังสือชาวเถื่อนดอก” 

    เร็กขมวดคิ้วมุ่น  เร็กเคยได้ยินมาจากท่านครู ย้อนกลับในอดีตรัชสมัยคอนแตนผู้พิชิต เกิดสงครามระหว่างลิเบอร์ลัม และฟรีดอม และในสงครามครั้งนั้นอาณาจักรลิเบอร์ลัมขาดแคลนกำลังทหาร จึงได้นำเอาทหารรับจ้างจากดินแดนอินดีส มาใช้งานในกองทัพ  แต่ทว่า ยามเมื่อลิเบอร์รัมตกอยู่ในสถานการคับขัน 

    ทหารรับจ้างเหล่านี้กลับแปรพักต์ไปเข้ากับฟรีดอม   เมื่อสงครามจบลง สายลมกลับเปลี่ยนทิศทาง  ผู้ได้ชัยกลับเป็นลิเบอร์ลัม  พร้อมๆกลับฟรีดอมก็ล่มสลายลงด้วยปัญหาภายใน  ส่วนประเทศอินดีสที่จากมาก็ถูกตะวันตกเข้ายึดครองเป็นอาณานิคม อินดีสที่ถูกยึดครอง ประกาศเนรเทศทหารรับจ้างเหล่านั้น เพื่อแลกกับการที่ตะวันตก ยื่นข้อเสนอเป็นพันธมิตรกับลิเบอร์ลัม

    ทหารรับจ้างอินดีสที่อยู่ในสงคราม กลับประเทศก็ไม่ได้ ไปเข้ากับพรีดอมก็ล่มสลายไปแล้ว และลิเบอร์ลัมก็รังเกียจด้วยความที่เป็นผู้ทรยศ  แม้กาลเวลาจะผ่านไปกว่า200ปีแล้ว  แต่ความรังเกียจและประวัติศาตร์ก็ยังเป็นที่จดจำ  ลูกหลานของคนเหล่านี้ถูกเรียกว่าคนเถื่อน ไร้ซึ่งดินแดน ไร้ซึ่งการยอมรับ ไร้ซึ่งบ้านที่จะกลับไป     

    แม้ว่ารัชสมัยในจักรพรรดิองค์ก่อน มีความพยามยามจะรับชาวเถื่อน เป็นลิเบอร์ลัมด้วยการประกาศ กฏหมายใหม่ แต่ทว่า ขณะที่เรื่องยังค้างอยู่ในสภา  องค์จักรพรรดิก็สิ้นเสียก่อน สิ่งเหล่านี้จึงไม่เกิด

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องมันก็เกิดมาเนิ่นนานมาแล้ว  คนรุ่นนั้นก็หาได้มีชิวิตอยู่สักคนแล้ว  สิ่งที่พ่อทำ 
    ไม่ควรเลยที่ลูกหลานจะต้องมารับผิดชอบ  มันไม่สมควร

    ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นจะมองความคิดของเร็กออก 
    “ข้าไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าสงสารข้า “ เจ้าของดวงตาสีดำกล่าวด้วยเสียงเข้ม
     ทำเอาเร็กหลุดจากความคิดของตนเอง
     

    “ข้าขอโทษ” เร็กไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร  จึงได้แต่แสดงความเสียใจ

    มุมปากคนตรงหน้ายกขึ้นนิดหนึ่ง  ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง
    “เอาเถิด  ข้าชินแล้ว คนเถื่อนก็คือคนเถื่อน  ให้ข้าตะโกนว่าไม่ใช่อย่างไร ก็ยังเป็นอยู่นั่นแล “

     ไม่ทันที่เร็กจะตอบอะไร
    เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังคนทั้งคู่
    “หยุดอย่าขยับ  วางมือไว้บนหัว แล้วหันมาช้าๆ ”

    ทันทีที่ทั้งคู่หันไปมอง ก็พบกับชายราว 5-10คน แต่งกายด้วยชุดแดงดำ สีเดียวกับเกวียนที่เร็กเห็นเมื่อครู่  มีสองคนถือหน้าไม้เล็งมาที่คนทั้งคู่  ส่วนที่เหลือดูจะไม่สนใจเร็ก และชาวเถื่อนที่ไม่รู้จักชื่อข้างกายมากมายนัก
    “แสดงบัตรมาซิ  “ หนึ่งในนั้นออกคำสั่ง  ส่วนอีกคนก็ค้นตัวคนทั้งคู่

     เร็กยื่นแผ่นโลหะบาง ที่ทางการออกให้เพื่อยืนยันสถานะว่ามาจากที่ไหน เพื่อง่ายต่อการ ตรวจสอบ และควบคุม  หนึ่งในนั้นดูบัตรแล้วมองหน้า
    “ลูกครึ่งรึ แล้วเหตุใดจึงได้บัตรชั้นหนึ่ง “

     ที่ประเทศนี้  ชาวลิเบอร์ลัมแท้  จะถือว่าเป็นประชากรชั้นหนึ่ง ได้อภิสิทธิ์เหนือผู้ใดในแผ่นดินนี้

     เช่นการเสียภาษีที่น้อยกว่า  การรับราชการจะได้คะแนนเพิ่มในการสอบเข้า  ตลอดจนการเข้าศึกษาในสถาบันของรัฐ  จะได้ส่วนลดค่าเล่าเรียน    และการถือครองที่ดิน เช่นหากมีผู้ใดต้องการขายที่ดิน หากมีชาวลิเบอร์ลัมชั้น 1 ติดต่อซื้อจะต้องพิจาราณา ข้อเสนอชาวลิเบอร์ลัมชั้น1 เป็นอันดับแรก และสามารถโหวต เลือกผู้แทนในสภาที่1และที่ 2ได้

    ส่วนชนชั้นสองคือทายาทของลูกครึ่งที่เกิดจาก เชื้อชาติอื่นผสมกับชาวลิเบอร์ลัม  ได้สิทธิรองลงมา  อาจเลื่อนเป็นชนชั้นที่1ได้หากทำความชอบให้กับแผ่นดิน สามารถโหวตตัวแทนในสภาที่ 1 หรือที่ 2ได้ แต่เลือกได้แค่เพียงหนึ่งเท่านั้น

    และชนชั้นที่สามคือชาวต่างชาติ ที่ยื่นเรื่องขออาศัยในลิเบอร์ลัมต่อทางการ สามารถถือครองที่ดินได้เล็กน้อย แต่ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ  แต่อาจเลื่อนขั้นเป็นชนชั้นที่สองได้หากทำความชอบให้กับแผ่นดิน    แต่จะไม่สามารถเลื่อนเป็นชนชั้นที่1ได้

    และชนชั้นที่สี่  คือชาวเถื่อน  ไม่มีสิทธิในสิ่งใดเลย แม้แต่การถือครองที่ดินก็ไม่ได้รับการอนุญาต และไม่สามารถเลื่อนเป็นชนชั้นใดๆได้ในทุกรณี

     “บิดาข้า  ผ่านสงครามแอนโทนอฟขอรับ นายท่าน  “ เร็กตัดสินใจพูดปด  เพราะไม่รู้ว่า หากพูดความจริงออกไปว่าตนเองเป็นลูกนอกสมรสของเชื้อพระวงค์ที่พ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น

    ชายคนนั้นยกบัตรโลหะส่องกับแดด ก่อนจะส่งไปให้คนทางด้านหลัง ที่รับมาเสียบเข้ากล่องกลไกโลหะในมือ บัตรโลหะเข้าได้กับสลักพอดี เป็นการยืนยัน

    “ของจริงขอรับ จ่าแบคคัส”

    “งั้นรึ ดีๆ ประเทศเรายกย่องผู้กล้าอย่างบิดาเจ้าเสมอ “  ชายคนนั้นเปลี่ยนจากสีหน้าบึ้งตึงเป็นยิ้มแย้ม ตบบ่าของเร็กเบาๆอย่างชื่นชม ก่อนจะคืนบัตรให้  แล้วหันไปถามเด็กหนุ่มชาวเถื่อน
    “ไหนบัตรของเจ้าล่ะ”

    เด็กหนุ่มดวงตาดุดัน  ยื่นบัตรให้

     

    ทันที่ที่รับบัตรมาดู
    โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย

    “ผัวะ!!  พานท้ายของหน้าไม้  ฟาดเข้าที่หน้าของเด็กหนุ่มชาวเถื่อนอย่างรุนแรง ทำให้เจ้าตัวที่ถือว่าเป็นคนร่างสูงใหญ่ยังถึงกับล้มลงกับพื้นทันที  ก่อนที่คนฟาด จะลงไปนั่งยองๆเพื่อพูดใกล้ๆหู
    “เป็นแค่ชาวเถื่อน  ทำไมไม่มีมารยาทกับเจ้าหน้าที่เอาซะเลย  ตอนยื่นบัตรให้พวกข้า รู้ตัวเองว่าเป็นคนเถื่อน ทำไมไม่ทำท่าให้มันนอบน้อม หา!!“

    เร็กได้แต่ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก  เมื่อจู่ๆ คนเมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม ตบไหล่เขาด้วยความชื่นชมอยู่เลย

    เด็กหนุ่มชาวเถื่อน ยันกายขึ้นมาได้เพียงแค่ครึ่งกายก่อนจะเอ่ย
    “ ต้องพูดว่าอย่างไร “

    ผัวะ !!  พานท้ายหน้าไม้ฟาดเข้าที่ใบหน้าอีกครั้ง  หนึ่งในเจ้าหน้าที่ก้มลงไปตะโกนกรอกหูว่า

    “ต้องพูดว่าอย่างไร ขอรับท่าน”

     ใบหน้าคมเข้ม แสยะยิ้มทั้งๆที่ใบหน้าเปื้อนเลือดก่อนจะกล่าว
    “ไม่ต้องพูดขอรับท่าน กับข้าคนนี้หรอก “

    “แก!! “พานท้ายถูกฟาดมาอีกครั้ง  ตามด้วยการเตะและต่อยนับครั้งไม่ถ้วน
    เลือดออกมากทุกที เสียงกระทบเนื้อฟังบาดหู หากไม่ทำอะไรสักอย่างคนผู้นี้ต้องตายต่อหน้าแน่ๆ

    เร็กที่หายตกตะลึงแล้ว พุ่งตัวเข้าไปขวางคล่อมร่างสูงไว้
    “พอแล้วขอรับ  เดี๋ยวเขาก็ตายหรอกขอรับ”

    แต่เจ้าหน้าที่กำลังเลือดขึ้นหน้า กลับตะโกนใส่ว่า
    “ ถอยไปไอ้ลูกครึ่ง!! อยากโดนดีด้วยหรืออย่างไร “

    “พอเถิดขอรับ  เจ้าคนนี้เป็นคนงานของข้าเอง  ไว้ข้าจะสั่งสอนมันเองขอรับ”
    เร็กลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปใกล้  คนที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้า แล้วส่งเงินให้
    “นี่เป็นเงินที่มีอยู่ทั้งหมดของข้า ช่วยรับเป็นสินน้ำใจด้วยเถิดขอรับ “
    เร็กไม่นึกเลยว่าตนเองจะต้องมาติดสินบนเจ้าหน้าที่ ทั้งๆที่ตัวเองเคยตั้งแง่รังเกียจการกระทำเช่นนี้อยู่เสมอๆ

    คนที่ลงมือคนแรก พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
    “เชอะ  คนเถื่อนเยี่ยงนี้ ตายไปสักคนสองคน  ไม่มีใครสนใจหรอกน่า  เงินขนาดนี้ เจ้าซื้อคนที่มีค่ามากว่าเจ้านี่เป็นสิบเท่า”  ทั้งกลุ่มหัวเราะก่อนจะเดินจากไป  แต่เร็กไม่เคยเจอเรื่องขำขัน  ที่ไม่ตลกมากถึงเพียงนี้มาก่อน

    เมื่อทั้งกลุ่มเดินจากไปแล้ว เร็กประคองเด็กหนุ่มคนเถื่อน  ลุกขึ้นนั่ง  ก่อนเอ่ยปากถามว่า
    “ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง  เจ็บมากรึเปล่า “

    ชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
    “เจ้ามาลองโดนพานท้าย ดูบ้างไหมล่ะ  “  พูดจบก็ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก แล้วร้องโอ๊ย
    “โธ่เว้ย แค่ยิ้มยังเจ็บเลย  “


    “เจ้านี่บ้ารึเปล่า  ทำไมต้องไปกวนโมโหคนพวกนั้นด้วยเล่า เจ้าคิดอะไรของเจ้ากันแน่“
    เร็กลงนั่งกับพื้นเมื่อรู้ว่าตัวเองเข่าอ่อนจนยืนแทบไม่ไหว

    “ไม่ได้คิด  ปากมันพาไป” เด็กหนุ่ม ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยามยันกาย แต่ทว่าไม่ไหว ร่างสูงล้มลงไปนอนหงายอีกครั้ง ก่อนจะนิ่งเงียบไป

     เงียบ...... จนเร็กเริ่มกลัว
    “เจ้าตายรึยังน่ะ “

    “ยัง.....แต่กำลังคิดว่าพอนอนหงายแบบนี้แล้ว  ก้อนเมฆ  มันก็อยู่ใกล้นิดเดียวเท่านั้นเอง”
    มือหนาชูขึ้นแล้วทำท่าจับ
    “ทั้งๆที่อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมคนถึงไม่เท่ากันนะ “

    เจ้าหมอนี่โดนตีจนเพี้ยนไปแล้วหรืออย่างไร  นี่คือสิ่งแรกที่คิดในหัว  ก่อนที่เร็กจะเงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นเดียวกัน

    ไม่รู้เพราะอากาศเป็นใจหรือย่างไร เร็กจึง เอ่ยสิ่งที่ไม่เคยเล่าให้ผู้ใดฟังมาก่อน
    “ เจ้าไม่ใช่ผู้เดียวที่โดนเช่นนี้หรอก  ข้าเป็นลูกครึ่ง ไม่มีผู้ใดยอมรับข้า  ข้าไม่ใช่ทั้งชาวตะวันตก  ไม่ใช่ทั้งชาวลิเบอร์ลัม จะมีดินแดนที่ใดที่ยอมรับครึ่งคนอย่างข้ารึไม่   บนท้องฟ้าจะมีรึเปล่า ข้าสงสัยนัก   หากไม่มีข้าจะสร้างมันขึ้นมาเองได้รึไม่ “

    ริมผีปากที่ช้ำไปด้วยเลือด เหยียดออกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวโต้
    “ต่อให้หนีไปที่ไหนๆ มันก็มีเรื่องแบบนี้อยู่ดีนั่นล่ะ ไม่รังแกเขา  เขาก็รังแกเจ้า “

    “งั้นก็ไม่ต้องหนี สักวันที่นี่จะกลายไม่ว่าใครก็ยิ้มได้ หัวเราะได้.... ด้วยมือข้า ” เร็กตอบกลับไป

    คนร่างสูงนิ่งไปเล็กน้อย
     “ต้องเป็นจักรพรรดิเท่านั้นล่ะถึงจะทำได้ “

    น้ำเสียงมุ่งมั่นและเด็ดเดียว ตอบกลับมาอย่างแน่วแน่ ราวกับไม่มีความสงสัยใดในคำพูดตน
    “ใช่ วันหนึ่งข้างหน้า ข้าจะเป็นจักรพรรดิ “

    “จักรพรรดิเนี่ยนะ ลูกครึ่งอยากเป็นจักรพรรดิ “ ทั้งๆที่เจ็บไปทั้งกาย  แต่มันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
    “ฮ่าๆ  เจ้านี่บ้าดีนะ โอ๊ยเจ็บปาก   ฮ่าๆ โอ๊ย    ดีล่ะถ้าเจ้าจะเป็นจักรพรรดิ  งั้นข้าจะช่วย  ข้าจะเป็นแม่ทัพสูงสุดให้เจ้าเอง  ”

    เร็กยิ้มให้คนข้างกาย

    “แล้วอย่าลืม คำนี้ล่ะ “

    คนเถื่อนข้างกาย ยันตัวครึ่งหนึ่ง แล้วหันไปถาม
    “ ข้า ว่าที่ แม่ทัพสูงสุด ชื่อลุค  เจ้าชื่ออะไร “

    เร็กยิ้มให้ก่อนจะเอ่ย
    “ข้าว่าที่  องค์จักพรรดิ เร็ก “
    นั่นคือครั้งแรกที่ทั้งสองได้รู้จักกัน

     

     

    ......
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×