ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผู้กล้าบอกว่าข้าจะครองโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง ข้าเป็นจอมมารที่โดนเจ้าหญิงกระโดดถีบ(100%)

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 55


     

    บทที่1

     

     

     

     

    ในตอนบ่ายที่น่าเบื่อสุดๆ ข้ากำลังอยู่หน้าประตูอาถรรพ์ ที่เชื่อมโยงไปยังแดนเทพ  ที่อยู่ของพวกน่าเบื่อและเจ้าระเบียบอย่างเหล่าเทพ ที่จริงข้าคิดว่าแดดพวกนี้   สองสามวันก็หายไปเอง  แต่ลูกน้องข้านี่สิเดือดร้อนกันไปหมด เลยต้องมาสอบถามเหล่าเทพ เผื่อว่าพวกนี้จะรู้อะไรมั่ง

    เห็นไหมล่ะว่า ข้าเป็นจอมมารที่ดีขนาดไหน 

    ไม่ใช่เพราะม็อบที่ประท้วงอยู่หน้าปราสาทของข้าหรอกนะ

     

    ข้าเคาะประตู อยู่สามครั้ง เพื่อที่จะเรียกวิญญาณแห่งประตูออกมา  แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครโผล่หัวออกมา  ข้าหันไปสั่งลูกน้องข้าที่อยู่ข้างหลัง

    เฮ้ย  เตรียมฟืน “  กองฟืนมากมายถูกสุมไว้ที่ประตู  ไม้ขีดตรางูก็อยู่ในมือข้าเรียบร้อยแล้ว  ทันทีที่ข้าจุด

     

    “  กริ๊ด!!  แค่นี้ถึงกับจะเผาบ้านกันเลยกันรึไงยะ“ 

    วิญญาณแห่งประตูในรูปหญิงสาวโปร่งแสง ชุดขาวใบหน้างดงามก็โผล่ขึ้นมาทันที

     

     

    ข้าอดที่จะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งไม่ได้

    อ้าว...อยู่หรอกเรอะ

     

     

    ก็อยู่น่ะสิยะ  แต่ตอนนี้ข้าเปิดประตูให้ไม่ได้“  ยัยนั่นหันหน้าเมินไปทางอื่น 

    ยัยนั่นทำตัวแปลกๆแฮะ  ไม่ยอมสบตาข้า  แต่ช่างเถอะ ข้าขี้เกียจหาสาเหตุ

     

     

    งั้นข้าก็หมดธุระกับที่นี่แล้วสินะ  ข้าหันหลังเตรียมตัวจะกลับ   แต่ว่าเจอสายตาเว้าวอนจากลูกน้องจำนวนมาก และจำนวนป้ายประท้วงที่มากกว่า  ทำให้ข้าต้องหันหลังกลับไปหาประตู 

    เห็นไหมล่ะว่า  ข้าเป็นจอมมารที่ห่วงลูกน้องขนาดไหน

    “  เอาล่ะ เจ้าเปิดประตูให้ข้าหน่อยสิ ข้ามีธุระกับพวกเทพ

     

     

    ทำไมข้าต้องฟังคำสั่งเจ้าด้วยล่ะ ยัยนั่นกอดอกอย่างเชิดๆ

     

    ข้าดีดนิ้วหนึ่งที ปีศาจปลวก ก็เดินขึ้นมาอยู่หน้าแถว

    เอาล่ะ ได้ยินว่าเจ้ากำลังจะสร้างบ้านใหม่สินะ แถวนี้เป็นไง วิวสวยดีนะ

     

    เจ้าจะบ้าเหรอ บ้านข้าเป็นไม้นะ  แล้วนั่น ลูกน้องเจ้าจะเช็ดปากทำไมกันยะ บ้านข้าไม่ใช่ของขบเคี้ยวนะ

     

     

    ข้ายักไหล่ก่อนจะพยักหน้าไปทางประตู

    นางก้มหัวลงก่อนจะพูด

    ก็ได้ๆ  ทำใจด้วยล่ะ “  แววตาเศร้าสร้อย ถูกส่งผ่านมา 

    อะไรกันนักกันหนานะ 

    ข้าแค่ให้เปิดประตู ไม่ได้จะเผาบ้านยัยนั่น   ถึงข้าจะเคยคิด แต่ข้าก็ไม่เคยทำสักหน่อย

     

    ประตูขนาดใหญ่  เปิดออกอย่างช้าๆ ทำให้ข้ายังมองไม่เห็นอะไร  แต่ทว่าลมร้อนวูบหนึ่งก็พัดผ่านมา

    ลมร้อนเหรอ....  ดินแดนแห่งเทพเนี่ยนะ

    ทันที่เปิดออกกว้างพอ   ข้าก็พบว่า.....

    เป็นไปไม่ได้   ดินแดนที่เคยสวยงามและเขียวขจี  สายลมสดชื่น ที่เคยพัดผ่านอยู่เสมอ  กลับกลายเป็นลมแห้งร้อนความเขียวขจี และงดงาม เหลือเพียงทะเลทราย และความแห้งแล้ง

     ในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยงดงามจนเหมือนภาพฝัน

    นี่มันเกิดอะไรขึ้น   ข้ากำลังลงทุนสร้างรีสอตร์เลยนะ  อย่างนี้ข้าก็ขาดทุนแย่น่ะสิ

     

    ข้าหันไปมองวิญาณแห่งประตูแทนคำถาม

    ข้าก็ไม่รู้มันเริ่มเมื่อสองสามวันก่อน 

     

    สองสามวันก่อน ก็ตรงกับตอนที่ดินแดนของข้ามีแดดออกพอดีน่ะสิ

     

    ข้าจัดการทิ้งลูกน้องมากมายเอาไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเหาะไปที่วิหารแห่งเทพ 

    โดยแค่พาเจ้าโครงกระดูกกับลูกน้องสองสามตนที่บินได้  บินตามหลังมา 

    ข้ามองรายทาง ดินแดนแห่งเทพกำลังจะตาย  ต้นไม้ที่เคยเขียวขจี กำลังแห้งเหลือง  ดินที่เคยดำสนิทด้วยความอุดมสมบรูณ์ กำลังแห้งแข็งกลายเป็นทราย ลำธารเริ่มเหือดแห้ง  ดอกไม้ที่งดงามก็ไม่มีอีกแล้ว   ท้องฟ้าที่เคยสดใส ก็กำลังกลายป็นสีเทาหม่น

     

    ท่านจอมมารขอรับ  ท่านว่าเหมือนไหมขอรับ “  เจ้าโครงกระดูกที่ตอนนี้อยู่บนหลังมังกร  ตะโกนข้ามมา

     

    เหมือนอะไร ข้าตะโกนกลับไป

     

    เหมือนแดนปีศาจของเราไงล่ะขอรับ

     

    ไม่ทันที่ข้าจะได้ตอบกลับ ลำแสงสีทองก็พุ่งผ่านหน้าข้าไป เล่นเอาปอยผมข้างหน้าไหม้หงิกงอไปหลายเส้น    ข้าหันไปมอง  ก็พบจอมเทพสูงสุดที่กำลังอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ  ปีกสีทองทั้งหกกางออกอยู่กลางหลัง  และด้านหลังก็มีเหล่าบรรดาเทพ ลูกน้องของเจ้านั่น  นับได้เป็นพัน

    เชมัส...กล้ามากนะ ที่มาคนเดียว 

    เจ้าจอมเทพหนวดยาว  ที่ขนลูกน้องมามากมายนั่น  ชื่อไกอา  ใหญ่สุดในแดนเทพ 

    เหมือนๆกับข้าที่ใหญ่สุดในแดนปีศาจนั่นล่ะ

     

    เจ้าจะบ้าเรอะ ใครใช้ให้ยิงก่อนถามทีหลัง(วะ) ข้าคลำผมที่ไหม้ ข้าเซตอยู่ตั้งนานนะทรงนี้

     กองทัพเทพไม่พูดอะไรตอบ แต่ตั้งอาวุธ ก่อนจะยิงเข้าใส่ข้าอีกครั้ง  คราวนี้ไม่ได้ยิงมาที่ข้า แต่เล็งไปที่ลูกน้องของข้า  มันอะไรกันฟะ  ข้าหายตัวไปอยู่หน้าลุกน้องตัวเอง ก่อนจะสบัดมือหนึ่งที เพื่อปัดลูกพลังที่ถูกยิงมา    ลูกพลังสีทอง แทนที่จะถูกปัด มันกลับสลายไปอย่างง่ายดาย

     

    นี่มันอะไรกัน ข้ายกมือขึ้นมาดู  ปกติข้าผนึกพลังของตัวเองเอาไว้ ทำให้พลังเหลือไม่ถึงหนึ่งในร้อยซะด้วยซ้ำ

    ทำไมพลังข้ามากมายถึงขนาดนี้ล่ะเนี่ย  ข้าคลำตุ้มหูข้างซ้ายที่เป็นผนึก ก็พบว่ามันยังอยู่ดีทุกอย่าง

    หรือว่า  พ่อครัวเอาอะไรให้ข้ากินกันล่ะเนี่ย  ถึงว่ามื้อเย็นมันแปลกๆ

     

     

    เจ้า...ทำอะไรกับสมดุลโลกจริงๆด้วยสินะ “  ตาแก่ไกอา โกรธจนหนวดกระดิก   เสียงประท้วงเซ็งแซ่ และคำด่าหยาบคาย ที่จอมมารผู้ดีอย่างข้ายังรับไม่ได้ ดังมาจากลิ่วล้อทางด้านหลัง

     

     

    อย่ามาใส่ร้ายข้านะเฟ้ย   “  อยู่ดีๆใครจะไปยุ่งกับ ของที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนกันล่ะ

    ปกติดินแดนแห่งเทพ กับดินแดนปีศาจ จะได้รับพลังเกื้อหนุนจากโลกมนุษย์  โดยพลังแห่งความดีจะเกื้อหนุนแดนเทพ  ส่วนความชั่วจะเกื้อหนุนแดนปีศาจ  และพลังทั้งสองสิ่ง ก็จะไหลย้อนกลับมา เป็นพลังให้กับโลกมนุษย์เช่นเดียวกัน  สิ่งเหล่านี้เรียกว่า สมดุลของโลก   

    ถ้าเกิดสมดุลนี้เสียไป อาจเกิดหายนะที่ไม่อาจคาดเดาได้

     

     

    แล้วเจ้ามีพลังขนาดนี้ได้ยังไง  แล้วดูการล่มสลายของดินแดนเราสิ ตาแก่ไกอา ผายมือให้เห็นรอบๆ

     

     

    จริงของเจ้านั่น  ดินแดนแห่งเทพกำลังจะตาย  แต่ว่า ดินแดนของข้าก็แย่เหมือนกันนะ มีแดดออก เล่นเอาเจ้าแวมไพร์สลายไปตั้งหลายตน  เดี๋ยวก่อนนะ  แดนของข้ามีแดดออก หรืออีกอย่างหนึ่งคือมันกำลังอุดมสมบรูณ์ขึ้น   ส่วนแดนเทพ ก็กลายเป็นเหมือนแดนปีศาจ หรือว่า.....มันกำลังสูญเสียพลัง และพลังที่ว่าก็ไม่ได้ไปไหน  มันก็อยู่ดินแดนของข้านี่ล่ะ แดนของข้าเลยมีแดดออก  เกิดอะไรขึ้นกับสมดุลของโลกกันแน่

     

    เดี๋ยวก่อนนะ  ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ   “  ข้ายกมือเพื่อประกอบท่าทาง

     

    อย่ามาโกหกนะ แค่ก ตาแก่นั่นพยายามยกคฑาเพื่อยิง แต่ว่าก็ไอออกมา  แล้วร่วงลงสู่พื้น

     

    ข้าหายตัวอีกครั้งเพื่อลงรับร่างตาแก่ไกอา  ทันทีที่ข้าสัมผัสร่างของเจ้านั่น  ข้าก็รู้สึกความอ่อนแรง และอ่อนพลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    ข้าหลับตาลง เพื่อสัมผัสถึงพลัง ของโลกทั้งสอง ก่อนจะพบว่า  พลังด้านมืดกำลังมากมายมหาศาล มากจนบดบังพลังแห่งแสงสว่าง   ข้าลองย้อนกลับไปดูถึงต้นสาย และพบว่าพลังด้านมืดที่ว่ามาจากโลกมนุษย์  มนุษย์นั่นเองที่ทำให้กำลังเสียสมดุล  ข้าลืมตาขึ้น แล้วมองดูเพื่อนข้าที่กำลังอ่อนแรง   งานนี้ข้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ

     

     

     

     

                                               ข้ากำลังลอยตัวอยู่เหนือปราสาทของพระราชามนุษย์ ที่กำลังจัดงานเลี้ยงกันอยู่  พวกใหญ่โตในแดนมนุษย์ก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ

     คือเรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า

     

    สองสามวันก่อนหน้านั้น หลังกลับมาจากดินแดนเทพ   ข้ากำลังมองตัวเองอยู่หน้ากระจก

    อาห์~ ข้านี่ช่างสง่างามและน่าเกรางขาม สมเป็นจอมมารเสียนี่กระไร   ไม่ใช่ว่าข้าว่างงานหรอกนะ

     แต่ที่ข้ามายืนอยู่หน้ากระจกก็เพื่อฝึกซ้อมตามแผน  เพราะข้าต้องไปเป็นจอมมารที่ชั่วร้ายผู้สง่างาม 

     

    อะไรนะ   เป็นจอมมารก็ต้องชั่วอยู่แล้ว   อย่ามาใส่ร้ายกันนะเฟ้ย

    ข้าออกจะเป็นจอมมารที่แสนดี ลูกน้องข้าก็ไม่เคยไปสร้างความเดือดดร้อนให้ใครสักหน่อย

    มีแต่พวกมนุษย์ นั่นล่ะที่สร้างภาพให้พวกข้าชั่วร้าย    พวกมนุษย์ทำความชั่วก็กล่าวหาว่า พวกข้าไปดลใจ 

    เป็นมนุษย์ที่โหดเหี้ยมก็ด่าว่าไอ้ปีศาจ  พวกข้าไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย ใส่ร้ายกันชัดๆ 

     

    แต่ในเมื่อ พวกมนุษย์  คิดว่าข้าชั่วร้าย  ข้าก็จะชั่วให้ดูซะเลย

    หึๆ แผนแยบยลที่จะกู้โลกไงล่ะ  ข้าช่างเป็นจอมารที่ ฉลาดซะจริงๆ วะ ฮะ ฮ่า

     

     

    "ท่านจอมมารได้เรื่องแล้วขอรับ " เจ้าปีศาจโครงกระดูก เอาเอกสารปึกนึงมาให้ข้าดู 

    เอกสารนี่ ข้าให้ลูกน้องไปขอจากดินแดนคนตายเชียวนะ  

    มันคือบัญชีคนทำความดีความชั่วไงล่ะ  ข้าอยากรู้อะไรบางอย่าง

     

    หลังข้าอ่านจบ ก็พบว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย พลังจากดินแดนเทพ  เริ่มหายไป    สาเหตุเพราะมนุษย์ ทำความชั่วมากกว่าความดี  ทำความชั่วมันง่ายกว่านี่นะ   เพราะอย่างนี้  พลังความดีที่เกื้อหนุนแดนเทพเลยเสียสมดุล  

     

    เมื่อได้ข้อมูลมา  ข้าก็วางแผนกับพวกลูกน้อง ว่าจะแสดงตัวเป็นจอมมารผู้ชั่วร้าย  ให้มนุษย์มีผู้กล้ามาปราบข้า  เมื่อมนุษย์มีศัตรูร่วมกัน  คือความชั่ว(หรือก็คือข้า)   ความหวังก็จะเกิด คนก็จะทำความดีมากขึ้น  ดินแดนแห่งเทพก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ลูกน้องข้าก็ไม่มาก่อม็อบหน้าปราสาท  รีสอทร์ข้าก็ไม่ขาดทุน   ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์  เรื่องมันก็ง่ายๆแค่นี้ล่ะ

    นี่ล่ะที่ทำให้ข้าต้องมาอยู่ที่นี่

     

     

    เอาล่ะ  ข้าหันไปมอง ปีศาจโครงกระดูก ที่ตอนนี้นั่งอยู่ในเกวียนลอยฟ้า คอยดูข้าผ่านทีวี

    เจ้าโครงกระดูก ขยับแว่นตา (ทำไมต้องใส่แว่นฟะ แกไม่มีลูกตาไม่ใช่รึไง)  ก่อนจะเอ่ยปากผ่านโทรโข่ง

    "เอาล่ะกล้อง "

     

    "พร้อม "  ปีศาจกล้องที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดภาพนี้  ยกมือ

     

    "เอฟเฟกร์ "

     

    "พร้อม " ปีศาจสายฟ้ายกมือ

     

    "นักแสดง "

     

    " พร้อม " ข้ายกมือ

     

    " ซีนหนึ่ง คัทหนึ่ง ฉากจอมมารเปิดตัว  แอ็คชั่น!! " ทันทีเจ้าโครงยกมือลง

    ปีศาจสายฟ้า ก็ทำสายฟ้า ผ่ายอดปราสาท  เปิดหลังคาเป็นรูโหว่

     

    ข้าร่อนลงมาอย่าง สง่างาม    ในห้องที่จัดงานเลี้ยง ข้าเห็นความหรูหราอลังการ  ชนิดที่ปราสาทข้ายังเทียบไม่ได้เลยนะเนี่ย   ทองคำระยิบระยับ ถูกประดับเอาไว้ตามมุมต่างๆ มีรูปราชาองค์ก่อนๆ  ประดับอยู่ตามฝาผนัง พื้นก็ปูพรมแดงอย่างดี

    แตทว่าตอนนี้กลับดูเละเทะอย่างบอกไม่ถูก    โต๊ะที่ไว้วางของกินในงานเลี้ยงกระจัดกระจาย  เพราะหลังคาที่ถล่มลงมา  ควันตลบอบอวนไปทั่ว    เศษหิน เศษปูนเต็มพื้นไปหมด  

     

    ข้าปล่อยให้ควันจางลง  ก่อนจะมองหน้าทุกๆคน

    "สวัสดี มนุษย์ "  ข้ามองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา  กว่าจะได้แบบนี้ข้าฝึกตั้งนานนะ อุตส่าห์ดูซีรี่ย์ช่องเดม่อนซีรี่ย์ชาแนลตั้งหลายวัน  กว่าจะเก็กหน้าแบบพระเอกในเรื่องได้

     

     

    "แกเป็นใคร   "  ตาแก่ลงพุงมีมงกุฎอยู่บนหัวชี้หน้าข้าด้วยนิ้วสั่นๆ

     

    "ข้าเหรอ  ข้าคือจอมมารไงล่ะ  "  ข้ามองทุกคนที่แต่ล่ะคนมองข้าด้วยสีหน้าตกตะลึง

    หึๆ รางวัลเดมอนออสการ์ปีนี้  ต้องเป็นของข้าอย่างไม่ต้องสงสัย   ข้ามองไปรอบๆ  สีหน้าซีดๆของพวกมนุษย์ นี่ทำให้ทำให้เกือบกลั้นขำไม่อยู่

     

    "แล้วเจ้าต้องการอะไร  "    พระราชาอ้วนเอ่ยปากถาม

     

    ข้าเชิดหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ

    "ข้ามาเพื่อบอกว่า  จงยอมสิโรราบต่อข้าซะ หาไม่แล้ว มนุษย์ทุกผู้ทุกนามจะต้องตาย "

     

    " นี่จะเจ้ามาครองโลกงั้นรึ "

     

    "โลกใบนี้ต้องเป็นของข้า "

    ข้าแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย  สำเร็จ  แล้วเดี๋ยวอีกสักพัก พวกนี้ก็คงจะปรึกษากันว่าทำไงดี   แล้วข้าก็จะให้ลูกน้องไปปลอมตัวเป็น ผู้เฒ่า เป่าหูพระราชา ให้หาผู้กล้ามาปราบข้า แค่นี้ก็เรียบร้อย  เอาล่ะตอนนี้  ตามบทแล้วข้าต้องไปแล้วสินะ

     

    ข้ามองไปยังท้องฟ้า เพื่อเตรียมตัวจะเหาะจากไป

    ทันใดนั้น เองสายตาก็พบกับ หญิงสาวคนหนึ่งในชุดขาว  เธอกำลังจ้องมองข้า ไม่ใช่แววตาหวาดกลัว เหมือนคนอื่น  แต่เป็นแววตาที่ข้าเองก็บอกไม่ถูก    เธอมีผิวขาวเรียบลื่นน่าสัมผัส ผมสีดำยาวถึงกลางหลัง  ใบหน้ารูปไข่  ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ  และดวงตาที่เหมือนกับเอาดาวทั้งราตรีมาไว้ในภายใน   

     

    ดวงตาของเธอช่างติดตาตรึงใจข้านัก   ข้าไม่เคยเห็นใครมีดวงตาที่สวยขนาดนี้มาก่อน

     แต่เพียงแค่ สบตาเพียงชั่วครู่เท่านั้น เธอก็หายไปจากสายตาของข้า  ร่างบอบบางนั่นหายไปกับฝูงชน

     

     

    ข้าลอยขึ้นไปช้าๆ  ก่อนจะสวมบทจอมมารสุดขั่ว  หันมามองมนุษย์

    "จำไว้ให้ดี มนุษย์ทั้งหลาย จงยอมสิโรราบต่อข้าซะ  หาไม่ก็ตายตกตามกันไปให้หมด วะ ฮะ  ฮ่า "

     

     

    ได้ผลมนุษย์ทั้งหลายมองตามข้า จนกระทั่งข้าหายไปจากสายตา

    ข้าลอยมาอยู่เหนือหลังคา  ก่อนจะมองหาเกวียนลอยฟ้า ที่ลูกน้องข้า  ต้องมารับ

     

    ว่าแต่ว่างเปล่า....

    ไม่มี  หายไปไหน  เกวียนที่น่าจะมารับข้า ไม่มี   จอมมารอย่างข้าต้องกลับบ้านเองงั้นเรอะ

    ข้าล้วงไปในเสื้อคลุม  ก่อนจะหยิบเอาปีศาจสื่อสารออกมาแล้วโทรหาลูกน้องข้า

     

    "ฮัลโหล พวกเจ้าอยู่ไหนเนี่ย  "

     

     

    เสียงเจ้าโครงกระดูก  ดังตอบกลับมาทันที

    "ท่านจอมมารขอรับ คือว่าเจ้าปีศาจสายฟ้า  มันลืมว่าตัวเองพลังเพิ่มขึ้นน่ะขอรับ  สายฟ้าเลยแรงกว่าเก่า พวกข้าต้องหลบออกมาก่อน  "

     

     ข้ามองไปที่ท้องฟ้า  จริงของเจ้านั่น สายฟ้าที่ควรจะหยุดผ่า  แต่ตอนนี้กลับผ่าหนักกว่าเดิม

     

     

    "แล้วข้าจะกลับยังไง  "   ข้าย่อตัวลง  เมื่อสายฟ้าส่งเสียงคำราม

     

     

    "ท่านก็เหาะไปสิขอรับ พวกข้าอยู่ไม่ไกล "

     

    "เจ้าจะบ้าเรอะ  ขืนข้าเหาะไป ข้าก็โดนฟ้าผ่าสิ  เจ้าจะให้จอมมารอย่างข้าเดินไปงั้นเรอะ  "

     

    "ตู๊ด...สัญญาณที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้  ครืด...ซ่า  " 

    ข้ารู้นะเฟ้ย ว่าเป็นเสียงเจ้า  หนอยแน่ะ  ข้าเก็บปีศาจสื่อสาร เข้ากระเป๋า ก่อนจะมองไปยังทางข้างหน้า 

    บ้าเอ๊ย  จอมมารผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าต้องเดินไปงั้นเรอะ มืดก็มืด  เกิดงูกัดข้าจะทำไง

     

    ว่าแต่จริงสิ  ข้าใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายได้นี่นา ข้าลืมไปว่า ข้ามีพลังเพิ่มขึ้นมาก  ถึงข้าจะผนึกพลังตัวเองเอาไว้แบบนี้ก็เถอะ  แต่ข้าไม่อยากใช้เลย ให้ตายเถอะ   คอยดูนะ ข้ากลับไปจะหักเงินเดือนให้หมดเลย  กำลังอยากได้โซฟาใหม่อยู่ด้วย

     

    "ข้าสบัดมือหนึ่งทีก็เกิดวงเวทย์ที่เท้า แล้วร่ายคาถา ข้าหลับตาลงเพื่อนึกถึงสถานที่จะไป

     

    "จอมมาร!!!  " ใครเรียกข้าฟะ เสียสมาธิหมด  ข้าลืมตา ฟ้าผ่ามาเปรี้ยงหนึ่งทำให้เงาขาวๆ ที่ยอดปราสาท

     

    "จ๊าก!!  ผีหลอก "  ข้าตกใจจนเผลอลืมไปว่า   ข้าเป็นจอมมารนี่หว่า จะกลัวผี ไปทำไม

    ข้ามองดูดีๆ ก็พบว่า เธอคนนั้นนั่นเอง  เธอเข้ามาใกล้ เรื่อยๆ พร้อมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น

     

    คงจะมาขอร้องไม่ให้ ข้าทำลายดินแดนล่ะสิ

    เฮอะ   ข้าเป็นจอมมารสุดชั่วนะเฟ้ย  บอกไว้ก่อน ข้าไม่ใช่ง่ายๆ

    ข้าแสยะยิ้มกระชากใจเล็กน้อย  ก่อนจะเอ่ย

    "จะมาขอ...."  ข้าพูดได้แค่นั้น ข้าก็โดนถีบ

     

    ใช่แล้วเจ้าอ่านไม่ผิดหรอก  ข้าโดนถีบจริงๆ  ข้าโดนผู้หญิงคนนั้นกระโดดถีบ

    เท่านั้นยังไม่พอ  เธอยังเหยียบอกข้าด้วย  วันอะไรของข้าวะเนี่ย

     

    เธอเสยผมเงางามนั่นก่อนจะเอ่ย

     

    โลกใบนี้ต้องมาอยู่แทบเท้าข้า   เจ้าฝันไปเถอะว่าเจ้าจะครองโลกได้  "

     

    "เจ้าเป็นใครกัน "  ข้ามองผู้หญิงที่ใบหน้าดู อ่อนหวานเรียบร้อย  
    แต่ทว่าตอนนี้กำลังประกาศว่า เธอจะครองโลก และกำลังโดนเหยียบยอดอกข้า 

     

    "ข้าชื่อ ว่านาตาเวีย   คาสซ่า   และข้าเป็นเจ้าหญิง อาณาจักรแห่งนี้ "  เธอค่อยๆเลิกกระโปรงขึ้น เผยให้เห็นเรียวขา ทำเอาข้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่   ไม่ใช่เพราะความขาวของขาเธอ  แต่เพราะเธอชักดาบเล่มยักษ์ออกมาจากใต้กระโปรง
    (ยัดเข้าไปได้ไงฟะนั่น ) ฉึก!! ดาบเล่มยักษ์  แทงเฉียดใบหู ข้าไปไม่ถึงคืบ

     

    "ว่าแต่.....ที่จริงข้าสนใจ ดินแดนของเจ้าอยู่ไม่ใช่น้อยนะ " เธอ แสยะยิ้ม 

    อย่าบอกนะว่า ยัยนี่คิดอะไรกับแดนปีศาจของข้าด้วย

     

    ไม่ทันที่ข้าจะตอบว่าอะไร วงเวทย์ที่พื้นก็เริ่มทำงาน

    แล้วแสงเรืองรองก็ค่อยๆสว่างจ้า

     

    ทันทีที่ทุกอย่างจบลง   ข้ามาอยู่ที่ปราสาทของตัวเอง

    ผู้หญิงคนนั้นยังคงเอาดาบเล่มยักษ์ จอคอข้า  และแน่นอน เธอยังเหยียบอกข้า  แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือ

     

    ตอนแรกข้าอยู่คนเดียว  แต่ตอนนี้ข้าอยู่ท่ามกลาง  สายตาลูกน้องข้านับสิบ

     

    หมดกัน ....ภาพลักษณ์ จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ของข้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×